ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #1 : พบพาน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 946
      29
      31 พ.ค. 58


        เป็นเวลาตอนบ่ายกว่าๆ แสงแดดช่างร้อนระอุจนสาวน้อยที่มาจากแดนไกลต้องยกแขนขึ้นเพื่อ

    ปาดเหงื่อในขณะที่กำลังเดินไปตามถนนหนทางที่ไม่คุ้นเคย สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คน

    ที่มาจับจ่ายซื้อของและบ้านเรือนที่ต่างจากที่ๆเด็กหญิงเคยอยู่นัก

     

    "เฮ้อ อินเดียมันก็ดีอยู่หรอก แต่คงจะดีกว่าถ้ามันไม่ร้อนขนาดนี้"เดินไปบ่นพึมพำไปเรื่อยๆจนกระทั่ง

    เด็กหญิงได้ยินเสียงใครบางคนตวาดลั่นจึงเฝ้ามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

     

    "ไอ้เด็กจัณฑาลสกปรก ออกไปให้พ้นบริเวณบ้านข้าเลยนะ!"หญิงเจ้าของบ้านรีบนำน้ำนมมาราด

    หน้าบ้านตัวเองเพื่อล้างเสนียดตามความเชื่อของศาสนาเก่าแก่ที่ผู้คนแถวนี้นับถือ และคนที่ถูก

    หญิงผู้นั้นตวาดใส่เป็นเด็กชายตัวน้อยอายุราวๆหกเจ็ดขวบ ผมสีบลอนด์ทอง เนื้อตัวสกปรก

    เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นสีเทาขะมุกขะมอมและเก่าขาด เขาเดินออกมาอย่างช้าๆสองมือยื่นออกมา

    เพื่อให้รับรู้ถึงสิ่งกีดขวาง แต่ระหว่างทางมีเส้นเชือกเส้นหนึ่งที่ขึงตึงอยู่ในระดับต่ำซึ่งคนทั่วไปสามารถ

    ก้าวข้ามได้สบาย แต่สำหรับเด็กชายตัวน้อยนั้นด้วยความที่ดวงตาทั้งสองมืดบอดสนิทจึงไม่รู้ว่า

    มีเชือกขึงอยู่ และสะดุดจนล้มฟาดพื้นอย่างรุนแรง

     



     "ฮ่าๆๆ มันติดกับแล้ว"เด็กร่างใหญ่ที่ดูท่าทางจะเป็นหัวโจกนั้นหัวเราะเสียงดังลั่น จากนั้นจึงเรียก

    พรรคพวกซึ่งหยิบท่อนไม้มาด้วยและเริ่มทุบตีเด็กชายผมทองอย่างรุนแรง

    "เจ็บ เราเจ็บ"ผู้ถูกทุบตีพึมพำออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ แต่กลุ่มเด็กเกเรนั้นไม่สนใจ กลับทุบตีเขา

    อย่างรุนแรงขึ้นจนเด็กชายแน่นิ่ง เลือดสีแดงฉานไหลซึมลงมาตามบาดแผล ในที่สุดเด็กหญิงซึ่งเฝ้า


    มองเหตุการณ์มาสักพักก็ทนดูเหตุการณ์ต่อไปเฉยๆไม่ได้ เธอใช้พลังควบคุมสภาพอากาศทำให้เกิด


    ฝนตกห่าใหญ่

    "อะไรเนี่ย ฝนตกซะแล้ว ทิ้งไอ้โสโครกนี่ไว้ตรงนี้แหละ เจ็บขนาดนี้มันคงลุกไม่ขึ้นหรอก"หัวโจกสั่ง

    ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งร่างที่ถูกทุบตีจนสะบักสะบอมไว้เบื้องหลัง

    เมื่อเห็นว่าเด็กเกเรจากไปแล้วเด็กหญิงจึงค่อยเบาใจขึ้นบ้างและลดพลังลงให้เหลือเพียงฝนปรอยๆ

    เพื่อป้องกันพวกเกเรกลับมา เธอค่อยๆเดินไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ช้าๆ เนื้อตัวของเด็กชายผู้นั้น

    มีกลิ่นสาบสางและเต็มไปด้วยบาดแผล แต่เธอไม่มีเวลาสนใจกลิ่นนั่น และต้องรีบช่วยชีวิตคนตรงหน้า

    ที่สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดถึงขีดสุด เด็กหญิงใช้ดวงตาสีม่วงกวาดมองบริเวณรอบๆก็พบว่าทุกบ้าน

    ปิดประตูหน้าต่างทุกบานมิดชิด ไม่ไกลนักมีโรงนาหลังน้อยสภาพเหมือนถูกทิ้งร้าง เมื่อเธอกวาดตามอง

    อีกรอบก็พบว่าไม่มีผู้คนอยู่เลย จึงใช้พลังทำให้เด็กชายลอยสูงขึ้นแล้วไปทางโรงนานั้น จากนั้น

    สาวน้อย

    ก็เดินตามไป ปิดบานประตูไม้ผุๆหลังจากทั้งสองเข้ามา จากนั้นจัดการรวบรวมเศษฟางที่กระจัดกระจาย

    อยู่ทั่วโรงนามาปูซ้อนกันให้หนาแล้วค่อยๆคลายพลังให้เด็กชายนอนลงบนเตียงฟางชั่วคราว 

    ร่างเล็กค่อยๆสำรวจบาดแผลก่อนที่จะจัดการหยิบสมุนไพรมาบดและตำให้ละเอียดแล้ว

    ทาลงบนแผล จากนั้นก็ฉีกผ้าที่มีในกระเป๋าเพื่อนำมาพันให้กับเด็กชาย แล้วก็นั่งเฝ้าเด็กชายอยู่ไม่ห่าง

    ด้วยกลัวว่าเด็กเกเรจะตามมาทำร้าย จนกระทั่ง.......

     



    "ฟื้นแล้วเหรอ"เสียงเล็กๆของเด็กหญิงเอ่ยขึ้นเมื่อร่างบนเตียงฟางเริ่มขยับตัว ร่างนั้นลืมตาแล้วลุกขึ้น

    นั่งนิ่งๆสักพักเพื่อฟังเสียงรอบตัวก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

    "ท่านเป็นผู้ช่วยชีวิตเราใช่หรือไม่" คิ้วของเด็กหญิงเลิกขึ้นไปสูงจนแทบจะหายไปใต้เรือนผมสีม่วง

    "ท่าน?"เสียงเล็กเอ่ยด้วยความงุนงง ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยถูกเรียกด้วยคำยกย่องเช่นนี้มาก่อนเลย

    "ใช่แล้ว ท่านคงจะมาจากวรรณะพราหมณ์สินะ" คำพูดของเขาทำให้สาวน้อยประหลาดใจขึ้นไปอีก

    "ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ"

    "เพราะว่ามีกลิ่นหอมอ่อนๆมาจากร่างกายของท่าน ไม่เหมือนกับกลิ่นสาบสางจัณฑาลอย่างเรา

    และเส้นผมของท่านที่มาโดนตัวเราขณะทำแผลให้นั้นนุ่มละเอียดราวเส้นไหม"

    เด็กหญิงลึกลับคลี่ยิ้มบางๆออกมาด้วยความประทับใจที่มีให้กับคำตอบของคนตรงหน้า

    "ไม่ใช่หรอกนะ ฉันไม่ได้มาจากวรรณะไหนทั้งนั้น อันที่จริงไม่ได้เกิดที่ประเทศนี้ด้วยซ้ำไป ดูจาก

    ชุดของฉันก็น่าจะรู้แล้วนี่นา นี่กำลังแกล้งลองเชิงอยู่หรือเปล่าเนี่ย"เธอจบประโยคด้วยน้ำเสียงขุ่นลง

    เล็กน้อยเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอจะโดนแกล้ง

    "มิใช่หรอก เราตาบอดแต่กำเนิด"ตอบไปตามจริง เพราะถึงแม้จะโกหกไปยังไงก็จะโดนจับได้เพราะ

    ท่าทางที่คงไม่เหมือนคนปกติเป็นแน่แท้ เธอนิ่งไปสักพักก่อนที่จะเขยิบเข้ามาใกล้เด็กชาย

    ก่อนที่จะเพ่งมองใบหน้านั้นอย่างพิจารณา ถึงแม้จะดูสกปรกมอมแมมและซูบซีดไปบ้าง แต่ก็ยัง

    คงเค้าลางของความหน้าตาดีเอาไว้ได้ และเมื่อดูดีๆแล้วนัยน์ตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นกลับมองเหม่ออย่าง

    ไร้จุดหมาย พอลองเอามือโบกไปมาตรงหน้าก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง 

    'มิน่าล่ะ ถึงได้ดูท่าทางแปลกๆ' เมื่อเห็นดังนี้แล้วเธอก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ถึงเหตุผลที่เด็กชาย

    ยื่นมือออกมาข้างหน้าเวลาเดิน แถมเดินสะดุดเชือกที่ขึงไว้ต่ำๆ และยังไม่มองหน้าเธอตอนคุยด้วยอีก 




    "เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่ดูให้ดีซะก่อน"เด็กหญิงใช้น้ำเสียงแสดงความสำนึกผิด

    อย่างจริงใจก่อนที่จะพูดต่อ"จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย เธอชื่ออะไรล่ะ"


    "อัศมิตา แล้ว...เจ้า"คำสุดท้ายหลุดออกมาอย่างค่อนข้างแผ่วเบาเพราะเขาลังเลว่าควรจะพูดดีหรือไม่

    แต่ก็เผลอหลุดปากไปเสียแล้ว

    "แพทริเซีย"เธอตอบกลับมาสั้นๆ เมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายว่าอะไรอัศมิตาก็ถอนหายใจโล่งอก

    "แล้วทำไมเธอถึงได้โดนพวกนั้นทำร้ายล่ะ"แพทริเซียถามเพราะสงสัยว่าเด็กตาบอดที่ท่าทาง

    ไม่มีพิษภัยอย่างเขาไปทำอะไรให้พวกเด็กเกเรไม่พอใจ เด็กชายค่อยๆเอ่ยขึ้นช้าๆ

    "เราอยู่ในวรรณะจัณฑาลซึ่งต่ำกว่าวรรณะของคนกลุ่มนั้น และเป็นวรรณะที่ต่ำต้อยที่สุด การโดนทำร้าย

    หรือถูกรังเกียจจึงมิใช่เรื่องแปลกเลย"

    "นี่ ขอทีเถอะ"เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเอาเสียเลย"ช่วยเลิกทำตัวเป็นเหมือนกองขยะ

    ที่ใครจะทำอะไรก็ได้ซะที เธอก็เป็นมนุษย์ เพราะงั้นเธอก็มีค่าเหมือนกับฉันและทุกๆคนบนโลกใบนี้

    อ้อ รวมถึงเด็กเกเรพวกนั้นด้วย"

    "แต่ว่า...เรามันสกปรก น่ารังเกียจ ต่ำต้อย อีกทั้งหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ไม่น่ามองมิใช่หรือ" แพทริเซีย

    ถึงกับกุมขมับกับทัศนคติสุดติดลบที่มีต่อตัวเองของอัศมิตา

    "อย่าบ้าไปเชื่อคำพูดคนที่เกลียดเธอสิ ในเมื่อยังไม่เคยเห็นหน้าตาตัวเอง แถมถ้ารู้จักดูแลตัวเอง 

    เธอจะสะอาดแล้วก็ดูดีได้ไม่แพ้คนอื่นหรอกนะ แค่เธอเกิดมาในไอ้ระบบวรรณะอะไรนั่น ไม่ได้แปลว่า

    เธอต้องยอมแพ้ให้มันหรอกนะ ดูอย่างฉันสิ ถ้าฉันยอมรับกฎเกณฑ์งี่เง่านั่นก็คงจะ..คงจะ.."แล้วเด็กหญิง

    ก็หยุดพูด ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในอดีตได้วิ่งผ่านเข้ามาในหัวของเธออีกครั้งทำให้ไม่อยาก

    จะเอ่ยถึงมันอีก เด็กน้อยผมสีม่วงส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดออกไปให้พ้นแล้วเบี่ยงประเด็น

    "ช่างเถอะ นี่มันก็ผ่านมานานแล้ว เธอควรกลับบ้านได้แล้ว บ้านของเธออยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันจะพาไปส่ง"

    แต่แล้วเด็กชายตาบอดกลับส่ายหน้า

    "เราไม่มีบ้านหรอก"

    "แล้วครอบครัวเธอล่ะ"

    "มารดาของเราเสียชีวิตไปราวปีสองปีก่อน"

    "ไม่มีญาติคนอื่นเลยงั้นเหรอ"

    "เราได้ยินมาว่าตั้งแต่มารดาของเราไปแต่งงานกับชายต่างชาติต่างศาสนา ญาติๆก็พากันทอดทิ้ง

    มารดาของเราไปหมด"อัศมิตาตอบซื่อๆ แต่กลับสะเทือนใจผู้ฟัง อะไรกัน ทอดทิ้งเด็กตาบอดซื่อๆ

    ไร้ความผิด แค่เพราะแม่เขาไปแต่งงานกับคนต่างชาติเท่านั้นเอง 
    แพทริเซียนิ่งเงียบใช้ความคิดซักพัก

    เพื่อตัดสินใจ กำหนดการเดิมของเธอคือจะเที่ยวไปเรื่อยๆอีกนานกว่าจะกลับไป'ที่นั่น' แต่จะให้

    ทิ้งเด็กตาบอดที่ไม่มีคนดูแลแถมเขาอาจถูกทำร้ายจนตายเมื่อไหร่ก็ได้เอาไว้น่ะ เธอทำไม่ลงหรอก

    จะทำยังไงดี....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×