หลอนแล้ว หลอนอีก - หลอนแล้ว หลอนอีก นิยาย หลอนแล้ว หลอนอีก : Dek-D.com - Writer

    หลอนแล้ว หลอนอีก

    เรื่องนี้อยู่ในสมัยหนังกลางแปลงยังได้รับความนิยม เด็กจอมดื้อ ชอบดูหนังกลางแปลงเป็นชีวิตจิตใจ หลังจากไม่ฟังคำทัดทานของแม่ ที่เป็นห่วง เขาจะเจอกับสิ่งใด

    ผู้เข้าชมรวม

    64

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    64

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ม.ค. 60 / 14:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    หลอนแล้วหลอนอีก

    ทักษภณ

     

    เมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว หมู่บ้านติดชายแดน แห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์

     

    วันนี้ผมไปดูหนังกลางแปลงที่วัดนะครับแม่

     

    ลูกชายวัย 13 ปี กล่าวกะมารดาท่ามกลางตะเกียงน้ำมันแสงที่ค่อนข้างริบหรี่ กระพริบตามจังหวะลมที่พัดมา

     

    บางครั้งมันเหมือนจะดับเพราะกระแสลมที่แม้จะพัดมาเบาๆ  ทำให้ขณะกินข้าวต้องเอามือ บังกระแสลมไว้เพื่อไม่ให้ตะเกียงดับ  

     

    เด็กชายกินอาหารค่ำอย่างรีบเร่ง ด้วยจิตใจของเขาในขณะนี้นึกถึงความบันเทิงที่เขาชื่นชอบ อยู่ทุกคำข้าวที่เขาตักเข้าปาก ต่างจากมารดา กินช้าๆ มองลูกชายด้วยสีหน้าใช้ความคิด

     

    อย่าไปเลยลูกวันนี้แม่ก็เหนื่อยมาก หาบขนมขายมาทั้งวัน แม่อยากพักผ่อนลูกก็ควรพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า จะได้มีแรงช่วยกันทำขนมขายพรุ่งนี้ เงินเราก็ไม่ค่อยจะมี ขนมก็ขายไม่ค่อยจะได้ เงินที่มีว่าจะเก็บเงินไว้ซื้อข้าวสาร

     

    ผู้เป็นมารดากล่าวพลาง ยกขันน้ำขึ้นดื่ม พร้อมกับหวนนึกถึงฐานะในปัจจุบันที่ค่อนข้างลำบาก บ้านที่อยู่ก็ค่อนข้างคับแคบ มีสภาพเก่าซอมซ่อ ไม่รู้ว่าจะพังลงมาวันใด

     

    ครอบครัวนี้อยู่กันสองคนแม่ลูก หลังจากที่นางเลิกกับสามีเมื่อลูกชายมีอายุได้ 4 ขวบ

     

    ไม่เป็นไรแม่ ผมไม่ต้องใช้เงินหรอก จะเดินไป ไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้ว ส่วนหนังวันนี้เขาฉาย 2 เรื่องควบ

    เป็นหนังเรื่องที่ผมชอบด้วย จะรอดูตอนเขาฉายจบหนึ่งเรื่องเปิดให้ดูฟรี หรือไม่ก็แอบเนียนเข้าไปกับคนอื่น หรือไม่ก็มุดผ้าล้อมเข้าไปน่ะแม่ นะนะ ให้ไปนะ

     

    ลูกชายกล่าวแสดงความดื้อดึงไม่สนใจคำทักท้วงของมารดร พลางลุกขึ้นเก็บจานไปล้างอย่างรวดเร็วอย่างทำเวลา เพราะจิตใจในขณะนี้จดจ่ออยู่กับหนังกลางแปลงที่วัด อีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่ห่างออกไปไกลพอสมควร

     

    เฮ้อ ไปมุดผ้าล้อมเขา ระวังโดนเขาตีหัวแบะหรอก ไอ้จุ๋ย  

     

    เสียงมารดามองลูกชายแล้วถอนใจกล่าวด้วยความอ่อนใจ ด้วยรู้ว่าถึงห้ามอย่างไรลูกก็คงไม่ฟัง นึกเป็นห่วงที่ลูกชายที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ และหลายครั้งมักจะแอบหนีไปดูหนังที่หมู่บ้านไกล ๆ บ่อยครั้ง

     

    ถ้ารู้ว่ามีหนังกลางแปลงที่ไหน ก็จะไปให้ได้ โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของมารดา บางครั้งนางลงโทษลูกชายไปบางครั้ง ก็ยังไม่สามารถห้ามได้ ด้วยว่าเสียงเบสของตู้ลำโพงหนังกลางแปลงที่ลอยมาตามลม มันช่างเร้าใจเขาเหลือเกิน

     

    ในทางกลางความเงียบสงบของหมู่บ้านในชนบทสมัยนั้น เสียงเบสหนักๆ ตึมๆ  ของตู้ลำโพงหนังกลางแปลงมันช่างเร้าใจ เพราะพริ้ง เหลือเกิน

     

    ลูกจะไปยังไง ไปกับใคร ตอนนี้ก็มืดค่ำดึกดื่นแล้ว คนที่เดินไปดูหนังก็เงียบแล้ว แม่ไม่ไปด้วยนะ รู้สึกเหนื่อย ถนนหนทางตอนกลางคืนก็ค่อนข้างน่ากลัว งูเงอ ตะขบ ตะขาบ ก็เยอะ อย่าไปเลยลูก ตรงโค้งก่อนเข้าบ้านโคกสูง แม่ได้ยินว่ามีผีเผอดุด้วย

     

    ในสมัยนั้นการไปดูหนังกลางแปลงมักเดินกันไปเป็นกลุ่ม ๆ ด้วยว่า เส้นทางที่ไปค่อนข้างมืด และเปลี่ยว แม้ว่าจะเดินทางไปตามเส้นทางที่ใช้สัญจรหลัก ก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัวอยู่ดี

     

    มารดาใช้ความพยายามพูดหว่านล้อมใช้น้ำเสียงให้ดูน่ากลัว ให้ลูกชายเลิกล้มความตั้งใจ เพื่อให้ลูกชายคนเดียวที่นางรักและห่วงที่สุดในชีวิต ให้เกิดความกลัวจะได้ไม่ไป

     

    แม่พูดเหมือนกับว่า เคยพาผมไปดูหนัง จุ๋ยไม่กลัวหรอกแม่ ผีมาสิดีจะได้ขอหวยซะเลย ฮิฮิ แม่อยากได้เลขเด็ดไม่ใช่หรือ ถ้าได้เลขเด็ดมา ทุ่มให้หมดตัวเลย

     

    ลูกชายกล่าวตอบมารดาด้วยความคึกคะนองที่เกิดขึ้นในชั่วขณะ แม้ว่าในใจจะเกิดความกลัวขึ้นมาบ้าง อันที่จริงเด็กชายก็รู้สึกกลัวผี แต่การกลัวไม่ได้ดูหนังมีมากกว่า

     

    ในความเป็นจริงแล้วการซื้อหวยเป็นความฝันอันบ่อยๆ จนเป็นกิจวัตรประจำวันของคนจน จนเห็นการซื้อหวยเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตประจำวันไป ดังที่คำกล่าวเล่นกันเสมอ ๆว่า

    คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น

     

    ให้มันจริงเถอะ กลัวแต่จะวิ่งเป็นหมาหางจุกตูดมากกว่า ไม่ทันได้ขอหวย

     

    ผู้เป็นมารดากล่าวล้อด้วยความหมั่นไส้ในคำพูดของบุตรชาย

     

    โฮ่งๆๆๆ  บรื้อๆ ๆ ๆ ๆ

     

    เสียงหมาหอนเสียงระงมรับกันเป็นทอด ๆ ดังมาจากทิศทางของถนนอันมือมิดเบื้องหน้า คาดว่าเป็นหมาของ บ้านใกล้เคียง  ส่งเสียงเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ

     

    เด็กชายมองไปที่ถนนหน้าบ้าน เหมือนมีเงาคนเดินตะคุม ๆ ผ่าน ถนนหน้าบ้านที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับถนน เงานั้นผ่านไปเร็วมาก

     

     ไม่ต้องกลัวแล้วแม่ นั่น ๆ มีคนเดินที่ถนน น่าจะเป็นคนเดินไปดูหนัง ฮิๆๆ โชคดีของผม ผมต้องรีบตามไปแล้วแม่ เดี๋ยวตามไม่ทัน

     

    ลูกชายกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความดีใจในความโชคดีของตนเอง ว่าวันนี้ต้องได้ดูหนังแน่ ๆ หรือจะโชคร้ายไม่มีใครรู้ได้

     

    ผมไปนะครับ

     

    เด็กชายรีบพูดพร้อมกับวิ่งฝ่าความมืด ไปที่ถนนลูกรังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มารดาห้ามอีกครั้ง หลังจากได้ตั้งใจไว้ว่าหลังกินข้าวเสร็จแล้ว อย่างไรวันนี้ต้องไปดูหนังให้ได้

     

    เออไอ้ลูกคนนี้มันดื้อจริง ๆ อย่าไปนะ เพี้ยงขอให้เจอดีเถอะ จะได้เข็ด หายดื้อบ้าง

     

    ผู้เป็นแม่ร้องตามหลังลูกชายของนางที่วิ่งไปไกลแล้ว

     

    xxxxxxxxx

    วันนี้เป็นคืนเดือนมืด

     

    ในท่ามกลางความมืดสลัวที่พอเห็นทางเดินราง ๆ นั้น ท่ามกลางบรรยากาศข้างทางที่ค่อนข้างเงียบสงัด มีเสียงหรีด ริ่ง เรไร ร้องระงม สลับกันเป็นระยะ มีบางส่วนที่ไปดูหนัง ที่ไม่ได้ไปก็ดับไฟนอนกันแล้ว

     

    ทางที่เดินไปนั้น เป็นทางที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านที่ค่อนข้างห่างกันมาก มีบ้านตั้งอยู่ห่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะตามปกติของหมู่บ้านในชนบท ในสมัยนั้น

     

    ความเจริญทางด้านวัตถุยังไปไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้า ความบันเทิงที่พอหาได้คือหนังกลางแปลงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์

     สภาพถนนสายหลักที่โรยลูกรังที่ไม่ค่อยจะมีลูกรัง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นวิญญาณของลูกรังมากกว่า ซึ่งตอนนี้เป็นฤดูแล้ง จึงมีแต่ดินฝุ่นลูกรัง สลับกับดินทรายละเอียด

     

    เนื่องจากขาดการเหลียวแล จากทางการ หรืองบประมาณไม่พอก็ตาม ทำให้มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อ ความบันเทิงที่พอจะหาได้ง่ายในสมัยนั้นก็คือ หนังกลางแปลงล้อมผ้าที่ฉายตามวัดนั่นเอง ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ

     

    วัดเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ทั้งเป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ และทางกาย ในยามชาวบ้านประสบกับความทุกข์ในด้านต่าง ๆ  และเป็นที่พึ่งทางด้านความบันเทิง

     

    เมื่อยามที่ต้องการแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลินในบางครั้ง วัดก็เป็นที่ตอบสนองได้เช่นเดียวกัน วัดจึงเป็นสถานที่สำหรับแสวงหาที่พึ่งทางใจและกาย  และเป็นสถานที่แสวงหาความบันเทิงของชาวบ้านในขณะเดียวกัน

     

    xxxxxxxxxxx

    ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าเด็กชายนั้น ในความรู้สึกของเด็กชายนั้นดูเหมือนว่า เดินเร็วพอสมควร แต่เงียบกริบ ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศในตอนนี้เงียบสงัด

    ลักษณะการเดินของคนข้างหน้ามองเห็นเป็นเพียงเงาดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ ข้างหน้าเท่านั้น

     

    ในใจของเด็กชาย ในขณะนี้รู้สึกว่าแปลก ๆ อย่างไรชอบกล แต่ก็นึกในใจว่าต้องรีบตามไปให้ทันคนข้างหน้าให้ได้ จะได้มีเพื่อนร่วมเดินทาง เพื่อลดบรรยากาศที่น่ากลัวในขณะนี้

     

    เนื่องจากว่า ตอนที่เขาวิ่งออกมาจากบ้านนั้นรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้มารดาห้ามทัน จึงไม่ได้หยิบไฟฉายติดตัวมาด้วย การมาครั้งนี้มีเพียงเสื้อ กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะเก่า ๆ คู่หนึ่งเท่านั้น ที่ติดตัวมา

     

    ในขณะนี้สายตาของเขาจับจ้องเพียงเงาดำมืดเบื้องหน้าเท่านั้น

     

    โอ้ย

     

    เสียงเด็กชายร้องตกใจเสียงหลง เนื่องจากรู้สึกว่าเท้าหล่นวูปลงไป ความรู้สึกเหมือนกับว่าตกวูปลงไปในที่นรกขุมไหนสักแห่ง

    อีกทั้งรู้สึกคล้ายๆ เหมือนว่ามีใครฉุดดึง ความรู้สึกในขณะนี้ อยู่ในอาการ หลอน ใจเต้นแรง ขนแขน และขนทั้งตัว พร้อมใจกันลุกชูชันโดยมิได้นัดหมาย

     

    จึงเหลือบมองตั้งสติ ฝ่าความมืดไปที่เท้า ก็พอจะเดาได้ราง ๆ

    ในใจคิดปลอบใจตัวเอง สร้างกำลังใจ ขจัดความหวาดกลัว กลบเกลื่อนไปว่า

     

    ถนนมันสูง ๆ ต่ำ ๆ ไฟฉายก็ไม่มี เลยเดินไปในบริเวณที่เป็นหลุม ดีที่เป็นหน้าแล้งไม่มีน้ำ ถ้ามีน้ำไม่อยากจะคิด

     

    เด็กชายนึกในใจ หลังจากได้ก้มมองดูที่ทางในแสงมืดสลัว ได้พบว่าตนเองตกลงไปในบริเวณที่เป็นพื้นที่หลุมบ่อบางจุดของถนน จึงรู้สึกเบาใจ ขนบนกายในขณะนี้ก็นิ่งสงบ ไม่ลุกชูชัน

     

    เฮ้ย

     

    เสียงร้องตกใจสุดขีดดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากเงยหน้าขึ้นจ้องมองฝ่าความมืด พบว่าผู้ที่ตนกำลังพยายามตามให้ทันนั้นหายไปเสียแล้ว

    จึงพยายามตั้งใจมองเพ่งฝ่าความมืด เพื่อหาเงาเคลื่อนไหวไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ

     

    หายไปไหนแล้ว กูแค่ตกหลุมนิดเดียวหายเลย ตายแน่ ไอ้จุ๋ย ตายแน่

     

    เด็กชายรำพึงด้วยความแปลกใจ ใจหนึ่งคิดจะเรียกให้ผู้ที่อยู่ในความมืดเบื้องหน้า แต่อีกใจหนึ่งเกิดความไม่แน่ใจบางอย่าง

     

    “ผีหรือเปล่าวะ”

     

    เขาคิดแค่นี้ขนทั้งกายก็พร้อมใจกันลุกขึ้นพรึบพรับ

    พร้อมกับเดินตามไปอย่างเร่งรีบ สุดท้ายก็วิ่ง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ ซึ่งมีแต่ความมืด พร้อมกับนึกในใจว่า

     

    หวังว่าจะไม่มีอะไรโผล่มาตอนนี้นะ ไม่น่าดื้อรั้นไม่ฟังแม่เล้ย จะกลับบ้านไม่ได้แล้ว นี่ก็เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว

     

    เด็กชายนึกในใจ หลังจากพบว่าการที่ตนดื้อ ไม่ฟังคำห้ามปรามของมารดาในวันนี้ เป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงจนแทบจะไม่ให้อภัยในความผิดของตนเอง

     

    ในขณะที่ลังเลในใจอยู่ชั่วขณะที่กำลังเดินนั้น เมื่อพ้นทางโค้ง ซึ่งโค้งไปมาตามปกติ ของหมู่บ้านในชนบท รู้สึกว่าเหมือนเห็นคนเดินลิบ ๆ ข้างหน้าไม่ห่างนัก ด้วยความกลัวว่าจะเดินตามไม่ทัน จึงตัดสินใจร้องตะโกนไป

     

    พี่....รอด้วย

     

    เงียบไม่มีเสียงตอบจากผู้ที่เดินข้างหน้า และสังเกตดูความเร็วในการเดินยังสม่ำเสมอ ซ้ำยังทิ้งระยะห่างเหมือนจะมากกว่าในทีแรก จึงพยายามวิ่งตามอย่างรวดเร็ว แต่ให้ตายเถอะ แม้จะพยายามวิ่งตามด้วยความเร็วเท่าไร

    เหมือนว่าคนข้างหน้าจะยังคงรักษาระยะความห่างเท่าเดิม ด้วยระยะที่ไม่ห่างมากนัก ดูไม่ออกว่าคนข้างหน้าเดินหรือวิ่งกันแน่ ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่เสียงตอบรับ

     แต่มีความเร็วของการเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอของเงาดำเบื้องหน้าเท่านั้น ด้วยความมืดในขณะนี้ทำให้ขนทั้งตัวเขาลุกขึ้นชูชันอีกครั้ง

     

    ทำไมถึงไม่รอนะ รอหน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งเดินไม่ทันอยู่ด้วย ไม่มีน้ำใจเลย

     

    เด็กชายนึกบ่นในใจ และพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก แต่ดูเหมือนความเร็วในการเดินนั้นเหมือนจะไร้ความหมาย จึงผ่อนฝีเท้าลง ทันใดนั้นก็พบว่าคนข้างหน้าก็รักษาระยะความห่างไว้เท่าเดิม

     

     “น่าจะมีอะไรผิดปกติ

     

    เด็กชายนึกอยู่ในใจ

     

     คนข้างหน้าเป็นใคร ทำไม? ทำไม? ถึงมาเดินนำหน้าอยู่ในขณะนี้ ทั้งยังไม่ยอมรอ ไม่ยอมให้เดินตามทัน

    อดนึกถึงสิ่งลึกลับบางอย่างไม่ได้

     

    โอ....ไม่ ไม่ขอหวยแล้ว บรื้อ น่ากลัวจริง ๆ

     

    ตอนหลังเด็กชายถึงกับหลับยกมือขึ้นท่วมหัวระลึกถึงพระคุณแม่ คุณพระรัตนตรัย หลวงปู่ หลวงพ่อ เจ้าป่า เจ้าเขา ฯลฯ ขอความคุ้มครอง

     

    ฮ้า

     

    เด็กชายร้องเสียงหลงเบา ๆ หลังจากเอามือลง พบว่าคนที่เดินข้างหน้า ตอนนี้ได้หายไปแล้ว

     

    โอ้ยตายแน่

     

    เด็กชายร้องในใจ แต่ก็ยังคงเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ด้วยในใจขณะนี้คิดต้องการให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้

     

    ฉับพลันปรากฏสิ่งหนึ่งโผล่พรวดมาที่ด้านหน้าเด็กชายอย่างรวดเร็ว

     

    เฮอะ

     

    เป็นเสียงหนึ่งพร้อมกับเงาดำมือหนึ่งพุ่งมาทางเด็กชายอย่างรวดเร็ว

     

    เฮ้ย

     

    เกิดเสียงร้องแทบจะพร้อมกันสองเสียง เสียงแรกเป็นเสียงที่พุ่งเข้ามา เสียงที่สองเป็นเสียงร้องอย่างสุดเสียงด้วยความตกใจของเด็กชาย และเป็นการร้องตะโกนเสียงหลงตกใจแทบสิ้นสติ ที่แทบจะดังที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว

     

     “อ้าวพี่แดงนี่ แกล้งผมตกใจแทบตาย

     

    เด็กชายร้องออกไปหลังจากเห็นสิ่งที่โผล่มาจากหลังต้นไม้ขนาดใหญ่ข้างทาง ปรากฏแก่สายตาภาพที่คุ้นตาก็เริ่มปรากฎ

     

    ฉานม่ายช่ายพี่แดงของ...แก

     

    เสียงที่ตอบมาพยายามให้เสียงเป็นเสียงทุ้มลากยาว ด้วยมุ่งหมายให้เด็กชายกลัวมากกว่าเดิม ออกอาการล้อเลียนแกล้งไม่เลิก

     

    พี่แดงอย่าล้อเล่นน่าผมจำพี่ได้ ไม่ต้องแกล้งผมแล้ว ไม่กลัวแล้ว

     

    อ้อเรอะ เมื่อตะกี้กลัวมากสิท่า

     

    ชายหนุ่มวัยคะนองอายุมากกว่า ลูกของตาเที่ยงคนในหมู่บ้านเดียวกับตอบ

     

    แทบตายเลยพี่ โธ่ ไม่น่าทำกันเลย

     

    เด็กชายคร่ำครวญเสียงอ่อย ๆ

     

    ถ้าอย่างนั้นไปดูหนังกันเถอะคงฉายไปเยอะแล้ว

     

    หนุ่มคะนองผู้สูงวัยกว่าผู้อยู่บ้านเดียวกันกล่าวเร่ง

     

                xxxxxxx

                หลังจากหนังจบเดินกลับมาพร้อมกับกลุ่มคนดูหนัง ถึงบ้านประมาณ ตี 2 เด็กชายเคาะประตูบ้านที่ค่อนข้างมืดเรียกแม่

     

                ก็อกๆๆๆๆ

     

                เด็กชายยืนรอด้วยความรู้สึกง่วงนอน การยืนนิ่งๆ รอ ให้เริ่มจะเกิดอาการเหมือนจะหลับ เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียง พร้อมกับลุ้นให้แม่รีบลุกขึ้นมาเปิดประตู แต่สิ่งที่ได้รับคือความเงียบไม่ปรากฎเสียงใด ๆ ตอบรับ

     

    ก็อกๆๆๆๆๆๆ

     

    เสียงเคาะอีกชุดรัวหนักกว่าเดิม

     

    ทำไมเคาะตั้งนานแล้วแม่ไม่ยอมเปิดนะ

     

    เด็กชายนึกในใจ พร้อมกับรู้สึกง่วงนอนเต็มที และนึกต่อไปอีกว่า

     

     ในระหว่างไปดูหนังเกิดอะไรขึ้นกับแม่หรือเปล่า บ้านเราก็เปลี่ยวด้วย อาจมีใครมาทำร้ายแม่หรือแม่ไม่สบาย เพี้ยงขออย่าให้แม่เป็นอะไรขึ้นเลย

     

    ด้วยความผูกพันกันสองแม่ลูก ทำให้เด็กชายมีความรู้สึกสำนึกผิด เป็นห่วงผู้เป็นมารดาขึ้นบ้าง

    พร้อมกับในใจในขณะนี้รู้สึกเหมือนกันว่า การไปดูหนังครั้งนี้เป็นเหมือนกับเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม่เป็นห่วง เป็นใยแทนที่จะรับฟังกลับดื้อฯลฯ

     

    ในความรู้สึกของเด็กชาย การรอคอย ช่างนานแสนนาน ทำในขณะนี้เขารู้สึกคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นาๆ ทั้งความรู้สึกผิด ทั้งความรู้ห่วงมารดาเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

     

    ทันใดนั้นมีเสียงบางอย่างดังแว่วๆ ขึ้นมาในโสตประสาท เขาอยู่ในอาการง่วงนอนเต็มที เสียงที่ดัง ไม่สามารถกำหนดได้ว่าดังมาจากทิศทางใด

    เด็กชายรู้สึกขนตามตัวลุกชัน จึงหันมองไปรอบ ๆ ตัวในความมืด ด้วยความหวาดระแวง พร้อมกับนึกในใจ

     

    เสียงอะไร เอาอีกแล้ววันนี้เป็นวันอะไรนะ สงสัยจะซวยซ้ำซ้อน หลอนซ้ำ หลอนซ้อนจริง ๆ

     

    เขารู้ว่าขณะนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

     

    พรึบ โอ้ย

    เป็นเสียงเด็กชายร้องอย่างตกใจเนื่องจากจู่ ๆ ประตูเปิดอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็เบาใจเมื่อพบว่าผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นแม่ ผู้มีพระคุณไม่เป็นไรยังปลอดภัยดี

     

    ขอบคุณ คุณพระ คุณเจ้า ที่คุ้มครองแม่

    เด็กชายรำพึงในใจ พร้อมกับถอนหายใอ โล่งอกแต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง ตกใจอีกครั้ง

     

    เมื่อมองเห็นแม่ยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับไม้เรียวในมือ แม้จะอยู่ในความมืดสลัว เขาก็พอมองเห็นว่ามันเป็นไม้เรียวยาว ขนาดนิ้วก้อยของเขา ยาวประมาณวา

     

    มา มา ให้ตีซะดีๆ ไอ้ลูกคนนี้มันดื้อจริง ๆ ไม่รู้ว่าแม่ห่วงขนาดไหนรึ นอนไม่หลับเลย

     

                ผู้เป็นแม่กล่าวด้วยท่าทางอิดโรย เนื่องจากว่าต้องหาบของขายมาทั้งวันแล้ว ยังต้องมาห่วงลูกชายที่จนนอนไม่หลับอีก

     

                ผู้เป็นลูกชายมองเห็นแม่คราวแรกรู้สึก ตกใจกลัวไม้เรียวในมือแม่ แต่แล้วเมื่อนึกอีกทีก็ดีใจ และเสียใจในเวลาเดียวกัน พร้อมกับรู้สึกสำนึกผิด

     

                แม่ครับผมเข็ดแล้วครับอย่าตีเลย ผมจะไม่หลบ ไม่หนี ไปดูหนังอีกแล้ว

     

                ลูกชายจอมดื้อกล่าวอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

     

                จริงนะ ขอให้มันจริงสักครั้งเถอะ

     

    เสียงผู้เป็นแม่กล่าวเสียงเข้มขาดคั้น

     

                “จริงครับแม่

     

    ผู้เป็นลูกชายตอบเสียงหนักแน่น

     

                เออจะลองเชื่ออีกสักครั้ง

     

    ผู้เป็นแม่กล่าวเสียงอ่อนลง ถ้าให้เดา ผู้เป็นมารดา คงใจอ่อนอีกตามเคย พร้อมกับเดินหันกลับไปวางไม้ลงแล้วก็ล้มตัวลงนอน

     

                เฮ้อ...รอดตัวไป

    เสียงเด็กชายกล่าวเบาๆ กับตัวเอง พร้อมกับค่อยๆ ย่องไปเข้านอน เอาผ้าขาวม้า มาคลุมตัวค่อยๆ เอนตัวลงนอน

     

    ในใจก็รำพึงกับตัวเองว่าถ้ามีหนังอีกครั้งจะไปดูอีกไหมหนอ วิญญาณเด็กดื้อจะเข้าสิงจุ๋ยอีกหรือเปล่า?

    นอนดีกว่า....

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×