"ไป๋หรูอี้" บุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่ไป๋ชิงหลงแห่งแคว้นอี้เหวิน เมื่ออายุได้สิบสี่ปี นางได้รับพระราชทานราชโองการจากฮ่องเต้อี้เหวินเทียนตี้ ให้เข้าพิธีราชสมรสกับอ๋องเก้าอี้เหวินเทียนสิง และถูกแต่งตั้งให้เป็นหวังเฟย
ในเวลาต่อมา อ๋องเก้าอี้เหวินเทียนสิงมีเหตุขัดแย้งกับรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลบางประการจึงจำใจต้องฆ่าสังหารพี่น้องของตนทิ้งเสียเพื่อกรุยทางไปให้ถึงซึ่งอำนาจที่ตนต้องการ จึงทำการก่อกบฏร่วมกับแม่ทัพใหญ่ไป๋ชิงหลงผู้เป็นพ่อตา ใช้เวลาเพียงครึ่งปียึดอำนาจทั้งหมดและพลิกฟื้นแผ่นดินใหม่ ตั้งตนเป็นฮ่องเต้อี้เหวินเทียนสิงนับแต่บัดนั้น
ในวันที่แปด เดือนแปด ปีศักราชอี้เหวินเทียนสิงที่หนึ่ง ได้พระราชทานแต่งตั้งไป๋หรูอี้ขึ้นเป็นฮองเฮา รวมถึงได้แต่งตั้งลูกฝาแฝดชายหญิงวัยสี่ขวบของตนขึ้นเป็นไท่จื่อและกงจู่ ในยามนั้นไป๋หรูอี้มีอายุล่วงเข้าปีที่สิบเก้า
หลังจากฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ วังหลังก็มีการคัดเลือกสตรีมากมายกว่าสามพันคนจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อคานอำนาจของกลุ่มต่างๆและอำนาจของผู้เป็นขุนนาง ในบรรดาผู้เข้าคัดเลือกมีตั้งแต่ลูกของเสนาบดีกรมวัง จนถึงลูกพ่อค้าร้านตลาด ในเวลาไม่นานพื้นที่ว่างเปล่าในวังหลัง กลับถูกเติมเต็มไปด้วยสนมนางในมากมาย ตั้งแต่สนามระดับไฉหนวี่จนถึงระดับเฟยทั้งสี่
แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุดสำหรับไป๋หรูอี้แล้ว คงเป็นหลินซูเหมยซึ่งมีตำแหน่งเพียงแค่กั๋วฟูเหริน แต่ฮ่องเต้กลับโปรดปรานนางมากกว่าใคร ถึงตำแหน่งนางจะสูงกว่าเจี๋ยยวี๋ แต่ก็ยังต่ำกว่าจิ่วผินทั้งเก้าลำดับ แต่หลินซูเหมยกลับทำให้จิ่วผินทั้งเก้าลำดับต่างเกรงอกเกรงใจนางได้อย่างง่ายดาย จนบางครั้งก็แทบจะมองไม่เห็นฮองเฮาอย่างไป๋หรูอี้อยู่ในสายตา
เวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ทว่าเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆแม่ทัพใหญ่ไป๋ชิงหลงก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ไป๋ผิงถิงน้องชายของไป๋หรูอี้เองก็นำพากองทัพทหารม้าก่อการจราจลถึงหน้าเขตพระราชฐานชั้นนอก ทำให้เกิดเป็นเสียงลือกันทั่วว่ากองทัพตระกูลไป๋ตั้งใจจะก่อกบฏ
นับเวลาแล้วเพียงแค่สองปีที่ดำรงตำแหน่งฮองเฮา ไป๋หรูอี้คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่นางจะต้องก้าวถึงจุดต่ำสุดของชีวิต ในเช้าวันใหม่ของเหมันตฤดูที่เหน็บหนาวนางถูกสั่งปลดจากตำแหน่งฮองเฮาและถูกคุมขังในตำหนักเย็น ภายในวันเดียวกันคนในตระกูลไป๋ทั้งหมดต่างต้องโทษกบฏโดนสั่งประหารจนสิ้นชื่อ ในยามสายของวันเดียวกันก็มีนางกำนัลไปพบร่างไท่จื่อและกงจู่ที่ไร้ลมหายในอุทยานหลวง แม้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูก็ยังไม่ทราบสาเหตุการตายที่ชัดเจน ถึงกระนั้นฮ่องเต้ก็ปล่อยให้เรื่องราวผ่านไปโดยไม่คิดจะสืบเรื่องราวต่อไปอีก
ในค่ำคืนที่แสนเดียวดาย ไป๋หรูอี๋นั่งมองป้านชาสีมรกตเบื้องหน้าด้วยสายตาไม่เข้าใจ ภายในตำหนักเย็นที่ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าใดๆ กลับมีป้านชามรกตที่ไม่เข้าพวก ไม่ต้องคิดให้มากความ นางก็ได้เข้าใจเรื่องต่างๆได้อย่างถ่องแท้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุ แต่นางไม่อาจย้อนเวลากลับไปเพื่อสืบหาเรื่องราวต่างๆได้อีกแล้ว น้ำตาที่ไหลเอ้อออกมาจากดวงตาคู่สวย ค่อยๆหยดลงบนพื้นที่เย็นเยียบ อากาศแม้จะเหน็บหนาวมากเพียงใด แต่หัวใจของนางกลับเหน็บหนาวยิ่งกว่าเป็นเท่าทวีคูณ
ถ้วยชาในมือสั่นเล็กน้อย แต่ทว่าไป๋หรูอี้กลับยินยอมที่จะดื่มชาตรงหน้าด้วยความเต็มใจ รสของชาทั้งขมและเฝื่อนในเวลาเดียวกัน ชาที่ค่อยๆเย็นชืดถูกรินใส่ถ้วยแล้วถ้วยเล่า จนกระทั่งถ้วยสุดท้ายที่ไป๋หรูอี้เริ่มมีอาการเจ็บหน่วงๆที่ท้องน้อยราวกับมีเข็มพันเล่มหมื่นเล่มคอยทิ่มแทงและปวดแสบปวดร้อนไปทั่วตัวดั่งโดนไฟแผดเผา
ก่อนที่สติสุดท้ายจะขาดช่วง นางคิดไปถึงวันหนึ่งในยามที่นางเป็นเพียงหวังเฟย เทียนสิงสวามีของนางกำลังชั่งตวงสมุนไพรหลายชนิดตรงหน้าด้วยความตั้งใจ นางวางป้านชาร้อนไว้ที่โต๊ะกลางห้อง ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยเสียงอ่อนหวานอย่างเคย
"ท่านพี่เพคะ พักดื่มชาเสียหน่อยดีไหมเพคะ" นางยกกาชาขึ้นรินด้วยท่าทางอ่อนช้อย
"อี้เอ๋อร์เจ้าควรอยู่ห่างหน่อยดีกว่า เปิ่นหวางกำลังผสมยาพิษ หากเจ้าโดนเข้า เปิ่นหวางคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นแน่" อี้เหวินเทียนสิงคลี่ยิ้ม ก่อนจะเช็ดมือและลุกขึ้นเดินมาหาหญิงสาว
"ท่านพี่ผสมยาพิษเพื่อการใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นเข้าใจเลย" ไป๋หรูอี้ในวัยสิบสี่ปีถามชายตรงหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้
"ยาพิษนี้มีชื่อว่าเจ็ดชั่วยาม พี่เอาไว้ป้องกันตัว และอาจจำเป็นต้องใช้กำจัดศัตรูในภายภาคหน้าด้วย"อี้เหวินเทียนสิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น แต่ยังคงความอ่อนโยนไว้ในทุกคำพูดเสมอ
"แล้วยาพิษนี้จะออกฤทธิ์เช่นไรเพคะ แล้วทำไมต้องเจ็ดชั่วยามล่ะเพคะ"
"อืม...ยานี้จะออกฤทธิ์ราวกับมีเข็มพันเล่มในร่างกาย ส่วนภายนอกก็จะร้อนดั่งโดนเผาทั้งเป็น ชีพจรสับสน ลมหายใจติดขัด หากผู้มีวรยุทธกินเข้าไปก็จะถูกธาตุไฟเข้าแทรกและจะสูญสิ้นวรยุทธ แต่ทว่าหากไม่มีวรยุทธก็จะทรมานไปอีกเจ็ดชั่วยาม หากไม่ได้รับยาถอนพิษ ร่างกายก็จะสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นธุลี เจ้าว่าน่ากลัวหรือไม่อี้เอ๋อร์" อี้เหวินเทียนสิงอธิบายเสียยาวยืดก่อนจะหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ไป๋หรูอี้ ราวกับเรื่องที่พูดออกมาแค่เพียงแกล้งนางเล่นเท่านั้น
ก่อนจะพูดต่อด้วยท่าทางขำขันเมื่อหญิงสาวตรงหน้ามีท่าทางหวาดกลัวเสียแล้ว "เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกอี้เอ๋อร์ ยานี้เปิ่นหวางจะใช้กับคนที่เปิ่นหวางเกลียดและไม่ต้องการที่จะเห็นหน้ามันอีกต่อไปเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกังวลให้มากไปหรอกนะ" หลังจากพูดจบอี้เเหวินเทียนสิงก็ลูบหัวไป๋หรูอี้ด้วยความเอ็นดู
ภาพแห่งความทรงจำเลือนหายไป พร้อมกับน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งริน ไป๋หรูอี้พึ่งได้เข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าสุดท้ายอี้เหวินเทียนสิงเกลียดนางมากเพียงใด และคงไม่ต้องการที่จะเห็นหน้านางอีกต่อไป นางได้แต่เสียใจว่าเหตุใดทั้งๆที่นางและเขาต่างผ่านหนาวผ่านร้อน ผ่านทุกข์ผ่านสุขมาด้วยกัน เหตุใดเขาถึงใจร้ายกับนางนัก หากนางมีโอกาสอีกครั้ง นางจะทำให้เขาเจ็บและทรมานกว่านางให้จงได้
เมื่อเวลาแห่งความทรมานทั้งเจ็ดชั่วยามได้สิ้นสุดลง ลมหายใจของนางก็แผ่วเบาลงเช่นกัน ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือมือของตนกำลังค่อยๆสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นละออง และภาพทั้งหมดก็ดับวูบลง
'เหมันตฤดูเพิ่งเริ่มตน แต่แสงเทียนแห่งชีวิตของตนกลับดับสิ้นลงเสียแล้ว ช่างน่าคับแค้นใจยิ่งนัก'
ความคิดเห็น