คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เทวดาปลายศตวรรษ changsoo ตอนที่2 (100%)
“ทำไมต้องทำท่าหนักใจขนาดนั้นน ซูยอง” ชางมินถามซูยองที่ถอนหายใจดังเฮือกอยู่ในรถ แล้วไม่ยอมลงจากรถซักทีทั้งจอดรถเสร็จตั้งนานแล้ว
“เป็นวันแรกนะคะเนี่ย ที่ชั้นไม่อยากทำงาน” ซูยองหันไปตอบชางมินอย่าตามตรง “ชั้นไม่รู้จะบอกกับพี่ๆ ในส่วนยังไงค่ะ ว่าอยู่ๆ ก็ไปนั่งที่ผู้บริหาร แล้วถ้าคุณชางมินกลับมาทำงาน เวลาชั้นกลับไปนั่งทำงานที่เดิม พี่ๆ เค้าจะปฏิบัติกับชั้นเหมือนเดิมไหม”
“ถ้าผมกลับมา คุณก็ไม่ต้องกลับไปทำที่ส่วนเดิมแล้ว เพราะตั้งแต่นี้ต่อไปคุณคือผู้บริหารคนหนึ่ง แต่ผมจะได้กลับมาหรือป่าวนี่สิ ดังนั้นตอนนี้คุณต้องเรียกรู้การบริหารงาน เพื่อขึ้นมาแทนผม หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ชางมินตอบซูยองตามตรงเพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ซูยองก็ต้องขึ้นมาเป็นผู้บริหารคนหนึ่งอยู่ ส่วนตัวเขานะสิ จะเป็นหรือจะตายยังไม่รู้เลย
“ชั้นเชื่อค่ะ ว่าคุณต้องได้กลับมา” ซูยองหันไปบอกชางมินด้วยแววตาที่จริงใจและเชื่อมั่น
“ขอบใจนะ แต่ตอนนี้ผมว่าคุณเชื่อมั่นใจตัวคุณเองก่อนดีกว่า” ชางมินเอ่ยแซวซูยอง ที่ควรห่วงเรื่องของตัวเองก่อนที่จะห่วงเรื่องของคนอื่น ทำให้ซูยองได้แต่ค้อนชางมินแล้วเดินลงจากรถไปเท่านั้น
พอเดินเข้ามาในอาคารซูยองก็ได้ยินเสียงคุยกันเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุของชางมินและผู้บริหารคนใหม่ตลอดเวลา และเป็นครั้งแรกที่ซูยองขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่ตัวเองทำงาน แต่เดินไปทางฝั่งบริหารก่อนเนื่องจากเธอต้องไปสวัสดีคุณพ่อของชางมิน ทำให้เพื่อนร่วมชั้นทำงานของเธอได้แต่สงสัยว่าเธอเดินเข้าไปฝั่งผู้บริหารทำไม
“สวัสดีค่ะ คุณลุง” ซูยองโค้งศีรษะคำนับแก่พ่อของชางมินที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานชางมิน ซึ่งกำลังดูเอกสารต่างๆ ที่ประชุมวันนี้
“มาแล้วหรอ หนูซูยอง” พ่อชางมินเงยหน้าขึ้นจากกองเองสารต่างๆ “ลุงกำลังหาเอกสารการประชุมที่จะเริ่มประชุมตอนเช้าอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าชางมินเก็บไว้ที่ไหนด้วยสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชางมินจึงบอกที่เก็บเอกสารแก่ซูยอง ทำให้พ่อชางมินสงสัยว่าซูยองรู้ได้ยังไง เพราะชางมินแทบจะไม่คุยกับซูยองเลย เมื่อทราบว่าแม่ของเขาต้องการซูยองมาเป็นลูกสะไภ้ แต่ก็สลัดความสงสัยทิ้งไป และแล้วความสงสัยนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในตอนที่ซูยองเข้าร่วมประชุม ซูยองเสนอความคิดต่อยอดต่างๆ ที่ชางมินเคยเสนอไว้แล้ว ได้ดีจนเหมือนกับชางมินเป็นผู้ตอบเอง
“ลุงไม่รู้มาก่อนเลยนะ ว่าหนูซูยองรู้แผนงานใหม่นี้ด้วย” พ่อชางมินคุยกับซูยองระหว่างเดินกลับไปที่ห้องทำงาน
“เออ
คือก็คุณชางมินเคยเล่าให้ฟังนะค่ะ เลยรู้ งั้นหนูขอตัวไปทำงานที่ค้างไว้ก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้ถึงจะเริ่มช่วยคุณลุงทำงานในส่วนของคุณชางมิน” ซูยองรีบเอ่ยขอตัวลา เนื่องจากเธอไม่อยากโกหกผู้ใหญ่เท่าไหร่
“ไปเถอะ เห็นอย่างนี้ลุงก็สบายใจ หนูซูยองเก่งมากนะ” พ่อชางมินเอ่ยชมซูยองอย่างใจจริง แต่ซูยองกลับรู้สึกกระอักกระอวนใจอยู่ไม่น้อย เพราะเธอยังงงๆ กับเรื่องที่ประชุมอยู่เลย ชางมินตะหากที่คอยบอกเธอตลอดเวลา แบบนี้ต้องทำศึกษางานอย่างจริงจังซะแล้ว
เมื่อซูยองกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เพื่อนๆ จึงเข้ามาถามไถ่เนื่องจากไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าซูยองเป็นถึงลูกผู้บริหารคนหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าซูยองขยัน ทำงานเก่ง สิ่งที่รู้เพิ่มเติมคือซูยองไม่เคยวางมาดและไม่เคยถือตัวเลยว่าเป็นถึงลูกผู้บริหาร ถ้าชางมินไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงยังไม่มีใครรู้ ดังนั้นความเอ็นดูซูยองของพี่ๆ ในส่วนจึงเพิ่มขึ้น และได้ให้กำลังใจเธอในการทำงานใหม่ ซูยองจึงรีบเครียงานเดิม ส่วนชางมินเมื่อเห็นซูยองยุ่งกับการทำงานจึงได้เดินวนไปเวียนมาดูการทำงานของพนักงานในบริษัท ซึ่งดูจากท่าทางแล้ว น่าจะชอบซะด้วยซ้ำที่ไม่มีใครเห็นเขา เพราะนั่นก็หมายความว่าเค้าเห็นได้การทำงานของพนักงานจริงๆ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเลิกงานชางมินถึงกลับมาหาเธอ นั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าชางมินแอบดูการทำงานของพนักงานทุกชั้นทุกส่วน ดังนั้นวันนี้ใครอู้งานนี่ซวยของแท้
“คุณหอบเอกสารอะไรกลับไปเยอะแยะ” ชางมินถามซูยองเมื่อเห็นซูยองอุ้มแฟ้มอย่างพะรุงพะรังในขณะเดินกลับไปที่รถ จะเข้าไปช่วยก็ช่วยไม่ได้
“ก็งานของคุณไงคะ จากการประชุมวันนี้แล้วชั้นต้องศึกษาอย่างหนักเลย คืนนี้คุณสอนงานชั้นได้ไหมคะ” เมื่อซูยองมองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบว่ามีใครอยู่แถวนี้ ดังนั้นซูยองจึงเริ่มต้นที่จะคุยกับชางมิน
“ได้สิ คุณนี่ขยันจังนะ ขยันกว่าที่ผมคิดไว้อีก” จากคำตอบของชางมิน ทำให้ซูยองได้แต่หัวเราะ
“แบบนี้คุณต้องคิดว่าชั้นขี้เกียจแน่เลย ขอถามตามตรงนะคะ ตอนแรกคุณคิดว่าชั้นเป็นยังไงหรอ” ซูยองรู้ว่าชางมินต้องมองเธอในแง่ร้ายแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าร้ายขนาดไหนเท่านั้นเอง
ชางมินคิดนิดหนึ่ง ก่อนที่จะตอบตามตรงว่า “เห็นแว๊บแรกเลยคือ ลูกคุณหนู มั่นใจในตัวเองสูง หัวรั้น ไม่ฟังใคร แต่พอคุยกับคุณตอนห้องอาหารแล้วที่คุณเอาแต่ตอบว่า ค่ะ ก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นคนว่าคนอยู่ในกรอบเกินไป ดังนั้นผมจึงพยายามเลี่ยงคุณ เพราะถ้าพ่อแม่ของคุณกับผมจับคู่เราสองคน คุณยอมง่ายๆ แน่เลย”
“นั่นเพราะชั้นกลัวคุณตะหาก ตอนนั้นคุณดูน่ากลัวจะตาย”
“แล้วตอนนี้คุณยังกลัวผมอยู่ไหม”
“ไม่กลัวแล้วค่ะ ดูคุณใจดีกว่าตอนนั้นเยอะเลย เพราะคุณยอมที่จะสอนงานชั้น”
“นั่นมันก็เป็นงานผมเหมือนกัน”
ในคืนนั้น ชางมินจึงเริ่มอธิบายงานทั้งหมดที่ซูยองจะต้องทำในวันรุ่งขึ้น ซึ่งซูยองก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ซูยองเรียนรู้งานได้ไวมาก กล้าที่จะถาม ไม่อายที่จะบอกว่าไม่เข้าใจ แถมยังเสนอแนะได้อย่างฉลาด
“ผมว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณจะไม่ไหวตื่นป่าวๆ” ชางมินบอกให้ซูยองไปนอน เมื่อเห็นว่านี่ก็ดึกมากแล้ว
“อืม
ค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณชางมิน”
“พี่ชางมิน” ชางมินพูดขึ้นมาหลังจากที่ซูยองเอ่ยคำว่า ขอบคุณ
“คะ ตะกี้คุณชางมินว่าอะไรนะคะ” ซูยองสงสัยว่าหูตัวเองเพี้ยนหรือป่าว ที่ได้ยินชางมินพูดคำว่า พี่ชางมิน
“เรียกผมว่าพี่ชางมิน คุณชางมินนี่มันดูห่างเหินไปหน่อย ว่าไหม ซูยอง” ชางมินเริ่มพูดจาเป็นกันเองกับซูยอง ทำให้ซูยองเริ่มรู้สึกเขินๆ ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน
“ค่ะ พี่ชางมิน งั้นคืนนี้ฝันดีนะคะ”
เมื่อยูริกลับมาจากต่างประเทศจึงรีบเดินไปหาซูยองและชางมิน แล้วได้สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้งคู่ เพราะดูเหมือนจะสนิทกันมากขึ้น โดยเฉพาะซูยองที่เริ่มกลายเป็นลิงหน่อยๆ เมื่ออยู่กับคนสนิท ส่วนชางมินก็ดูไม่ถือตัวต่อหน้าซูยองเหมือนก่อน แล้วก็คำพูดของทั้งสองคนที่เปลี่ยนไปอีก เล่นเอาเธอตามไม่ทันเลย ว่าจะเรียกคุณชางมินเหมือนเดิม หรือเรียกพี่ชางมินแบบซูยองดี
“แบบนี้ถ้าพี่ชางมินกลับเข้าร่างได้แล้ว ก็แอบดูพนักงานตามชั้นต่างๆ ไม่ได้แล้วสิคะ” ซูยองแซวชางมิน เพราะดูเหมือนชางมินจะชอบมากเหลือเกิน ที่แอบดูพนักงานทำงานเนี่ย
“พูดแบบนี้ กำลังว่าพี่ ว่าพี่สอดรู้สอดเห็นใช่ไหม ซูยอง” ชางมินที่รู้จักซูยองมากขึ้น เริ่มรู้แล้วว่าซูยองเกริ่นเพื่อที่เริ่มหลอกด่าเขาแน่นอน
“อะไรคะ ชั้นยังไม่ได้ว่าอะไรเลย พี่ชางมินร้อนตัวคิดไปเองตะหาก”
“คุณชางมินนี่เก่งแฮะ แค่อยู่กับซูยองไม่กี่วันเอง เริ่มตามซูยองทันละ ยัยนี่นะ ปากจัดจะตาย ชอบจิกกันเพื่อนเป็นที่หนึ่ง”
“ยูริ ถ้าเธอไม่พูดก็ไม่มีใครว่าจะ ตั้งใจขับรถไปเถอะ แล้วนี่จะถึงยังเนี่ย” ซูยองว่ายูริกลับ เพราะยูริพาเธอมาหาอาจารย์ที่เธอนับถือ เพราะเนื่องจากแต่ก่อนยูริจะได้ยินเสียงประหลาดบ่อยมาก จนทำให้พ่อและแม่ของยูริเป็นห่วงจึงได้พาไปหาหมอต่างๆ และได้เจออาจารย์คนนี้เข้า ซึ่งเป็นอาจารย์วิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพลังงานที่มองไม่เห็นอยู่
“ถึงแล้วจ้า ถึงแล้ว”
เมื่อทั้งสามเข้าไปพบอาจารย์ อาจารย์เพียงแต่บอกว่าเป็นผลบุญผลกรรมและคำอธิษฐานที่ตามมาจากอดีต ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ซึ่งซูยองนับถือศาสนาคริสต์จึงไม่ค่อยที่จะเชื่อเรื่องผลกรรมจากอดีตเท่าไหร่ เนื่องจากศาสนาของเธอ สอนว่าเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวเท่านั้น แต่อาจารย์ก็ได้แนะนำว่า ก่อนที่ชางมินเกิดอุบัติเหตุ ชางมินอาจมีเรื่องอะไรที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจ เพราะมันอาจส่งผลกระทบได้เหมือนกัน ถ้ารู้อาจจะช่วยให้กลับเข้าร่างได้ ซึ่งชางมินได้แต่พยายามคิด แต่คิดไม่ออก ดังนั้นซูยองและชางมินจึงขอตัวลาและออกไปรอข้างนอกก่อน เนื่องจากยูริยังขออยู่คุยกับอาจารย์อีกซักพัก และจึงถามอาจารย์ว่า พอจะรู้คำอธิษฐานในชาติที่แล้วของทั้งคู่ไหม เพราะเธอเชื่อเรื่องแบบนี้ 100%
“แม่หนูซูยอง คงอธิษฐานในอดีตว่า ขอให้ตัวเองตายก่อนคนรักละมั้ง คำอธิษฐานนี้ น่าจะเป็นบ่วงผูกมายังชาตินี้”
“ว้าว
แบบนี้ชางมินกับซูยองก็เป็นคู่กันอย่างที่หนูทำนายนะสิคะ” ยูริร้องอย่างดีใจ
“ผมไม่ใช่หมอดูเหมือนคุณ ผมไม่รู้หรอก ผมก็แค่เดาตามสถาณการณ์เฉยๆ” เมื่อได้ยินดังนั้นยูริจึงขอตัวลาด้วยอีกคน
ชางมินพยายามคิดเรื่องที่มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจตลอดเวลา แต่ก็คิดไม่ออก ซูยองคิดได้แต่ให้กำลังใจว่าค่อยๆ คิดเท่านั้น
หลายวันต่อมา ซูยองต้องออกไปคุยกับลูกค้ารายใหญ่แทนชางมิน ที่ยังไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ทำให้ซูยองได้รู้ว่าลูกค้ารายใหญ่ที่จะขอให้บริษัทเธอสร้างตึกสำนักงานให้นั้น คือเพื่อนเก่าของเธอและยูรินั่นเอง
“ฮันเกิง” ซูยองร้องเรียกเพื่อนเก่าอย่างดีใจ เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้เจอกันนานมาก
“ซูยอง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นไงบ้าง สบายดีไหม” ฮันเกิงหรือฮันฮยอกเดินเข้าไปสวมกอดซูยองอย่างดีใจ ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของคู่ๆ หนึ่ง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“ก็โอเค สบายดี กลับมาโซลตั้งแต่เมื่อไหร่” ซูยองคลายกอดจากฮันเกิงแต่ทั้งคู่กันยังยืนจับมือกันอยู่ ทำให้ชางมินพูดออกมาว่า “จะยืนจับมือกันอีกนานไหม” แต่ดูเหมือนซูยองจะไม่ได้ยินเสียงชางมิน เพราะมัวแต่คุยกับฮันเกิงอยู่
“ซักพักแล้ว นี่ยังคิดอยู่เลยว่าจะถามหาซูยองกับยูริได้ที่ไหน จะไปขอประวัติจากที่โรงเรียนไม่รู้ว่าเค้าจะให้หรือป่าว”
“ไม่ต้องเลย ทีตอนนั้นจากไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว” ซูยองว่าฮันเกิงกลับ เนื่องจากฮันเกิงต้องกลับไปประเทศจีนอย่างกระทันหัน ทั้งที่ยังไม่ได้บอกลากันเลย
“พอดีตอนนั้นคุณย่าเสีย เลยต้องรีบกลับนะ แล้วพอจะกลับมาที่บ้านก็บอกให้เรียนต่อที่จีนเลย” ฮันเกิงพูดออกมาอย่างเสียใจ เพราะเค้าได้ทิ้งทั้งเพื่อนและหัวใจไว้ที่โซล “ยูริเป็นยังไงบ้าง”
“ก็โอเค ยังโสดเหมือนเดิม” ซูยองตอบอย่างรู้ความนัย เพราะซูยองเป็นแม่สื่อให้ฮันเกิงกับยูริอยู่บ่อยๆ แล้วทำไมจะไม่รู้ละ ว่าที่จริงแล้วเพื่อนตัวดีของเธอความจริงแล้วก็ชอบฮันเกิงเหมือนกัน
“ซูยอง จะยืนจับมือคุยกันอีกนานไหม” เสียงเย็นๆ ของชางมินดังมาอีกครั้ง ทำให้ซูยองรู้ตัวจึงปล่อยมือฮันเกิงและชวนฮันเกิงนั่งลงคุยกัน ดังนั้นการเจรจาธุรกิจวันนี้ของซูยองจึงราบรื่นไม่มีปัญหาอะไรเลย หลักจากคุยธุรกิจเสร็จ ซูยองกับฮันเกิงจึงคุยเรื่องในอดีตกันต่อ ซึ่งทำให้ชางมินได้แต่แสดงสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น เพราะเค้าไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วนี่ก็เป็นเวลาเลิกงานแล้วด้วย และที่สำคุญคือ ทำไมเขาต้องรู้สึกไม่พอใจ
“ซูยองกับคุณฮันฮยอคสนิทกันมากเลยหรอ” ชางมินถามซูยองระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน
“ค่ะ ก็สนิทกัน ถ้ารองจากยูริแล้ว ก็ฮันเกิงนี่แหละค่ะ ที่ชั้นสนิทที่สุด”
“แต่ดูท่าแล้ว ระวังกลายเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนะ ซูยอง” เมื่อได้ยินดังนั้น ซูยองได้แต่หัวเราะเท่านั้นเพราะฮันเกิงเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างที่ชางมินว่า แต่ไม่ใช่กับเธอแน่นอน เมื่อชางมินเห็นซูยองไม่ปฏิเสธจึงได้แต่หงุดหงิดเท่านั้น
นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้วที่ชางมินยังไม่สามารถเข้าร่างได้ โดยในเวลา 3 เดือนนี้ทำให้ชางมินเห็นนิสัยต่างๆ ของซูยองมากขึ้น ถ้าไม่นับเรื่องกินแล้ว ก็มีความซุ่มซ่ามนี่แหละที่เขาสังเกตุเห็น เพราะภายใน 3 เดือนที่อยู่กับซูยอง ซูยองสามารถทำให้ตัวเองเกิดแผลได้ตลอดเวลา จนมีกล่องยาอยู่ที่ห้องทำงาน และอย่างวันนี้เขายังงงๆ อยู่ว่าซูยองทำยังไงถึงได้โดนกระดาษบาดนิ้วได้
“ทายาซะ ซูยอง” ชางมินสั่งให้ซูยองทายา เมื่อเห็นว่าซูยองใช้แค่กระดาษชิดชู่เพื่อซับเลือดเท่านั้น
“นิดเดียวเองค่ะ พี่ชางมิน” ซูยองยิ้มประจบชางมิน แล้วก้มหน้าทำงานต่อ
“ทายาซะ” ชางมินยกกล่องยามาวางอยู่ตรงหน้า ทำให้ซูยองตกใจ เพราะเนื่องจากเธอไม่รู้เลยว่าค้าสามารถหยิบจับสิ่งของได้
“พี่ชางมิน ยกกล่องยามาได้ยังไงคะ ทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ทำได้นานแล้ว ก็ตั้งสมาธิเท่านั้นเอง” ชางมินตอบซูยอง และยังพูดต่อว่า “ถ้าเธอไม่ทายา พี่สามารถทำได้มากกว่านี้อีก”
“ทำอะไรคะ” ซูยองถามกลับอย่างสงสัย ทำให้ชางมินดึงมือซูยองข้างที่โดนกระดาษบาดแล้วทายาให้ ซูยองจึงตกใจและมองตาค้างเท่านั้น
“ว้าว
พี่จับแขนชั้น แล้วชั้นจับแขนพี่ได้ด้วยค่ะ” ซูยองจับแขบชางมินแล้วเขย่าไปเขย่ามาอย่างดีใจ
“หึ บอกแล้วไง ว่าทำได้มากกว่ายกกล่องยา” ชางมินลูบผมซูยอง ทำให้ซูยองเงยขึ้นมามอง โดยที่ไม่รู้ตัวสัมผัสเบาๆ จากปากนุ่มๆ ของชางมินสัมผัสกับปากเธอตั้งแต่เมื่อไหร้ ใช่ พี่ชางมินสามารถทำได้มากกว่ายกกล่องยาจริงๆ ด้วย
ซูยองพยายามที่จะไม่นึกถึงเรื่องจูบเมื่อตอนกลางวัน แต่บางทีเธอก็ไม่สามารถทำได้ ทำให้เธอได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น เพราะพอชางมินถอนจูบจากเธอ เขาก็หายแว๊บไปเลย และนี่เป็นครั้งแรกมั้ง ที่เธอได้เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของผู้ชายที่ชื่อชิม ชางมิน
ในวันเสาร์ ซูยองได้มาเฝ้าชางมินที่โรงพยาบาลเหมือนเคย แต่วันนี้เธอได้พบแขกพิเศษที่เธอเคยได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น วิคตอเรีย นักร้องดังแห่งยุค เธอสวยมาก สวยมากจริงๆ แต่สิ่งซูยองสังเกตุเห็นคือสีหน้า และแววตาของชางมินที่เปลี่ยนไป แววตาอบอุ่นที่เธอรู้สึกว่าอยากให้เค้ามองเธอแบบนี้บ้าง
“สวัสดีค่ะ” ซูยองโค้งหัวคำนับวิคตอเรีย และรับของเยี่ยมจากวิคตอเรีย
“สวัสดีจ๊ะ” วิคตอเรียตอบกลับ และเดินไปที่เตียงชางมินพร้อมกับจับมือชางมินและพูดขึ้นมาว่า “ชางมิน ขอโทษนะ ที่มาเยี่ยมนายช้า” โดยที่หารู้ไม่ว่าชางมินเดินเข้าไปลูบผมวิคตอเรียพร้อมกระซิบบอกว่า “ไม่เป็นไร” ซึ่งดูจากท่าทางแล้ววิคตอเรียคงไม่รับรู้ และไม่ได้ยินสิ่งที่ชางมินพูด แต่การกระทำทั้งหมดที่ชางมินมีให้กับวิคตอเรียทำให้ซูยองรู้ได้ทันทีว่า คนรักที่ชางมินเคยบอกตั้งแต่เจอกันครั้งแรกคือวิคตอเรียนี่เอง “ซูยอง เธอลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง เค้ามีคนรักแล้ว ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ละ”
“ชางมินเกิดอุบัติเหตุนานยังจ๊ะ” วิคตอเรียก็หันกลับมาถามซูยอง แต่ก็ยังจับมือชางมินอยู่
“คะ ก็ประมาณ 3 เดือนแล้วค่ะ” ซูยองตอบวิคตอเรียกลับไป
“แล้วน้องเป็นพยาบาลเฝ้าชางมินหรอจ๊ะ”
“เออ เป็นน้องสาวค่ะ พอดีแม่ของเราสนิทกันค่ะ” หลังจากซูยองตอบ ชางมินก็แสดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ทำให้รู้สึกยิ่งรู้สึกเสียใจเพราะคิดได้ว่าชางมินคงไม่พอใจที่บอกว่าแม่ของเราสนิทกัน
“น้องชื่ออะไรจ๊ะ พี่ลืมถามไปเลย พี่ชื่อวิคตอเรีย”
“ซูยอง ซูยองค่ะ”
“พี่เป็นเพื่อนสนิทกับชางมิน แล้วพอดีพี่ไปต่างประเทศมาจ๊ะ พี่เลยไม่รู้ว่าชางมินเกิดอุบัติเหตุ พอรู้
ตารางคิวที่ประเทศจีนก็เลื่อนไม่ได้ พี่เลยพึ่งได้มาเยี่ยมเลย”
“พี่ชางมินคงไม่ว่าอะไรพี่หรอกค่ะ แค่พี่มาเยี่ยม ชั้นว่าพี่เค้าคงดีใจแล้วค่ะ” ซูยองบอกกับวิคตอเรียทั้งตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บมากเหลือเกิน
แต่แล้วชางมินมีสีหน้าดีใจแล้วบอกกับซูยองว่า “ซูยอง พี่นึกออกแล้ว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ พี่เจอกับวิคตอเรีย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปหาอาจารย์ที่ยูริพาไปหากันนะ เผื่ออาจารย์จะช่วยพี่ได้” ซูยองได้แต่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น “เรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของพี่ชางมิน คือเรื่องของพี่วิคตอเรียหรอ” เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านมากขนาดนี้ “อยากรู้จังว่าเรื่องอะไร”
หลักจากนั้น ภาพที่ซูยองเห็นคืนวิคตอเรียกระซิบอะไรบางอย่างกับชางมิน แล้วร่างวิญญาณของชางมินก็หายไป อีกซักพักวิคตอเรียจึงขอตัวกลับ ดังนั้นเธอจึงลองเรียกชางมินดู แต่ชางมินก็ยังไม่มา “คงไปส่งพี่วิคตอเรียมั้ง” เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว ซูยองจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วมองไปที่เตียงผู้ป่วยเท่านั้น แต่สิ่งที่ซูยองไม่คิดไม่คาดฝันที่จะเห็นคือ นิ้วของชางมินขยับ แล้วชางมินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“พี่ชางมิน พี่ชางมิน ฟื้นแล้ว” ซูยองรีบเดินเข้าไปเกาะที่ขอบเตียง แล้วเรียกชางมินอย่างดีใจ
“น้ำ ผมหิวน้ำ” เสียงชางมินแหบแห้งดังขึ้นมา ซูยองจึงรีบนำสำลีจุ่มน้ำ แล้วแตะริมฝีปากชางมินตามที่หมอสั่ง ว่าถ้าคนไข้ฟื้นห้ามให้ทานน้ำไม่งั้นจะสำลักได้ ให้นำสำลีชุบน้ำแล้วแตะที่ริมฝีปากแทน อีกซักพักชางมินจึงได้หลับต่อ ดังนั้นซูยองจึงเรียกคุณหมอและโทรบอกพ่อแม่ของเธอและชางมิน
วันต่อมา
แม่ชางมินโทรมาบอกที่บ้านซูยองว่าชางมินฟื้นแล้ว และดูแข็งแรงดี ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง ดังนั้นซูยองและแม่ของเธอจึงรีบไปเยี่ยมชางมินที่โรงพยาบาลทั้งที
“ชางมิน เป็นยังไงบ้างลูก” แม่ซูยองถามชางมินอย่างดีใจ เนื่องจากตอนที่ชางมินป่วยเป็นเจ้าชายนิทราเธอก็ใจเสียอยู่เหมือนกัน แต่เห็นชางมินนั่งคุยได้อย่างนี้แล้วเธอก็สบายใจ
“สบายดีแล้วครับ รู้สึกว่าได้นอนเต็มอิ่มมากเลย” ชางมินตอบแม่ซูยองกลับไป พร้อมกับมองที่ซูยองด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แบบที่ตัวเองยังสงสัย
“ชางมิน ลูกต้องขอบคุณน้องรู้ไหม น้องเค้ามาช่วงแม่เฝ้าชางมินทุกวันเสาร์-อาทิตย์เลย แล้วยังต้องทำงานแทนลูกอีก” แม่ชางมินรีบดันซูยองเข้าไปหา เมื่อเห็นชางมินมองมาที่ซูยอง
“ขอบคุณมากครับ คุณซูยอง” หลังจากคำขอบคุณของชางมิน ซูยองได้แต่มองชางมินด้วยสีหน้าสงสัย เพราะเค้าเลิกเรียกเธอว่า คุณซูยอง ตั้งแต่นานแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ซูยอง ฝากดูพี่เค้าอีกซักครู่นะ เดี๋ยวป้าไปหาของกินซักหน่อย”
ดังนั้นภายในห้องผู้ป่วย ทำให้เหลือแค่เธอกับชางมินสองคน ซึ่งเธอก็มองไม่ออกว่าชางมินคิดและรู้สึกอย่างไร เพราะสายตาชางมินที่มองมาคือสายตาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ สายตาของการจับผิด สายตาของคนไม่รู้จัก
“คุณซูยอง มีอะไรจะถามผมหรือป่าวครับ” ชางมินถามซูยอง เมื่อเห็นว่าซูยองมองมาที่เค้าเหมือนกับสงสัยอะไรบางอย่าง
“เออ
คือ
ตอนที่พี่ เออ
ตอนที่คุณชางมินหลับไปจำอะไรได้บ้างไหมคะ” ชางมินมองซูยองด้วยสีหน้าสงสัย ดังนั้นซูยองจึงรีบแก้ตัว “เออ
ไม่มีอะไรค่ะ จำไม่ได้ไม่เป็นไร ชั้นคงถามแปลกๆ”
“ผมจำได้แค่ว่า ผมฟื้นขึ้นมา แล้วคุณเป็นคนป้อนน้ำให้ผม เท่านั้นเอง” พอได้ยินคำตอบ ซูยองได้แต่เจ็บแป็บในหัวใจเท่านั้น “เค้าคงจำอะไรไม่ได้เลยสินะ ระหว่างที่วิญญาณออกจากร่าง มันคงเป็นความฝัน ของเราคนเดียว”
-------------------------------------------------------------------------
ตอนหน้าจบแล้วนะคะ กำลังคิดอยู่ว่าจะเขียนซูยองคู่กับใครต่อ หรือจะเขียนคู่กับซีวอนเป็นเรื่องสั้นอีกเรื่อง ^^
ความคิดเห็น