คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เทวดาปลายศตวรรษ changsoo ตอนที่1 (100%)
ในห้องนั่งเล่นบ้านหลังใหญ่สุดหรูใจกลางกรุงโซล มีสองสาวสวยขะมักเขม้นกับการดูไพ่ยิปซี เนื่องจากหนึ่งในนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องความรัก ส่วนอีกคนมีสัมผัสที่หกและแม่นยำในการทำนายมาก
“ว้าว
ได้ไพ่ The Lover แถมด้วยถ้วย 7 ถ้วยอีก ความรักกำลังมาแรง จะใกล้ชิดกับคนรัก สมหวังแน่เลยซูยอง” ยูริรีบบอกเพื่อสนิทหลังจากค่อยๆ เปิดไพ่ทีละ
“ใกล้ชิดอะไรละ แค่ชายตามองเค้ายังไม่มองชั้นเลย เรียกคุณซูยอง คุณซูยอง ทุกคำ” ซูยองบ่นกับเพื่อนสนิทที่ช่วยดูดวงให้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะสำหรับเธอแล้วความพยายามตะหาก ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องความรักระหว่างเธอกับเค้าคงยากมาก เพราะเค้ามีคนที่เค้ารักอยู่แล้ว พยายามไปก็เท่านั้น แถมจะโดนมองว่าไม่ดีอีก ดังนั้นเธอจึงไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้
“นี่ไง ไพ่ดีขนาดนี้เชื่อเถอะ ตั้งแต่นี้ต่อไปคุณชางมินเค้าจะมองเธอคนเดียว” ยูริสาวสวยลูกสาวเจ้าของโรงแรมที่ชอบผันตัวเองเป็นหมอดูสมัครเล่นยังเชื่อในคำทำนายของตัวเองว่ายังไงก็ต้องแม่น เพราะเซ้นต์ของเธอบอกอย่างนั้น และคำทำนายของเธอก็ยากที่จะผิดพลาด
“เหอะ
พอเจอหน้ากันเค้าก็ประกาศเลย ว่าเค้ามีคนที่รักแล้ว แถมพอแม่ชั้นยัดเยียดให้ชั้นมาทำงานกับเค้านะ ก็ทำหน้าแบบจะตาย คงกลัวว่าชั้นจะมาจับเค้า แถมคงคิดด้วยมั้งว่าเด็กเส้นอย่างชั้นจะทำอะไรเป็น” ซูยองไม่อยากจะคาดหวังอะไรทั้งนั้น เนื่องจากวันที่เธอและเขาเจอกัน โดยการแนะนำของพ่อแม่ เค้าก็ประกาศกับเธอเลย ว่ามีคนที่รักแล้วและก็ไม่ชอบการคลุมถุงชนด้วย ส่วนเธอนะหรอ หลงเสน่ห์เค้าไปเต็มเปา คนอะไรทั้งสูง หุ่นดี ทั้งหน้าตาดี แล้วพอได้มาทำงานด้วยกัน จึงได้รู้ถึงความเก่งและความสามารถที่เพอร์เพ็คไปหมด คนแบบนี้จะไม่ให้ปลื้มไม่ให้ชอบได้ยังไง “แล้วไพ่ใบสุดท้ายอ่ะ ไม่เปิดหรอ”
“เปิดสิ แต่ก็ไม่มีอะไร ไพ่ไม่ได้บอกอะไร” ยูริเปิดไพ่ขึ้นมาดูแล้วบอกกับซูยองไปอย่างนั้น เพื่อความสบายใจของซูยอง และเป็นครั้งแรกที่ขอให้คำทำนายตัวเองไม่แม่น ถ้าไพ่ใบนี้ไม่ใช่ไพ่ Death
“ชางมิน นี่ลูกสาวน้าเองนะ ชื่อซูยอง” แม่ของซูยองแนะนำตัวซูยองให้กับชางมินรู้จักที่ห้องอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง
“สวัสดีครับ คุณซูยอง”
“สวัสดีค่ะ คุณชางมิน”
“อะไรกัน หนุ่มสาวสมัยนี้ ทำไมทักทายกันเป็นทางการได้ขนาดนี้ ไอ้เราพ่อแม่ก็ออกจะสนิทกัน เลยอยากให้พวกลูกๆ ทำความรู้จักกัน แล้วดูเราเข้าสิ” แม่ชางมินหยิกแขนลูกชายตัวดี ที่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเกินเหตุ ทำให้ชางมินได้แต่ยิ้มเท่านั้น ส่วนซูยองหน้าเจื่อนตั้งแต่ตอนที่เขาเรียกเธอว่าคุณซูยองแล้ว เธอรู้ว่านี่คือการดูตัว แต่ไม่อยากขัดใจแม่ ส่วนเค้าก็น่าจะรู้เหมือนกับเธอ และคงไม่พอใจกับการจับคู่กันในครั้งนี้แน่นอน ทำให้บรรยากาศในการรับทานอาหารอึดอัดมาก จนทำให้คนกินเก่งมากๆ อย่างเธอ กินอะไรไม่ลงซะงั้น
“เดี๋ยวแม่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ลูก 2 คนอยู่คุยกันก่อนแล้วกัน” ว่าแล้ว แม่ชางมินก็ก็ลากแม่ซูยองออกไปข้างนอก เพื่อให้หนุ่มสาววทำความรู้จักกัน
“คุณคงรู้ ว่าครอบครัวเราสองคนจะรวมกิจการเข้าด้วยกัน” ชางมินพูดขึ้นมาก่อน เพราะบ้านเค้าทำงานเกี่ยวกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ส่วนบ้านซูยองทำเกี่ยวกับออกแบบภายใน ดังนั้นถ้าทั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งกรุงโซลรวมกิจการกัน ใครที่ไหนก็ล้มไม่ได้
“ทราบค่ะ” ซูยองตอบชางมินกลับไป
“แล้วคุณไหมว่าพ่อแม่เรา ต้องการที่จะจับคู่เรา 2 คน ซึ่งผมไม่ชอบความคิดนี้เป็นอย่างมาก และผมก็มีคนที่ผมชอบอยู่แล้ว ดังนั้นคุณคงไม่ว่าใช่ไหม ถ้าผมจะขอให้คุณปฏิเสธการจับคู่ในครั้งนี้” ชางมินเสนอให้ซูยองเป็นฝ่ายปฏิเสธ เนื่องจากถ้าฝ่ายชางเป็นผู้บอกปฏิเสธก่อนแล้ว ทางฝ่ายหญิงจะเสีนหายมากกว่า
“ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ชางมินยิ้มให้กับซูยองอย่างจริงใจในครั้งแรกตั้งแต่รับประทานอาหารกันมา ส่วนซูยองได้แต่คิดในใจว่า {อะไรกันเนี่ย มาถึงก็พูดเอาๆ ว่าจะเอาอย่างโน้นอยากนี้ ชเว ซูยอง เอ้ย
แกไร้เสน่ห์ขนาดนั้นเลยหรอว่ะ}
“ไงจ๊ะ หนุ่มสาว คุยกันไปถึงไหนแล้ว เออ
นี่ชางมิน ถ้าน้าอยากฝากซูยองเข้าไปงานที่บริษัทจะได้ไหมจ๊ะ”
“แม่คะ หนูไปทำงานกับพ่อก็ได้ค่ะ จะได้ไม่กวนคุณชางมินเค้า” ซูยองรีบพูดกับแม่ตัวเองก่อนที่เธอจะโดนปฏิเสธให้อายไปมากกว่านี้
“กวนเกินอะไรกันจ๊ะ หนูซูยอง ป้าเป็นคนเสนอแม่เราเองแหละ ว่าให้เรามาทำงานกับชางมิน”
“แล้วจะให้คุณซูยองเข้ามาทำฝ่ายไหนครับ” ชางมินรู้นิสัยแม่ตัวเองดี ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าคงตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ถ้าปฏิเสธก็คงไม่ยอมแน่นอน
“ก็ฝ่ายพวกบริหาร การจัดการแล้วกัน จะได้อยู่ชั้นเดียวกับลูกด้วย แล้วคอยดูแลน้องด้วยล่ะ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณป้า”
ภายในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซล พนักงานสาวยังนั่งทำงานอยู่ ถึงแม้เวลานี้เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว แต่ซูยองก็อยากทำให้งานเสร็จภายในวันนี้เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว จะต้องนำงานกลับไปทำที่บ้าน แต่เนื่องจากใช้สายตาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปทำให้รู้สึกว่าสายตาเริ่มล้า แต่แล้วก็เห็นเงาวูบผ่านไปทางประตูกระจกด้านหน้า ซูยองโลเลที่จะเดินไปดูเนื่องจากนี่ก็ดึกมากแล้ว หวังอยู่ในใจว่าคงไม่ใช่ผีนะ ถึงแม้จะไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่ถ้าเจอก็ขอบาย ว่าแล้วซูยองจึงคิดว่ารีบกลับบ้านดีกว่า ยอมเอางานกลับไปทำที่บ้านดีกว่านั่งกลัวใจสั่นอยู่แบบนี้ เพราะพอมองไปที่ประตูก็เห็นเงานั่นอีกแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นซูยองจึงรีบเก็บของและเดินไปที่ประตู กรี๊ด
. เงาดำๆ ยังอยู่ตรงประตูหน้าลิฟท์อยู่เลย เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน ผีก็เถอะ แต่เมื่อเธอเปิดประตูออกมากลับพบว่าเงาดำๆ ที่เห็นเป็นชางมินนั่นเอง
“คุณชางมิน คุณชางมินคะ ยังไม่กลับอีกหรอคะ” ซูยองเดินไปถามชางมินที่ยืนหันหลังให้เธอ ชั้นที่เธอนั่งทำงานเป็นชั้นบนสุด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นฝั่งผู้บริหาร ที่มีเนื้อที่ชั้นถึง 70% และอีกส่วนหนึ่งคือแผนกเธอนั่นเอง ซึ่งเป็นแผนกบริหาร วางแผนองค์กร ดังนั้นเธอจึงได้มาอยู่ชั้นเดียวกับชิม ชางมิน ซึ่งเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง และยังที่หมายปองของทั้งสาวแท้และสาวเทียม เพราะเขาทั้งหล่อ รวย เก่ง ครบเครื่องเลยทีเดียว
“คุณมองเห็นผม???” ชางมินหันหลังกลับมามองตามเสียงเรียก และขมวดคิ้วนิดนึง
“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบคำถามจากชางมิน และมองเค้าด้วยความสงสัยว่าสูงใหญ่ขนาดนี้ทำไมเธอจะมองไม่เห็น แต่ยังไม่ทันที่ชางมินจะถามอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ คุณแม่” ซูยองรับจากโทรศัพท์จากแม่ของเธอ “หา
คุณแม่ว่ายังไงนะคะ” เธอมองไปที่ชางมิน และร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตระหนกเนื่องจากแม่ของเธอบอกว่าตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลเพราะชางมินขับรถชนจนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แล้วคนที่คุยกับเธออยู่ตรงนี้เป็นใครกันล่ะ “ค่ะๆ แล้วจะรีบตามไปที่โรงพยาบาลนะคะ ค่ะ สวัสดีค่ะ” ซูยองได้แต่จ้องยืนจ้องชางมินอยู่อย่านั้น โดยที่ทำอะไรไม่ถูก หรือว่าเค้าตายแล้ว แล้วนี่เธอคุยกับผีนั้นหรอ
“คุณจะไปโรงพยาบาล???” ชางมินถามและเดินเข้ามาถามซูยอง ซึ่งความจริงแล้วน่าจะลอยมามากกว่า ทำให้ซูยองก้าวถอยหลังออกมา 1 ก้าว
“ค่ะ คุณแม่เรียกให้ชั้นไปรับท่าน เนื่องจากคุณถูกรถชนและตอนนี้คุณเป็นเจ้าชายนิทรา คุณจะไปกับชั้นไหมคะ” ซูยองแทบจะกลัดลิ้นตัวเองตายหลังที่ตัวเองพูดจบ นี่เธอกำลังคุยผีหรือวิญญาณ แล้วยังชวนเค้าไปโรงพยาบาลด้วยกันหรอเนี่ย
“ไปสิ”
ระหว่างเดินลงจากลิฟท์และขับรถไปโรงพยาบาล ทั้งสองคนไม่ได้คุยกันเลย ต่างคนต่างมีคำถามมากมายในหัว
“คุณมีอะไรจะถามผมไหม” ชางมินถามซูยองในขณะที่นั่งรถไปโรงพยาบาลด้วยกัน เพราะสีหน้าของเธอในตอนนี้ ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในหัวตลอดเวลา และแทบไม่ต้องให้เดาเลย คงเป็นเรื่องเค้าล้วนๆ เพราะขนาดตัวเค้าเอง ยังสงสัยเลย ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาอยู่ที่บริษัทได้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครมองเห็น หรือว่าเขาตายไปแล้ว
“ชั้น
” ซูยองเว้นจังหวะพูดนิดนึง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณคะ ช่วยเล่าชั้นฟังได้ไหม”
“ผมกำลังขับรถจากบ้าน จากนั้นมีรถตู้ขับปาดหน้า แล้วพอรู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่หน้าบริษัท ผมพยายามคุยกับยามที่อยู่หน้าตึก แต่ก็ดูเหมือนเค้าจะมองไม่เห็นผม ผมเลยกลับขึ้นมาที่ห้องทำงาน แล้วก็เจอคุณที่หน้าลิฟท์ก่อน แล้วคุณยังไม่ตอบผมเลย ว่าทำไมถึงมองเห็นผม ทั้งที่คนอื่นๆ ไม่มีใครมองเห็นผมซักคน” ชางมินเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ซูยองฟัง และคาดคั้นเอาคำตอบจากเธอ
“ชั้นไม่ทราบค่ะ ชั้นไม่รู้ ไม่เคยมีพวกซิกเซ้นต์อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย ถ้าเป็นยูริก็ว่าไปอย่าง” ซูยองชะงักนิดนึงก่อนที่จะพูดอย่างดีใจว่า “ใช่แล้ว ยูริ ยูริน่าจะช่วยคุณได้”
“ใครคือยูริ???”
“เค้าเป็นเพื่อนสนิทชั้นเองค่ะ คุณน่าจะเคยเห็นตามงานสังคม แต่คงยังไม่รู้จัก ยูริจะเป็นพวกชอบดูดวง แล้วก็มีสัมผัสได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ค่ะ” ซูยองเริ่มนึกถึงคำพูดของยูริที่บอกว่าเธอจะได้ใกล้ชิดกับคนรัก ถ้าใกล้ชิดแบบนี้เธอไม่เอานะ ดังนั้นเธอจึงลองกดโทรศัพท์ไปหายูริดู แต่ไม่มีคนรับสาย
“แต่ดูคุณไม่ตกใจเลย ที่เห็นผม”
“ชั้นขอเถียงเลยค่ะ ชั้นตกใจมาก ตอนที่ชั้นนั่งทำงานอยู่แล้วเห็นเงาคุณผ่านกระจก ชั้นแตกใจแทบช็อกเลยรีบเก็บของกลับบ้าน ถึงออกมาเจอคุณนี่ไง”
“แต่คุณก็ไม่ส่งเสียงกรี๊ดอะไรไม่ใช่หรอ เมื่อรู้ว่าความจริงว่าคุณไม่ควรเจอผมที่นี่ เพราะร่างผมอยู่ที่โรงพยาบาล” พอได้ยินชางมินพูดดังนั้น เธอจึงได้แต่ยิ้มกลับไป ชั้นตกใจจนกรี๊ดไม่ออกตะหากละ ^.^” และแล้วเสียงโทรศัพท์ซูยองก็ดังขึ้น โดยสายเรียกเข้าคือยูรินั่นเอง
“ยูริ เธออยู่ไหน มาหาชั้นที่หน้าโรงพยาบาล
หน่อยได้ไหม ไม่ไกลจากบ้านเธอมาก” ซูยองใช้สปีกเกอร์โฟนขณะคุยกับยูริเนื่องจากขับรถอยู่
“รู้ว่าไม่ชอบโรงพยาบาล แต่ชั้นมีเรื่องนะ” ซูยองยังพูดต่อ หลังจากเว้นช่วงสนทนาให้อีกฝ่ายหนึ่งพูด
“ป่าว ชั้นไม่ได้เป็นอะไร งั้นเจอกันที่หน้าโรงพยาบาลก็ได้ ไม่ต้องเข้าไปข้างใน โอเคนะ”
“จ้า เจอกันจ้า” ซูยองเข้าใจที่ยูริไม่ชอบเข้าโรงพยาบาล เพราะเนื่องจากยูริชอบได้ยินเสียงแปลกๆ อยู่เสมอ ดังนั้นจึงนัดเจอกันข้างนอก
เมื่อทั้งคู่มาถึงโรงพยาบาลก็พบว่ายูริรอเธออยู่แล้ว ซูยองจึงเล่าเรื่องทั้งหมดชางมินให้ยูริฟัง
“วิญญาณออกจากร่างงั้นหรอ มันมีจริงหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย ซูยองเธอหลอกชั้นหรือป่าว” ยูริฟังซูยองเล่าอย่างแปลกใจ เธอได้ยินเสียงแปลกๆ ก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยเจอวิญญาตัวเป็นๆ อย่างซูยองนิ
“ชั้นจะหลอกเธอทำไม แต่เธอไม่เห็นคุณชางมินหรอ”
“ไม่เห็นอ่ะ ไม่เห็นมีใครเลย”
“หึ
ท่าทางคุณคงเห็นผมคนเดียวแล้วล่ะ” ชางมินพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อยู่ริบอกว่ามองไม่เห็นเขา
“เอ๋
ชั้นได้ยินเสียงคุณชางมินพูด ตะกี้คุณชางมินพูดใช่ไหม” ยูริเขย่าแขนถามซูยองอย่างตกใจ ซูยองและชางมินจึงพยักหน้าตอบ แล้วซูยองก็อมยิ้มเนื่องจากชางมินจะพยักหน้าตอบยูริทำไม ในเมื่อยูริไม่เห็นร่างชางมิน ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น “งั้นเอาอย่างนี้ พอคุณชางมินเจอร่างตัวเองก็กลับเข้าร่างไปก่อน แต่ถ้ากลับเข้าร่างไม่ได้ ระหว่างนี้ก็อยู่กับซูยองไปก่อน เพราะตอนนี้ซูยองมองเห็นคุณได้คนเดียว อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุย แล้วอีก 5 วันชั้นกลับมาจากอเมริกาเราค่อยหาทางแก้ไขกันอีกที” พอยูริพูดจบ ซูยองได้แต่ตกใจเพราะจะให้ชางมินมาอยู่กับเธองั้นหรอ ส่วนชางมินก็ตอบตกลงเพราะยังไงก็ดีกว่าอยู่คนเดียว
ร่างของชางมินถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วยแล้ว โดยมีแค่เพียงสายน้ำเกลือและผ้าพันหัวเท่านั้น ทั้งสองคนจึงมองหน้ากันประมาณว่าบาดเจ็บแค่นี้เองหรอ แล้วทำไมวิญญาณถึงออกจากร่างได้ ส่วนแม่ของชางมินเฝ้าร่างไร้วิญญาณของลูกชายอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วย ซึ่งดูจากหน้าตาแล้ว คงพึ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนัก
“คุณป้าคะ คุณชางมินคงไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เดี๋ยวก็คงฟื้น แต่คุณป้าต้องเข้มแข็งไว้นะคะ เพราะถ้าคุณชางมินรู้ว่าคุณป้าร้องไห้ขนาดนี้ คุณชางมินต้องเสียใจมากๆ แน่เลยค่ะ” ซูยองเดินเข้าไปปลอบแม่ของชางมิน เนื่องจากเธอเห็นแววตาเศร้าหมองของชางมินที่มองไปยังแม่ของเค้า ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกไม่ดีไปด้วย
“ขอบใจนะ” เสียงของชางมินลอยมาเบาๆ ซึ่งมีแต่ซูยองเท่านั้นที่ได้ยินและทำได้แค่เหลือบไปมองต้นเสียงที่ลอยมาเท่านั้น
“ขอบใจมากนะจ๊ะ หนูซูยอง หนูเป็นเด็กดีมากเลยรู้ไหม” แม่ชางมินลูบหัวซูยองอย่างเอ็นดู เพราะคำพูดซูยองทำให้เธอคิดได้ว่าชางมินยังไม่ได้ตาย ควรให้กำลังใจชางมินมากกว่าที่จะมานั่งเศร้า นั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้
หลังจากที่ซูยองคุยกับแม่ชางมินเสร็จ จึงหลบไปยืนยังที่ที่ชางมินยืนอยู่ แล้วกระซิบบอกชางมินว่า “คุณลองกลับเข้าร่างดูสิคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ชางมินจึงพยักหน้าและลอยเข้าไปนอนทับร่างตัวเองซักพัก แต่เมื่อลองขยับตัว กลับพบว่าร่างของเขายังนอนนิ่งอยู่ จึงได้รู้ว่ายังไม่สามารถเข้าร่างได้ ดังนั้นซูยองและแม่จึงขอตัวลากลับก่อน เนื่องจากนี่ก็ตีสอง เลยเวลาเยี่ยมผู้ป่วยมานานมากแล้ว และได้ตกลงกันว่าพรุ่งนี้ซูยองจะมานอนเฝ้าชางมินแทน เนื่องจากวันพรุ่งนี้เธอวันหยุดของเธอ
“ซูยอง ทานข้าวหรือยังลูก” แม่ของเธอถามขึ้นมา เมื่อพวกเธอกลับมาถึงบ้านแล้ว พร้อมกับวิญญาณชางมิน
“ทานแล้วค่ะ คุณแม่ เดี๋ยวหนูขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ เพราะรู้สึกเหนียวตัวมากเลยค่ะ” ความจริงแล้วเธอไม่ได้รู้สึกเหนียวตัวอะไรหรอก แต่อยากคุยกับชางมินมากกว่า เนื่องจากถ้าชางมินมาอยู่ที่นี่ แล้วจะอยู่อย่างไร วิญญาณมีนอนหลับไหม???
“นี่ห้องนอนคุณหรอ คุณคงชอบสีชมพูกับสีดำ” ชางมินเดินเข้ามาในห้องนอนพร้อมๆ กับซูยอง และสังเกตุได้ว่า ภายในห้องนอนของซูยองมีแค่สองสีเท่านั้น คือสีชมพูกับสีดำ สีอื่นๆ มีแค่เล็กน้อยปะปาย ทั้งสีห้อง ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน และของใช้จุกจิกจะเป็นสีชมพู ส่วนพวกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายกลับกลายเป็นสีดำ
“ใช่ค่ะ ชั้นสอบสีชมพู แต่บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนหวาน เลยคิดว่าไม่ค่อยเหมาะกับสีชมพูเท่าไหร่ สุดท้ายไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สีดำเริ่มกลายเป็นสีประจำตัว”
“ผมว่าคุณเรียบร้อยเหมาะกับสีชมพูนะ” ชางมินเสนอความคิดเห็นส่วนตัวขึ้น ที่ทำให้ซูยองหัวเราะขึ้นมานิดนึง
“เพราะคุณยังไม่รู้จักชั้นไงคะ คุณเลยคิดว่าชั้นเหมาะกับสีชมพู เรามาพูดเรื่องคุณกันดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นจะไปนอนเฝ้าคุณที่โรงพยาบาล ดังนั้นพรุ่งนี้ชั้นจะลองเปิดหาข้อมูลในเน็ตเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณออกจากร่างดู ว่าแต่
คุณรู้สึกง่วงนอนบ้างไหมคะ คือชั้นไม่รู้ว่าวิญญาณมีนอนหลับด้วยหรือป่าว”
“อืม
ไม่รู้สิ ผมก็พึ่งเคยวิญญาณออกจากร่างครั้งเป็นครั้งแรก ยังตอบไม่ได้ แต่คุณไปอาบน้ำนอนเถอะ ผมไม่รบกวนคุณดีกว่า เดี๋ยวคืนนี้ผมจะเดินสำรวจแถวๆ นี้ซักหน่อย”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นให้คนจัดห้องนอนให้คุณแล้วกัน คุณจะได้มีห้องส่วนตัวระหว่างอยู่ที่นี่” เมื่อได้ยินดังนั้นชางมินจึงพยักหน้าขอบคุณซูยองเล็กน้อยและหายตัวไป ทำให้ซูยองรู้สึกโล่งในนิดนึง เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายคนไหน เข้ามาห้องนอนของเธอเลย ถึงแม้จะเป็นวิญญาณก็เถอะ แต่ก็เป็นวิญญาณผู้ชาย ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็ยังไม่สะดวก
ผมเดินเล่นรอบๆ บ้านของซูยองในตอนเช้า ซึ่งสไตล์บ้านของเธอไม่ต่างจากบ้านของผมนัก มีต้นไม้ มีสวนสำหรับวิ่งเล่น มีศาลาสำหรับนั่งพักผ่อน จากการสำรวจแล้วบริษัทผมคงสร้างบ้านให้เธอแน่ๆ พอเข้าไปในบ้านกลิ่นอาหารเช้าหอมเข้ามาในจมูก แต่ผมกลับไม่รู้สึกหิวเลยซักนิด ทั้งที่ผมเป็นคนที่กินเก่งมาก เมื่อผมเดินไปที่โต๊ะอาหารเช้า ผมเห็นสำรับอาหาร 3 ที่ ซึ่งมองดูแล้วสำรับที่เยอะที่สุดคงเป็นของคุณน้าจองนัม ซึ่งเป็นพ่อของซูยองแน่นอน ซึ่งนี่ก็ 9 โมงแล้วไม่รู้ว่าซูยองจะตื่นหรือยัง เนื่องจากเมื่อคือก็นอนดึกพอสมควร ผมจึงได้แต่เดินเล่นดูโน่นดูนี่ในห้องนั่งเล่นเท่านั้น และก็พบว่าคุณน้าทั้งสองเดินลงมาจากห้องนอนแล้ว แล้วได้เรียกให้เด็กรับใช้ตามซูยองลงมาทานข้าว ดังนั้นผมจึงตามเด็กรับใช้เข้าไปในห้องของเธอ
“คุณหนูคะ คุณหนู ตื่นได้แล้วค่ะ คุณผู้หญิงเรียกทานข้าวแล้วค่ะ” เด็กรับใช้เขย่าเรียกซูยอง
“บอกคุณแม่ ทานข้าวก่อนได้เลย ขอนอนอีกแป๊บนึง” ซูยองงัวเงียสะลึมสะลืมแล้วลืมตาขึ้นมาคุยกับเด็กรับใช้ พร้อมกับคลุมโปรงผ้าห่มเพื่อนอนต่อ แต่แล้วซูยองก็ดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นมามองชางมินอย่างตกใจ พร้อมพูดขึ้นมาว่า “คุณ
เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หนูพึ่งเข้ามาตะกี้นี้เองค่ะ คุณหนูคุยกับหนูหรือป่าวคะ” เด็กรับใช้ถามซูยองเนื่องจากอยู่ดีๆ ซูยองก็ถามขึ้นมา แต่เมื่อดูจากสายตาแล้ว ซูยองไม่ได้มองมาที่เธอ แต่กลับมองไปที่ประตู
“อ๋อ จ๊ะ ไม่มีอะไร บอกคุณแม่ว่าเดี๋ยวชั้นตามลงไปนะ” ซูยองหันมาพูดกับเด็กรับใช้ พร้อมคิดในใจว่า ถ้าหากจะคุยกับชางมิน คงต้องคุยตอนที่ไม่มีใครอยู่ ไม่งั้นเค้าจะหาว่าเธอเป็นบ้าได้ เมื่อเด็กรับใช้ออกจากห้องเธอไปแล้ว เธอจึงเริ่มถามชางมินอีกครั้ง
“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“พึ่งเข้ามานี่แหละ ผมนึกว่าคุณตื่นแล้ว เพราะเห็นคุณน้าบอกเด็กให้ขึ้นมาเรียกคุณทานข้าว งั้นเดี๋ยวผมออกไปก่อนแล้วกัน” แล้วชางมินก็หายไป ซูยองจึงรีบแต่งตัวและลงไปข้างล่างเพื่อทานเข้าเช้า ซึ่งทำให้ชางมินรู้ว่าสำรับกับข้าวที่เยอะที่สุดไม่ได้เป็นของคุณน้าจองนัม แต่เป็นของซูยองนั่นเอง ซึ่งทำให้ชางมินแปลกใจเล็กน้อย และเค้าก็ได้แปลกใจอีกครั้ง เมื่อซูยองแวะซื้อขนมในซุปเปอร์มาเก็ตก่อนที่จะเข้าไปโรงพยายาบาล
“ซูยอง คุณซื้อขนมมากไปไหม”
“มากไปหรอคะ ไม่มั้ง ก็ปกติ” ซูยองตอบชางมินกลับ โดยที่ลืมสนใจว่าคนอื่นไม่เห็นชางมินเหมือนที่เธอเห็น ดังนั้นจึงคิดว่าเธอคุยคนเดียว
“คุณกะจะอยู่เฝ้าผมกี่คืน”
“ก็คืนเดียว เพราะวันจันทร์ ชั้นต้องทำงานไงคะ ทำไมคุณถามอะไรแปลกๆ”
“แต่ของที่คุณซื้อนี่อน่าจะอยู่ซัก 5 วันได้” ชางมินพูดพร้อมเหลือบมองของกินในรถเข็น ทำให้ซูยองหัวเราะออกมาเบาๆ
“ชั้นชอบกินขนมค่ะ ความจริงแล้ว ชั้นชอบกินทุกอย่าง แล้วก็ซื้อไปเผื่อคุณป้าด้วยค่ะ” ซูยองยิ้มให้กับชางมิน แต่แล้วก็เริ่มมองไปรอบๆ เมื่อเห็นคนหลายคนจ้องมองเธอว่าเธอพูดอยู่กับใคร ดังนั้นซูยองจึงรีบเข็นรถเข็นไปจ่ายเงินอย่างเร่งด่วน เมื่อถึงโรงพยาบาลซูยองจึงเสนอให้แม่ของชางมินกลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนเธอจะเป็นผู้อยู่ดูแลชางมินต่อเอง และแล้วทั้งสองคนก็เข้าใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่าง แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องเท่าที่ควร
“คุณชางมินหิวหรือป่าวคะ” ซูยองถามขณะที่เธอเริ่มลื้อถุงขนม
“อืม
ไม่นะ ไม่รู้สึกหิวเลย สงสัยวิญญาณคงไม่ต้องกินอะไรมั้ง”
“ค่ะ ชั้นกำลังคิดอยู่ ว่าถ้าคุณชางมินหิว จะทำยังไง ไม่รู้ต้องจุดธูปไหว้ของกินเหมือนในหนังหรือป่าว” เมื่อได้ยินดังนั้นชางมินจะโกรธก็โกรธไม่ลง เนื่องจากดูท่าทางแล้ว ซูยองพยายามคิดช่วยเค้าอย่างหนัก แต่จะขำก็ขำไม่ออก เพราะถ้าจุดธูปไหว้อาหาร ก็เท่ากับว่าเขาตายแล้ว
“ซูยอง
ผมยังไม่ตาย”
“อา
ขอโทษค่ะ ชั้นไม่ได้หมายความว่าคุณตายแล้ว เออ
พูดยังไงดี”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ซูยอง ถ้าผมขอให้คุณช่วยทำงานแทนผมจะได้ไหม” ชางมินเริ่มพูดเรื่องงานของเขาให้แก่ซูยอง เนื่องจากตอนนี้มีเพียงซูยองเท่านั้นที่เห็นเค้า และยังมีงานอีกหลายงานที่ยังค้างคาอยู่
“เออ
จะดีหรอคะ เพราะอยู่ดีๆ จะให้พนักงานธรรมดาเข้ามาบริหารงานแทน ผู้บริหารคงไม่ยอมแน่ๆ” ซูยองถามชางมินอย่างวิตก “ชั้นว่าให้คุณลุงหรือคุณพ่อเข้ามาทำแทนดีกว่า”
“ผมว่าทั้งคุณพ่อของผมและคุณพ่อของคุณคงถือโอกาสนี้ ให้คุณทดลองงานทางไปในตัว ท่านทั้งสองคนคงยังไม่ยอมลงดูเองแน่ จนกว่าจะเริ่มรู้ว่าคุณไม่ไหวจริงๆ และความจริงแล้วคุณไม่ได้เป็นแค่พนักงานธรรมดาซักหน่อย คุณเป็นถึงลูกของชเว จองนัม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำไมผู้บริหารคนอื่นๆ ถึงจะไม่ยอมละ”
“แต่ยังไม่มีใครรู้นิคะ ว่าชั้นเป็นลูกคุณพ่อ” เพราะเนื่องจากตอนที่ซูยองเข้ามาทำงาน เธอเข้ามาในฐานะเด็กจบนอกที่เข้ามาฝึกงานทางด้านบริหารและทำงานในส่วนวางแผนองค์กรเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นลูกผู้ถือหุ้นรายใหญ่เนื่องจากชางมินไม่เคยแนะนำ และตอนที่อยู่ในบริษัท เธอกับชางมินก็ไม่เคยแสดงให้ใครรู้ว่าทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน ซูยองก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร กลับดีซะอีก เพราะเธอยังไม่อยากรับผิดชอบงานที่ใหญ่เท่าไหร่นัก เธอกลัวจะทำมันพังซะก่อน
“แต่ตอนนี้ทุกคนคงต้องรู้แล้วละ ว่าคุณคือใคร เชื่อผมเถอะ ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องเข้ามาทำงานแทนผม และผมก็ขอโทษด้วยที่ไม่แนะนำคุณตั้งแต่แรก” ชางมินขอโทษซูยองที่ให้เธอเข้ามาทำงานในฐานะพนักงานธรรมดาไม่ได้ให้เข้ามาทำงานส่วนของบริหารเลย เพราะครั้งแรกที่พบกัน ชางมินคิดว่าซูยองเป็นคนสวย รู้จักแต่งตัวให้ตัวเองดูดี ท่าทางมั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อคุยกันแล้วกลับรู้สึกในทางตรงข้ามทั้งหมด เพราะไม่ว่าเค้าจะพูดอะไร ซูยองก็ตอบว่า ค่ะ โดยไม่คิดจะมีปากมีเสียง ทำให้เค้ารู้สึกว่าซูยองก็เหมือนกับตุ๊กตาที่พ่อแม่จะจับไปทางไหนก็ไปทางนั้น แต่พอเริ่มทำงานซูยองกลับทำงานได้ดีเกินคาด จนมีใครหลายๆ คนชมซูยองให้เค้าฟังเสมอ ทั้งที่เป็นพนักงานใหม่เท่านั้น และที่สำคัญคือซูยองไม่เคยป่าวประกาศเลยว่าตัวเองเป็นลูกใคร ดูเหมือนจะพอใจซะอีกที่ไม่มีใครรู้ว่าเธอคือลูกชเว จองนัม และตอนนี้เมื่อได้คุยกันมากขึ้น ชางมินกลับรู้สึกว่าซูยองไม่ใช่ตุ๊กตาที่ทำตามพ่อแม่สั่งแน่ๆ แต่กลับเป็นคนน่าค้นหาซะอีก
“ขอโทษทำไมคะ ออกจะดีซักอีก”
และเป็นอย่างที่ชางมินพูด พ่อของซูยองและพ่อของชางมินได้คุยกับซูยองเรื่องที่จะให้ซูยองทำงานแทนชางมิน โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์นี้ ซึ่งจะแนะนำซูยองให้รู้จักกับผู้บริหารทุกคนในวันจันทร์
ความคิดเห็น