คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่5 : คืนดี
เรือสปีดโบ้ดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แล่นอยู่ท่ามกลางผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาของมหาสมุทรแปซิฟิก สีขาวสว่างของมันดูโดดเด่นเหนือท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มยาวค่ำคืน ไม่มีใครรู้ว่ามันกำลังจะไปไหน มันทำเพียงแล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจจะเลี้ยวลัดเข้าฝั่งเลย
ภายในของเรือมีสองห้องสำหรับนอนและหนึ่งห้องกัปตัน ด้านนอกมีพื้นที่คล้ายระเบียงเพื่อยืนรับลม เป็นเรือส่วนตัวที่น่าจะใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลยสำหรับการซื้อมาเป็นของตัวเอง...เจ้าชายไม่ว่าจะบนบกหรือในน้ำยังไงก็รวยเหมือนกันสินะ...
ครอกกกก ฟี้~
ครอกกกก ฟี้~
เสียงกรนดังสะสั่นก้องกังวานราวกับเสียงช้างกระโดดเชือก ดังมาจากห้องข้างๆ ทำให้ร่างบางๆ ที่นอนคลุมโปงหนีเสียงไม่สามารถหลับนอนได้ แม้จะพยายามจะข่มตาลงสักเพียงใดก็ตาม
ผ้าห่มถูกกระชากให้เปิดออกอย่างหงุดหงิด พร้อมกับที่ร่างนั้นเด้งตัวขึ้นมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ใครบังอาจมารบกวนการนอนหลับของท่านแอมเบอร์คนนี้!
หลังจากที่โคลด์กลับมาที่บ้านเมื่อเช้านี้ เขามาพร้อมกับรถแท็กซี่และร่มชายหาดขนาดใหญ่จนเหลือเชื่อ แท็กซี่พาทั้งสามคนไปที่ท่าเรือใหญของแคนเบอร่า แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นแอมเบอร์ไม่ลืมที่จะทิ้งกระดาษบอกพ่อถึงเหตุผลที่เธอหายไปจากบ้าน พอมาถึงก็เจอเรือลำนี้จอดอยู่แล้ว...กัปตันและลูกเรือทุกคนเป็นครึ่งเงือก จึงไม่ต้องคอยระแวงเรื่องความจะแตก หลังจากขึ้นมา โคลด์จึงคืนร่างกลับเป็นเพนกวิ้นทันที
แอมเบอร์ไม่คุยอะไรเลยกับบรีอันตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเย็น และตอนนี้...ถึงเวลานอนแล้วทั้งคู่ก็ยังไม่ได้คุยกัน นั่นทำให้เธอเหงานิดหน่อย แต่เธอไม่รู้จะเข้าไปคุยอะไร เพราะลองนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเองที่เป็นฝ่ายงี่เง่า
ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องที่เธอนอน เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวจึงได้ห้องเดี่ยว ส่วนพวกผู้ชายนอนห้องข้างๆ ที่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย อัดกันนอนแถมยังเสียงกรนนั่นอีก พวกนั้นคงเกงมากถ้าสามารถข่มตาลงได้
เมื่อเปิดประตูออกมามองไปที่หัวเรือ ก็เห็นใครบางคนนั่งอยู่บนรถเข็น ทอดตามองไปในทะเลเงียบๆ แอมเบอร์ถอนหายใจออกมายาวๆ เธออยากเข้าไปขอโทษ...อย่างน้อยมันจะเป็นสักสองถึงสามคำที่เธอจะได้คุยกับเขา แต่เธอไม่ชินกับการพูดเสียงนุ่มนวลน่ารักกับหมอนี่เท่าไหร่ จึงเลือกที่จะเดินไปท้ายเรือแทน...
เมื่อโผล่หน้าไปดูท้ายสุดของเรือ ใหล่ก็ตกฮวบเมื่อพบว่าที่สุดท้ายสำหรับการนั่งรับลมแก้เซงของเธอถูกช่วงชิงไปอีกที่แล้ว แอมเบอร์มองแผ่นหลังใหญ่กว้างของเจ้าชายแห่งอาร์กติกที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวสีขาวตรงริมรั้วเหล็กกั้นของเรือแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ เธอยังไม่อยากเปิดศึกกับหมอนี่ตอนนี้ และไม่คิดว่าหมอนี่จะอยากให้เธอเข้าไปรบกวน
คิดได้ดังนั้นจึงหันหังและตั้งใจจะไปพยายามข่มตานอนในห้องต่ออีกครั้ง แต่แล้ว...
“นอนไม่หลับหรือไง”เสียงเรียบเฉยดังมาจากข้างหลัง แอมเบอร์หยุดเดินแล้วหันหลังควับกลับไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เป็นเรื่องที่คนปกติไม่น่าจะตกใจ แต่ถ้าใครเป็นเธอก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น หมอนี่เริ่มทักเธอก่อน!?
“อ...อืม”เธอตอบในขณะที่ความงุนงงยังคงต้องเต่อ ก่อนจะเดินไปทางท้ายเรือช้าๆ “คนรับใช้นายร้องเพลงเสียงดัง ฉันนอนไม่ได้”
“โคลด์ชินกับน้ำแข็งที่อาร์กติก คงเป็นเพราะอุณหภูมิแปลก”หมอนั่นพูดเนิบๆ โดยไม่หันมามองหน้าเธอ...ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แอมเบอร์พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจการกระทำไร้มนุษยสัมพันธ์ของคนตรงหน้า เพราะเริ่มจะชิน
“แล้วนายล่ะ”แอมเบอร์ถามกลับ เซดริคฟังคำถามแล้วไม่เข้าใจจึงหันมามองหน้าเธอด้วยสายตาไร้ความรู้สึก แต่ไม่รู้ทำไมแอมเบอร์ถึงได้รู้สึกว่ามันสายตาเชิงถาม “ดึกดื่นป่านนี้ มานั่งทำอะไร”
“เธอนอนห้องข้างๆ ยังหลังไม่ได้ นับประสาอะไรกับฉันที่นอนห้องเดียวกัน?”ประโยคนี้ทำให้แอมเบอร์เริ่มรู้สึกว่าคำถามที่ถามไปเมื่อครู่นี้ฟังดูโง่ๆ อย่างไรไม่ทราบ สาวเจ้าหัวเราะแหะๆ ในลำคอ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ก...ก็จริง”แอมเบอร์ค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน “ตาเจ้าชายนั่นด้วยเหรอ”ประธานในประโยคนี้เป็นสรรพนามแทนชื่อที่เซดริคไม่เข้าใจ เขาจึงหันมาหาเธออีกครั้งด้วยสายตาแบบเดิม “ฉันหมายถึงบรีอันน่ะ”
“เปล่า”น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ย “เขายังไม่ได้เข้ามานอนเลย”
เมื่อได้รับคำตอบ แอมเบอร์ก็พยักหน้ารับช้าๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะ...ทำไมวันนี้นายคุยกับฉันดีๆ”สาวเจ้าถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงพิลึก พลางหันไปจ้องหน้าคนที่ไม่ยอมสบตาแม้เวลาสนทนากับใครๆ ราวกับหวังว่าอีกฝ่ายจะหันมาบ้าง และเหมือนสิ่งที่ว่าก็จะเป็นจริงขึ้นมาบ้างนิดหน่อย
เซดริคหันมามองแอมเบอร์ด้วยหางตาแว๊บหนึ่ง แต่แล้วก็กลับไปสนใจผืนทะเลเหมือนเดิม...
“ฉันเคยพูดไม่ดีกับเธอเมื่อไหร่”เด็กหนุ่มว่า “เธอต่างหาก”
แอมเบอร์กระพริบตาปริบๆ สองที ก่อนจะหวนคิดไปถึงตัวเอง...มันเป็นเรื่องจริง เธอเอาแต่มองค้อนหมอนี่ เป็นเธอต่างหากที่ไม่เคยพูดกับหมอนีดีๆ เพราะหน้าไม่มีความรู้สึกกับเสียงเยือกเย็นของเขาทำให้เธอไมทันคิดว่านี่เป็นหน้าปกติ...
“ก...ก็!! ตอนเจอกันครั้งแรก นายทำหน้าหาเรื่องฉันนี่?”เธอพูดขึ้นหลังจากนึกถึงเหตุการณ์ตอนี่เดินสวนกันที่หน้าตึกเรียนเมื่อวานนี้ เซดริกขมวดคิ้วมุ่น
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”เขาพูดเนิบๆ พลางเอื้อมมือไปฉีกขนมปังที่วางอยู่ข้างๆ ตัว แล้วเขวี้ยงลงไปในน้ำ “ตอนเจอกันครั้งแรก ฉันอุตส่าห์ยิ้มให้”ประโยคนี้ทำให้เธอต้องย้อนคิดไปถึงเหตุการณที่ว่านั่นอีกครั้ง และสะกดปุ่มสต็อปภาพตรงช่วงที่เดินส่วนกัน...ซุมขยายใหญ่ไปที่หน้าของเจ้าตัวคนที่บอกว่ายิ้มให้ ก่อนจะเห็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวของมุมปากที่แสยะขึ้น...ไอ้สีหน้าน่าเหยียบนั่นน่ะเหรอ!
“พูดเป็นเล่นไป!? นั่นบ้านนายเขาเรียกว่ายิ้มเหรอ?”แอมเบอร์หวีดเสียงสูงพลางทำสีหน้าไม่เชื่อ
“แล้วเข้าใจว่า?”เซดริกถามกลับ
“ประกาศศัตรูน่ะสิ!”ได้ยินเข้า คนถูกเข้าใจผิด(อย่างมาก)ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างสุขุม เขาทำอีท่าไหนให้เข้าใจผิดตรงข้ามกันเสียขนาดนี้
“งี่เง่า”เจ้าชายน้ำแข็งสบถขึ้นมาลอยๆ แอมเบอร์ขมวดคิ้วมุ่น
“นายมีสิทธิอะไรมาว่าฉัน อยากทำหน้ากวนประสาทให้ชาวบ้านเขาเข้าใจผิดทำไม”
“ฉันไม่ได้ว่าเธอ”เซดริกสวนกลับทันควันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วแอนตัวพิงกับพนักพิงช้าๆ “ช่างเถอะ แม้แต่คนที่บ้านยังชอบเข้าใจฉันผิด ทำไมก็ไม่รู้”เด็กหนุ่มดูหัวเสียนิดหน่อย แต่เพราะใบหน้าเก็บอารมณ์นั่น ทำให้ถ้าไม่สังเกต ก็คงไม่มีใครรู้ แอมเบอร์เม้มปากเล็กน้อย
...ก็นายทำตัวเข้าใจง่ายมากเลย!...
เธอคิดในใจ
“ที่บ้านนายเป็นไง?”สาวเจ้าถาม เซดริคเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถามทำไม?”แอมเบอร์แทบไปต่อไม่เป็นหลีงจากได้ยินคำถามนี้
“อะ...ก็ เผื่อนายอยากจะเล่า”
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของฉัน”แอมเบอร์หันควับมามองหน้าอีกฝ่ายตาแทบถลน
“นายนี่มัน...”เธอหาคำบรรยายมาอธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกไม่ได้ เด็กสาวหรี่ตาเล็กน้อย “แปลกพิลึก...”
“ใช่ฉันรู้”เด็กหนุ่มยอมรับแต่โดยดี “ฉันก็คิดเหมือนกัน”แอมเบอร์กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาบาง บอกตัวเองว่าให้ปลงกับหมอนี่เสียเถอะ บางทีเจตนามันอาจไม่ได้คิดจะกวนประสาทเธอ...
“แล้ว...อะไรทำให้นายคิดว่าฉันรู้เรื่องของนายไม่ได้?”
“ก็มันไม่จำเป็นกับเธอ”
“ฉันไม่ได้อยากรู้เฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องรู้ เรื่องไม่จำเป็นคนเราก็รู้ได้...ไม่ใช่เหรอ?”แอมเบอร์แทบจะตีลังกาพูด ทำไมเธอถึงรู้สึกเหนื่อยกับการแค่สาธยายเรื่องเล็กน้อย การอธิบายอะไรๆ ให้คนพิลึกแบบนี้ฟังไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เลย...
เซดริกยักใหล่เล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ไถลตัวลงจนท้ายทอยของเขามาอยู่ระดับเดียวกับขอบของพนักพิง
“ไม่รู้สิ”ตอบมาเนิบๆ โดยไม่ได้หันไปมองคนถาม “อย่าสนใจฉันนักเลย ทะเลาะกับทายาทแปรซิฟิกอยู่ไม่ใช่หรือไง”เมื่อหมอนี่พูดขึ้นมา ก็ทำให้เธอนึกขึ้นได้...
สาวน้อยถอนหายใจออกมายาวๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“ใช่”สาวน้อยคอตกทำหน้ามุ่ย เซดริคเหลือบตาไปมองอีกฝ่ายแว๊บหนึ่ง “ฉันรู้ตัวนะว่าเป็นคนผิด รู้ด้วยว่าแค่ข้าไปขอโทษหมอนั่นก็ยิ้มใส่แล้ว...แต่ไม่รู้สิ...”
“จะบอกฉันทำไม”คำพูดนี้ทำให้อารมณ์กำกวมที่ไม่รู้ว่าลบหรือบวก ดิ่งลงอย่างไม่อาจห้ามปราม คิ้วเรียวขมวดเข้าหาคนจนแทบจะขมวดเป็นโบว์ แอมเบอร์ค้อนเข้มใส่คนปากเสีย และทำท่าจะอ้าปากโวยวาย แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำแบบนั้น อีกฝ่ายก็พูดขัดขึ้นมากอน “ก็ในเมื่อคิดได้แบบนั้น แทนที่จะมานั่งบ่นให้ฉันฟัง...”
เซดริคดีดตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หันหน้าเข้าหาทะเล
“สู้เอาไปบอกหมอนั่นไม่มีประโยชน์กว่าเหรอ”เด็กหนุ่มหันหลังกลับมามองเธอพลางยักคิ้วเล็กน้อย สาวเจ้าทนไมไหว ลุกพรวดขึ้นอย่างหงุดหงิด คงจะดีถ้าเธอได้ตั้นหน้าหล่อๆ ของหมอนี่ให้มีแผลตราตรึงสักจุดสองสุดจะได้สะใจ
“นายนี่...!!”ขึ้นต้นเอาไว้แล้วเผื่อเวลาข้างหลังเอาไว้คิดคำด่า แต่คิดไปคิดมา ลองนึกดูอีกที...สิ่งที่หมอนี่พูดก็มีเหตุผลน้อยเสียเมื่อไหร่...แอมเบอร์เม้มปากเล็กน้อย “จริงของนาย”
“...”เซดริกเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งมองไปที่คู่สนทนา ก่อนจะเบือนหนีอย่างรวดเร็วแล้วกับหลังหันเอาแขนเท้ากับขอบเหล็กกั้นเรือ
แอมเบอร์มองแผ่นหลังของร่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินไปยืนข้างๆ คนที่อิงขอบเรืออยู่ เซดริกก้มลงมมองคนตัวเล็กกว่าเงียบๆ และเมื่อสาวเจ้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาบ้างจึงรีบหันหนีทันที
สาวน้อยยิ้มเล็กน้อยกับการกระทำของอีกฝ่าย เธอไม่สนใจท่าทางหยิ่งยโสของหมอนี่อีกต่อไปแล้ว ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์นั่นก็ด้วย จะเพราะความชินชาหรืออะไรก็แล้วแต่ ประเด็นคือตอนนี้ ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อหมอนี่มันค่อยๆ หายไป แอมเบอร์หันหลังกลับเข้าหาตัวเรือแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ
“นายจะคิดยังไงกับการสนทนาของเราวันนี้ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าถามฉัน เอาเป็นว่าฉันขอบใจแล้วกัน”สาวน้อยตบบ่าคนตัวสูงเบาๆ สองทีก่อนจะจากไปทั้งๆ อย่างนั้น ทิ้งความงุนงง ปนตกใจเอาไว้ให้ร่างสูงที่ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
เซดริกค่อยๆ หันกลับมามองร่างเล็กๆ ที่เดินดุ่ยๆ จากไปแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย...
เจ้าชายแห่งอาร์คติกกระพริบตาช้าๆ สองครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจับบ่าข้างที่ถูกตบไปเมื่อครู่นี้
...ขอบใจ...งั้นเหรอ?...
ร่างเล็กเดินมาที่หัวเรือ บรีอันยังคงอยู่ที่เดิม รถเข็นของเขาจอดติดกับเก้าอี้ไม้สีขาว ราวกับรอให้ใครบางคนมานั่งตรงนั้น แอมเบอร์เดินไปเอาแขนเท้ากับเหล็กกันเรือเงียบๆ แบบจงใจให้อีกฝ่ายเห็น บรีอันเปรยหน้าไปมองแอมเบอร์ช้าๆ
“พระจันทร์สวยนะ”เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกฟอร์ม บรีอันยิ้มเล็กน้อยก่อนเงยหน้ามองหาดวงจันทร์ และเมื่อหาไม่เจอจึงได้ก้มลงมามองคนพูดอีกครั้ง แอมเบอร์เห็นดังนั้นรีบเงยหน้าขึ้นไปดูบ้าง และสิ่งที่เห็นทำให้ฟอร์มที่สร้างมาเมื่อครู่กระเจิงหายไปคนละทิศคนละทาง เมฆก้อนเท่าโลกมาบังอะไรตอนนี้วะ!! “เออ...ไม่! ฉันหมายถึง...ใช่! คือ...มันไม่มีพระจันทร์ แต่แบบ...คือ...”ท่าทางเงอะงะพยายามแก้ตัวนั่นทำให้บรีอันอดหัวเราะไม่ได้ เด็กหนุ่ยกกำปั้นขึ้นมาปิดปาก แล้วหัวเราะอย่างขบขัน
ตอนแรกเธอรู้สึกอย่างเล็กน้อย แต่มองเห็นหมอนั่นหัวเราะเหมือนเก่า ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง แอมเบอร์ถอนหายใจก่อนจะค่อยๆ เดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา แล้วยกมือขึ้นมาเกาหัว
“น...นั่งทำอะไรดึกดื่น”แอมเบอร์ถามแบบไม่สบตาอีกฝ่าย บรีอันยิ้มเล็กน้อย
“สูดหายใจเอาอายทะเลเข้าปอด สามเดือนอยู่แต่บนบกก็เลยคิดถึงทะเลขึ้นมา”เจ้าชายแห่งแปซิฟิกเอ่ยเนิบๆ พลางยักใหล่ แอมเบอร์พยักหน้ารับช้าๆ
เงียบ...จบแค่นั้น ไม่มีใครพูดอะไรกับใครอีกพักใหญ่ แอมเบอร์นั่งก้มหน้างุดไม่ยอมมองคนข้างๆ เธอไม่กล้าพูดคำนั้นกับหมอนี่จริงๆ เหรอเนี่ย!
“เออนี่.../นี่แม่คุณ”ทั้งคู่เอ่ยออกมาพร้อมกัน แอมเบอร์เกือบสะดุ้ง เธอถอนหายใจออกมายาวๆ เป็นอย่างนี้ทุกที บรีอันหัวเราะหึๆ เบาๆ ในลำคอ “ว่าไง”เขาเอ่ยเป็นนัยน์ให้เธอพูดก่อน เป็นเช่นนี้เสมอ...
“คือ...”แอมเบอร์ยกมือขึ้นมาลูบต้นคอ “ฉันขอโทษ”สิ้นประโยคนี้บรีอันก็ขมวดคิ้ว
“หืม...?”เขาทำสีหน้างุนงง ก่อนจะขยัยกายตะแคงข้างเพื่อมองหน้าเธอถนัดขึ้น “เธอขอโทษฉันทำไม?”เขาถามกลับ ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่เป็นประโยคขอโทษครั้งเดียวในรอบเกือบทั้งชีวิตที่เขารู้จักแอมเบอร์มา ถ้าไม่นับรวมเรื่องกระจุ๊กกระจิ๊กอย่างอุบัติเหตุนิดหน่อยระหว่างวัน
“ก...ก็! อะไรก็ตามที่ทำให้นายไม่คุยกับฉัน ไม่เอาน่า! บรีอัน นายรู้หรอกว่าฉันพยายามจะทำอะไร”แอมเบอร์ห่อใหล่ลงเพราะรู้ว่าการเล่นบทเป็นสาวน้อยกับใบหน้าหงอยๆ รู้สึกผิดมันไม่กินเส้นกับตัวเธอเลยเสียจริงๆ บรีอันหัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ โอเคๆ ให้คะแนนความพยายามแล้วกัน”เด็กหนุ่มแอนกายพิงพนักพิงของรถเข็น แล้วเหยียบแขนบิดขี้เกียจ “ฉันแค่เป็นห่วงเธอ”เขาพูดไปด้วย “ไม่อยากให้มาพัวพันกับเรื่องอันตรายๆ ภารกิจระดับราชวงศ์มันไม่สนุกหรอก แม่คุณ”
“ฉันมากับนายคิดว่าเพื่อหาเรื่องสนุกทำเสียเมื่อไหร่ ตาบ้า”แอมเบอร์ทำเสียงจิจ๊ะในลำคอ “อีกอย่าง...ก็ตกลงกันแล้ว ฉันแค่หัวเสียที่อยู่ดีๆ นายผละฉันเหมือนเป็นคนอื่น”
“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น”บรีอันรีบแย้ง “ฉันว่าเธอก็น่าจะเข้าใจฉัน เธอสำคัยกับฉันมาก เรื่องอะไรต้องพ่วงเธอไปเสี่ยง”
“นายก็สำคัญกับฉัน เท่าๆ กันนั่นแหละ เรื่องอะไรต้องถีบนายไปเสี่ยง”
“ไม่ต้องมาย้อนเลยแม่คุณ เอาเป็นว่าเข้าใจฉันแล้วก็มานี่”บรีอันพูดพลางอ้าแขน มันเป็นท่าคล้องแขนที่เธอกับบรีอันทำกันเป็นเหมือนการทักทายของเพื่อน คล้ายๆ กับกอดคอกันและกัน แอมเบอร์ขยับเข้าไปใกล้ แล้ววางคอลงบนบ่าของร่างสูง บรีอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่คล้องแขนแฮะวันนี้”
ท่านี้ไม่ถนัด”แอมเบอร์ตอบเนิบๆ บบรีอันวางมือลงบนใหล่ของคนตัวเล็ก แล้วเอียงหูไปอิงกับหัวของอีกฝ่ย ก่อนจะยิ้มออกมาเบาบาง
...พูดมาได้ ว่าเท่ากัน...
บรีอันหัวเราะอยู่ในใจเมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา แอมเบอร์ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ยังเห็นเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญ แม้จะไม่ได้เจอกันนานแค่ไหน เขาคงดีใจถ้ามันเท่ากันจริงๆ แต่ไม่มีทางที่เจ้าหล่อนะให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น...
...ให้ความสำคัญกับฉํนมากเท่าที่ฉันให้เธอเหรอ...ไม่มีทางหรอกยัยมั่ว...
ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนๆ ในยามเช้า ส่องลอดผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องกัปตั กระทบกับผิวขาวนวลของร่างบางที่นอนหลังอยู่บนโซฟาในนั้น เรือนผมสีพลอนซ์ทองสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ที่พื้นมีสองร่างของเด็กหนุ่มสองคนนอนอยู่โดยทำเพียงปูผ้ารองเอาไว้เท่านั้น
ตกลว่าเมื่อคืนก็ต้องระเห็จตัวเองมานอนห้องควบคุมเรือกันถ้วนหน้า คนท่ได้นอนสบายๆ จริงๆ กลับเป็นคนรับใช้ในคราบเพนกวิ้นเจ้าของชื่อโคลด์ ซึ่งตอนนี้ลุกจากเตียงแล้ว
“องค์ชายพะยะค่ะ”เสียงตะโกนเรียกหาชื่อผู้เป็นนายดังมาจากข้างนอก จนกระทั่งประตูห้องกัปตันถูกเปิดออก “นี่พวกเจ้า...เห็นเจ้าช....”โคลด์หยุดชะงักไปถนัดเมื่อเปิดเข้ามาพบนายที่รักของเขานอนหลับสนิทอยู่ที่พื้น โดยมีร่างเล็กๆ ของใครบางคนนอนอยู่บนโซฟาสูงกว่านายของเขา
เสียงหวีดของนกดังแผดขึ้นมาราวกับแตรประกาศสงคราม ทำเอร่างบนโซฟาสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เพนกวิ้นน้อยกระโดดขึ้นมาบนตัวหญิงสาว
“เจ้ากล้าดียังไงให้เจ้าชายของข้านอนพื้น!!”โคลด์โวยวายใหญ่ แต่แน่นอนว่าแอมเบอร์ไม่ทันได้ฟัง...เธอแทบจะยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ...
“ห...หืม อืม...ฉันกินเองล่ะ”ละเมอออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางยกมือขึ้นมาขยี่ตา โคลด์ทำเสียงฟึดฟัด
“เจ้าสามัญชน! ฟังข้าสิ ฟังๆๆๆ”โคลด์เอาปีกตบแก้มซ้ายขวาของแอเบอร์รัวดังป้าบๆ สาวน้อยหยีตา แล้วพยายามเบือนหน้าหนี
“โอ้ยๆ ๆ เจ็บนะ เจ็บ!”แอมเบอร์ปัดปีกสองข้างนั้นออกไปด้วยมือสองข้าง “อะไรของนานเนี่ย!”
“ท่านนั่นแหละ แม่หญิง! ท่านรู้จักกาลเทศะบ้างไหม รู้ไหมว่าผู้ที่นอนอยู่เบื้องล่างท่าน เป็นคนที่มีสํกดิ์สูงจนท่านมิอาจเทียมรัศมีได้! เจ้ากล้าดีอย่างไร ให้พระองค์นอนตรงนั้น!!”โคลด์พูดพลางชี้ไปที่พื้น และ เมื่อหันไปเห็นว่าที่พื้นไม่ได้มีคนนอนแค่คนเดียว ก็ยิ่งโวยวายยกใหญ่ “แถมยังมีถึงสองพระองค์ด้วย!!!”
“เออ...เดี๋ยวสิ ก็พวกนั้นบอกให้ฉันนอนข้างบน...”แอมเบอร์พูดอย่างงๆ นี่เธอเพิ่งตื่น? เจ้านี่ช่างโวยวายชะมัด
“ไม่ต้องมาอ้างเลย ท่านแอมเบอร์ ท่านควร...”เสียงโวยวายอยู่ๆ ก็ต้องเงียบลงถนัด เพราะถูกขัดด้วยเสียงดุๆ ของใครบางคน
“โคลด์”เสียงงัวเงียที่ยังคงความเยือดเย็นอย่างเก่า “ฉันสมัครใจลงมานอนเอง เงียบๆ ด้วย ฉันยังไม่อยากตื่น”เจ้าชายแห่งอาร์กติกพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เขาค่อยๆ เอาผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงคอ
โคล์ดชะงักค้าง ไม่ทำอะไรไปมองกว่านั้น เขามองผู้เป็นนายสลับกับแอมเบอร์อย่างลังเล ก่อนจะห่อใหล่แล้วเอ่ยอย่างหงอยๆ
“อ...อ่า ถ้าพระองค์ประสงค์เช่นนั้น”เพนกวิ้นน้อยโค้งหัวรับ
เจ้าชายแห่งอาร์กติกยามหลับ ช่างแตกต่างจากยามตื่นราวท้องฟ้ากับก้นเหว แพขนตายาทิ้งตัวลงบนสองข้างแก้มนวลขาว เด็กหนุ่มผู้นี้ดูอ่อนโยนไร้พิษภัย ราวกับเป็นคนละคนกับเจ้าชายจอมเย่อ่หยิ่งที่เธอรู้จัก
แอมเบอร์มองใบหน้านั่นอย่างสำรวจ คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาทำหน้าแบบนี้ได้ตลอดเวลา
“เอ้า! มองเข้าไป ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม ยากจะละสายตาก็จริงอยู่ แต่อย่าคิดอะไรเกินเลยกับพระองค์เชียว...เจ้าเป็นเพียงสามัญชน”โคลด์รีบพูดขึ้นมาขัดคอ แอมเบอร์หันควับมาค้อน
“นายนี่! ไม่น่ารักเลย ใครจะไปหลงผิดคิดอะไรกับเจ้าชายจอบหนาวเหน็บของนายกับล่ะ! ดูดีก็เฉพาะตอนนอนเท่านั้นแหละ!”เธอย้อนกลับไปอย่างหัวเสีย โคลด์ไม่สนใจ ทำเพียงกระโดดลงจากโซฟา
“เจ้าน่ะ แย่งที่นอนเจ้าชายแล้ว มาทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยเร็วเข้า”เพนกวิ้นน้อยหันมากล่าวทิ้งท้าย “มาช่วยข้าเตรียมพระกายาหารเช้า”โคลด์เดินดุ่ยๆ ออกไปจากห้องกัปตัน แอมเบอร์เบ้ปากแล้วกรอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเป่าผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าออกไปอย่างลูกๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียง
แอมเบอร์ตามโคลด์เข้ามาในห้องครัวของเรือที่มีเพียงเตาแก๊นเล็กๆ และตู้แช่แข็ง โคลด์ในร่างชายหนุ่มตัวสูงกำลังมองหาอุปกรณ์ในตู้ และเมื่อหันมาเห็นเธอก็ไล่เธอไปสไลด์มะเขือเทศ แอมเบอร์ไม่บ่นอะไรยอมทำตามแต่โดยดี
“อะไรกันเนี่ย! สไลด์เสียหน้าขนาดนี้ ใครเป็นคนสอนขอรับ นี่ทำให้เจ้าชายนะขอรับ! ไร้ความประณีตละเอียดอ่อนอะไรเช่นนี้!”โคลด์โวยวาย(อีกแล้ว)เป็นการใหญ่ แอมเบอร์ผ่อนลมออกมาทางจมูกแรงๆ ก่อนจะหันไปชายตาค้อนเข้มใส่คน(?)ขี้บ่นที่ยืนอยู่ข้างหลัง กับอีกแค่หั่นมะเขือเทศหนาเซนฯ สองเซนฯ จะอะไรนักหนา!
“โว้ย! ก็แล้วเจ้าชายของนายบดอาหารด้วยฟันทั้งสามสิบสองซี่ในปากหรือเปล่าล่ะ! ถ้าใช่ละก็ กับของแค่นี้เหงือกไม่ร่นหรอกน่า!”แอมเบอร์แยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ จะแบ่งชนชั้นอะไรนักหนาก็ไม่รู้ เจ้าชายก็คนเหมือนกันละ โธ่เอ้ย!
“ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว แม่หญิง เจ้าชายของข้าน่ะเป็นคนละเอียดอ่อน เชื้อข้าเถอะ แค่หันมะเขือเทศในสลัดหนาเกินไปพระองค์ก็ทักแล้ว”โคลด์พูดพลางทำมือให้แอมเบอร์ถอยออกไป แล้วหยิบมีดมาหั่นผักเอง “แม้พระราชากับพระราชินีจะไม่มีเวลาว่างมาถ่ายทอดวิชาความรู้ได้ด้วยตัวพระองค์เอง แต่ก็กำชับพวกราชครูให้เข้มงวดกับเจ้าชายให้มากที่สุด เพื่อให้โมาเป็บุรุฒผู้เข้มแข็ง เด็ดขาด จึงจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางความกดดัน บวกกับความหนาวเย็นของทะเลอาร์กติก ทำให้พระองค์กลายเป็นองค์ชายแสนสุขุม ผู้น่าภาคภูมิใจของข้า เฮ้อ...คิดแล้วน้ำตาจะใหล ทรงเป็นหนุ่มแล้ว...”โคลด์พร่ำเพ้อพรรณนาอยู่คนเดียว ปากของแอมเบอร์ค่อยๆ อ้าลงตั้งแต่เขาพูดคำแรก จนตอนนี้ไม่รู้แมลงวันเข้าไปไข่กี่ตัวแล้ว
...สุขุมเหรอ? นิ่งเงียบจนเป็นประติมากรรมน้ำแข็งล่ะไม่ว่า!...
“นายอยู่กับหมอนั่นมานานแล้วสิ”แอมเบอร์แกล้งถาม เธออยากจะรู้เรื่องของหมอนั่นเหมือนกัน ว่าถูกเลี้ยงมายังไง นิสัยถึงได้พึลึกกึกกือผิดมนุษย์มนาแบบนี้
“โอย...ตลอดชีวิต หนึ่งร้อยห้าสิบปีที่อยู่มา รู้สึกเกิดมามีค่าก็สิบแปดปีหลังที่ได้รับใช้พระองค์นี่แหละขอรับ”ปากของแอมเบอร์อ้าเหวอยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้ยินบทละครชีวิตดราม่าน้ำตาใหล กับน้ำเสียงพากย์ซาบซึ้งได้อารมณ์ สาวเจ้าเริ่มยกมือขึ้นมาเกาขับแล้วกระพริบตาปริบๆ
“ม...มีความสุขมาสินะ”
“โอโห้! ที่สุเลยขอรับกระผม เดี๋ยวว่างๆ ข้าจะเล่าชีวประวัติอันน่าสรรเสริญของเจ้าชายให้ท่านหญิงได้ฟังนะขอรับ ตอนนี้ไปปลุกให้ลุกขึ้นมาเสวยอะไรก่อนดีกว่า เดี๋ยวท่านแอมเบอร์ยกเครื่องเคียงตามไปนะขอรับ”โคลด์ไม่พูดพล่ำทำเพลง เดินยกอาหารจานหลักออกไปจากห้องครัว แอมเบอร์ถอนหายใจอย่างเหลืออดก่อนจะเดินไปหยุดที่เค้าเตอร์ที่มีถ้วยเล็กถ้วยน้อยของเครื่องเคียงก่อนจะยกทั้งหมดใส่ถาดเหล็กแล้วเดินตามไป
“เจ้าชาย ตอนนี้เราอยู่เหนือย่านน้ำแอตแลนติกแล้ว จะลงเลยหรือเปล่าขอรับ?”กัปตันเรือหันมาพูดกับเซดริกที่กำลังจิบโกโก้ เด็กหนุ่มหันไปสนใจคนพูดอยู่ครู่แล้วกระดกโกโก้อึกสุดท้ายจนหมดแก้วแล้วลุกขึ้นยืน
“เอางั้นก็ได้”เขาพูดก่อนจะเอามือสองงข้างไปจับชายเสื้อยืด แล้วเลิกขึ้น เผยให้เห็นหน้าท้องสีขาวนวลเรียกเลือด กล้ามเนื้อกำยำเห็นเด่นชัดแบบไม่มากไม่น้อยจนเกินไป มีตำหนิเป็นแผลเป็นบ้างเล็กน้อย แต่หาได้บั่นทอนออร่าที่เปล่งออกมาไม่ อกผายใหล่กว้างดูสง่า แอมเบอร์เหลือบมาเห็นแว๊บหนึ่งต้องรีบหันไปอีกทาง แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ยอมรับว่าถ้าเรียกให้มองก็คงไม่ปฏิเสธ แต่มาถอดอะไรตรงนี้วะ! ไอ้บ้า!!
บรีอันมองปฏิกิริยาของแอมเบอร์แล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะเอาศอกสะกิดแขนคนตัวเล็ก
“เฟิร์มกว่าฉํนอีกนะ ไม่ส่องเยอะๆ ระวังมาเสียใจทีหลังล่ะแม่คุณ”บรีอันกระซิบแซวเธอ แอมเบอร์หน้าร้อนฉ่าก่อนจะหันควับมาค้อนตาใส่คนปากดี
“จะบ้าเหรอ! อยากปากแตกหรือไง!?”แอมเบอร์กำหมัดตั้งท่าจะชก อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาปางห้ามญาตแล้วทำทียอมแพ้ขอโทษขอโพย แล้วยิ้มทะเล้น
“ฉันจะถอดบ้าง จะนั่งดูไหม”แต่ก็ยังไม่เลิกแกล้ง...
“จะดูไปทำแมวอะไรล่ะยะ!!”แอมเบอร์ตะหวานลั่นแล้วลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องทันที เซดริกมองสาวที่เดินตึงตังออกไปอย่างสงสัย แล้วเปรยตาเชิงถามไปหาบรีอัน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ยัยนั่นคงแค่ไปหาชุดคลุมน่ะ ร่างกายผู้หญิงเวลาไม่มีเกล็ดหุ้ม มันละเอียดอ่อน ไม่เหมาะถ้าเราจะเห็น”
“หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามก็มายืนตรงท้ายเรือที่ถูกปลดเหล็กกัน และทอดสะพานลงไปในน้ำ แอมเบอร์ก้าวไปหาน้ำก่อนเพื่อให้ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นห่างปลา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นผิวกายที่เปลือเปล่า เกล็ดปลาสีเงินเป็นประกายค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มเกือบทุกส่วนของร่างกาย คลีบหลังงอนสวยค่อยๆ งอกออกมาพร้อมกับครีบหางที่ค่อยๆ เชื่อมพังผืดเข้าหากัน
แอมเบอร์มุดหัวลงใต้น้ำแล้วแหวกว่ายลงไปเพื่อให้ตัวถูกน้ำทั้งตัว เป้ดความรู้สึกที่คิดถึงและโหยหาอย่างที่สุด เพราะลองมาคิดๆ ดูแล้ว เอได้ลงน้ำย่างสยายใจเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ตูม! จ๋อม
เป็นเสียงที่ไม่ต้องเดาว่าคืออะไร แอมเบอร์เงยหน้าไปหาสองคนที่กระโดดลงมาพร้อมกันดังตูม ส่วนเสียง๋อมเล็กๆ นั้นก็เป็นเสียงร่างกลมๆ ของโคลด์นั่นเอง
บรีอันในร่างหางปลาเป็นอะไรที่เธอเห็นจนชนแล้ว แน่นอนผิวแทนเซ็กซี่กับกล้ามเนื้อนั่นคงเป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆ แต่กับเธอที่เคยเห็นแม้ตอนที่มันยังเนื้อนุ่มนิ่งเด้งดึ๋ง จึงไม่เคยรู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น แต่กับร่างผิวขาวนวล แถมสะท้อนเป็นผิวเพชรแสงเพราะเกล็ดสีเงินบางๆ นั่น บวกกับกล้ามเนื้อที่ดูกำยำมากกว่า ยอมรับว่ามันดึกดูดจนเธอต้องแอบเปรยตาไปมองบ้าง
แต่คิ้วเรียวก้ต้องขมวดมุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นเป็นทางยาวจากโคนครีบหางขึ้นมาเกือบฟุต ดูจากความใหญ่และเป็นรอยเหว่โดวยไม่มีเกล็ดงอกขึ้นมาปิดทับ บ่งชี้ชัดว่ามันคงลึกมากทีเดียว
“มันเป็นเรื่องเศร้าขอรับ ท่านแอมเบอร์”อยู่ดีๆ โคลด์ก็โผล่มาข้างหลังเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าแบบเวอร์ๆ แปลกๆ
“ห...หา?”แอมเบอร์กระพริบตาปริบๆ แล้วกลับหลังหันกลับไปหาช้าๆ
“ก็ข้าเห็นท่านกำลังสนใจรอยแผลเป็นนั่น”โคลด์หันมาถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ถึงเวลาเขาอยากเล่าก็จะเล่าอยู่ดี “รอยแผลนั่นได้มาตอนฝึกหัดเดินแล้วถูกน้ำแข็งบาดขอรับ ทรงมีพระชนมายุแคเจ็ดพรรษาเท่านั้น”แอมเบอร์เลิกคิ้วเบิกตากว้าง
“จริงอะ”เธอแอบมองแผลนั่นอีกครั้งแล้วก้มลงไปกระซิบถามเบาๆ
“จริงซิขอรับ คงรู้ใช่ไหมขอรับ การที่เงือกเลือดบริสุทธิ์จะหัดเดิน สมัยนี้เป็นเรื่องยากมากๆ แล้ว เพราะพวกเราขาดการติดต่อกับพวกมนุษย์มานานหลายยุค กระดูดกระเดี้ยวก็ไม่ดีเหมือนโบราณ ทรงถูกบังคับให้เดินจนสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยสองเท้า ในบรรดาทายาททั้งห้าอาณาจักร พระองค์เป็นเพียงหนึ่งในสองที่สามารถเดินได้ขอรับ”
“สองเหรอ?”แอมเบอร์ถามอีก
“รู้สึกว่าองค์ชายแห่งแอตแลนติกก็ทำได้นะ เหมือนจะอ่านผ่านๆ มาในบันทึกราชวงศ์”อยู่ดีๆ บรีอันก็โผล่หน้ามาข้างๆ แอมเบอร์เผลอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ พอหมอนี่ว่ายน้ำได้เลยโผล่ไปไหนก็ได้ เธอลืมไป!
“ตาบ้านี่! ให้ซุ่มให้เสียงบ้างสิ”แอมเบอร์ส่งสายตาตำหนิให้ บรีอันยิ้มหยีตา
“แล้วใช่ไหมล่ะ”เด็กหนุ่มว่า
“ใช่ขอรับ ทรงโตและศึกษาเล่าเรียนมาด้วยกัน เจ้าชายโครีลแห่งแอตแลนติกถูกส่งมาอยู่ที่อาณาเรา ตอนยังทรงพระเยาว์ ข้าไม่มีสิธิ์วุ่นวายเรื่องรายละเอียด รู้แต่เพียงถูกส่งตัวกลับไปตอนมีพระชนมายุได้สิบพรรษา”โคลด์ว่า บรีอันยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“เห็นเปล่าว แม่คุณ ชาวบ้านเขาก็เดิ...”ยังไม่ทันได้พูดอะไร หมัดหนักๆ ก็ถูกจัดมาเต็มๆ ที่ท้องน้อย บรีอันเอี้ยวตัวหลบทัน แต่ก็โดนเล่นงานด้วยสายตาค้อนเข้มที่ส่งมานั่นอยู่ดี
“ถ้าชื่อ ‘ชาวบ้าน’ เมื่อไหร่ละก็ ค่อยมาบ่น”สาวน้อยเอ่ยอย่างเคืองๆ บรีอันยิ้มทะเล้นแล้วหัวเราะออกมายั่วมาโหเรียกเสียงฟึดฟัดจากคนตัวเล็ก แอมเบอร์ไม่สนใจคนที่พยายามจะยั่วประสาทเธอ เปลี่ยนมาสนใจกับก้อนประติมากรรมน้ำแข็งที่ยืนแอ็กท่านิ่งถ่ายแอมเบอร์อยู่ห่างออกไปไม่มากไม่น้อย “แล้วนายนั่นอะ! จะเก็กอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม?”แอมเบอร์ตะโกนไปพูดกับเซดริกที่หยุดนิ่งหันหลังให้พวกเธอไม่ไปว่ายไปไหนมานาน
“นินทาฉันกันเสร็จหรือยังล่ะ”เซดริกหันมาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าเสร็จแล้วก็ไปกันสักที”เขาเอ่ยพลางดีดหางว่ายตรงไปข้างหน้าเงียบๆ โคลด์มองภาพนั้นแล้วรีบว่ายเข้าไปประชิด
“ข...ขออภัยที่พูดมากพะย่ะค่ะ”เป็นสายตาแห่งความเกรงใจที่ส่งมาให้ เซดริกเปรยหางตามามองครู่หนึ่งแล้วมองกลับไปทางเก่า
“ไม่เป็นไร”
---------------------------------
To be continue
ความคิดเห็น