คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4 : ฉันจะไป
“แม่คะ...หนูไม่เข้าใจเลย ทำไมไม่เป็นพี่ แต่เป็นหนู...เพราะหนูเกิดทีหลังพี่เราจึงต้องเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ...”เสียงหวานบนสะอื้นเอ่ยกับร่างหญิงสาวในโรงแก้ว เปลือกตาของเธอหลับสนิท หากแต่หัวใจยังเต้นและยังมีลมหายใจ แม้แสงสว่างภายใต้ท้องทะเลลึก จะริบหรีน้อยนิดเพียงใด แต่ก็มิอาจบั่นทอนความขาวนวลของผิวร่างนั้น เส้นผมสีบลอนซ์ทองหยักศกเปล่งประกายท่ามกลางความมืด หล่อนเป็นสตรีผู้งดงาม งามเกิดกว่าที่ตัวหนังสือจะอธิบายได้
เด็กสาวอายุราว17ปี ผมสีบลอนซ์ทองหยิกพอเป็นทรงยาวสยายไปกับน้ำ เกล็ดปลาสีเขียวมรกตบนเรียวหางยาวสวยทิ้งตัวลงอย่างนุ่มนวลตามสายน้ำ เธอเอาหน้าผากแนบกับกระจกใสของโรงแก้วตรงหน้า เพราะหยาดน้ำรอบกายพัดพาเอาน้ำตาที่หลังใหลออกมาลอยสลายไปหมด จึงไม่มีใครรู้ถึงความเศร้าโศกที่เธอมี ดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับผืนมหาสมุทรเต็มไปด้วยความเหงาและหนาวเหน็บ มองไปที่ร่างตรงหน้าทึ่ถึงแม้เธอจะพยายามพูดคุยด้วยเพียงใด แต่ก็ไม่เคยมีเสียงตอบกลับมา...
“ถ้างั้นพี่ก็ไม่ควรเกิดมา...”เด็กสาวเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด “หนูกับแม่ควรมีความสุข เราควรจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ เราจะไม่ถูกพันธนาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่!!!”
ปัง!
เด็กสาวใช้มือสองข้างทุบกระจกเสียงดัง แล้วดีดหางผละตัวเองออกจากตรงนั้น ว่ายขึ้นไปอยู่เหนือโรงแก้ว
“พูดกับหนูสิ!!”เสียงตวาดดังลั่น แม้จะไม่มีใครได้ยินมัน “นอนนิ่งอยูทำไมล่ะ บอกหนูสิ! หนูจะทำยังไง แม่จะให้หนูทำยังไง!!!”ความรู้สึกโกรธ แค้น กลัว เหงา และหนาวเหน็บ ผสมบนเปกันมั่วไปหมด จนตอนนี้เธอไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เด็กสาวหอบหายใจถี่รัว มาคิดทบทวนสิ่งที่เพิ่งทำลงไปเมื่อครู่ ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมา ร่างบางทิ้งตัวลงมานอนหมอบบนโรงแก้วนั้น แล้วสะอื้มเสียงดัง
“หนูขอโทษค่ะแม่ แต่หนู...ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี...”
ไม่ว่าจะร้องไห้ออมามากมายเพียงใด ทะเลก็กลืนกินมันไปหมด...มีเพียงเธอเท่านั้นที่รับรู้ถึงการมีอยู่ ของหยาดน้ำตาเหล่านั้น...
เด็กสาวหลับตาลงช้าๆ พยายามทำให้ใจสงบ และสมาธิที่เธอพยายามสร้างขึ้นก็พลันแตกหักบุบสลาย เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังก้องขึ้นมาในหัว
...เทย์เลอร์...
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก พร้อมกับสีหน้าหวานกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ท...ท่าน”น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยออกมาแผ่วเบา
...จงมานี่...เทย์เลอร์น้อยที่น่ารักของข้า...
เด็กสาวเม้มปากแน่นก่อนที่คิ้วเรียวจะหมุนเข้าหากัน
“หนูต้องไปแล้วค่ะ แล้วเจอกันนะคะ...แม่...”
ก็อกๆๆๆๆ ก็อกๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูถี่รัวราวกับคนข้างนอกนั่นกำลังจะขาดใจตาย ปนกับเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำอยูข้างนอกฟังดูอึกทึกครึโครม ตามมาด้วยเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก จากเด็กหนุ่มคนที่เดิม ที่มาที่นี่ทุกๆ เช้า
“คุณครอบลี่ย์! คุณ
ประตูเปิดผ่าง!
ร่างสูงของเอมีเลียส ครอบลี่ย์รีบก้มลงมาประคองร่างของเจ้าแห่งชายแปซิฟิกขึ้นบ่า แล้วพาเข้าไปในบ้าน ก่อนขาสองข้างนั้นจะแปลเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียก่อน
“เร็วเข้า ฮึบ!”เขาพาร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้าน แล้วค่อยๆ วางลงบนโซฟาเหมือนทุกที ่อนจะหยิบผ้าขนหนูในห้องน้ำส่งให้ “ใช้นี่เช็ดตัวให้แห้ง เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
บรีอันรับมันมา ก่อนจะเอ่ย
“ขอบคุณฮะ”
“พ่อหนุ่ม...แอมเบอร์ตื่นหรือยัง”เอมีเลียสหันไปคุยกับใครบางคนในครัว ซึงก็เดินออกมาแล้วทำสีหน้าเรียบๆ
“ไม่ทราบครับ”เซดริคตอบ
“อืม...ไม่ไหว เป็นเสียอย่างนี้ทุวัน ฝากพวกเธดูแอมเอบร์ด้วยแล้วกัน ฉันต้องไปแล้ว ขอโทษนะวันนี้ฝนตกเสียด้วย จะไปโรงเรียนกันยังไง?”ชายวัยกลางคนถามพลางผูกเนคไทไปด้วย
สององค์ชายมองหน้ากันเป็นเชิงถาม ถ้าไม่รอให้ฝนหยุดตกก่อนคงไปไหนไม่ได้แน่ จ ะกางร่มที่มีแค่สองคันในบ้านก็ไปก็ดูจะเสี่ยงไปหน่อย
“อาจจะรอให้ฝนหยุดตกก่อนฮะ”บรีอันหันไปตอบ
“โอเค งั้น...ฝากดูบ้านกันด้วยนะ”วันนี้คุณครอบลี่ย์ดูเร่งรีบเป็นพิเศษ ถึงขนาดลืมอบแพนเค้กให้แอมเบอร์ นี่ต้องเป็นงานด่วนมากแน่ๆ
“ไง”บรีอันหันไปทักทายเซดริค หลังจากเอมีเลียสออกจากบ้านไปแล้ว เซดริคมองหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“อรุณสวัสดิ์”สีหน้านั่นยังคงเรียบเฉยเหมือนเคย จนบรีอันเริ่มรู้ว่านี่คงเป็นใบหน้าปกติของเขา
“นายอบแพนเค้กได้ไหม”บรีอันถาม เซดริคมองหน้าเขาอย่างงงๆ “ยัยคนข้างบนต้องกินทุกเช้าน่ะ”เจ้าชายแห่งแปซิฟิกยิ้มอย่างเป็นมิตร แนนอนว่าเซดริคไม่ได้ยิ้มตอบอะไร ทำเพียงเดินเข้าไปในครัว หยิบจานแพนเค้กออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กหน้าทีวี นี่เป็นสิ่งที่คุณครอบลี่ย์ฝากให้เขาทำทิ้งเอาไว้เมื่อเช้า คงเป็นของยัยนั่น...
ตึก...ตึก...
เสียงเท้ากระทบบันไดอย่างเชื่องช้า บรีอันหันไปมองสาวเจ้าที่เดินหาวลงบันไดมาแล้วยิ้มเล็กน้อย
“หวัดดี”แอมเบอร์พูดด้วยน้ำเสียงยานๆ เหมือนผีญี่ปุ่นหน้าขาวคลานลงมาจาบันได บรีอันหัวเราะหึหึ
“ก่อนจะพูดว่า ‘หวัดดี’ เขาว่ากันว่าให้ตื่นเสียให้เรียบร้อยก่อนนะแม่คุณ”เขาแซนแอมเบอร์ สาวเจ้ายกมือขึ้นมาขยี่ตา
“ตื่นแล้ว”เสียงงัวเงียนั่นเรียกเสียงหัวเราะของบรีอันดังขึ้นมาอีก
“แล้วทำไมงัวเงียนัวันนี้ ดูหนังจนไม่ได้นอนหรือไง”เป็นคำถามที่ทำให้คิ้วเรียวระตุก สาวเจ้าเปรยตาไปมองร่างของคนที่ยืนพิงประตูครัวแล้วถอนหายใใจออกมายาวๆ โดยที่คนถูกถอนหายใจใส่ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเดินหนีเข้าครัวไปโน่น
“มัวแต่สอนพวกบ้านนอกเข้าครุงเล่นคอมฯต่างหาก!”เจ้าหล่อนพูดพลางเดินเข้าไปหยิบช็อกโกแลตในตู้เย็น แล้วหันไปเห็นร่างสูงกำลังยกกระทะไปล้าง ทำให้หวนนึกไปถึงจานแพนเค้กบนโต๊ะ “ไอ้นั่นฝีมือนายเหรอ?”เธอถามขึ้นมา
เซดริควางกระทะลงในอ่างแล้วหันมามองเธอ
“ไม่ได้ใส่ยาพิษหรอก”ประโยคนี้ทำให้สาวเจ้าเม้มปาก หมอนี่จะกวนประสาทเธอไปถึงไหน!
แอมเบอร์ปิดประตูตู้เย็นดังปัง หลักจากหยิบช็อกโกแลตออกมาแล้ว ก่อนจะหันหลังเดินออกจากครัวเพื่อจัดกระกับแพนเค้กฝีมือคนที่เธอเพิ่งประณามในใจกวนประสาทนักหนา
เมื่อแพนเค้กในจานหมดเลี้ยง แอมเบอร์เดินเข้าไปล้างจานในครัวก่อนจะมานนั่งรวมกันที่โซฟากับอีกสองคนที่เหลือ บรีอันเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ เพื่อหาอะไรสนุกๆ ดู แต่เพราะมันยังเช้าอยู่ สถานีส่วนใหญ่จึงมีแต่ข่าว
“เฮ้อ! ฝนก็ดันต จะไปโรงเรียนกันยังไงเนี่ย”แอมเบอร์บ่นอุบอิบ
เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึม เซดริคขยับตัวไปที่หน้าต่าง แล้วเอามือเปิดม่านพวกนั้นออกให้พ้นสายตา ก่อนจะมองผ่านกระจกหน้าต่างที่เปียกลู่ไปด้วยหยดน้ำฝนไปที่ท้องฟ้าหม่นๆ เบื้องบนแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“รอให้มันตกก่อน ก็ดีไม่ใช่เหรอ เธอจะได้มีเวลานอนงีบ”บรีอันพูดพลางยักใหล่
“ฉันนอนไม่หลับหรอก มีพวกนาย
“มันไม่หยุดหรอก”เสียงเรียบๆ ของคนที่อยู่ริมหน้าต่างดังขึ้นมา เรียกความสนใจของอีกสองคนให้หันไปมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“หมายความว่าไง”แอมเบอร์ถาม
“ก็ตามที่พูด”เซดริกพูดแล้วหย่อนขาลงมาจากโซฟา “ฝนนี่ไม่ใช่ฝนตามฤดูของที่นี่ไม่ใช่หรือไง”
“ก็จริงอยู่ว่าตอนนี่ไม่ใช่หน้าฝน แต่ถ้ามันจะตกบ้างจะแปลตรงไหน”สาวเจ้าถามอี
“ก็มันแปลก”เซดริกว่า ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งกระชาม่านให้เปิดออก “เมฆฝนหนาขนาดนี้ ถ้ามันจะตก เมื่อวานอากาศคงชื่นกว่านี้”
“นายเป็นนักพยากรณ์อากาศหรือไง คิดมากน่า”แอมเบอร์ส่ายหน้าไปมา หนักใจับพวกบ้านนอกอวดฉลาดจริงๆ
บรีอันที่นั่งเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ในขณะที่ฟังทั้งคู่สนทนาไปด้วย เก็บสิ่งที่ได้ยินมาคิดคนเดียว
ปิ๊บ!
เสียงกดรีโมทอีกครั้งของเด็กหนุ่ม บรีอันค้างเอาไว้ที่ช่องข่าวเกี่ยวกับการรายงานสถานการณ์ต่างประเทศ
“นี่ๆ มาดูนี่สิ”เด็หนุ่มเรียก
[เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกคะ ดาวเทียมจับภาพลุ่มเม๘ดำขนาดใหญ่ก่อตัวกันเหนือมหาสมุทร บริเวณสะดือทะเล และขยายตัวไปเรื่อยๆ ตามแนวมหาสมุทร ส่งผลให้ประเทศใกล้เคียงหลายประเทศเกิดฝนตกพร้อมกัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุของเมฆเหล่านี้...]
ปิ๊บ!
บรีอันกดไปอีกช่อง
[เกิดพายุฝนตกหนักที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา แม็กซิโก คิวบา เฮติ โมินิก้า และอีกหลายประเทศ คาดว่าน่าจะมาจากเมฆฝนประหลาดที่เกิดขึ้นเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก เมฆเหล่านี้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ไปตามแนวทะเล เตือนให้ประชากรประเทศติดทะเลให้พกร่มติดตัวเอาไว้...]
“สะดือทะเล...”เซดริคพึมพำเบาๆ บรีอันหันควับไปมอง ก่อนจะเอ่ย
“มีอะไรเหรอ”
“ฝนนี่คงไม่หยุดตริงๆ นั่นล่ะ”
ก็อกๆๆๆ
พลันเสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น เจ้าชายแห่งอาร์กติคก็ลุกพรวดขึ้นมาราวกับรออยู่นานแล้ว บรีอันมองร่างที่เพิ่งทิ้งคำพูดประหลาดให้เขาสงสัยเล่นเมื่อครู่ก็รีบลุกตามไปอีกคน แน่นอนว่าสาวเจ้าของเราคงไม่รอช้า
เซดริคเปิดประตูบ้านออกมาโดยไม่คิดสำรวจว่าเป็นใครมาจากไหน ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าจะมีใครมาเคาะประตู
“ไปไหนมา โคลด์”ประตูยังเปิดไม่ทันเห็นหน้าคนข้างหลังนั่นด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงออกนำหนิเล็กๆ ก็เอ่ยลอดชองประตูออกไปเหน็บเจ้าของชื่อที่ว่านั่นแล้ว “ฉันแทบจะตื่นรอนายทั้งคืน”
“ข...ขอประทานอภัยพะยะค่ะ เจ้าชาย นกทะเลนำสารมอบหมายงานจากพระราชามาให้กระหม่อมเมื่อวาน ก็เลยไปที่แอตแลนติกมา...เพิ่งกลับถึงเมื่อไม่นานนี้เอง”น้ำเสียงและคำพูดสุภาพบ่งบอกถึงความต่างชั้นของฐานะดังมาจากชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังบานประตูนั่น
เขาอยู่ในชุดสูทเป็นทางการสีดำเปียโช และแว่นตาดำดูลึกลับ มองเผิญๆ ราวกับเพิ่งหลุดออกมาจากหนังเรื่องเดอะแมทริก ผิวขาวซีดเหมือนหิมะตัดกับเรือนผมสีดำขลับยาวระต้นคอที่มีน้ำเปียกลู่ คาดว่าน่าจะมาจากฝนที่กำลังตก
“รีบๆ เข้ามา”เซดริคเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อต้อนรับชายปริศนาผู้มาเยือนใหม่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง แอมเบอร์ขมวดคิ้วมุ่น แล้วรีบกรูเข้าไปกระชากมือข้างนั้นออกจากลูกบิดประตูพลางพูด
“เฮ้ยๆๆๆ อะไรๆ นี่บ้านฉัน!”สาวเจ้ามองหน้าคนพูดน้อยอย่างหาเรื่อง “คนที่จะสามารถเปิดประตูต้อนรับไม่ว่าใครก็ตามเข้าบ้านต้องเป็นฉัน! ไม่ใช่นาย! แล้วนี่เป็นใครมาจากไหนฉันยังไม่รู้จัก นายเปิดให้เข้าบ้านได้ไง มีมารยาทบ้างเซ่!!”
ไม่มีความเมตตาปราณีว่าคนข้างนอกจะเปียกฝนแค่ไหน เซดริคถอนหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะอธิบาย
“หมอนั่นชื่อโคลด์ เป็นสัตว์รับใช้ประจำตัวฉัน”
แอมเบอร์เบือนหน้าหนีอย่างเชิดๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้คนนอกประตูที่ยืนตากฝนอยู่ แล้วผายมือให้เข้ามาในบ้าน
“เชิญค่ะ”
คุณโคลด์โค้งหัวลงมาเล็กน้อย แล้วเดินเข้ามาข้างใน
พลันประตูบ้านปิดลง คนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนร่างสูงๆ นั่นจะค่อยๆ หดเล็กลอง
“เฮ้ย!”บรีอันอุทานขึ้นมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าหนุ่มชุดสูทสุดหล่อที่เพิ่งเดินข้าวหายไปอย่างไร้ร่องเหลือ...เหลือก็แต่...
“เพนกวิ้น!!!”แอมเบอร์พูดเสียงสูงจนเกือบจะเป็นการกรี๊ด เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตัวกลมขาสั้นน่ารักมาเดินอยู่ในบ้านตัวเอง
เพนกวิ้นน้อยสะดุ้งโหยงก่อนจะค่อยๆ เดินไปหลบข้างๆ เซดริคที่ยืนถอนหายใจส่ายหน้าอยู่หน้าประตู เขาลืมบอกเรื่องโคลด์กับยัยนี่ไป...
“กระหม่อม...ทำอะไรผิดพะยะค่ะเจ้าชาย...”เพนกวิ้นน้อยเอ่ยถามผู้เป็นนายพลางเหล่ตามองสาวผมบลอนซ์ที่จ้องตัวเองตาเป็นมัน
“ผิดที่เป็นเพนกวิ้นไง”เจ้าชายแห่งอาร์กติคเอ่ยเนิบๆ พลางเดินดุ่ยๆ ออกไปจากตรงนั้นไปที่ห้องครัว ทิ้งข้ารับใช้ประจำตัวเอาไว้กับแอมเบอร์ที่ค่อยๆ ก้มลงมาหา เงาของร่างที่สูงใหญ่กว่าค่อยๆ ปกคลุมร่างกลมๆ นั่น โคลด์มองคนตรงหน้าแล้วกระพริบตาปริบๆ ทั้งๆ ที่ใบหน้านั่นยิ้มอยู่...ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา...
เซริคที่เดินเข้าไปในครัว ตอนนี้หยิบกาละมังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาใส่น้ำแข็งในตู้เย็นประมาณครึ่งหนึ่ง ก่อนจะตะโกนเรียกหาข้ารับใช้ตัวน้อยที่ไม่เห็นจะเดินตามมาอย่างที่เขาคิด
“โคลด์!”หนึ่งครั้งที่เรียกออกไปออกไปไม่เห็นเงาของเจ้าของชื่อ เซดริคขมวดคิ้วเล็กน้อย “โคลด์!”เขาตะโกนเรียกอีกครั้งแล้วหันไปมองที่ประตูครัว รออยู่ครู่และเมื่อเห็นร่างที่โผล่ออกมา คิ้วเรียวก็ค่อยๆ หมุนเข้าหากัน
“ย...อยู่นี่ขอรับ เจ้าชาย...”เสียงสั่นๆ ของเพนกวิ้นน้อย ข้ารับใช้ของเขา ที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของเด็กสาวเจ้าของบ้านที่ยิ้มหน้าบาน
“มันพูดได้ด้วยล่ะ”แอมเบอร์ว่า
เซดริคหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนมันออกมายาวๆ แล้วเอื้อมมือไปยกกาลังมังใส่น้ำแข็งขึ้นมา
“เพนกวิ้นเป็นสัตว์ขั้วโลก”เด็กหนุ่มเอ่ยเนิบๆ “อยู่กับน้ำแข็งน่าจะดีกว่าผิวกายอุ่นๆ”
แอมเบอร์มองคนตรงหน้าแล้วเบ้ปาก แต่ก็ยอมวางเพนกวิ้นน้อยในอ้อมแขนลงบนกาละมังแต่โดยดี โคลด์เมื่อลงไปอยู่ในกาละมัง ก็เหมือนปลาได้น้ำ กลิ้งไปมาบนน้ำแข็งอย่างมีความสุข
เซดริคเดินผ่านร่างของแอมเบอร์มาโดยไม่คิดสนใจ เขาวางกาลังมังที่อุ้มมาลงบนโต๊ะหน้าทีวี ก่อนจะเอ่ยถามข้ารับใช้ประจำตัวด้วยน้ำเสียงจริงจัง(ถึงแม้มันจะฟังดูจริงจังตลอดเวลาก็ตาม)
“ท่านพ่อให้นายไปทำอะไร”เพนกวิ้นน้อยได้ยินเจ้านายถามก็เงยหน้าขึ้นมา
“คลื่นในทะเลซัดสวนทางลมกระหม่อม พระราชาจึงรีบบอกให้กระหม่อมไปสังเกตการณ์ที่แห่งนั้นว่ามีอะไรผิดปกติไหม”
“แล้ว?”
“น้ำวนกระหม่อม น้ำวน...”โคลด์พูดพลางทำมือ(ปีก)ทำไม้ประกอบ “ตอนที่กระหม่อมไปถึง น้ำวนที่ว่าสงบลงไปแล้ว จึงได้แต่ถามจากชาวบ้านที่นั่น ชาวบ้านบอกข้าว่ามีน้ำวนขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่เบอร์มิวด้า”
“น้ำวนเหรอ...”เซดริคพึมพำ
“ยังมีอีกนะกระหม่อม ชาวบ้านบอกว่ามีลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากใจกลางน้ำวนขึ้นไปบนฟ้า ทำให้เกิดเมฆสีดำด้วย แล้วหลังจากนั้นน้ำวนก็สงบลง”โคลด์พูดพลางเกาหัวเล็กน้อย “กระหม่อมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่สัญญาณที่นี่นะพะยะค่ะ...เราควรไปรวมตัวกับรัชทายาทคนอื่นๆ ที่แอตแลนติก ไม่ทราบว่าพระองค์พบเจ้าชายแห่งแปซิฟิกหรือยัง?”เพนกวิ้นน้อยถามขึ้น เซดริคเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปทางบรีอันที่นั่งอยู่ที่โซฟาตัวเล็ก
“สวัสดี”บรีอันยิ้มทักทายเพนวิ้นน้อย
“โอ...เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพระองค์พะยะค่ะ”โคลด์โค้งหัวอย่างสุภาพก่อนจะหันไปหาเจ้านายของตัวเอง “ถ้างั้นก็รีบออกเดินทางกันเถอะพะยะค่ะ กระหม่อมว่าท้องทะเลเริ่มปั่นป่วนแล้ว...”
“นายว่าไง?”เซดริคหันไปถามบรีอัน คนถูกถามยักใหล่เล็กน้อย
“ฉันหาข้ออ้างบอกคุณลุงกรีน่าแล้วเมื่อคืน จะเมื่อไหร่ก็ได้”
“ฉันก็เมื่อไหร่ก็ได้”อยู่ๆ แอมเบอร์ก็โพล่งขึ้นมาไม่บอกกล่าวหลังจากเงียบมานาน ทุกคนหันไปมองเธอพร้อมกัน แอมเบอร์จึงแสร้างมองไปทางอื่น
โคลด์ยื่นหน้าไปทางแอมเบอร์ ก่อนจะหมุนคิ้วข้างหนึ่งราวกับคิดอะไรอยู่
“ท...ทำไม??”เห็นจ้องเอาๆ แบบนี้แอมเบอร์ก็เริ่มสงสัย
“แม่นางเป็นเจ้าหญิงอาณาจักรไหนหรือขอรับ? โปรดประทานอภัย กระหม่อมไม่คุ้นหน้า”โคลด์พูดพลางยกปีกขึ้นมาเกาหัว
แอมเบอร์กัดฟันเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ
“ฉันไม่ได้เป็นเจ้าหญิง”เธอตอบพลางยกมือขึ้นกอดอก “แล้วฉันจะไปด้วยไม่ได้?”
โคลด์ทำสีหน้าหนักใจ แล้วหันหน้าไปมองผู้เป็นของตัวเอง เซดริคยักใหล่อย่างที่ไม่รู้ว่าจะสื่อถึงอะไร เพนกวิ้นน้อยยกมือขึ้นมาเกาหัวอีกครั้ง
“แหม่...มันก็...”โคลด์ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดไปครู่ “มันเป็นเรื่องระหว่างราชวงค์นะแม่หญิง จะไปด้วยมันก็ได้ แต่...”
“นายกำลังจะพูดว่ากลัวฉันไปเกะกะใช่ไหม”แอมเบอร์รีบดักคอแล้วหรี่ตามองเจ้าตัวกลมกลิ้งที่เธอเคยนึกชอบใจแต่ตอนนี้มันไม่น่ารักอย่างที่คิดเสียแล้ว “ฉันอยากไปช่วยเพื่อนฉัน”
“เจ้าชาย...”โคลด์ค่อยๆ หันไปหาผู้เป็นนายช้าๆ แล้วมองด้วยสายตาขอความเห็น เซดริคหยุดคิดไปครู่หนึ่งสลับกับมองไปที่แอมเบอร์
“ก็ไม่เสียหาย?”เซดริคเอ่ยเนิบๆ “ยังไงก็ต้องรอคำสั่งจากพระราชาของทั้งห้าคาบสมุทร ให้อยู่ด้วยถึงตอนนั้นก็คงได้”
“เดี๋ยวนะ...ถึงตอนนั้น? หมายความว่ามีตอนอื่นอีก???”
“ก็ต้องมีอยู่แล้วสิแม่หญิง ที่ไปรวมตัวกันที่แอตแลนติกเพื่อที่จะประชุมหารือเรื่องภารกิจ แม่ใช่แค่เจ้าชาย...พระราชาทั้งห้าคาบสมุทรก็จะไปที่นั่นด้วย นี่มันเรื่องใหญ่ไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่คิดหรอกนะ อาจจะต้องแลกด้วยชีวิต ประเดี๋ยวแม่หญิงอาจจะไปแอตแลนติกเสียเที่ยว จะไปจริงๆ งั้นหรือขอรับ? ไปกลับระหว่างแอตแลนติกกับแปซิฟิกมันก็ไม่ได้ใกล้ๆ กันเท่าไหร่นะขอรับ”โคลด์พยายามโน้มน้าวจิตใจเต็มที่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้แม่สาวผู้นี้ไปที่แอตแลนติก แต่สามัญชนที่จะไปทำภารกิจของเจ้าชาย ไม่ได้หาง่ายๆ
“ยังไงฉันก็จะไป เพื่อนฉันทั้งคนกำลังจะไปเสี่ยง จะให้ฉันอยู่บ้านเฉยๆ ได้ไง พวกนายห้ามฉันไม่ได้หรอก”แอมเบอร์ยังคงดื้อดึง เธอจะไม่ปล่อยให้บรีอันไปเสี่ยงคนเดียว
ฝ่ายเจ้าชายแห่งแปซิฟิกก็กำลังครุ่นคิด ภารกิจนี้เข้าได้กลิ่นอายของความอันตราย อาจจะอันตรายถึงชีวิต...เขาควรจะให้แอมเบอร์ไปด้วยจริงๆ นี่หรือ...
“เธออยู่นี่เหอะ”บรีอันพูดขึ้นมา ทำให้แอมเบอร์ที่กำลังจะอ้าปากเถียงต่อหยุดชะงักแล้วหันไปมองหน้าคนพูด คิ้วเรียวหมุนเข้าหากัน
“นายว่าอะไรนะ?”เธอทวนคำถามอีกครั้ง
“ฉันบอกให้เธออยู่ที่นี่”เด็กหนุ่มพูดซ้ำอีก แอมเบอร์นิ่งเงียบไปครู่
“ฉัน...ไม่เข้าใจ”
“โคลด์พูดถูก เธอไม่ใช่รัชทายาท”บรีอันพูดโดยไม่สบตาเธอ “เธอไม่ควร...เข้ามายุ่ง”
แอมเบอร์แทบพูดอะไรไม่ออก เพราะนิสัยร่าเริงและตามน้ำตลอดเวลาของหมอนี่ทำให้เธอไม่ชินกับการถูกปฏิเสธ และนี่...เป็นการปฏิเสธที่หนักแน่นและกะทันหันเกินไป เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกีดกัน...จากหมอนี่
“นายจะทำเหมือนฉันเป็นคนนอกแบบนี้ไม่ได้นะ”แอมเบอร์ลุกขึ้นทันที คำพูดที่ว่าให้เธออยู่ที่นี่ ทำให้เธอหวนคิดไปถึงอ้อมกอดเมื่อวาน...มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม? “ฉันคิดว่าเราตกลงกันแล้ว???”
“ก็ใช่...แต่...”
“ฉันจะไป นายห้ามฉันไม่ได้”แอมเบอร์กอดอกยืนกรานเสียงแข็ง บรีอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
“ก็จริงที่ทุกเรื่องฉันตามใจเธอตลอด แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะแอมเบอร์ มันอาจจะอันตรายก็ได้ แล้วถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันจะเอาอะไรไปบอกพ่อเธอ...ปู่เธอ...”
“ก็บอกความจริงไง”ดวงตาสีน้ำเงินเข้มหรี่ลงเล็กน้อย มองไปที่เพื่อนรักที่กำลังจะทิ้งให้เธอต้องเป็นคนเห็นแก่ตัว ปล่อยเพื่อนไปเสี่ยงคนเดียว “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่ บรีอัน...ถ้านายแอบไปโดยไม่มีฉัน แอตแลนติกอยู่ที่ไหน ฉันตามไปแน่”
“ทำไมเธอพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้...แอมเบอร์ ฉันแค่พยายามจะ...”
“ใช่! ฉันพูดไม่รู้เรื่อง นายก็ด้วย! เราคุยกันแล้ว ฉันบอกแล้วว่าฉันจะไป และถ้าฉันพูดว่าฉันจะไปเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่า ฉันต้องไปให้ได้!”ที่ทั้งคู่ทำกันอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นการเถียง เธอไม่ได้เถียงกับบรีอันด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ทะเลาะกันมันเมื่อไหร่ แต่มันนานมากแล้วจริงๆ
เจ้าชายแห่งอาร์กติคมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงๆ โคลด์เห็นท่าทางเบื่อหน่ายของผู้เป็นนายก็รู้ตัวว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
“พอแล้วท่านทั้งสอง! หยุดเถียงกันเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว ไปกันหมดนี่นั่นแหละ ข้าจองเรือเอาไว้ คิดว่าน่าจะพอสำหรับเราทุกคน ข้าคิดว่าการเดินทางไปแอตแลนติกพวกท่านน่าจะเก็บแรงเอาไว้ เราไม่ควรว่ายไป”เพนกวิ้นน้อยโพล่งขึ้นมากลางบทสนทนา ทำให้สองคนที่อารมณ์กำลังขึ้นหยุดชะงักไปถนัด
“ดี ว่าแต่...เธอจะไม่บอกพ่อเสียหน่อยเหรอ?”เซดริคหันไปมองแอมเบอร์ด้วยหางตา คนถูกถามไม่พูดอะไร เธอลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป...
“พ่อฉัน...ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก”เธอว่าแล้วทำสีหน้าครุ่นคิด “ฉันจะทิ้งโน้ตบอกพ่อ”
“ฟังดูง่ายดี ไม่น่าจะใช้กับเรื่องใหญ่ๆ แบบนี้นะ”เด็กหนุ่มพูดอีก
“บอกพ่อว่าฉันไปที่แทสเมเนีย อาทิตย์หน้าก็ปิดเทอมแล้ว ฉันทำแบบนี้ทุกครั้งที่ปิดเทอม”สาวน้อยพูด เธอคิดว่านี่น่าจะเป็นทางเลือกที่ฟังดูดีที่สุด
“จะโกหก?”
“แล้วจะให้ทำไง จะให้เล่าให้พ่อฟังงั้นเหรอ?? กว่าพ่อจะกลับพวกนายก็เสียเวลาจริงไหม?”แอมเบอร์พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะเหล่ตาไปมองบรีอันที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว และเมื่อหมอนั่นรู้ว่าเธอหันไปมอง ก็รีบหันหน้าหนีทันที...นี่เรา...ทะเลาะกันแล้วจริงๆ สินะ...
“ก็ตามใจ โคลด์ เรือออกได้เมื่อไหร่”เซดริคหันไปถามเพนกวิ้นในกาละมัง ที่ตอนนี้น้ำแข็งเริ่มละลายเหลือแต่น้ำเย็นๆ แล้ว
“เมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการพะย่ะค่ะ”
“นั่งเรือจากที่นี่ไปแอตแลนติกใช้เวลาเท่าไหร่”เซดริคถาม
“คิดว่าไม่น่าเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าออกเดินทางตอนนี้พรุ่งนี้เช้าเราน่าจะถึงพะยะค่ะ
“งั้นนายออกไปหารถมารับเรา ทำยังไงก็ได้ให้พวกเราโดนฝนน้อยที่สุด”เซดริคสั่งการหนักแน่น เพนกวิ้นน้อยปีนออกมาจากกาละมัง แล้วกระโดดลงไปยืนบนพื้น
“รับทราบพะย่ะค่ะ”หลังจากพูดจบ ร่างของโคลด์ก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มร่างสูงคนเดิม “กระหม่อมจะรีบไปรีบกลับ”
-----------------------------------
To be continue
ความคิดเห็น