ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    AMBER and the darkness ocean

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 : ปีศาจน้ำแข็งบุกบ้าน!

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 54






               แสงแดดสีส้มอ่อนๆ ยามเย็น ส่องประกายไปทั่วท้องฟ้าผืนใหญ่ ทำให้เบื้องบนดูอบอุ่น ได้ยินเสียงเหล่าหมู่นกการ้องเรียกหากัน และพากันบินกลับรังหลังจากออกหากินมาตลอดทั้งวัน ไม่ใช่แค่พวกนก...เสียงระฆังจากนาฬิกาเรือนใหญ่ของโรงเรียน ตีดังหง่างๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว นี่คือสัญญาณบ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ทุกคนจะทยอยกันออกจากโรงเรียนเพื่อตรงกลับบ้าน แน่นอนว่า...แอมเบอร์และบรีอันก็เช่นกัน...

     

                แอมเบอร์และบรีอันกลับบ้านด้วยกันเช่นนี้ทุกวัน เธอเข็นเขามาจากหน้าโรงเรียน...พากันขึ้นรถบัส แน่นอนการเอารถเข็นคนๆ หนึ่งขึ้นไปบนรถบัสน่ะมันไม่ง่ายนักหรอก เพราะเธอกับหมอนี่ตัวติดกันตลอดแบบนี้จึงเป็นต้นเหตุของการที่บางครั้งเพื่อนบางคนก็ล้อเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่บ้าง แต่แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน...เพื่อนที่สำคัญมากๆ

     

                ถึงแม้เหตุการณ์วันนี้คือการเดินกลับบ้านเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ก็ออกจะต่างไปจากเดิมนิดหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยมีใครได้พูดกับใครเท่าไหร่นัก แน่นอน ปกติคนเปิดบทสนทนาสนุกๆ มักจะเป็นแอมเบอร์ แต่วันนี้เจ้าตัวไม่เห็นช่วนเด็กหนุ่มคุยอะไรมันเลยทำให้เป็นแบบนี้...

     

               เออ...บรีอันเริ่มทนความเงียบไม่ไหว พยายามจะเปิดบทสนทนา แต่เชื่อเถอะ เด็กอนุบาลสองก็คงรู้...การเปิดบทสนทนาด้วยคำว่า เออ แบบนี้ ไม่ใช่การเริ่มต้นของบทสนทนาดีๆ เท่าไหร่หรอก

     

               หืม?”แอมเบอร์ตอบรับเนิบๆ

     

               ไหงเงียบจังวันนี้เขาถามแล้วเงยหน้าเกือบสุดคอพอให้เห็นหน้าคนข้างหลัง

     

               เงียบ? ฉันเหรอเงียบ?”

     

               อ๋อ เธอก็ไม่ค่อยเงียบเท่าไหร่หรอก แค่ไม่เห็นเธอพูดอะไรตั้งแต่เดินออกมาจากรั้วโรงเรียน และนั่น...ก็ประตูบ้านพักฉันบรีอันพูดพลางยักใหล่

     

                เอ๋?”แอมเบอร์อุทานเล็กน้อยก่อนจะมองตรงไปด้านหน้าแล้วเลิกคิ้ว

     

                   ...ถึงแล้วเหรอเนี่ย...

     

               อ...อ้อ ขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยแอมเบอร์หยุดรถเข็น แล้ววิ่งเหยาะๆ ไปเปิดรั้วบ้านหลังนั้น ก่อนจะเดินกลับมาเพื่อเข็นตัวเด็กหนุ่มเข้าไป

     

               ไม่ได้คิดสนใจทาง แต่พาฉันมาถึงนี่ อันนี่ทีเขาเรียกว่าสัญชาตญาณหรือเปล่า?”มันเป็นมุขที่แป๊กนิดหน่อย แน่นอน...แอมเบอร์ไม่ขำ แต่ก็เรียกรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากของสาวน้อย

     

               ถ้านายว่างั้น ฉันก็จะบอกว่าใกล้เคียงมั้งแอมเบอร์เอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูบ้าน ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันล็อคอยู่ เปิดไม่ออกน่ะ โฮสนายคงยังไม่กลับ มีกุญแจไหม?”

     

               มีบรีอันพูดก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบกุญแจดอกเล็กๆ ออกมาแล้วส่งให้แอมเบอร์ คุณลุงกรีน่าเอากุญแจสำรองไว้ให้ฉัน คงเผื่อเหตุการณ์อย่างวันนี้ แกน่ารักดีนะ

     

                อื้ม...ไว้ใจนายน่าดู อย่าขโมยของเขาล่ะแอมเบอร์พูดพลางไขประตูบ้านไปด้วย

     

                โอย! ฉันไม่ทำหรอกน่า ความสัมพันธ์ของเรามันลุงกับหลาน รักกันจะตาย

     

                เพิ่งอยู่ด้วยกันแค่สามเดือน

     

                ก็นานพอที่เขาจะชวนฉันอาบน้ำอ่างเดียวกัน

     

                พูดเป็นเล่น! แล้วนายลงไหมเนี่ย?”

     

                จะบ้าเหรอ ฉันอ้างการบ้านให้เขาอาบไปก่อน

     

                แล้วไปเหมือนบทสนทนาพวกนี้เป็นส่วนชดเชยของการที่ไม่ได้คุยกันเลยตลอดทางกลับบ้าน ฟังดูเป็นบทสนทนาปกติ แต่ที่แย่กว่าน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนฟังผ่านๆ นี่ก็คือไม่มีใครสบตาใครเลย...

     

                แอมเบอร์เปิดประตูนั่นได้สำเร็จก่อนจะค่อยๆ เดินอ้อมไปข้างหลัง เข็นร่างของเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน บรีอันเตรียมถอดรองเท้าเอาไว้รอแล้ว เขาเสียบรองเท้าเข้าไปในตู้รองเท้าหน้าบ้าน พร้อมกับที่แอมเบอร์ถอดรองเท้าผ้าใบสีขาวของฟ้าของตัวเองเอาไว้ที่หน้าประตู้

     

                บรีอันรู้ดีว่าตอนนี้แอมเบอร์ไม่ได้อารมณ์ดีเท่าไหร่...แน่นอนเขาก็รู้อีกว่าทั้งหมดนี่เป็นเพราะเขา น่าจะเป็นที่เขาเรียกกันว่าเป็นห่วงที่คนส่วนใหญ่ก็คงมีให้กันและกัน แต่สำหรับแอมเบอร์ การเป็นห่วงนั้นจำกัดอยู่ที่ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร และยิ่งถ้าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานอย่างเขา...มันก็คงมากพอจะทำให้แม่เจ้าประคุณเป็นแบบนี้

     

                นี่แม่คุณ.../นาย...ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน บรีอันเลือกที่จะหยุด แล้วบอกให้เด็กสาวพูดก่อน แอมเบอร์ค่อยๆ เดินมาข้างหน้าเขาแล้วนั่งยองๆ ลงกับพื้น นายจะไปกับอีตาที่ชื่อเซดริคอะไรสักอย่างนั่นจริงๆ เหรอ มันฟังดูเป็นเรื่องใหญ่มากนะ นายไม่น่าจะไปเสี่ยง...หมอนั่นพูดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้เรื่องสัญญา แล้วไหนจะวงแหวนที่ได้มานั่นอีก นายแค่โยนทิ้งไปไม่ใส่ก็ได้ไม่ใช่หรือไง ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องโกหกล่ะบรีอัน นายไว้ใจใครเขาง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าทุกคนเอาเรื่องหน้าที่ของเจ้าชายมาอ้าง นายจะไปกับเขาทุกคนงั้นเหรอ...

     

                ในที่สุดแอมเบอร์ก็ระเบิดทุกอย่างที่คิดออกมา บรีอันได้ยินเข้าก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น แม้แสงสว่างตอนนี้จะมีไม่มาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มเห็นความเป็นห่วงเป็นใยที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้นั้น ยักคิ้วกวนเล็กน้อยตามเคยชิน ก่อนจะเอ่ย

     

                ห่วงอะไรนักหนาล่ะแม่คุณ พวกเราเป็นเจ้าชายแห่งท้องทะเล เขาจะต้องไม่โกหกเรื่องสำคัญอย่างนี้แน่นอน ได้ยินที่เขาพูดไหม ความรับผิดชอบแขวนอยู่ที่คอของพวกเรา ที่คอฉันก็มีแอมเบอร์ การเกิดมาเป็นเจ้าชายผู้คนอาจจะมองว่าเป็นคนโชคดี เกิดมาในตระกูลของกษัตริย์ แต่เราต้องเสียสิทธิในการเลือกทำสิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการ...ในแบบนี้ประชาชนมี ฉันคิดว่าไม่ว่าจะเป็นบนผืนแผ่นดินหรือใต้ท้องมหาสมุทรก็คงเหมือนกัน เจ้าชายทุกคนถูกเลี้ยงมาเพื่อรับใช้อาณาจักร ประเทศ หรือแผ่นดินถิ่นเกิด นี่เป็นหน้าที่ พอเข้าใจใช่ไหม?”บรีมองหน้าเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาขอความเห็น คนที่ว่าชอบทำตัวเข้มแข็งบัดนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกหมาตัวน้อย...ในทางร่างกายเขาอาจจะต้องให้แอมเบอร์ดูแล แต่ในด้านของจิตใจ...เห็นทีคงจะต้องสลับกัน

     

                แล้วไม่กลัวตายหรือไง เป็นเจ้าชายนี่ฟันแทงไม่เข้าเหรอ!”เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตะคอกเล็กน้อย แต่มันคงออกมาได้ไม่หมด เพราะบางอย่างคงเลื่อนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอพร้อมๆ กับตอนที่ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นเริ่มชุ่มชื้นเพราะน้ำตาที่กำลังจะใหลนั่นแหละ

     

               โถ่! ยัยบ้า ก็กลัวสิ กลัวอยู่แล้ว...ก็ฉันไม่เคยตายนี่ ยังไม่รู้เลยว่าเจ็บแค่ไหนบรีอันพูดติดตลกเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มร่า แต่เจ้าชายที่มัวแต่นั่งกลัวตายอยู่แต่ในปราสาทเวลาที่บ้านเมืองเดือดร้อนน่ะไม่มีหรอก อย่างน้อยถ้ามีประชาชนคงเกลียดตาย ฉันยังอยากให้ประชาชนรักฉันนะบรีอันฉีกยิ้ม

     

               ใช่เวลามาขบขันมั้ยเล่า!”แอมเบอร์หลุดยิ้มตามเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกก่อนที่มันจะใหลออกมาเสียฟอร์ม อย่างน้อยเธอยังไม่ได้เปิดไฟ หมอนี่อาจจะยังไม่เห็นก็ได้...มั้ง...

     

               อย่าร้องน่า ไหนชอบทำเป็นเก่ง ทำไมตอนนี้มาร้องไห้ให้ดูล่ะ

     

               หนวกหูน่าเธอไม่คิดจะใช้มุขผุ่นเข้าตาซ้ำซากนั่นหรอกนะ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเหมือนกัน เฮ้อ...ให้ตายเหอะ ฉันเป็นห่วงนายจังสุดท้ายคำนี้ก็ถูกพูดออกมา บรีอันยิ้มอย่างพอใจ เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก สำหรับคำนี้ที่เขาได้ยินจากเธอ

     

               ถ้าเป็นห่วงนัก อยากจะไปด้วยไห...นี่จะเป็นคำพูดติดตลกที่เขาตั้งใจจะพูดต่อไปนี้ แต่ยังไม่ทันจบก็ต้องชะงัก เมื่อร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ค่อยๆ โผลกายเข้ามา แล้วโอบแขนรอบคอเขาก่อนจะซุกหน้าเอาไว้ที่ใหล่ข้างซ้าย...

     

              ฉันไปด้วยแน่...อย่ามาห้ามก็แล้วกันเด็กสาวพูดพลางกระชับอ้อมกอดนั้นแน่นขึ้น...เป็นกอดที่อบอุ่นที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยได้รับ แน่นอน...เขาอาจจะไม่ได้ถูกกอดบ่อยนักนับรวมส่วนของที่บ้านตัวเองด้วย แต่อย่างน้อยนี่ก็ดีพอจะทำให้มีน้ำแฉะๆ ใหลมาเอ่อล้นที่ตาของเขา นี่อ้อมกอดแบบเพื่อน...บรีอันรู้ดี

     

             เขากอดตอบเธอก่อนจะตอบกลับไปสั้นๆ

     

               อืม...

     

                   ...เขาไม่ได้อยากให้แอมเบอร์มาเสี่ยงด้วย...แต่ไม่รู้ทำไม การมีเพื่อนอย่างแอมเบอร์คอยอยู่ข้างๆ มันทำให้เขารู้สึกดีกว่าที่จะต้องไปคนเดียว...จะเป็นการเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่านะ...

     

     

              แอมเบอร์ส่งบรีอันถึงแค่ห้องนั่งเล่น แล้วขอตัวกลับมาก่อนที่ฟ้าจะมืดไปมากกว่านี้ ตลอดทางกลับบ้านเธอก็คิดถึงเรื่องเมื่อเช้าวันนี้ นึกถึงใบหน้าเรียบเฉยเหมือนรูปปั้นหินหน้าบึ้งของเด็กหนุ่มน้ำแข็งจากอาร์กติค นึกจินตนาการเรื่องที่บรีอันเพื่อนเธอจะต้องเจอในอีกไม่นานนี้ แน่นอน...เธอนึกไม่ออกหรอก แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีๆ แน่

     

                คิดไปคิดมาอยู่นาน รู้ตัวอีกที ตรงหน้าก็คือประตู้รั้วบ้านของเธอแล้ว...แสงไฟสีส้มอ่อนๆ ในครัวกับกลิ่นเนยหอมๆ ที่โชยมาแตะจมูก บอกเธอว่าพ่อของเธอกำลังเตรียมอาหารเย็น อย่างน้อยเวลากินเธอน่าจะเอาเรื่องเครียดๆ โยนทิ้งไปก่อน

     

               แอมเบอร์หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วผ่อนมันออกมาแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู้รั้ว แล้ววิ่งตรงเข้าไปหาประตูบ้าน

     

              หนูกลับมาแล้วค่ะแอมเบอร์พูดเสียงดังๆ ให้พ่อที่อยู่ในครัวได้ยิน วันนี้บ้านของเธอหอมกลิ่นอาหารเป็นพิเศษ ปกติพ่อจะเป็นคนทำอาหารเย็นก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมจากกลิ่นวันนี้มันดูเยอะๆ กว่าปกติ

     

              “อ้าวกลับมาแล้วเหรอแอมเบอร์ มาช่วยพ่อในครัวนี่มาเร็วพ่อตะโกนเรียกเธอจากในครัว คนถูกเรียก ถอดรองเท้าเก็บใส่ตู้ แล้ววิ่งเข้าบ้านโยนกระเป๋าเอาไว้บนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น แล้วเดินเข้าไปในครัว จากนั้นก็พบกับวัตถุดิบมากมายหลายหลาก และหม้อกระทะเต็มไปหมดซึ่งแตกต่างจากทุกวัน

     

              อะไรเยอะแยะเนี่ยพ่อ!?”ด้วยความสงสัยทำให้เธอต้องถามออกไป

     

              นานๆ ก็ขอจัดหนักหน่อย แขกมาทั้งทีพ่อพูดก่อนจะกลับไข่ดาวในกระทะอย่างชำนาน แอมเบอร์พยักหน้าเนิบๆ เหมือนกับจะเข้าใจ แต่พอมาทบทวนประโยคที่ได้ยินอีกครั้ง คิ้วเรียวสวยคู่นั้นก็ขมวดเข้าหากัน

     

                ...แขก???...

     

               บ้านนี้ร้อยวันพันปีไม่เคยมีแขก แล้วนี่แขกจากอาหรับราตรีแถบไหน?

     

              อ๊ะ พ่อหนุ่ม พอพายสุขแล้วก็เอาไปเสิร์ฟได้เลยนะ แล้วก็จัดจานเอาไว้ด้วยพ่อหมุนคอมาพูดกับใครซักคนที่ไม่ใช่เธอ และเพราะว่ามันไม่ใช่เธอนั่นแหละถึงได้ทำให้ความสงสัยลอยละล่องเต็มหัวสมอง ถึงแม้ว่าเธอและพ่ออาจจะไม่ค่อยได้เจอกันระหว่างวันเท่าไหร่นัก แต่พนันได้เลยว่าพ่อคงไม่เมาถึงขนาดละเมอเรียกแทนชื่อเธอผิดเป็น พ่อหนุ่ม แน่ๆ

     

               เด็กสาวรีบหันควับไปดูข้างหลังที่มีเตาอบขนมอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นร่างของใครซักคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น และเธออาจจะไม่โวยวายอะไร ถ้าร่างนั้นมันไม่คุ้นตาอย่างน่าประหลาด...

     

               ครับยิ่งฟังเสียงยิ่งคุ้น...ถึงแม้วันทั้งวันนี้เธอจะได้ยินประโยคจากเสียงนี้ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะ...แค่คำเดียวก็จำได้จนถึงวันตายเลย!

     

               เด็กหนุ่มร่างสูง ผมสีน้ำตาลทองตรงนั้น ก้มลงไปเปิดเตาอบแล้วหยิบพายอะไรสักอย่างออกมาจากเตาก่อนจะเอามันวางลงตรงกลางโต๊ะกินข้าวกระจกที่มีผ้าปูโต๊ะสีขาวลายลูกไม้ปูพอให้กับข้าววาง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองเธอพร้อมกับแววตาเย็นชา แววตาที่ยิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิดแบบนี้ เซดริค เจน!!!

     

               เท่านั้นแหละ...เส้นอารมณ์ขาดผึ่ง!!

     

              พ่อ!!!!~”แอมเบอร์ตะโกนเรียกพ่อเธอเสียงดังโดยที่ตัวเองยังอยู่กับที่ หันไปทางเดิมและพ่อเธอก็อยู่แค่ข้างหลัง...ที่ทำอย่างนี้เพราะเธอต้องหาวิธีระบาย...และไม่รู้ว่าจะพูดคำว่าอะไรดี

     

              คนเป็นพ่อตกใจสะดุ้งโหยงเกือบทำตาหลิวในมือหลุดลอยไปโดนหัวลูกสาวสุดรักที่ยืนอยู่ข้างหลัง เอมีเลียส ครอบลี่ย์รีบยกกระทะขึ้นจากเตาแล้วหันขวับมาเช็คว่าลูกสาวเขายังสติดีอยู่ไหมก่อนจะเอ่ยตอบรับ

     

              อะไรลูก??”

     

              ทำไมไอ้หมอนั่นถึงอยู่ในบ้านเรา!!!”แอมเบอร์ทำสีหน้าแตกตื่นแล้วชี้หน้าคนที่ตามหลอกหลอนเธอทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ยามจะกลับบ้านกินข้าว และเธอแน่ใจวันมันจะต้องกวนประสาทเธอทั้งคืนแน่ๆ!!

     

              หืม...อ้อ เห็นว่ารู้จักกันแล้วนี่? คนของเขามาคุยกับพ่อที่บริษัทวันนี้ขอให้เขาอยู่ที่นี่สักไม่เกินอาทิตย์ เขาจะนอนห้องพ่อลูกไม่ต้องห่วงนะ

     

              หมายความว่าพ่อเปิดประตูให้มันเข้าบ้านเหรอ!?”แอมเบอร์มองเข้าไปในดวงตาพ่อของเธอด้วยสายตาเว้าวอน เอมีเลียสไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ลูกสาวเขาเป็นแบบนี้ ก็ได้แต่ทำหน้างุนงง

     

              ทำไมล่ะลูก? เขาเป็นเจ้าชายนะ ไม่ใช่แวมไพร์ เปิดประตูให้เข้าบ้านจะเสียหายอะไรล่ะ อีกอย่าง...พ่อว่าเขาเรียบร้อยดีออกประโยคนี้ทำให้คิ้วของแอมเบอร์กระตุก

     

                  ...หึ...เรียบร้อย...

     

                เธอไม่ปฏิเสธข้อนี้หรอก ถ้าเรียบร้อยที่ว่า...หมายถึงเงียบจนไม่มีเสียง! แอมเบอร์คอยๆ เบือนตามามองเซดริคทีกำลังจัดโต๊ะอาหารโดยทำเหมือนกับไม่เห็นเธอยืนโวยวายอยู่ตรงนี้ เจ้าของบ้านยืนบ่นไม่ต้อนรับแบบนี้น่าจะสะทกสะท้านบ้างสิโว้ย!!

     

                แอมเบอร์เดินไปยืนข้างๆ พ่อ ก่อนจะกระซิบเบาๆ

     

               ทำไมพ่อทำอะไรไม่ปรึกษาหนูเลย!”

     

               พ่อจะปรึกษาอะไรลูกก็ลูกอยู่ที่โรงเรียน อย่างี่เง่าน่าแอมเบอร์ ไปช่วยกันเตรียมอาหารเย็นไป เขาช่วยพ่อตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียน ไม่เห็นบ่นๆๆ เหมือนลูกเลยเอมีเลียสตำหนิเบาๆ

     

               ไม่บ่นของพ่อนี่หมายถึงไม่พูดอะไรซักคำหรือเปล่าล่ะแอมเบอร์ประชด

     

               พ่อก็บอกแล้ว...เขาเรียบร้อยจะตาย แถมสกิลทำครัวก็ใช่ย่อยนะ เอ้อ! แล้วนี่แกมายืนทำอะไรเนี่ย ไปดูซุปไป!”

     

              แอมเบอร์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะเดินตึงตังไปที่หมอซุปแล้วใช้ทัพพีคนๆ ดูความข้น โดยไม่ลืมที่จะเหล่มองเซดริคที่กำลังวางช้อนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

     

                 ...มื้อนี้เป็นมื้อที่แย่ที่สุดเลย!!...

     

     

             หลังจากจัดเตรียมอาหารเย็นมื้อใหญ่กันมายาวนาน ก็ถึงเวลากิน...บนโต๊ะมีไก่งวงตัวใหญ่ พายสับปะรด ซุปเห็ดร้อนๆ หอมฉุย ไข่ดาวน่ารักสามสี่ฟอง และสลัดผักน้ำใสสูตรเด็ดของพ่อ ถ้าไม่บอกว่านี่ไม่ใช่คริสตมาส เธออาจจะหาถุงเท้ามาห้อยเอาไว้ตรงข้างหัวเตียงรอของขวัญจากซานต้าก็ได้...

     

              แต่ไอ้หน้าหล่อหัวทองน่าหมั่นใส้ที่นั่งกินอาหารอยู่ตรงข้ามนี่ทำให้เธอรู้ว่านี่จะต้องไม่ใช่คริสตมาสแน่ๆ! คริสตมาสจะต้องไม่ใช่ฝันร้ายแบบนี้ มันจะต้องมีความสุข...อย่างน้อยจะเป็นความสุขที่เยี่ยมยอดถ้าไม่ต้องกินอาหารร่วมโต๊ะกับรูปปั้นน้ำแข็งที่กินอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไรเลย!

     

              ไม่กินเหรอลูก เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมดนะเมื่อได้ยินเสียงพ่อทัก แอมเบอร์จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยังไม่ได้แตะมีดกับส้อมเลย

     

               เด็กสาวหันไปสบตากับคนเป็นพ่อแว๊บหนึ่งก่อนจะหยิบมีดกับส้อมขึ้นมาแล้วหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงคำพูดเมื่อตอนเย็นก่อนเข้าบ้าน...นี่เวลากิน! เรื่องเครียดทิ้งไป...อยู่กับตัวเอง...อื้มก็ไม่ยากนี่

     

               แอมเบอร์ตักซุปใส่ในถ้วยเล็กทานเรียกน้ำย่อยไปสักพัก ก่อนจะหั่นพายสับปะรดมากิน

     

               อื้ม...วันนี้พายพ่ออร่อยดีนะเอ่ยชมออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นพ่อเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับไอ้หุ่นน้ำแข็งแล้วหันมามองหน้ากันคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดด้วยความงุนงง พ่อหัวเราะคิกๆ อยู่ในลำคอเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย

     

               ลูกชอบพายวันนี้เหรอแอมเบอร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

     

               อื้ม...ก็ชอบ อร่อยดี ทำไมอะ

     

               ฝีมือเซดริคเขา

     

               ...ฟอร์มหลุดกระจุยไปไหนไม่อาจทราบได้ แม้แต่ปากที่กำลังขยับเคี้ยวพายก็ต้องหยุดชะงัก แอมเบอร์กลืนพายลงคอโดยที่ไมรู้ว่ามันละเอียดหรือยัง ก่อนจะวางส้อมและมีดแล้วหยิบแก้วน้ำฝรั่งขึ้นมาดื่ม พ่อก็คงช่วยมั่งแหละแอมเบอร์แสร้งมองไปทางอื่น

     

               พ่อเปล่าเอมีเลียสพูดพลางกลั้วหัวเราะ แอมเบอร์ไม่พูดอะไรอีก ลืมความหน้าแตกไปให้หมดสิ้น สนใจกับการก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเงียบๆ แอมเบอร์บอกตัวเองว่าถึงแม้เธอจะเกลียดหมอนี่สักเท่าไหร่ แต่เธอจะไม่เกลียดพายของมัน...มันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความจริงแล้วที่ไม่หยุดกินนั้นเพราะมันอร่อยนั่นเอง...

     

               แอมเบอร์กินเสร็จเป็นคนแรกของโต๊ะ แต่การกินเสร็จเป็นคนแรกนั้นไม่ได้หมายความว่าเธอกินน้อยที่สุด...ตรงกันข้ามคือประมาณครึ่งหนึ่งของพายทั้งชิ้นอยู่ในท้องของเธอ ยังไม่นับรวมไก่ง่วงและสลัดผักที่กินเข้าไป...

     

               ร่างเล็กเอาจานไปเก็บในอ่างล้างจานโดยไม่คิดจะล้าง เดินดุ่ยๆ ไปที่บันไดและวิ่งขึ้นห้องทันที เอมีเลียสได้ยินเสียงประตูห้องปิดดังปังก็มองขึ้นไปบนเพดาน

     

              ให้ตายสิเจ้าลูกคนนี้ จานก็ไม่ยอมล้างเอมีเลียสบ่นอุบอิบให้คนที่นั่งข้างๆ ฟัง โดยที่ไม่แน่ใจว่าเขาได้ฟังหรือเปล่า เอาล่ะ...งั้นวันนี้ฉันกับเธอจัดการเรื่องล้างจานแล้วกันเขาพูดหลังจากที่รวบมีดกับส้อมเอาไว้กลางจาน

     

               เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายวัยกลางคนก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย

     

               ตกลงครับ

     

     

               หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จเรียบร้อย แอมเบอร์มานอนคว่ำอยู่บนเตียงโดยมีผ้าขนหนูวางอยู่บนผมสีบลอนซ์ทองเปียกๆ นั่น เธอคว้ามือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงมากดเบอร์เพื่อนซี้อย่างไม่รอช้า และรอให้ปลายสายรับพร้อมกับใบหน้ามุ่ยๆ

     

                 [ฮัลโหล ว่าไงแม่คุณ]

     

                 หวัดดีแอมเบอร์พูดด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด คนอยู่ปลายสายทำสีหน้างุนงง ก่อนจะถามมาพร้อมกับน้ำเสียงที่กลั้วไปด้วยความขบขัน

     

                  [เฮ่...ไปกินอะไรผิดสำแดงมาก เสียงถึงได้ยวบยาบจัง]

     

                  ฉันกินมื้อเย็นกับก้อนน้ำแข็งมาน่ะสิเธอตอบ

                   [หืม...หมายความว่าไง พ่อเธอซื้อรูปปั้นน้ำแข็งงานแต่งมาเหรอ]

     

                   บ้านนายสิ! ฉันซีเรียสนะ!!”แอมเบอร์ตะคอกเข้าให้ ได้ยินเสียงหัวเราะรับกลับมาเช่นทุกครั้ง เด็กสาวเบ้หน้า

     

                   [ฮ่าๆๆๆ โอเคๆ แล้วมันเรื่องอะไร?]บรีอันถาม

     

                   เพื่อนนายอยู่บ้านฉันตอนนี้

     

                   [เพื่อนฉัน? คนไหนล่ะ]

     

                   ก็เพื่อนเจ้าชายของนายนั่นแหละ!!”แอมเบอร์พูดพลางเอามือทุบผ้าคลุมเตียงอย่างหงุดหงิดจนเสียงปุกๆ เข้าไปในโทรศัพท์

     

                   [หา? เธอหมายถึงเจ้าชายแห่งอาร์กติค?]

     

                   เออสิ!”

     

                   [แล้วไหงเขาไปอยู่บ้านเธอ]

     

                   ฉันจะไปรู้ไหมเล่า!!”แอมเบอร์โวยวายก่อนจะยันตัวเองขึ้นมานั่ง หมอนั่นจะนอนที่ห้องพ่อ นายช่วยฉันหน่อยสิบรีอันนนน ฉันหลับนอนไม่ได้แน่ถ้าอยู่ชายคาเดียวกับอีตานี่น่ะ ฮือออออสาวเจ้างอแงทำเสียงอู้อี้ บรีอันได้ยินเข้าก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะพูดต่อ

     

                   [แล้วเธอจะให้ฉันทำไงเล่า ลำพังแค่เดินฉันยังทำไม่ได้เลยเนี่ย]

     

                   นายจะโยงไปเรื่องนั้นทำไม มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อยแอมเบอร์พูดด้วยน้ำเสียง

    ดุๆ เมื่อได้ยินเพื่อนซี้พูดถึงเรื่องกำลังขาอีกแล้ว

     

                   [เอาน่าแม่คุณ เขาไมได้นอนห้องเธออยู่แล้วนี่ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง]

     

                   พูดน่ะพูดได้ เฮ้อออ ฉันควรหาอะไรทำ

     

                   [ความคิดเจ๋ง เฟสบุ๊ค? ทวิตเตอร์? หรือถ้าเธอเบื่อฉันเล่นหมากรุกออนไลน์เป็นเพื่อนก็ได้]แอมเบอร์แทบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อได้ยินอันสุดท้าย หมากรุกออนไลน์! เชื่อเขาเลย วันก่อนยังถามเธออยู่เลยว่าควีนเดินยังไง

     

                   ฮ่าๆๆ ไม่ต้องมาประชันหมากรุกกับฉันเลยนายทึ่ม ฉันดูหนังดีกว่า คอมพ่ออยู่ไหนนะ...

     

                   [ถามพ่อเธอดู พรุ่งนี้เจอกัน เอ่อ...ถ้าหงุดหงิดจากเพื่อนร่วมคนใหม่ทางที่น่าจะเดินไปโรงเรียนด้วยพรุ่งนี้อย่ามาลงกับฉันนะ]ประโยคนี้ของบรีอันทำให้เธอคิดได้

     

                   จริงด้วย!! โอ้ให้ตาย!!”เหมือนนี่จะเป็นจุดประสงค์ที่เด็กหนุ่มเตือนเธอเรื่องนั้น เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของแอมเบอร์ เสียงหัวเราะของบรีอันก็จัดเต็มผ่านทางโทรศัพท์มากทันที แอมเบอร์ขยี่หัวตัวเอง ก่อนจะแว๊ดใส่โทรศัพท์ อะไรน่าขำนักหนายะ คอยดูนะบรีอัน วันนี้นายหัวเราะฉันเท่าไหร่ พรุ่งนี้ระวังตัวไว้เลย!!”

     

                     [เก็บแรงไว้ฟัดกับเจ้าชายแห่งอาร์กติคเธอจ๊ะ ขอให้ฝันดีนะคืนนี้...โอ๊ะ...จะได้นอนไหมนะ]

     

                    หนอยแน่!!!”

     

     

              แอมเบอร์ใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าจะวางหูโทรศัพท์ลงได้ เธอเอาโทรศัพท์วางไว้ที่หัวเตียงอย่างเดิม ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เพื่อไปหยิบโน้ตบุคของพ่อเธอที่น่าจะอยู่บนโต๊ะทำงานพ่อ เธอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูแล้วดึงประตูเข้าหาตัวเองเพื่อออกไปข้างนอก และร่างเล็กๆ ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอร่างของใครบางคนกำลังเก้าเท้าขึ้นมาบนบันไดขั้นสุดท้าย

     

                แอมเบอร์ขมวดคิ้วมุ่นมองร่างนั้นด้วยสายตาไม่พอใจพลางปิดประตูห้องตัวเองไปด้วย เซดริคเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอก็มองหน้าเธอด้วยดวงตาเย็นชาคู่นั้นเช่นกัน...

     

                มองอะไรแอมเบอร์ถามด้วยน้ำเสียงเชิงตะคอกนิดๆ เซดริคเอียงคอเล็กน้อยแลดูกวนประสาทก่อนจะเอ่ย

     

                เหมือนเธอจะเป็นคนมองฉันก่อนแอมเบอร์เม้มปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี

     

                ฉันจะเข้าไปในห้องพ่อเธอว่า

     

                ก็เชิญสิ นี่บ้านเธอ?”

     

                ฉันหมายความว่า ห้ามนายเข้ามาจนกว่าฉันจะออกไป!”แอมเบอร์ทิ้งท้ายด้วยความเสียอารมณ์ก่อนจะเดินตึงตังเข้าไปในห้องพ่อ แล้วตรงเข้าไปยกคอมกับสายชาร์ตและเม้าส์ออกมาอย่างรีบๆ แล้วออกมาข้างนอกห้องอีกครั้ง

     

                เซดริคยืนเอาหลังพิงกับผนังข้างๆ ประตูห้องแล้วหันหน้ามามองเธอ แอมเบอร์หยุดแล้วหันไปค้อนใส่เขาครู่หนึ่ง แล้วออกเดินอย่างฉุนเดียว และเพราะความฉุนเฉียวนั่นคงทำให้เธอไม่ทันระวังเรื่องเม้าส์ที่วางอยู่บนฝาปิดโน้ตบุค มันจึงร่วงลงมา

     

                อ๊ะ...เธออุทานเล็กน้อยเมื่อเห็นมันกำลังจะใหลลงจากโน้ตบุ๊ค แต่มันลงไปไม่ถึงพื้น เพราะมีมือข้างหนึ่งเอื้อมมารับมันเอาไว้ทัน

     

                เซดริค เจน หยิบมันขึ้นมาดูและสำรวจอยู่ครู่ ก่อนจะยื่นมันส่งคืนให้เธอ...แอมเบอร์รับมันมาอย่างเหวี่ยงๆ

     

                ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วย

     

                ใครว่าฉันช่วยเธอเด็กหนุ่มเอ่ยเย็นชาโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย ฉันแค่กลัวว่าไอ้ก้อนนั่นมันจะแตกหัก เพราะเธอไม่ระวัง

     

                แอมเบอร์ทำหน้าเชิดใส่ ก่อนจะก้าวเดินต่อและขาสองข้างก็ต้องหยุดชะงักเมื่อทบทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ใหม่อีกครั้ง

     

                เด็กสาวหันควับไปหาเด็กหนุ่ม

     

                เมื่อกี้นายเรียกไอ้นี่ว่าอะไรนะ?”แอมเบอร์ถามเพื่อความแน่ใจ เซดริคขมวดคิ้วเมื่อเธอถามถึงสรรพนามแทนชื่อที่เขาเรียกแทนวัติถุบางอย่างที่เขาไม่รู้จักนั่นอีกครั้ง

     

                ก้อน...เด็กหนุ่มเอ่ยอีกครั้งอย่างไม่ได้คิดอะไร ร่างเล็กหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนน้ำตาแทบเล็ด เธอกลัวว่าจะทำโน้ตบุ๊คที่พ่อต้องใช้ทำงานหลุดมือจึงค่อยๆ วางมันลงกับพื้น แล้วนั่งหัวเราะอยู่ตรงนั้นไม่ยอมหยุด คนถูกหัวเราะเอียงคอไปมาอย่างไม่เข้าใจ มีอะไรน่าขำ

     

                ก้อน!! ก้อนนั่น!! วะฮ่าๆๆๆแอมเบอร์ตบตักตัวเอง มืออีกข้างยกขึ้นมาเช็ดน้ำตา นาย...ไม่รู้จักงั้นเหรอ? ไอ้ก้อนนี้น่ะ ฮ่าๆๆๆๆแอมเบอร์พูดไปหัวเราะไปพลางหยิบไอ้ก้อนที่ว่าขึ้นมาแกว่งๆ ล้อเลียน ถึงเธอจะไม่ชอบหมอนี่แต่ตอนนี้ความฮามันมีมากเกินกว่าที่เธอจะนึกถึงเรื่องนั้น งานนี้ถึงจะเป็นเจ้าชายจากทะเลน้ำแข็ง โดนหัวเราะขนาดนี้ความอายมันก็ต้องมีกันบ้าง

     

               เซดริค เจนเอื้อมมือไปคว้าของที่อยู่ในมือเด็กสาวแล้ววางมันลงบนพื้นอย่างไม่สบอารมณ์

     

               ถือว่าฉันไม่ได้ช่วยเก็บมันแล้วกันเด็กหนุ่มพูดพลางยืนตัวตรง แอมเบอร์พยายามหยุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มไม่พอใจ ถึงแม้หน้าตาหมอนี่จะดูเหมือนไม่พอใจตลอดเวลาก็เถอะ

     

               ไอ้นี่น่ะ เขาเรียกว่า เม้าส์แอมเบอร์เก็มเม้าส์ขึ้นมาวางไว้บนโน้ตบุ๊คแล้วพูดขึ้นมาลอยๆ กะให้ร่างสูงได้ยิน เอาไว้ใช้กับคอมพิวเตอร์คือไอ้เจ้านี่ ส่วนนี่เป็นสายชาร์ต เอาไว้เติมพลังงานให้คอมพิวเตอร์

     

               เซดริคก้มลงมองอุปกรณ์มากมายหลายหลากที่แอมเบอร์กำลังอธิบายอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าเขาสนใจของที่ว่าไม่น้อย เขาที่อยู่ขั้วโลกได้เรียนรู้เรื่องการประกอบอาหารจากป้าฮาล์วกุที่เป็นครึ่งเงือกอยู่ในบ้านน้ำแข็งติดทะเล แต่เรื่องเทคโนโลยีหรืออะไรพวกนี้เขาไม่มีโอกาสได้รู้ ยิ่งเขาไม่ได้ขึ้นบกไปสุงสิงกับมนุษย์บ่อยๆ ทำให้อารยธรรมต่างๆ ไม่ได้ถูกซึมซับในตัวเขาเท่าไหร่นัก แอมเบอร์มองเจ้าชายผู้เย็นชาที่กำลังสนใจเกี่ยวกับของที่คนทั้งโลกน่าจะรู้จักแล้วหัวเราะอยู่ในใจ

     

                ...ไหนๆ ก็ไหนๆ...สงบศึกกันสักพักก็ได้...

     

                แอมเบอร์คิดแล้วยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมกับยกโน้ตบุ๊คขึ้นมา

     

                นายคงอยากเห็นตอนเปิดเครื่องเด็กสาวพูดพลางค่อยๆ เดินไปที่ห้องตัวเองแล้วเอื้อมมือไปที่ลูกบินประตู และก่อนจะที่เธอจะเปิดมัน จะดูไม่ดูก็เรื่องของนายแล้วกัน ฉันไม่ล็อคห้อง

     

                ร่างของแอมเบอร์เดินลอดผ่านประตูไป ประตูปิดลง เด็กหนุ่มยืนคิดพิจารณาอยู่ที่เก่าครู่หนึ่งอย่างเงียบๆ และเมื่อได้คำตอบ ขาสองข้างก็ก้าวไปที่ประตูห้องที่เพิ่งปิดไปเมื่อไม่นานนี้แล้วเปิดมันออก...



    ++++++++++++++++++++++++++

    To be continue





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×