คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 7 บุญคุณยามได้รับมา ล้วนต้องตอบแทน
ตอนที่ 7 บุญคุณยามได้รับมา ล้วนต้องตอบแทน
บนลานประลอง สองศิษย์อาจารย์และหนึ่งอสรพิษถูกขังอยู่ในปราการจิตของปีศาจงูขาว ไอขุ่นปกคลุมไปทั่วปิดกั้นสายตา เบื้องหลังควันขุ่นมัวมิอาจบอกว่าสถานการณ์ดีร้ายเช่นไร เห็นเพียงเค้าลางการต่อสู้ดุเดือด เสียงร้องคำรามของปีศาจงูยังคงดังต่อเนื่อง
เพียงชั่วขณะยามควันมืดบางเบาเผยให้เห็นเหตุการณ์ในสนามประลอง ปรากฏร่างบุรุษชุดดำถูกปลายหางแหลมคมเสียบแทงกลางร่าง
"ไม่นะ!"
ราวกับสายอสนีบาตหมื่นสายผ่าลงตรงหน้า ดวงตาของหนิงเฟิ่งพร่ามัวชั่วขณะ เห็นเพียงร่างสูงของซือฝุค่อย ๆ ร่วงหล่นจากกลางอากาศ หนิงเฟิ่งก็พุ่งกายเข้าไปอย่างไร้สติ แต่มิอาจสัมผัสได้แม้เพียงชายเสื้อ เห็นร่างสูงทะลุผ่านปราการจิตไปต่อหน้าหล่นกระทบพื้นจนลานหินสั่นไหวอยู่พักใหญ่
ไม่! เป็นไปไม่ได้...
หนิงเฟิ่งมิอาจยอมรับความสูญเสีย นัยน์ตาหงส์แปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิต โทสะร้อนกลับมาครอบงำดวงจิตของนางอีกครั้ง เรือนผมยาวถูกย้อมด้วยเพลิงกาฬ รอบกายเกิดเป็นลูกไฟยักษ์เผาผลาญทุกสิ่ง
ก่อนปีศาจงูขาวจะรู้ตัวก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้กับที่
ชั่วพริบตา จากผู้ล่ากลับกลายเป็นเหยื่อ งูขาวเกิดแววตระหนักในดวงตา คาถาของมันร้ายกาจทั้งภาพมายาและการอ่านใจ
ฉากเมื่อครู่มันคิดว่าทำได้ดียิ่ง อาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำ
ดีจนสามารถปลุกพลังมืดในกายของหงส์เพลิงตนนี้ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
กว่ามันจะสร้างร่างแปลงที่มีเลือดเนื้อกระดูกได้ต้องสิ้นเวลาไปเกือบหมื่นปี ไม่อาจปล่อยให้เซียนด้อยบำเพ็ญมาทำให้เสียหายได้
แม้จะเอ่ยว่าไม่ยินยอม แต่มิอาจหนีจากโซ่ตรวนที่กำลังบีบรัด ไฟร้อนค่อย ๆ ลามมาตามโซ่เหล็ก ดวงตาว่างเปล่าจับจ้องปีศาจงูไม่กะพริบ ในปราการจิตที่มันสร้างขึ้นมา กลับมิอาจดิ้นหลุดจากพันธนาการ
ปีศาจงูตกตะลึง ยามพลังปราณที่สะสมมาอย่างยากลำบากถูกดึงออกจากร่าง เซียนผู้นี้สามารถดึงดูดพลังของมันได้ มันมองเห็นเค้าลางหายนะ ปีศาจงูขาวตัดสินใจทำลายปราการมายาลง ปลดปล่อยดวงจิตของหนิงเฟิ่งให้เป็นอิสระ
แต่ถึงอย่างนั้นหงส์น้อยก็ยังไม่คืนสติกลับมา
“ปล่อยข้า!” ปีศาจงูแผดเสียงคมดั่งมีด หวังทำร้ายคู่ต่อสู้ให้ปลดปล่อยตนจากการเกาะกุม เซียนน้อยก็สามารถสร้างกำแพงปราณขึ้นตั้งรับอย่างไม่สะท้าน
แววตาเรียวรีของมันเผยให้เห็นถึงความตื่นกลัว มันไม่คาดคิดถึงพลังที่หนิงเฟิ่งมี ชั่วขณะที่กองไฟลุกท่วมสร้างความเจ็บปวด มีหนึ่งดาบเสียบเข้ากลางอกงูขาว เป็นเทพสุริยะหยางผิงและเทพเอ้อหลางที่สอดทวนเข้ามาพร้อมกัน ทั้งดาบและทวนนั้นสร้างแผลลึกกลางอก แต่ก็ช่วยตัดโซ่เหล็กปลดปล่อยมันจากพันธนาการ
ปีศาจงูเห็นทางหนีก็ไม่รั้งรอ ผลักเทพหนุ่มทั้งสองออกอีกทาง แล้วรีบเร้นกายกลับแดนอสูรก่อนแผนการที่มันสร้างมาหมื่นปีจะจบลงเพราะร่างทิพย์ร่างนี้ดับสลายไปก่อน
หนิงเฟิ่งมองโซ่เหล็กที่ขาดลงเพราะศัตรูเก่า เทพเอ้อหลางอีกแล้ว แต่ครั้งนี้นางสามารถประสานกลับได้ไม่มีแม้รอยร้าว ร่างบางแผดเสียงโฮลั่น ดวงหน้างามเต็มไปด้วยหยดน้ำตา
ผมสีแดงเพลิงรับกับดวงตาสีเลือด แม้รูปร่างจะเปลี่ยนไปจากเด็กน้อยในวันนั้น แต่ท่าทางของนางก็ทำให้เอ้อหลางสามารถคาดเดาได้อย่างหนึ่ง
ต้องเป็นนางแน่...หนิงเฟิ่ง
เคราะห์ดีที่หนิงเฟิ่งไม่หันกระบี่มาทำร้ายเทพหนุ่ม ยังคงเหอะตามปีศาจงูไปยังทิศประจิมทางเชื่อมประตูอสูร
เอ้อหลางมองเห็นเทพสุริยะบาดเจ็บหนัก โลหิตแดงย้อมทั่วชุดหนัง ตี้จวินไม่ได้สวมเกราะออกรบ ไม่มีปราการด้านแรกป้องกัน
สามกิเลนเห็นเหตุการณ์สงบก็กลับไปยืนคุมทางเข้าไม่สอดมือเรื่องอื่น ทำตามหน้าที่เคร่งครัด
“เทพสุริยะทางนี้ขอฝากท่านด้วย ปีศาจงูเป็นความรับผิดชอบของผู้น้อย ข้าจะตามนางไป ขอท่านรายงานเทียนจวินแทนผู้น้อยด้วย” เอ้อหลางเอ่ยความต้องการอย่างรวดเร็วและรีบจากมาทันที
เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่คงไม่เท่าเทพสุริยะ หยางผิงตี้จวินพยายามฝ่าเข้าไปในกำแพงมายาที่ปีศาจงูขาวสร้างขึ้น บาดแผลทั่วตัวเกิดได้จากความดื้อรั้น
ทั้งคู่มองเห็นหนิงเฟิ่งถูกสะกดนิ่ง ดวงตาหงส์สบประสานเข้ากับตางู บุรุษภายนอกกำแพงไม่อาจทราบได้ว่านางเห็นนิมิตมายาอะไร แต่เพียงไม่นานเพลิงโทสะก็ลุกโชนท่วมร่างบาง เป็นเพลิงปราณร้อนแรง แล้วหนิงเฟิ่งก็พุ่งกายเข้าโจมตีงูยักษ์อย่างเลือดเย็น
ใจเขาตอนนี้ไม่ทราบว่าควรห่วงร่างบางหรือปีศาจงูตนนั้นดี หนิงเฟิ่งดูแล้วพลังปราณก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่ได้สติกลับคืน กลัวว่าสตรีร่างบางจะเผลอพลั้งมือทำลายแดนอสูรให้ย่อยยับดับโทสะ หากเป็นจริง แม่ทัพสวรรค์เช่นเขาไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนไปกราบทูลเทียนจวิน และองค์มหาเทพหนิงหลงผู้เป็นอาจารย์ของนาง
อีกฟากฝั่ง ณ แดนอสูร
ครั้งหนึ่ง...หลินไท่ซือทำนายว่า ในไม่ช้าด้ายแดงจากเทพจันทราจะหดสั้น เขาจะพบกับเจ้าของด้ายแดงที่ผูกรัดชะตาของทั้งคู่ไว้ด้วยกัน
เนื้อคู่ที่ไม่ใช่ชายาเอกของเขา
เว่ยจวิ้นหมิงเพียงรับฟังไว้ผ่านหูมิได้เก็บไว้ในใจ วังไท่จื่อของเขาใหญ่โตกว้างขวาง ตำหนักภายในหลายห้องบรรจุสนมนางห้ามนับร้อย ให้นับสตรีเคียงหมอนเป็นเนื้อคู่ นิ้วทั้งสิบคงถูกพันรัดด้วยด้ายแดง หากแต่ตอนนี้สตรีที่เขาพึงใจที่สุดก็คือเจิ้งเฟยที่เขาแต่งตั้งนามว่าเซียวซีเหม่ย แม้ซีเหม่ยจะเป็นสตรีที่ดีทั้งกิริยาท่าทาง แต่เรื่องไหน้ำส้มใต้ต้นท้อล้วนไม่เข้าใครออกใคร ผู้เฒ่าหลินเก่งกาจทำนาย รู้แจ้งตำแหน่งดาวเป็นที่สุด หากเขาไม่อยากโดนนางแมงมุมฉีกอก คำทำนายนี้จะให้เซียวซีเหม่ยทราบไม่ได้
ค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดในแดนอสูร คำทำนายที่ไม่เคยเก็บมาใส่หัว กำลังกวนใจเขาจนมิอาจข่มตา เว่ยจวิ้นหมิงค่อยๆ ถอยกายออกจากแท่นบรรทม หยิบเสื้อนอกตัวยาวปักลายพยัคฆ์คลุมกายหลวม ๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกไปสูดอากาศ ระงับความว้าวุ่นในใจ
ท้องฟ้าแดนอสูรปกคลุมด้วยไอขุ่นตลอดวันคืน ไม่แน่ชัดว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ คืนนี้ไอขุ่นดูหนากว่าปกติ แม้แสงหินจันทราก็มิอาจส่องได้ไกลดั่งเคย สองเท้าก้าวเดินไปไร้จุดหมาย ความว้าวุ่นในใจก็ไม่ลดละ เมื่อสองเท้าไม่ได้ดั่งใจ จึงเปลี่ยนเป็นเหาะขึ้นเหยียบเมฆหวังลมเย็นช่วยคล้ายความร้อนรุ่ม
แม้ตัวเขาจะเกิดมาได้เพียงห้าพันปี หากแต่มีอนาคตที่ปูทางด้วยกลีบดอกไม้ไร้ขวากหนาม ทั้งชีวิตราบรื่นไม่ต้องบุกฝ่าเอาเอง วิชาความรู้ต่าง ๆ เขาเล่าเรียนได้ดีทุกสิ่ง อีกทั้งอาจารย์ทั้งหลายที่บิดาหามาก็ล้วนแล้วแต่เป็นเอกในด้านนั้น ๆ
หลินไท่ซือก็เช่นกัน ทั้งสองประสบชะตาจากความบังเอิญในตลาด ด้วยวิชาทำนายและไหวพริบของหลินหยวนซุน เขาจึงออกปากเชิญหลินไท่ซือเข้ามาเป็นอาจารย์อีกคน
ถึงตอนนี้ก็เกือบพันปีอสูรแล้ว
เขาตระหนักดีว่าวิชาทำนายของตนตื้นเขิน แม้จะร่ำเรียนอย่างไรก็ไม่เป็นผล โชคดีที่เสด็จพ่อมีหลินไท่ซือคอยชี้แนะ ไม่เช่นนั้นก็มิอาจผ่านด่านชะตาชีวิตมาได้หลายหน จนมาถึงด่านชีวิตหนึ่งของเขาที่หลินหยวนซุนเป็นผู้ชี้แนะ
ยามนี้เว่ยจวิ้นหมิงเหาะมาไกลจากตำหนักมากแล้ว ทั้งยังลึกเข้ามาถึงเขตป่าต้องห้ามโดยไม่รู้ตัว เขายังเหม่อลอยพักใหญ่ค่อยนึกได้กะทันหัน ยามเดือนมืดมิควรเข้าใกล้เขตป่าต้องห้ามแสนอันตราย พึ่งตระหนักเช่นนั้นก็หันหัวเมฆกลับ แต่เสียงสายฟ้าดังครืน ๆ กลับเรียกความสนใจ
ห่าฝนเม็ดใหญ่เทลงมาทันควันสร้างความเปียกปอนตลอดร่างพร้อมกับฟ้ามืดที่แหวกกว้างคล้ายถูกกรีดด้วยกระบี่คม ผืนฟ้าแดนอสูรแยกเป็นช่องว่างแสงสีแดงส่องสะท้อนจากรอยขาด
เสียงอสนีบาตฟาดภูเขาดังกึกก้อง ปรากฏเป็นร่างงูขาวยักษ์โผล่จากช่องแคบ ปีศาจงูพุ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว หัวโตของเขาว่างเปล่ากะทันหัน หนึ่งเกือบจวนตัวก็บังคับเมฆให้หลบอย่างเฉียดฉิว ปีศาจงูยักษ์ไม่สนใจการมีอยู่ของเขาหรือไม่ก็ไม่ได้มองแต่แรก มันเหาะหนีไปอย่างรวดเร็ว เว่ยจวิ้นหมิงได้แต่มองตามด้วยไม่เข้าใจ
มันหนีอะไรมา
เมื่อหันกลับมองที่รอยแยกเดิม ก็พบกับผู้มาใหม่อีกหนึ่งคนเป็นสตรีผมแดงชุดแดงตลอดร่าง แม้ท้องฟ้าจะอับแสงเพียงใด ผิวขาวราวหิมะแรกของนางกลับเปล่งประกายมิต่างจากหินพระจันทร์
ในยามฝนฟ้าคะนองพิโรธ ดวงหน้าเรียบสนิทกลางม่านน้ำสะกดให้ใจหยุดเต้น นางเป็นใครมิอาจรู้ คล้ายล่องลอยในความฝัน ร่างสูงยืนนิ่งจ้องมองสตรีผู้มีรูปโฉมงดงามราวหยกสลัก
ยามนางเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีเพลิงนั้นมองผ่านไปอย่างเย็นชา กลับสามารถดึงกระชากลมหายใจทั้งชีวิตเขาออกไปด้วย ออกไปอยู่ในกำมือนาง เว่ยจวิ้นหมิงคิดว่าสวรรค์เมตตานางมากกว่าผู้ใด ฟ้าที่เคยเที่ยงตรงกลับเอนเอียง จึงเสกสร้างนางให้งดงามเหนือสตรีทั้งสามภพ
เม็ดฝนเทกระหน่ำเป็นสาย หากแต่เมื่อกระทบแก้มนวลกลับสลายเป็นไอระเหยทันที นางสวมแพรแดงเนื้อบาง แต่หยาดพิรุณมิอาจลดความงาม แพรไหมแดงนั้นไม่เปียกลู่แนบกายกลับพลิ้วไหวคล้ายกิ่งไผ่ต้องลม
หากลมหายใจหยุดลงตรงนี้ก็ไม่เสียดาย...
แม้นางจะเหาะจากไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงตัวเขาที่ตากฝนพร้อมหัวใจที่เปียกปอนชุ่มฉ่ำ ก้อนเนื้อในอกกลับมาเต้นอีกครั้ง เต้นดังและเร็วยิ่งกว่ากลองศึก ทั้งยังควบคุมร่างไร้สติของเขาเหาะตามหนึ่งปีศาจหนึ่งสตรีชุดแดง
งูยักษ์ตัวใหญ่เช่นนี้เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินข่าว ด้วยตำแหน่งไท่จื่อต้องตามไปดูให้แน่ชัด เพื่อความสงบสุขของดินแดนใต้ปกครอง เมื่อคิดหาเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว ก็เร่งความเร็วขี่เมฆฝ่าฝนตามทั้งคู่ไป
ท้องนภาไร้แสงดวงดาราประดับมีเพียงความมืดมิดจากไอขุ่นควันบดบัง อีกทั้งห่าฝนเม็ดใหญ่ที่ร่วงหล่นมืดฟ้ามัวดิน ด้านหนึ่งของป่าต้องห้ามกลับปรากฏแสงสว่างสาดขึ้นพร้อมเสียงดังสนั่น ดรุณีชุดแดงตามหลังปีศาจงูทันแล้ว
ลูกไฟหลากสีปลิวว่อนทั่วฟ้าเกิดอัคคีเพลิงหลายกองในป่าต้องห้าม แม้สายฝนจะตกหนัก แต่เพลิงปราณก็ยังลุกโชน
เว่ยจวิ้นหมิงเร้นกายมองการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ใบหน้าคมมองตามร่างบางที่ถือกระบี่สู้ปีศาจร้าย ดั่งพญาหงส์เริงระบำ ช่างเป็นวีรสตรีนักรบ หญิงสาวตรงหน้าองอาจกล้าหาญ เก่งกล้าอาคม รอบแดนประลองเกิดเป็นเขตปราณเซียนเข้มข้น
ปีศาจงูต้องการล่อคู่ต่อสู้เข้าไปในป่าลึก ป่าต้องห้ามเป็นต้นกำเนิดของไอขุ่นสกปรกในแดนอสูรอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งลึกยิ่งดำมืด แต่รอบกายที่แม่นางชุดแดงก้าวผ่านกลับไม่มีควันดำปกคลุม การต่อสู้ยืดยาวมาสองชั่วยามแล้ว แม้สตรีชุดแดงจะเก่งกาจปานใด ตอนนี้นางกลับแสดงความอ่อนล้าออกมาชัดเจน ริมฝีปากบางเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ผิวขาวซีดคล้ายไร้โลหิตหล่อเลี้ยง เส้นผมสีแดงเพลิงค่อย ๆ เปลี่ยนกลับเป็นสีดำ เว่ยจวิ้นหมิงเห็นท่าไม่ดีจึงเรียกทวนคู่กายหมายสอดมือเข้าช่วยเหลือ
เขาต้องแสดงฝีมือให้แม่นางท่านนี้เห็น
ปีศาจงูขาวรับรู้ถึงผู้มาใหม่ มันมีท่าทีโกรธเกรี้ยวที่เขาสอดทวนเข้ามาขวาง แม้วิชาบุ๋นของเขาจะเป็นเอกเพียงใด แต่วิชาบู๊กลับเรียกได้ว่าไม่ได้ความ นี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้ตัวว่าวิชาที่ร่ำเรียนมาห้าพันปี ผ่านมาช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน
งูขาวยักษ์บันดาลโทสะแผดเสียงร้องแสบหู เสียงของมันคมกริบดังมีดสั้น ปั้นอากาศเป็นอาวุธกรีดเนื้อเขาไปหลายแผล ตอนนี้เสื้อคลุมสีครามย้อมด้วยโลหิต เมื่อหันไปมองร่างบางก็พบว่านางเปลี่ยนไปอีกแล้ว มือเรียวถือกระบี่นิ่งงัน ท่าทางเย็นชาแรกพบเปลี่ยนคล้ายเป็นคนละคน ดวงตาคมฉายแววฉงนส่งมา ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงยิ่งขึ้น
ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เพียงเห็นแววตางามก็ลืมเลือนทุกสิ่ง
“หลบไปซะ!!!” เสียงหวานราวระฆังแก้วสั่นไหว กล่าวให้เขาเป็นประโยคแรก ไม่พูดเปล่าร่างบางยังตวัดแพรแดงดึงตัวเขาออกจากรัศมีโจมตีของปีศาจงู
บุรุษผู้นี้เป็นใคร...แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหน
นี้เป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นในหัวของหนิงเฟิ่ง ชายหนุ่มร่างสูงยืนขวางกันระหว่างนางกับปีศาจงู นางจำงูขาวตัวนี้ได้ มันสังหารบิดานาง หลังจากนั้นหนิงเฟิ่งก็ไร้สติ จนกระทั่งมีผู้มาใหม่ปรากฏตัวตรงหน้า
แล้วเหตุใดตอนนี้ร่างกายนางกลับอ่อนแรงลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ โลหิตในกายร้อนรุ่ม หากไม่รีบจบศึก นางจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ หนิงเฟิ่งละความสงสัยชั่วคราวส่งชายหนุ่มตัวเกะกะออกให้พ้นทาง ก่อนที่ปีศาจงูจะหนีไปไกล ต้องจับมันมาลงโทษให้สาสม
ครานี้เว่ยจวิ้นหมิงมิได้ทำสิ่งใดมากไปกว่าการยืนมองนางเงียบ ๆ ปล่อยให้สายฝนพัดพาเวลาให้ล่วงเลยไปเช่นนั้น เขาพึ่งรู้ถึงความร้ายกาจของพิษรัก เพียงมองดวงหน้าไม่ว่าจะเปียกปอนเพียงใด หรืออยู่ในสนามรบอันตรายเขาก็ไม่กลัวทั้งสิ้น
หนิงเฟิ่งต่อสู้อย่างลำบาก หากเดินลมปราณอาการยิ่งทรุด นางทำได้เพียงใช้วิชากระบี่และมือเท้าต่อสู้ ไม่อาจสร้างปราการเซียนเป็นเกราะคุ้มกาย ตอนนี้นางเสียเปรียบอย่างมาก ทั้งไม่คุ้นชินสนามประลอง อีกทั้งต้องคอยระวังไม่ให้ชายหนุ่มโดนลูกหลง คล้ายปีศาจงูจะจับความคิดนางได้ มันเปลี่ยนเป้าหมายเข้าโจมตีบุรุษผู้นั้นแทน
“ระวัง!” กว่าเว่ยจวิ้นหมิงจะรู้ถึงเสียงเตือนก็โดนงูยักษ์รัดรอบกายแล้ว
บุรุษโง่เง่าไม่ฟังเสียงเตือนแม้แต่น้อย ยืนนิ่งให้ถูกจับง่ายๆ
กรี๊ด!
แต่กลับไม่เป็นอย่างที่ปีศาจงูหวัง เมื่อเกล็ดหยาบของงูขาวสัมผัสผิวกายของชายหนุ่มก็เกิดอาการแสบร้อน มันสะบัดหางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ดิ้นพล่านไปกับพื้น เว่ยจวิ้นหมิงไม่ทันระวังตัว ถูกหางยาวฟาดเข้าเต็มท้องกระเด็นไปอีกทาง
หนิงเฟิ่งชะงักกับภาพตรงหน้า งูตัวนี้แพ้ทางบุรุษผู้นั้น ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใดก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ หนิงเฟิ่งกระโดดสูงไปยังร่างบุรุษที่นอนกุมท้องตัวงอบนพื้น นางยกชูร่างสูงขวางหน้า
“แม่นาง เจ้าจะทำอะไร” เขาไม่ทราบประสงค์ของนาง แต่ก็พอเดา ๆ ได้ว่านางจะใช้เขาเป็นเกราะ
เพื่อความรัก...เว่ยจวิ้นหมิงผู้นี้ขอสละชีพ
ปีศาจงูยังคงแผดเสียงระบายความเจ็บปวด หางยาวฟาดลงกลางลำตัวเว่ยจวิ้นหมิงอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะต้องสละชีพจริง ๆ เขากระอักโลหิตออกมาคำโตพ่นกระจายเต็มตัวอสรพิษ
คล้ายโดนน้ำกรดสาด เกล็ดงูแข็งที่สัมผัสโลหิตเกิดรอยไหม้สีดำตลอดร่าง
“โลหิตท่านใช้ได้ กระอักเลือดออกมาอีกสิ” หนิงเฟิ่งเอ่ยอย่างไม่คิด ตอนนี้พลังนางใกล้หมดแล้วต้องรีบจบการประลองให้เร็วที่สุด
เว่ยจวิ้นหมิงชะงักกับเสียงหวานที่เขาหลงใหล นางวิปลาสไปแล้วหรือไงกัน ท่าทางจริงจังทำให้เขาหวาดกลัวความคิดนางไม่น้อย
“เจ้าจะบ้าหรือไง ข้าบาดเจ็บสาหัสอยู่นะ”
“ขออภัยด้วยพี่ชาย” หนิงเฟิ่งคล้ายไม่รับฟังคำทักท้วง นางยกกระบี่กรีดข้อมือของชายหนุ่มใช้โลหิตย้อมกระบี่ตนเองก่อนจะโยนร่างสูงไปให้พ้นทาง แล้วเหาะเข้าต่อสู้อีกครั้ง ส่วนเว่ยจวิ้นหมิงมิอาจทานทนต่อบาดแผลหมดสติไปเกือบจะทันทีที่ร่างหล่นกระทบพื้นดิน
เพราะเว่ยจวิ้นหมิงคือทายาทแห่งเผ่าพยัคฆ์ ผู้ได้รับพรจากจิตวิญญาณแห่งโลก โลหิตของเผ่าราชันเป็นภัยกับอสูรที่คิดร้าย ปีศาจงูขาวประเมินตนเองแล้วไม่อาจสู้ไหว จึงสลายกายเนื้อเป็นควันมืดพุ่งลงไปในดิน
น่าเจ็บใจนัก มันหนีไปจนได้!
หนิงเฟิ่งไม่อาจตามล่ามันได้อีก ด้วยไม่ทราบว่ามันไปที่ไหน ตามจริงแล้วนางไม่รู้แม้กระทั่งว่านางอยู่สถานที่แห่งใดเสียด้วยซ้ำ หงส์น้อยนิ่งไปครู่หนึ่งพยายามสงบสติอารมณ์ใช้ความคิด แต่ความเจ็บปวดที่กำลังแผ่ซ่านทำให้นางรวบรวมสติได้ยากยิ่ง ร่างบางหันกลับมาสนใจชายหนุ่มอีกคนในสนามประลอง ยามนี้ฝนคะนองหยุดไปแล้ว ท้องฟ้าบริเวณที่ทั้งคู่ยืนปรากฏแสงสว่างจากดวงดาวสาดส่องเข้ามาถึงพื้นดินได้ มีเพียงตำแหน่งที่เหยียบยืนเท่านั้นที่ไอสกปรกเบาบางลง ต่างจากรอบด้านที่ยังมืดสนิท
หนิงเฟิ่งรับรู้ได้ว่ายิ่งก้าว ขานางยิ่งหนักจนต้องใช้กระบี่ยันพื้นช่วยเดิน โลหิตในกายนางปั่นป่วนมาตั้งแต่เมื่อครู่ คล้ายกำลังแผดเผากาย ก่อนที่ร่างบางจะถึงตัวบุรุษที่นอนนิ่ง นางก็ทรุดกายลงกับพื้น ชั่วอึดใจก่อนหนิงเฟิ่งจะหมดสติ นางเห็นชายผ้าสีขาวของผู้มาใหม่ บุคคลที่สามในป่าแห่งนี้
“ท...ท่าน” มิทันจะเอ่ยจบ สติก็ถูกดึงรั้งออกจากร่างไปเสียก่อนแล้ว
“ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า แต่ก็ดี ข้ายังขาดหมากตัวสำคัญอยู่” เสียงทุ้มเอ่ยกับร่างไร้สติของหญิงสาว
เขามองดูด้ายแดงที่พันเกี่ยวกับนิ้วเรียวของร่างบาง ปลายอีกด้านผูกโยงกับนิ้วมือของบุรุษชุดคราม สวรรค์ลิขิตชะตาเช่นนี้ ยากที่นางจะหนีพ้น
พลังชำระของนางหาได้ยาก แต่การไม่ประมาณตนทำให้ไอสกปรกเข้มข้นไหลเวียนเข้าสู่โลหิต หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ดวงจิตบริสุทธิ์ก็อาจจะถูกย้อมด้วยจิตมาร
ไข่มุกสีดำถูกส่งเข้าริมฝีปากม่วงคล้ำ ผู้มาใหม่ชุดขาวแหงนมองดวงดาวบนฟ้าด้วยท่าทีสงบ ลมชื้นพัดมาโดนร่างสูง เส้นผมสีเงินนั้นปลิวไสวใต้แสงดาว สายลมผ่านไปพร้อมกับหอบความมืดมิดเข้ามาแทนที่ ปิดบังท้องนภาดังเดิม ท่ามกลางสมรภูมิที่พึ่งดับมอด ปรากฏร่างลูกพยัคฆ์ขาวลายเมฆแทนที่สตรีชุดแดง
ความคิดเห็น