คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 4 ยวนยางคู่นั้น มองแล้วสมกันจริง
ตอนที่ 4 ยวนยางคู่นั้น มองแล้วสมกันจริง
100 ปีหลังหนิงเฟิ่งบุกสวรรค์
เรื่องเล่าทั่วสามภพล้วนมีมาก บ้างบันทึกไว้ บ้างหายไปตามกาลเวลา เพียงน้อยนิดที่ถูกเขียนเป็นตำรา ลงความเห็นว่า
เรื่องที่หนึ่งต้องการเชิดชูผู้ชนะ
เรื่องสองคงหนีไม่พ้นบุปผาสายลมหิมะจันทรา
*บุปผาสายลมหิมะจันทรา เป็นสำนวนพูดถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่
หนังสือมากมายของเซียนซู่จิ่นที่ขนมายังตำหนักหั่วชิง มีเล่มเล็กเล่มหนึ่ง บรรยายว่า
ท้องนภาสว่างขาว ไร้เมฆขุ่นบังแสงสุริยะ ณ ริมบึงบัว ข้าและเจ้าทอดกายเอนตัวนั่งนอนเคียงคู่ ชมดูหงเหลียนฮวา(บัวแดง) ชู่ช่อแข่งเบ่งบานอวดสีสัน หูเตี้ย(ผีเสื้อ) ปีกสวยบินตอมดอกนั้น เกาะดอกนี้เป็นที่ยึด คู่ยวนยางว่ายกลางบึง กายติดกันไม่ห่าง ตัวพ่อยืดคอยาวก้มลงน้ำจิกปลาน้อยขึ้นแบ่งกันกิน ตัวแม่ไซ้ขนหวานชื่น คู่สวรรค์สรรค์สร้าง กลายเป็นภาพที่พอจะซึ้งได้อยู่
พอหนิงเฟิ่งมีโอกาสมานั่งริมบึงบัวหลังตำหนักอี้เหอ กลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แหงนมองไม่พบสุริยะ เห็นเพียงหมอกดำสีน้ำหมึกย้อมนภา แสงสว่างมิอาจแทรกส่องลงมาถึงพื้นดิน
ด้วยเหตุนี้กระมั่ง ที่ที่ควรจะเป็นสวนขวัญก็กลายเป็นสวนร้าง บึงบัวกว้าง แม้จะยังมีเค้าว่าเคยมีบัว แต่น้ำสีดำนี้ไม่น่ามีสิ่งใดขวัญกล้าเติบโต ซากใบสีน้ำตาลลอยคว้างกลางบึงส่งกลิ่นชวนเวียนศีรษะ เหลียนฮวาสักดอกยังไม่พบ ไหนเลยจะเจอหูเตี้ยบินคู่ ควันสีขุ่นที่ลอยเหนือน้ำดูท่าจะมีพิษ ในบึงน้ำดำคงมีเพียงภูติกบชิงวาที่ยังกล้ากระโดดไปมาในซากบัว
ซวบ!
เอ๊ะ
มีปลายักษ์อีกหนึ่ง มันอ้าปากกว้างกลืนภูติกบชิงวาตัวนั้นลงท้องแล้วจมหายไปกับน้ำดำ กลับเป็นเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดอาศัยในเขตสวนร้างดังเดิม
อ๋อ จะว่าไปก็มีอีกหนึ่งสิ่ง ก็นางอย่างไรเล่า เป็นสิ่งมีชีวิตอีกผู้ในเขตบึงบัวนี้
หนิงเฟิ่งนั่งชมวิวได้ไม่นานก็เผลอตัว ยกอุ้งเท้าปุยขึ้นมาเลียจัดขน ด้วยเวลาจัดขนแล้วรู้สึกสบาย นางเลยเผลอตัวทำผิดวิสัยสัตว์ขนแบน**
**สัตว์ขนแบนคือสัตว์จำพวกนกที่มีปีกแบน ในที่นี้หนิงเฟิ่งเป็นหงส์จัดเป็นสัตว์ขนแบน ส่วนสัตว์ที่มีขนเป็นเส้นเรียกว่าสัตว์ขนกลม
นับวันนี้ก็ครบเดือน ที่ถูกจองจำในร่างสี่ขา หากย้อนไปได้ จะเชื่อฟังท่านพ่อ ท่านลุงให้มาก ไม่ควรเห็นแก่กินจะเป็นภัย ไม่สิ ต้องกล่าวว่าไม่เห็นแก่เรื่องของคนอื่น นับตั้งแต่ตำนานดอกท้อของเทพเอ้อหลาง
คิดได้ก็สายเกินแก้ ทำเพียงก้มหน้ารับผล หาทางคืนร่างหงส์
เมื่อชมบึงพอแล้ว ก็หันกลับตำหนัก หนิงเฟิ่งลุกยืนเต็มความสูง แต่ก็สูงเพียงครึ่งศอก หันหลังเดินย้อนกลับทางเดิม
หนิงเฟิ่งเกลียดร่างพยัคฆ์นี้ ขาก็สั้น ตัวก็เบา แม้เซียวซีเหม่ยผู้ถือตำแหน่งเจิ้งเฟย (ชายาเอก) ของแดนอสูร มักเรียกอย่างหยามเกียรติว่าแมวลาย แต่หนิงเฟิ่งมั่นใจว่านางคือเสือลายเมฆชัด ๆ ถึงไม่ชอบอย่างไร ชาติพันธุ์พยัคฆ์ก็สูงส่งต้องใจนางอยู่
พ้นเขตป่าสวนร้างมืดสลัวกลับเข้ามาในตำหนัก แสงจากหินจันทราสว่างไสวส่องทั่วแทนสุริยะ ลูกพยัคฆ์ขาวลายเมฆเดินเปะปะเข้าประตู เดินอยู่ไม่นานก็นั่งพักข้างโขดหิน หนิงเฟิ่งยังไม่ชินกับการเดินสี่เท้าเท่าไหร่ แม้จะผ่านมาร่วมเดือนแล้ว ขาสั้นเดินไม่นานก็เหนื่อย
"ได้โปรดพิจารณาด้วยเพคะ" เสียงหวานคุ้นเคยลอยมาจากด้านหลัง ระยะห่างเกือบหนึ่งลี้ ประโยคเมื่อครู่นางต้องเอ่ยเสียงดังพอสมควร
"..." ประโยคถัดมากลับไม่ได้ยินต่อ ใบหูแหลมของหนิงเฟิ่งตั้งขึ้น พร้อมขยับรับเสียง ร่างใหม่ หูดีเสียยิ่งกว่าตา หนิงเฟิ่งโผล่ศีรษะออกมา เห็นเป็นเว่ยไท่จื่อ (รัชทายาท) นามจวิ้นหมิง สนทนากับเซียวซีเหม่ยที่คุกเข่ากับพื้นแข็ง
เสียดายที่ทั้งคู่อยู่ไกลเกินไป แม้จะมีประสาทหูดี แต่นางก็ฟังจับใจความไม่ได้ เห็นเพียงเว่ยจวิ้นหมิงประคองเซียวซีเหม่ยลุกขึ้นด้วยท่าทางทะนุถนอม สองคู่ยวนยางสบสายตาประสานสร้างวิมานรัก แผ่รัศมีกำจายไปทั่ว บุรุษส่งประสานตา สตรีหลบตาเอียงอาย นี่สิภาพหยกสลักสวรรค์สรรค์สร้างที่นางอยากเห็น
จะว่าไปก็มีอีกคู่ที่นางเคยพบประสบเรื่องราวสายลมจันทรากับสองตา นับได้เป็นเวลา 95 ปีก่อน
นึกย้อนไปถึงการเดินทางหลายพันลี้ของนาง เริ่มต้นจากก้าวแรกที่ก้าวเหยียบตำหนักพระจันทร์ ครั้งนั้นหนิงเฟิ่งและพี่ซู่จิ่นใช้กงจักรไฟเป็นพาหนะ เยือนตำหนักจันทราของเทพธิดาฉางเอ๋อ เดินทางครึ่งวันไม่พัก เท้าน้อยก็แตะพื้นดิน รอบด้านเขียวชะอุ้มปกคลุมด้วยหญ้าสูง อีกทั้งพฤกษานานาชนิด
ทั้งคู่เดินตามทางหินปูลาดยาว ปลายสุดคงเป็นตำหนักพำนักของเทพธิดา มองจากมุมนี้เห็นเพียงยอดหลังคาหยกรำไร สองข้างทางประดับด้วยมุกราตรีส่องประกายร่วมกับหินสะเก็ดดาวสว่างอยู่มาก
"เทพธิดาฉางเอ๋อดูแลได้เช่นนี้ เป็นเทพรักษาที่ดี" เซียนซู่จิ่นมองรอบด้านอย่างตื่นตา ไม่ต่างจากหนิงเฟิ่ง สวนนี้ใหญ่โตอีกทั้งแปลกใหม่ เหมือนจะใหญ่กว่าสวนสวรรค์ของเจ้าแม่หวางหมู่เสียอีก ผลไม้หลายชนิดนางไม่รู้จัก
ผลหยกนี้ก็ปลูกได้หรือ
ดินของตำหนักจันทราชั่งน่าสนใจ ไม่นึกฝันมาก่อนว่าจะได้เห็นผลหยกขาวยืนต้นเตี้ย ผลละดินเช่นนี้ ช่างน่าอัศจรรย์
"หากข้าขอชิม ท่านคิดว่านางจะแบ่งให้สักผลหรือไม่เจ้าคะ?" หนิงเฟิ่งไม่เอ่ยเปล่า ร่างป้อมเดินไปมาจ้องมองต้นไม้ที่ไม่สูงนัก
"อย่าคิดเด็ดเชี่ยวนะ องค์มหาเทพคงมิชอบหากทำผิดซ้ำเดิม" องค์หญิงซู่จิ่นตัดไฟรีบคว้ามือนางมาจับก่อนที่ผลแก้วใสจะหลุดจากขั้ว ดึงรั้งร่างป้อมมายืนกลางทางหินไกลพืชผลไม้สุดแขนนางจะเอื้อม
"หนิงเฟิ่งมิใช่ขโมยนะเจ้าคะ ไม่มีทางเด็ดเองเป็นอันขาด ข้าเพียงคิดว่าหากขอกับเทพธิดาฉางเอ๋อดี ๆ นางอาจแบ่งให้ข้าสักผล"
พอนึกถึงทัณฑ์ที่มี ก็กล่าวเพิ่มอีกหนึ่งคำว่า "สักผลหลังข้าพ้นโทษก็ดี"
"เทพธิดาฉางเอ๋อจิตใจอารี ข้าเคยพบนางเพียงสองหนในงานเลี้ยงของชีหวางหมู่ ก็พอเดาได้ว่านางจิตใจดี หากเจ้าไม่บุกรุกตำหนักจันทราเช่นนี้ นางอาจแบ่งให้เจ้าก็เป็นได้" พี่ซู่จิ่นกล่าวพร้อมน้ำเสียงตำหนิ หนิงเฟิ่งได้ฟังก็พอเข้าใจว่า
'เจ้าบุกบ้านนาง นางคงไม่ให้เจ้ากินหรอก' เป็นแน่
แต่เดินทางมาเสียตั้งครึ่งวัน จะกลับเลยก็ไม่อาจตัดใจ สู้ยอมหน้าหนาไปขอกับเจ้าของ เผื่อเทพธิดาฉางเอ๋อจะเห็นแก่ความหนาของหน้านางแบ่งให้ เช่นที่เคยขอจากพี่ซู่จิ่น
"อย่างนั้นยิ่งต้องรีบตามหานาง เพื่อขอขมาที่บุกรุก ไปไม่เอ่ยมาไม่แจ้ง มิใช่วิสัยของคนจริงเช่นหนิงเฟิ่งเจ้าค่ะ" ซู่จิ่นมองคนจริงตัวป้อมตรงหน้า ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ
แม้จะบอกว่าไปขอขมา แต่จุดประสงค์หลักของนางก็คือพบเทพธิดาในดวงใจของเทพเอ้อหลางมิใช่รึ หรือลืมเลือนความตั้งใจเมื่อเห็นของกินมากมายแขวนไว้ตรงหน้า
ทั้งสามพบกันกลางแปลงนาเขียวไม่ไกลจากตำหนัก โฉมงามสวมชุดกระโปรงผ้าป่านสีเหลืองนวลไร้ลวดลาย กลืนกับรวงข้าวสีทองในท้องทุ่งนา ผิวขาวดอกฝ้ายนั้นคล้ายจะมีประกายระยิบระยับรอบตัว เส้นไหมสีดำบนศีรษะกลับถูกผูกรัดด้วยผ้าป่านอย่างหลวมดูขัดตา หากปล่อยเรือนผมนั้นทิ้งตัวลงให้ต้องแสงสุริยะ เป็นต้องสะกดสายตาผู้คนได้แน่ ถึงอย่างไรโฉมงามก็เป็นโฉมงาม เทพธิดาฉางเอ๋อถือตะกร้าเก็บผัก ดูคล้ายหญิงชาวมนุษย์ มิคล้ายเทพธิดาบนสวรรค์ มีเพียงความงามเป็นหนึ่งเท่านั้นที่ยืนยันฐานะเทพธิดา
องค์หญิงเผ่าสวรรค์เห็นเทพธิดาเงยหน้าสบตาเกิดสะดุดลมหายใจครู่หนึ่ง ฅแม้จะเคยพบพานแต่ก็ไม่ชินกับความงามนี้ งามจนไม่อาจมีจิตริษยาได้ เมื่อได้สติมองคนข้างกาย ก็พบว่าหนิงเฟิ่งตะลึงกว่านางมากเกินไปอยู่ ครั้นได้สติก็ส่งตาวาววับแสดงท่าทีเขินอายเล็กน้อย แล้ววิ่งเร็วไปหาฉางเอ๋อที่ยืนงงงวยมองผู้บุกรุก
สมแล้วกับที่เป็นหลานลุงของหยางผิงตี้จวิน นิสัยเจ้าชู้นี้ติดทางการพูดคุยได้ด้วยรึเนี่ย นางพึ่งประสบ
"คารวะเทพธิดาทั้งสอง ตัวข้าฉางเอ๋อขออภัย มิทราบถึงการมาของทุกท่าน มิได้เตรียมต้อนรับไว้ก่อน ทำให้เทพธิดาทั้งสองมาพบในชุดไม่เหมาะสมแล้ว" สมแล้วกับเป็นสตรีผู้มีมารยาท ทำให้ซู่จิ่นรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ไม่มีมารยาทแทน
"เสี่ยวเซียนมิกล้ารับเกียรตินี้ เทพธิดาฉางเอ๋อกล่าวหนักไปแล้ว ตัวข้าเป็นเพียงเซียนรับใช้ นามว่าซู่จิ่น เดิมทำงานในสวนท้อสวรรค์ แต่ตอนนี้มีหน้าที่ดูแลหงส์เพลิงตรงหน้า นางมีนามว่าหนิงเฟิ่ง"
"เป็นองค์หญิงซู่จิ่นใช่หรือไม่ ไม่พบกันนานเลยเพคะ" แม้จะยังสงสัยกับสถานะของผู้มาเยือน ด้วยหน้าที่ผู้ดูแลสวนท้อ นอกจากเทพธิดาทั้งเจ็ด คงมีเพียงองค์หญิงเผ่าสวรรค์ หลานสาวอีกผู้ของซีหวางหมู่ เทียนโฮว่
"นานพอสมควร" ตัวนางไม่มีเรื่องธุระ ไม่มีเรื่องเอ่ยสนทนาด้วยไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัวกับฉางเอ๋อ คนต้นคิดอย่างหนิงเฟิ่งก็ยังอายม้วนไม่จบไม่สิ้น
เด็กน้อยทำท่าชายตามองเทพธิดา แต่ก็ไม่กล้ามองตรง เทพธิดาฉางเอ๋อเห็นเป็นเด็กน้อยน่าเอ็นดู วางตะกร้าลงข้างตัว ย่อกายสนทนากับเด็กน้อย
"ชื่อหนิงเฟิ่งรึ ตั้งได้ดี ๆ" นามนี้ของนางหมายถึง หงส์สงบ แต่กริยาของนางนั้นซู่จิ่นไม่อาจรับคำว่าตั้งชื่อได้เข้ากับตัว
"เป็นดั่งท่านว่าเจ้าค่ะ ซือฝุประทานนามให้ข้าได้สมตัว ท่านลุงก็เอ่ยเช่นนั้น"
โป้ปดกันไปใหญ่ เทพสุริยะนะหรือ เชื่อคำเขาก็เอ่ยเรียกนางได้ว่าตัวโง่งม
ใครเอ่ยว่าเขาโหดเหี้ยม ผ่านมา 5 ปี ยังมิได้สัมผัสความอำมหิตแม้แต่น้อย
"ขออภัยท่านแล้ว ผู้มาเยือนไม่แจ้งจุดประสงค์ล่วงหน้า เราทั้งคู่พำนักที่ตำหนักหั่วชิง ไกลออกไปทางทิศบูรพา หนิงเฟิ่งเห็นตำหนักพระจันทร์ของท่านสวยงาม อยากมาเยือนให้เห็นกับตาสักครั้ง ถือวิสาสะบุกรุก ขออภัยอย่างยิ่งอีกครั้ง" หากกล่าวตามจริงเรื่องเทพเอ้อหลางก็ไม่ควรเอ่ย จึงโป้ปดไปอย่างเสียไม่ได้
เป็นเด็กน้อยตามความคิดซู่จิ่นไม่ทัน
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้า..ค.."หนิงเฟิ่งกำลังจะเอ่ยขัด แต่มือเรียวปิดปากไว้เสียก่อน
พอคิดทบทวนกับตนเองสักครู่ก็เข้าใจ นางไม่ได้สนิทสนมกับเทพธิดาฉางเอ๋อ หากจะขอผลไม้สักลูกก็คงไม่ได้ สู้ตีสนิทสักพัก ไปมาหาสู่กันสักสองรอบน่าจะได้
"จริงเจ้าค่ะ อย่างที่พี่ซู่จิ่นเอ่ยนั่นแหละ" เมื่อเปิดปากได้ก็รีบกล่าว
แม้เดิมที เพียงต้องการยลโฉมงามในใจของเทพเอ้อหลางก็ตาม พอมองพักตร์งามนี้ ก็ตัดสินในใจแล้วว่าเขาผู้นั้นไม่คู่ควรสักนิด ดีเลย นางจะนับเป็นอีกหนึ่งเป้าหมาย คือขวางทางรักของเทพเอ้อหลาง
เรื่องกินมาก่อน เรื่องแก้แค้นเป็นรองเสมอ
เทพธิดาฉางเอ๋อดีงามทั้งมารยาทและนิสัย นางเชิญผู้มาใหม่ทั้งคู่เข้าดื่มน้ำชาสนทนามือ(การเล่นหมากกระดาน)ที่เรือนพัก หนิงเฟิ่งจ้อไม่หยุดพยายามเจรจาสนทนาตีสนิท เรื่องที่พูดก็เป็นนิทานที่อ่านเจอ ทั้งซู่จิ่นและฉางเอ๋อก็เคยอ่านผ่านตามาแล้ว ถึงอย่างนั้นเทพธิดาฉางเอ๋อก็ยังแสดงความสนใจใคร่รู้ ตั้งใจฟังเรื่องเล่าขบขัน
"เรือนเยว่ชิงนี้เล็กนัก เพราะมีเพียงข้าคนเดียวที่อาศัย พวกท่านรั้งรอที่ห้องนี้สักครู่ ข้าจะเตรียมชามาต้อนรับ" แขกมาถึงเรือนเจ้าบ้านต้อนรับ วันแรกที่เป็นแขกจบลงด้วยชาหนึ่งกา ขนมหนึ่งจาน ที่หนิงเฟิ่งไม่ได้ดื่มสักจอก ไม่ได้กัดสักคำ
หากมีก้าวแรกเกิดขึ้นแล้ว ครั้งถัดไปนับว่าไม่ยากเย็น ขอเพียงคล้อยหลังเทพสุริยะ หนิงเฟิ่งก็แอบกระโดดขึ้นกงจักรเพลิงมุ่งหน้าไปยังเรือนเยว่ชิงเสมอ แน่นอนว่าองค์หญิงซู่จิ่นก็ถูกบังคับไปด้วยเช่นกัน เรื่องซุกซนที่นางก่อ ไม่แน่ว่าซือฝุรับรู้หรือไม่ ขอเพียงท่านลุงหยางผิงไม่รู้เป็นดีที่สุด ซือฝุสามารถมองผ่านเรื่องนี้ไปหากท่านลุงไม่กวนน้ำให้ขุ่น
แม้หนิงเฟิ่งจะคิดถึงแต่เรื่องเล่นสนุก แต่ก็สังเกตได้ว่าช่วงนี้พี่ซู่จิ่นดูจะซูบไปไม่น้อย นางมีท่าทีอ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ ตลอดเวลา 5 ปีที่ทั้งสองไปมาหาสู่ตำหนักพระจันทร์ สุขภาพขององค์หญิงซู่จิ่นกลับแย่ลงเรื่อย ๆ
เทพธิดาฉางเอ๋อถึงกับเอ่ยปากว่า หากเทพกระต่ายกลับจากโลกมนุษย์จะไหว้วานให้ช่วยตรวจดูอาการของพี่ซู่จิ่น เทพธิดาฉางเอ๋อนับว่างามทั้งกายและจิตใจโดยแท้จริง
ท้องฟ้าวันนี้ยังคงสดใสเหมือนวันก่อน ๆ ต่างเพียงเล็กน้อย เมื่อซือฝุและท่านลุงออกจากตำหนักหั่วชิงไปแต่เช้า บอกกล่าวไว้ว่าไปนาน ไม่มีกำหนดกลับ และไม่ลืมสั่งห้ามซน ห้ามดื้อ แต่กระนั้นซือฝุกลับมิได้ห้ามออกนอกเขตเรือน หงส์น้อยจึงคิดเข้าข้างตนเองว่ามหาเทพอนุญาตแล้ว
เพียงคล้อยหลังผู้อาวุโส หนิงเฟิ่งก็คว้าแขนเซียนซู่จิ่นนั่งกงจักรเพลิงมุ่งหน้าสู่ดวงจันทร์
"องค์มหาเทพขี่เมฆมงคลออกไปยังไม่ถึงเขตแดนเหนือกาล เจ้าก็พาข้าออกนอกตำหนักเสียแล้ว" ซู่จิ่นเอ่ยอย่างอ่อนแรง แม้ร่างกายเหนื่อยล้าก็ไม่ทิ้งท่าทีขี้บ่น
"พี่สาวพักผ่อนเถอะ หนิงเฟิ่งเห็นท่านป่วยมานาน อาการไม่ดีขึ้น ควรเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ตำหนักหั่วชิงร้อนเกินไปสำหรับท่าน ตำหนักจันทราแสนเย็นสบาย ระหว่างที่ซือฝุไม่อยู่ ก็คิดว่าพาท่านไปรักษาตัวดีหรือไม่?" หนิงเฟิ่งยังคงควบคุมกงจักรไม่ได้มองผู้ฟัง จึงมิรู้ว่าเซียนซู่จิ่นหลับไปแต่ต้น
ช่วงนี้นางนอนมากกว่าเดิม ทั้งยังได้รับโอสถทิพย์จากเทพสุริยะหลายขนาน แต่ก็มิช่วยให้อาการทุเลา พอนางป่วยหนัก สุริยเทพก็ลดท่าทีไม่ชอบหน้าลงบ้าง ไม่ชวนทะเลาะเหมือนกาลเก่า แต่เซียนซู่จิ่นก็ยังถือทิฐิ ไม่ให้เทพหยางผิงตรวจชีพจรให้ เพียงเขาไม่หาเรื่องคนป่วย ก็นับว่ามีมโนธรรมอยู่มากแล้ว
"พี่ฉางเอ๋อ หนิงเฟิ่งมาหาเจ้าค่ะ" มาเยือนหลายครั้งก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครเห็น นางบังคับกงจักรไปส่งถึงหน้าเรือนเยว่ชิง พอหนิงเฟิ่งกระโดดลง กงจักรก็หดเล็กกลับไปเป็นสร้อยคอ
ตุ๊บ!
องค์หญิงซู่จิ่นไม่กระโดดลงดั่งเคย เสียงของหนักกระทบพื้นกลับเป็นร่างที่หมดสติ หัวใจของหนิงเฟิ่งตกไปกองอยู่บนพื้น ในหัวว่างเปล่าไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เร่งแบกร่างหญิงสาวขึ้นบ่า วิ่งเข้าเรือนอย่างรวดเร็ว
"เกิดอะไรขึ้นรึ" เสียงโครมครามในห้องรับแขกเรียกฉางเอ๋อมาจากครัว เป็นหนิงเฟิ่งจัดที่ทางเพื่อให้เซียนซู่จิ่นนอนพัก ห้องกว้างมีเพียงโต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ มือหนึ่งประคองเซียนหญิงที่นอนหมดสติบนพื้น อีกมือร่ายมนตร์สร้างเตียงยาวชั่วคราวมากลางห้อง
"พี่ซู่จิ่น พี่ซู่จิ่นไม่ได้สติเจ้าค่ะ ช่วงที่ผ่านมานางมีท่าทางอ่อนแรง ทานยาของท่านลุงไปมาก แม้ไม่ดีขึ้น ก็ไม่นึกว่าจะป่วยหนักถึงขั้นหมดสติ" เทพธิดาฉางเอ๋อมองท่าทีแตกตื่นของหนิงเฟิ่งแล้วยื่นมือเข้าช่วยจัดท่าทางให้เซียนหญิง จากนั้นก็คว้าข้อมือเรียวมาตรวจ
"ชีพจรอ่อนแรง ปราณเซียนโคจรปั่นป่วน พลังบำเพ็ญของนางข้าตรวจไม่พบ เหตุใดถึงมีอาการเช่นนี้ นางถูกทำร้ายมาหรือไม่ หรือถูกพิษร้ายแรง" เมื่อได้ตรวจชีพจรก็ร้อนใจ อาการขององค์หญิงสวรรค์ผิดปกติเกินไป คล้ายกำลังจะดับสูญ เด็กน้อยตรงหน้าก็กำลังจะร้องไห้
"ไม่นะ ไม่ พี่ซู่จิ่นแข็งแรงดี ทั้งข้าและนางอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา ไม่มีใครแตะต้องพี่สาวของหนิงเฟิ่งได้แน่” ยิ่งเอ่ยนัยน์ตาหงส์ก็ปรากฏรอยน้ำวาวใส หนิงเฟิ่งรู้สึกว่ามองตรงหน้าไม่ชัดเจน ได้แต่กะพริบตาไล่ความขุ่นมัว นับเป็นครั้งแรกที่นางรู้จักน้ำตา เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อมีท่าทีคิดหนักยิ่งทำให้นางเสียสติ
"ซือฝุกับท่านลุงออกนอกเขตแดนไปตั้งแต่เช้า ตามไปตอนนี้ไม่ทันแน่ อีกทั้งข้าต้องโทษมิอาจออกนอกเขตแดนได้ พี่ฉางเอ๋อช่วยพี่ซู่จิ่นด้วยเถอะ หนิงเฟิ่งขอร้อง" ยิ่งคิดยิ่งสับสน ร่างของซู่จิ่นผอมลงมากจากครั้งแรกที่พบ นางอุตส่าห์ขอขนมจากฉางเอ๋อให้เซียนสาวเสมอแท้ ๆ แต่กลับมิช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
"หนิงเฟิ่ง แม้เราจะคบกันเป็นสหายมาก็นาน แต่ตัวข้าฉางเอ๋อผู้นี้ ก็ไม่รู้จักซือฝุหรือท่านลุงของเจ้าเลย รู้เพียงนางเป็นองค์หญิงเผ่าสวรรค์ เช่นนั้นจึงไว้ใจ ไม่ถามเจ้าเรื่องความเป็นมา" จริงอย่างที่นางเอ่ย เทพธิดาฉางเอ๋อไม่เคยถามเรื่องความเป็นมา นางก็ไม่ได้เอ่ยเล่าไป
"ตัวข้าหนิงเฟิ่ง เป็นศิษย์ปิดสำหนักขององค์มหาเทพหนิงหลง ท่านลุงนั้นก็คือเทพสุริยะหยางผิงตี้จวิน ข้าเคยขวัญกล้าไม่รู้ต่ำสูงบุกรุกสวรรค์ อาละวาดสวนท้อของเทียนโฮ่ว ทำให้ซือฝุลงโทษ ห้ามออกนอกแดนเหนือกาล ไม่รับโภชนาพันปี พวกเราไม่มีเจตนาปิดบัง หนิงเฟิ่งเห็นท่านไม่ถามจึงไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรเท่านั้น"
"ข้าก็พอเดาได้ว่าคงเกี่ยวข้องกับไท่จวิน เพราะการเข้าออกดินแดนนอกฝั่งฟ้าต้องได้รับอนุญาตจากไท่จวิน แต่ไม่คิดว่าเขาจะรับเจ้าเป็นศิษย์หนึ่งเดียว บอกตามตรง ข้ามิอาจช่วยเหลือสิ่งใดมากนัก ทำได้เพียงถ่ายทอดพลังให้นาง หล่อเลี้ยงดวงจิต"
หล่อเลี้ยงดวงจิตไม่ใช่ว่าอาการหนักมากหรอกรึ ยิ่งฟัง แก้มนางยิ่งชื้น เทพธิดาฉางเอ๋อประคองเซียนซู่จิ่นให้นั่งตรง มือวางประสานที่ตัก หนิงเฟิ่งร้อนใจไม่อยู่นิ่ง เดินวนรอบทั้งคู่เป็นวงกลม
เทพธิดาฉางเอ๋อถ่ายพลังผ่านฝ่ามือสู่แผ่นหลังบอบบาง
"ข้า ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี"
"สงบใจก่อนเด็กน้อย แม้ข้าจะไม่สามารถออกนอกแดน แต่ก็มีพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปีอยู่ น่าจะพอประคองให้นางฟื้นได้ ข้าคิดหาทางได้วิธีหนึ่ง ต้องให้เจ้าช่วยเหลือ เมื่อเดินออกไปทางทิศประจิมสักสิบลี้จะพบโพรงกระต่าย เทพไป๋ทู่พึ่งกลับมาจากโลกมนุษย์ ตามเขามาพบข้าด้วยเถอะ เขาอาจช่วยได้" เหมือนเสียงสวรรค์โปรด เมื่อมีทางออก แม้แสงรำไรอยู่บ้าง ก็ถือว่ามีทาง
หนิงเฟิ่งเร่งเหาะไปทันที
ชั่วอึดใจก็ถึงโพรงไม้ขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยดอกไม้หลากสี นับว่าเป็นการเหาะที่เร็วที่สุดตั้งแต่นางเหาะได้กระมั่ง โพรงตรงหน้าเป็นถ้ำใหญ่ นางรีบร้อนถือวิสาสะ เปิดประตูเข้าไปในเรือน ลืมแม้กระทั่งเคาะประตูเรียกเจ้าของเรือน
"เทพกระต่ายเจ้าคะ เอ..." นางไม่เคยพบเทพกระต่าย และพี่ซู่จิ่นก็เคยเล่าเรื่องของเขาเพียงน้อยนิด ห้าปีที่ไปมาหาสู่กัน เป็นช่วงที่เทพกระต่ายลงไปปัดเป่าความทุกข์ให้ชาวบ้าน แจกจ่ายยาวิเศษ นางจินตนาการถึงเทพที่สามารถแปลงกายเป็นกระต่ายหูยาวได้ แต่ภาพตรงหน้ากลับเป็นภาพดอกท้อปลิวไหวตามสายลมเสียอย่างนั้น
หญิงสาวโฉมงามสวมชุดขาวตลอดร่าง คุกเข่าโขกหัวอยู่ที่พื้น นางก้มลงที เส้นไหมสีดำก็แผ่กระจายตามการเคลื่อนไหวที นางเงยขึ้นก็เป็นภาพน่ามอง ผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นชายเสื้อมา เหมือนไม่เคยต้องแสงอาทิตย์ ตากลมโตเหมือนลูกกวางมีหยดน้ำกลิ้งไปมา แพขนตาดกดำงอนยาว ขับตากลมให้หวานซึ้ง แก้มเนียนมีซับสีเลือดดูเอียงอาย ปากเรียวสีหวานน่าทะนุถนอม ไม่อยากยอมรับว่าหญิงตรงหน้างามกว่าเทพธิดาฉางเอ๋ออยู่สองส่วนได้ ใครหน่อช่างขวัญกล้าทำให้หญิงงามชอกช้ำมีน้ำตา มันช่างไร้ตาไม่รักหยกถนอมบุปผาเสียจริง
การละสายตาจากหญิงงามนั้นยากยิ่ง แต่บุรุษชุดขาวข้าง ๆ ก็ทำได้ เขาคือคนที่กำลังประคองหญิงงามลุกยืน
เพียงชั่วขณะหางตาเหลือบมองใบหน้านั้น ก็ตกตะลึงงัน บุรุษรูปงามอย่างมากไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ผิวนั้น ตานั้น คิ้วนั้น ผมนั้น จมูกนั้น ปากนั้น สวรรค์ท่านสร้างหยกสลักมาคู่กันโดยแท้ เขาผู้นั้นสูงกว่าหญิงงามอยู่เกือบศอก เมื่อยืนเต็มความสูงเห็นได้ว่าหลังคาโพรงนี้เตี้ยไปด้วยซ้ำ ชายหนุ่มกุมมือนางไม่ปล่อย หญิงสาวก็เอียงอายสะบัดมือทิ้ง ทั้งคู่สนทนาพาทีอะไร หนิงเฟิ่งกลับหูอื้อสิ้นสติไม่ได้ยิน
จนกระทั่งมีบางสิ่งหลุดจากมือเรียวที่ทั้งคู่กุมกัน บางสิ่งที่ลอยมากระทบหน้าผากนาง ทั้งสองจึงรับรู้ถึงผู้มาใหม่
โอ้ กลิ่นดอกท้อตลบอบอวลโพรงกระต่ายกลายเป็นสีชมพูโดยแท้
พอทั้งคู่จ้องมา หนิงเฟิ่งก็ได้สติกลับคืนเช่นกัน เห็นว่าหญิงงามมีแววโล่งใจ หรือหนิงเฟิ่งจะมองผิดไป แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีแววโกรธเกรี้ยว หนิงเฟิ่งจึงรีบแจ้งเจตนาเดิม
"ขออภัยท่านทั้งสอง เสี่ยวเฟิ่งมิได้มีเจตนาขัดขวางยวนยางคู่ เสี่ยวเฟิ่งเพียงนำคำจากเทพธิดาฉางเอ๋อมาตามเทพกระต่ายไปรักษาพี่สาวของเสี่ยวเฟิ่ง ที่ตอนนี้หมดสติพำนักอยู่ในเรือนเยว่ชิงเจ้าค่ะ" หนิงเฟิ่งประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
เห็นหญิงงามทำหน้าตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มก็กระแอมขึ้นหนึ่งครั้ง สถานการณ์ดูกระอักกระอ่วน นางนี้ก็ช่างขัดเสียจริง หากไม่ใช่เพราะพี่ซู่จิ่นกำลังลำบาก หนิงเฟิ่งไม่มีทางทำลายภาพคู่ยวนยางชูชื่นนี้เป็นแน่
"เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ ข้าต้องรีบไปแล้ว ต้องรีบไปจริง ๆ ผู้น้อยขอตัวก่อน" หญิงงามลุกลนจากไป ชุดขาวพลิ้วไหวต้องลมช่างงามจับตา
"ช้าก่อน" หนิงเฟิ่งที่กำลังจะเหาะตามหลังก็ถูกเสียงกังวานรั้งไว้
"เทพกระต่ายนับเป็นแพทย์โอสถสวรรค์ เขาไปแล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วง ตอนนี้ข้าอยากรู้มากกว่าว่าเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงมาอยู่บนตำหนักพระจันทร์ได้" มหาเทพจิ่นกวางเบนสายตามาที่เด็กน้อย เด็กผมแดงตัวป้อมกลิ่นอายไม่ธรรมดา ปราณเซียนที่เขาสัมผัสได้ออกจะเข้มข้นเกินกว่าที่เซียนน้อยจะมีด้วยซ้ำ
มหาเทพหนิงหลงนับว่าจัดการได้รัดกุม เขาสอนให้หนิงเฟิ่งประสานปราณเซียน เป็นเหตุให้ปราณเดิมของจิ่นกวางที่นางดูดซับประสานกลายเป็นของตน เวลานี้ ร่างสูงไม่อาจรับรู้ถึงดวงจิตที่หายไปเหมือนครั้งเก่าก่อน
"ข้ามีนามว่าหนิงเฟิ่ง เป็นศิษย์ของมหาเทพหนิงหลงเจ้าค่ะ" แจ้งชื่อแจ้งอาจารย์ตามธรรมเนียมแล้ว ก็ทราบว่าคนกันเองทั้งนั้น
"ไม่รู้ว่าก่อนว่า พี่ข้ารับศิษย์"
พบคนใกล้ชิดก็ต้องมีของต้อนรับสักหน่อย
องค์มหาเทพก้าวย่างอย่างมั่นคง เพียงสองก้าวก็มาหยุดตรงหน้าหนิงเฟิ่ง เขาก้มเก็บลูกอมน้ำตาลปั้นที่ตกเมื่อครู่ขึ้นถือ แม้ว่าเทพกระต่ายจะไหวตัวทันอ้อนวอนคุกเข่าเพียงใด หากไม่มีเด็กน้อยตรงหน้ามาขัดก็คงต้องฝืนกินลงไปแล้ว
"ท่านรู้จักซือฝุด้วยรึเจ้าคะ?"
"รู้จักดียิ่ง เขาเป็นพี่ชายข้า นับนิ้วได้ว่าข้าเป็นซือซู (อาจารย์อา) ของเจ้า" หนิงเฟิ่งมองผู้เรียกตัวว่าซือซูก้มเก็บก้อนกลมตรงพื้นขึ้น แล้วยืนหลังตรงสง่างามน่านับถือ หน้าตาของเขาก็ดูมีเค้าเดียวกับซือฝุของนางอยู่ แม้จะดูหลุกหลิกไม่เรียบร้อย ไม่นิ่งสงบเช่นมหาเทพหนิงหลงก็ตาม
"เสี่ยวเฟิ่งยินดีอย่างยิ่งที่พบซือซูเจ้าค่ะ" เด็กน้อยประสานมือโค้งเคารพมหาเทพเต็มขั้นอีกครั้ง
"นี่เป็นของขวัญที่พบหน้าแล้วกัน ข้าให้" เขายื่นก้อนกลมดูเหมือนขนมให้นาง แต่โทษที่ซือฝุกำหนดไว้พึ่งผ่านไปเพียงสิบปี นางไม่อาจละเว้นได้
"ขออภัยเจ้าค่ะ เสี่ยวเฟิ่งไม่อาจรับด้วยต้องโทษจากซือฝุ ห้ามกินโภชนาพันปี ขอซือซูไม่ถือโกรธเจ้าค่ะ"
"ข้าอนุญาตแล้ว ถ้าพบกับพี่สี่ก็จะบอกเอง เจ้ารับไปเถอะ คำเดียวซือฝุไม่โกรธมากหรอก"
"แต่ว่า" เด็กน้อยมองน้ำตาลปั้นตาวาว จริง ๆ ก็น่ากิน อีกทั้งซือซูก็เอ่ยว่าจะขอร้องซือฝุให้ จิ่นกวางเห็นเด็กน้อยติดกับก็เร่งยุกลัวเปลี่ยนใจ
"สักคำเถอะ ข้าทำเอง"
"กรุณาอย่างยิ่งเจ้าค่ะ" เด็กน้อยหยิบขึ้นแกะกระดาษห่อน้ำตาลออกแล้วนำเข้าปาก รสหวานนี้ไม่ได้สัมผัสมานานพอดู คิดถึงอย่างมาก ฝ่ายจิ่นกวางเห็นหนิงเฟิ่งกินอย่างอร่อยหน้าบาน ก็ระบายยิ้มประดับมุมปาก
เมื่อเห็นแววตาชื่นชมที่นางส่งมาให้ กลับทำให้ใจกระตุกเล็กน้อย แต่จะแกล้งก็ต้องโหดเหี้ยม ละทิ้งความสงสาร โบกมือไล่นางกลับไปตามธุระเดิม
หนิงเฟิ่งอมยิ้มอย่างร่าเริง นอกจากอาการป่วยของพี่ซู่จิ่นวันนี้ก็นับเป็นวันดีอย่างยิ่ง ได้พบคู่ยวนยางที่สมกันอย่างยิ่ง ได้กินขนมอร่อยอย่างยิ่ง วันนี้วันดีของนางอย่างยิ่ง
คล้อยหลังผ้าแพรแดงของหนิงเฟิ่ง มหาเทพจิ่นกวางยืนมองจากหน้าประตูโพรงกระต่าย เด็กน้อยคงไม่ทราบว่าตอนนี้แขนขานางเริ่มมีสีเขียวลามจากศีรษะจรดปลายเท้า
"เจ้ารับผลแทนเทพกระต่ายเองนะ หนิงเฟิ่ง โทษเทพผู้นั้นที่ไม่รับน้ำใจกลับผลักให้เจ้าแทนเถอะ"
ความคิดเห็น