คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 1 กำเนิดหนิงเฟิ่ง
ตอนที่ 1 กำเนิดหนิงเฟิ่ง
พันปีเวียนผ่านเพียงตื่นเดียว สวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีเทียนจวินค่อยดู โลกมนุษย์ 38 ใบ ก็มีเหล่าเซียนค่อยแล ไม่ว่าแดนอสูรหรือนรกภูมิก็มีต้าหวางปกครอง รวมถึงแดนเหนือกาลที่ว่างเปล่า ยังมีมหาเทพหนิงหลงค่อยสอดสายตา ไร้ซึ่งมหาเทพจิ่นกวางไปเสียสักคน สามภพก็ยังสงบสุขดีอยู่
คิดได้ก็ถอดหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่ายเช่นทุกครั้ง ละอองเทพฟุ้งกระจายตามลมก่อนจะสลายไปในไม่ช้า ในหมู่เทพบรรพกาลพี่น้อง เพียงเขาที่ยังมีนิวรณ์ปรากฏขึ้นบ้าง แต่ด้วยกฎสวรรค์ที่แสนเคร่งครัด บัญญัติให้มหาเทพต้องไร้นิวรณ์ เขาจึงมีทางลัดไว้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเสมอ หากเป็นผู้อื่น คงเลือกทำสมาธิ กำจัดนิวรณ์ออกจากอารมณ์ แต่มิใช่วิสัยแห่งมหาเทพจิ่นกวาง วรร่างสูงสง่าตัดดึงดวงจิตส่วนนั้นออกมาเผาในเตากํายานข้างเตียง แทนที่จะเข้าฌานไปสลายนิวรณ์ นับเป็นวิธีที่รวดเร็วและร้ายกาจ
ดวงตาสีอ่อน มองทอดยาวยังตำหนักว่างเปล่า รำพึงในใจว่า
“ยามนี้ตําหนักสว่างจ้าเกินกว่าจะข่มตา”
กล่าวเพียงเท่านั้น วรร่างของบุรุษชุดสีน้ำนมก็เหาะออกจากตำหนักล้ำค่า ครานี้มหาเทพหลับไปนานกว่าครั้งก่อน เปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นที่อีกฟากของดวงจันทร์ ยังแปลงเกษตรและป่าผลไม้ ที่ฉางเอ๋อและเทพกระต่ายคอยดูแล
ตำนานแห่งดวงจันทร์เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่สุริยเทพทั้ง 10 ปกครองแผ่นดินมนุษย์ เดิมทีอีกฟากของดวงจันทร์ที่รกร้าง มีคู่ยวนยางมาแอบอาศัย เป็นฉางเอ๋อและเทพโฮ่วอี้ ทั้งสองอยู่ครองคู่ใต้เงาปีกของมหาเทพจิ่นกวาง แต่มิรู้ว่าเหตุใดเจ้าเทพหนุ่มใจร้อนโฮ่วอี้จึงดับอาทิตย์ไปถึง 9 ดวง แน่นอนว่าเทพปฐมเคารพทั้ง 9 ดับสูญไปพร้อมกัน ผู้ลงมือต้องได้รับโทษ ทั้งฉางเอ๋อแล้วโฮ่วอี้ถูกขับลงไปโลกมนุษย์ เป็นช่วงเดียวกับที่มหาเทพจิ่นกวางเริ่มสร้างตําหนักลู่เสียน งานของมหาเทพจิ่นกวางล้นมือเกินกว่าจะยื่นจมูกเข้าขวางธุระผู้อื่น อีกทั้งเทพสุริยะทั้ง 10 ก็แผ่รัศมีร้อนแรงเป็นเหตุให้เขาต้องลากหยกหิมะมาสร้างตําหนักเย็นเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าบนหรือล่างเขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวทั้งสิ้น
หลังจากทั้งคู่ถูกขับลงไปโลกมนุษย์เพียงไม่นาน โฉมงามฉางเอ๋อก็กลับมาพํานักบนอีกฟากของดวงจันทร์ผู้เดียว เรื่องใด ๆ ในโลกตัวเขาทำเป็นไม่รับรู้ ยามมหาเทพมองผ่านความหลังของฉางเอ๋อ ความผิดที่ผ่านมา เหล่าเซียนก็มิได้เอ่ยถึง
ชาวสวรรค์เล่าลือกันว่า ด้วยความกรุณาจากไท่จวิน ทรงให้เทพธิดาฉางเอ๋อพำนักอยู่ต่อได้ นอกจากที่พำนักแล้ว ไท่จวินยังกลัวนางเหงาจึงสร้างเทพกระต่ายไป๋ทู่ให้อยู่ข้างกาย ทั้งคู่ชอบการเกษตร ทํานา ปลูกพืชเหมือนมนุษย์ แต่พื้นปฐพีบนดวงจันทร์ไม่ใช่ที่ของเมล็ดพันธุ์ทั่วไป นางทํานาข้าวทิพย์ และปลูกต้นหยกจากเศษหยกหิมะที่เหลือจากการสร้างตำหนัก
หากรู้เร็วกว่านี้ มหาเทพจิ่นกวางคงไม่ผ่าดาวเคราะห์ดวงนั้นให้พี่สี่หนิงหลงด่าได้เป็นพันปี
คล้อยหลังภูษาสีน้ำนมจากไป อึดใจต่อมาตำหนักหยกบริสุทธิ์ก็ปรากฏลูกไฟสีแดงขึ้นจากเตากํายานข้างเตียงเมฆา แสงสีแดงขยายใหญ่แผ่รัศมีความร้อนไปทั่ว ทําให้เตียงเมฆาละลายกลายเป็นน้ำฝนทิพย์เจิ่งนองเต็มพื้นหยก ลูกไฟขยายใหญ่เต็มห้อง เนื่องจากผนังทั้งสี่ทําจากหยกหิมะสลัก ส่งผลให้ลูกไฟยักษ์ไม่สามารถขยายตัวได้อีก
หลังจากหลับไปพันปี มหาเทพก็ทิ้งตําหนักไปอีกร้อยกว่าปี ไหนเลยจะรู้ถึงความเป็นไปในตำหนักของตน
เมื่อลูกไฟยักษ์ถือกำเนิดได้ 10 ปี ก็ค่อย ๆ ดูดซับพลังหยกหิมะจนผนังทั้งสี่ที่หนาหลายคืบ ค่อยๆ บางลง พร้อมกับขนาดของลูกไฟที่เล็กลงตามไปด้วย แสงจ้าสีแดงแผ่ไกลส่องกระทบดวงตาของมหาเทพหนิงหลง ด้วยเหตุนี้ ตําหนักลู่เสียนจึงได้ต้อนรับมหาเทพผู้สง่างาม เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งชุด เสริมกายหยกขาวให้สว่างยิ่ง แผ่รัศมีเรืองรอง
หนิงหลงไท่จวินเดินหาต้นกำเนิดของแสงจ้าทรงพลัง มาถึงห้องนอนของน้องชาย เตียงเมฆากลายเป็นน้ำและระเหยไปหมดสิ้นแล้ว ผนังหยกก็บางจนใกล้ทะลุ ของใช้ภายในไหม้เป็นจุณ เหลือเพียงก้อนไฟที่ซับพลังเย็นจนมีขนาดเล็กเท่าลูกท้อในสวนสวรรค์ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณเสี้ยวหนึ่งของจิ่นกวางที่หลงเหลือ คงเป็นเสี้ยวดวงจิตนิวรณ์ที่ถูกตัดออกสะสมภายในเตา กำเนิดเป็นปราณไฟ
ดูจากรอบ ๆ แล้ว เจ้านี้ดูดซับพลังหยกหิมะไปมากพอสมควร มหาเทพหนิงหลงตัดสินใจนำลูกไฟที่บรรจุพลังอันตรายใส่ไว้แนบอก ไปกำจัดที่สุดขอบแดนเหนือกาล
ปราณเทพมีรึจะสลายง่ายดาย นอกจากผู้เป็นเจ้าของแล้ว ก็คงมีเพียงน้ำแข็งเหนือกาลที่จะทําลายปราณเทพให้สูญสลายไปได้
‘แล้วค่อยกลับมาจัดการกับจิ่นกวางเจ้าปัญหา’ มหาเทพหนิงหลงวางแผนในใจ
ลูกไฟดวงน้อยไม่ขัดขืน ทั้งยังนอนนิ่งบนอก ลูกไฟปราณสงบนิ่งแต่ก็ไม่สิ้นฤทธิ์ มันเกิดมาจากการซับพลังรอบด้าน ไม่รู้ตัวว่าโดนพาไปทําลาย ยังคงขวัญกล้าดูดซับพลังจากกายทิพย์ของมหาเทพหนิงหลง
สุดขอบแดนอันแสนไกล แม้แต่เทพบรรพกาลยังใช้เวลาถึง 1 ปี เจ้าลูกไฟตัวปัญหาถือกำเนิดเป็นปราณเพลิง แต่ซับพลังหยกหิมะเกิดปราณน้ำแข็ง ความร้อนในกายโดนดับเกือบทั้งร่าง ยังไม่ประมาณตนดูดซับปราณน้ำจากเขาเข้าไปอีก ตอนนี้จากก้อนไฟเท่าลูกท้อกลายเป็นหินหยกขาวขนาดเท่าไข่ไก่
เมื่อถึงขอบแดนเหนือกาลที่ความเย็นสามารถเสียดแทงทะลุกายทิพย์ลึกถึงดวงจิตเทพ หนิงหลงไท่จวินทิ้งก้อนอันตรายไว้บนพื้น หวังให้น้ำแข็งเหนือกาลสลายดวงจิตนั้นเสีย แต่หินหยกขาวกลับกะเทาะเปลือก ปรากฏแสงสีแดงทองสว่างทั่วดินแดน กลายเป็นหงส์ไฟตัวน้อยที่ไม่มีขน
มหาเทพมองน้ำแข็งรอบตัวปัญหาเริ่มละลายเป็นแอ่งน้ำ สร้างความฉงนอย่างมาก เขากำลังจะเดินทางกลับทิ้งให้น้ำแข็งเหนือกาลดับดวงจิตหงส์ไฟไร้ขนตัวนั้นเสีย แต่เพียงชั่วลมหายใจเข้าออกที่ได้สบสายตา มหาเทพโดนแววตาหงส์สะกด ละทิ้งความคิดเดิม
จิตนิวรณ์ของจิ่นกวางพลังร้ายนัก แม้แต่มหาเทพผู้ยุติธรรมและเยือกเย็นยังใจอ่อนให้กับแววตาใสซื่อ เขาสัมผัสได้ว่ามันไม่เป็นภัย จึงพาหงส์เพลิงน้อยกลับตำหนักสุ่ยชิง (ดาวพุธ ธาตุน้ำ) ที่พำนักอยู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ มันเป็นหงส์ไฟ
"คงถึงเวลาย้ายที่พำนักแล้ว" ไท่จวินผู้สูงส่งพึมพำกับตนเอง หนึ่งเทพชุดดำ หนึ่งหงส์ไฟไร้ขน เดินทางนับแสนลี้ไปพำนักที่ตำหนักหั่วชิง (ดาวอังคาร ธาตุไฟ)
เดินทางมายังขอบแดนใช้เวลา 1 ปีเต็ม แต่เดินทางกลับใช้เวลามากกว่าโข เนื่องจากเจ้าตัวไร้ขนยังคงดูดซับปราณน้ำของเขาไม่เลิก
"นี่ ถ้าเจ้าไม่เลิกขโมยปราณ ข้าจะเอาเจ้าไปทิ้งไว้ขอบแดนที่พึ่งจากมา" หงส์เพลิงน้อยยังคงเมินเฉยต่อคำตำหนิ
มหาเทพเกิดความเอ็นดู จึงแกล้งทิ้งมันไว้กลางอากาศ มองดูนกไร้ขนที่พยายามตะเกียกตะกายแหวกอากาศ ลอยตามเขามาเหมือนนกจมน้ำ เพียงผ่านไปชั่วอึดใจ มันก็เรียนรู้ได้แล้วยืดตัวตรง วางมาดเลียนแบบองค์เทพ เหาะตามมาด้วยความเร็ว มหาเทพยังคงปล่อยให้หงส์เพลิงช่วยเหลือตนเองไม่ก้าวก่าย การเดินทางไปตําหนักหั่วชิงจึงช้ากว่าที่ควรถึงครึ่งปี
พอเข้าใกล้เขตธาตุไฟ ฤทธิ์ของตัวไร้ขนก็เพิ่มขึ้น มันเหาะเร็วจนสามารถตีเสมอองค์เทพได้ เมื่อหงส์เพลิงสัมผัสพื้นดินก็ปรากฏลูกไฟปะทุขึ้นไหม้ทั้งตัว เกิดเป็นหงส์น้อยที่มีขนเป็นไฟสีแดงสด
ทั้งสองพำนักที่ตําหนักหั่วชิงเกือบร้อยปี ไฟของหงส์น้อยยังไม่ดับลง แต่ปราณเทพของมันกลับก้าวหน้าจนสามารถสร้างกายทิพย์ เกิดเป็นเด็กสาวตัวน้อยผมแดง มหาเทพประทานนามให้หงส์เพลิงไร้ขนว่า
'หนิงเฟิ่ง'
เจ้าเด็กน้อยแสนฉลาดคนนั้น เพียงร้อยปีก็มีร่างทิพย์ ทั้งยังมีปราณไฟ และน้ำวนในร่าง
ห้วงวันคืนที่ผันเวียน บังเกิดสายใยเส้นบาง ถักเรียงร้อยผูกรัดผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน สายใยเส้นบางนั้น เรียกกันว่าความผูกพัน ร้อยปีผ่านไปมิสูญเปล่า หนิงหลงไท่จวินนับเป็นอาจารย์ที่มากสามารถและเข้มงวด หนิงเฟิ่งฉลาดรู้และหัวไว มหาเทพทรงสอนนางควบคุมปราณเซียนในร่าง นางก็สามารถเรียนรู้เลียนแบบได้อย่างไร้ที่ติ
ใจหนึ่ง มหาเทพนั้นภาคภูมิใจในศิษย์คนแรก แต่กลับมีเสี้ยวหนึ่งที่กังวลถึงชาติกำเนิดของนาง หนิงเฟิ่งเกิดจากนิวรณ์ของเทพบรรพกาล อุปนิสัยล้วนแปรปรวนมิอาจคาดเดา นางขี้เบื่อ ดื้อรั้น ซุกซน ขี้หงุดหงิดและเจ้าเล่ห์ โชคดีเหลือเกินที่จิ่นกวางไม่มีจิตพยาบาท มิเช่นนั้น หงส์ไฟตนนี้ต้องเป็นพญามารที่แข็งแกร่ง
องค์เทพหวังสอนนางให้เป็นเสมือนเทพบรรพกาล สุขุมเยือกเย็น นางก็เลียนแบบได้ไม่ผิดเพี้ยน เสียแต่ว่านัยน์ตาหงส์ยังฉายแววเจ้าเล่ห์มิเปลี่ยนแปลง
“ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว”
เจ้าลูกไฟที่เหนื่อยจากการฝึก วิ่งกลับเข้ามาในตำหนักก็เรียกหาอาหารเป็นอย่างแรก ตามจริงเทพเซียนมิได้รับโภชนาเพื่อการอยู่รอด เพียงดื่มกินเพื่อสนองความต้องการ แต่หนิงเฟิ่งกลับต่างออกไป
ปีนั้น มหาเทพทรงตอบรับเทียบเชิญจากเทียนโฮ่ว เสด็จเป็นองค์ประธานในงานเลี้ยงท้อสวรรค์ ขากลับได้หยิบโภชนาทิพย์ติดมือมาฝากหงส์น้อยที่คอยอยู่ ดวงตากลมโตฉายชัดว่าชอบของฝาก นอกจากรสชาติที่เป็นเลิศ ยังช่วยเสริมพลังปราณในร่าง
“วันนี้ไม่มีอะไรให้เจ้ากินหรอก และก็เลิกเรียกเช่นนั้นได้แล้ว”
“ก็ท่านเป็นพ่อข้านิ” หงส์น้อยเถียงขึ้นเสียงใส มหาเทพมิได้ต่อสนใจคำค้าน แต่กลับเอ่ยเรื่องอื่นขึ้นมา
“วันนี้มีแขก อนุญาตให้เจ้าไปหาเทพสุริยะได้”
ไม่กี่วันก่อน ยามว่างเว้นจากการสอน มหาเทพทำสมาธิตรวจดูความเรียบร้อยในดินแดนเหนือกาล จึงพบว่าน้องชายกำลังตามหาตัวเขาไปทั่ว
“แขก? ผู้ใดหรือเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรมา ท่านพ่อไม่ยอมปล่อยหนิงเฟิ่งห่างตัว แล้วเหตุใดวันนี้ถึงเอ่ยปากเจ้าคะ” หงส์น้อยซักถามไม่หยุด นางรับรู้ถึงความผิดปกติ
“เขาคือน้องชายของข้า หากเจ้าถามอีกเพียงครึ่งคำ นับแต่นี้ก็อย่าได้ก้าวออกจากตำหนักอีกเลย” มหาเทพกล่าวเสียงเรียบ ไม่นำพากับท่าทีวุ่นวายของเด็กน้อย
“ท่านพ่อเกลียดหนิงเฟิ่งแล้วหรือเจ้าคะ? ท่านวางแผนไล่ลูกไปไม่ได้นะเจ้าคะ” นิสัยขี้โวยวายแต่กลับน่าชังนัก
ใบหน้างดงามแขวนประดับไว้ด้วยยิ้มหนึ่งที่มุมปาก เสริมให้มหาเทพมิต่างจากโพธิสัตว์“ข้าให้เจ้าไปหาอะไรลงท้องต่างหาก เมื่อครู่พึ่งบ่นว่าหิว รีบไปเสีย ก่อนข้าเปลี่ยนใจ” แม้จะไม่เชื่อคำของบิดาเท่าไหร่ แต่โอกาสออกจากตำหนักหาได้ยาก แน่นอนว่าหนิงเฟิ่งต้องคว้าเอาไว้ก่อน
“เจ้าค่ะ ลูกขอตัวนะเจ้าคะ” นางย่อกายเคารพ แล้วกลับเป็นลูกไฟสีแดงพุ่งออกไปยังดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
ตามจริง มหาเทพหนิงหลงไม่ควรโยนถ่านร้อนให้กับตำหนักสุริยะ แต่ดวงจิตนิวรณ์ที่ถูกทอดทิ้งให้เขาเลี้ยงดูนี้ มหาเทพหนิงหลงยังมิได้ตัดสินใจว่าควรทำเช่นไร จนกว่าเขาจะทบทวนจบ จิ่นกวางมิควรรู้เรื่องของหนิงเฟิ่ง
เผ่าหงส์นับเป็นสัตว์เทพชั้นปกครอง พวกเขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในดินแดนป่าศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเทพบรรพกาลและเทพปฐมเคารพเท่านั้นที่เคยเห็นชาวหงส์ พวกเขามิเคยออกนอกเขตแดน การที่หนิงเฟิ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นหงส์ไฟ นับเป็นเรื่องแปลกที่มหาเทพหนิงหลงยังมิสามารถหาคำตอบได้
หงส์ไฟมีปราณต้นคือเพลิงกาฬ ตำหนักสุริยะของหยางผิงตี้จวินดึงดูดให้หนิงเฟิ่งเข้าหา นางรบเร้ามหาเทพ ให้ช่วยพาไปยังขุมพลังแรงกล้า กระทั่งหยุดอยู่หน้าตำหนักเทพสุริยะ ด้วยความซุกซนของเด็กน้อย ครานั้นตำหนักของเทพสุริยเทพพินาศวอดวาย แต่เจ้าตัวเล็กแววตาใส สามารถใช้ความร่าเริงสยบแรงพิโรธของเทพสุริยะลงได้ ท้ายที่สุดทั้งสองก็เรียกขานเป็นลุงหลานราวกับครอบครัวเดียวกัน
ตั้งแต่นั้น หนิงเฟิ่งนับเป็นแขกสำคัญของตำหนักสุริยะ มหาเทพหนิงหลงจึงวางใจปล่อยให้นางไปก่อกวนหยางผิงตี้จวินได้อย่างสบายใจ
เพียงคล้อยหลังเด็กน้อยในชุดแพรแดง แขกที่เขารอคอยก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ละอองสีทองค่อย ๆ จาง เผยร่างสูงในชุดคลุมตัวยาวสีน้ำนม ข้อมือเรียวขาวมิต่างจากชุดที่สวม ถือพัดหยกหิมะในมือโบกขึ้นลงอย่างแช่มช้า
“คารวะมหาเทพหนิงหลง” เขาประสานมือไว้เบื้องหน้าทำความเคารพอย่างนอบน้อม พร้อมส่งแววตาฉงนมาให้
“ไม่ต้องมากพิธี”
“ข้าตามหาท่านเสียนาน ไม่คิดว่ามหาเทพจะเบื่อธาตุวารีจากสุ่ยชิง มาสลายกายทิพย์บนตำหนักหั่วชิง” จิ่นกวางถามขึ้นจับพิรุธ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจ้าเล่ห์ที่สุดในห้าพี่น้อง มักไม่ค่อยไว้ใจผู้ใด
“ข้าแค่เปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากพี่สามจากไปก็ไม่มีใครมาพำนักที่นี่ มาดูแลปัดฝุ่นเท่านั้น” มหาเทพหนิงหลงเอ่ยตอบได้เต็มปาก แต่มหาเทพจิ่นกวางก็ส่งสายตาว่าไม่เชื่อคำเขาสักนิด
“ปราณน้ำเช่นท่าน ไหนเลยจะพำนักได้นาน” มหาเทพหนิงหลงไม่มองน้องชาย หันไปเสกชาขึ้นมาจิบเงียบ ๆ
“ท่านรู้เรื่องที่ตำหนักลู่เสียนถูกบุกรุกหรือไม่” เมื่อเห็นว่าเรื่องย้ายตำหนักของพี่สี่ ตัวเขาไม่มีส่วนได้เสีย จึงเปลี่ยนไปสอบถามในจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้แทน
มหาเทพจิ่นกวางทิ้งตำหนักไปร้อยปี พอถึงเวลาเข้าสู่นิทรา กลับพบว่าห้องของเขาไหม้เป็นจุณเสียแล้ว นอกเหนือเตากำยานสยบจิตมารจากนรกภูมิที่กลายเป็นเถ้า ผนังหยกทั้งสี่ด้านโดนกัดกร่อนบางเฉียบ แค่ฟาดลมปราณไปกระทบเล็กน้อยก็ทะลุพังลงมาทั้งห้อง ภายในไม่มีความผิดปกติถึงตัวผู้บุกรุก แต่สัมผัสได้เพียงปราณของตนเองและมหาเทพหนิงหลงที่บางเบาในอากาศ จึงเดินทางตามหาคำตอบว่าทำไมพี่สี่ต้องพังตำหนักของเขาด้วย
“ไฉนเลยข้าจะไปรู้รายละเอียดในที่พำนักของเจ้า” ผู้เป็นพี่ยังคงจิบชานิ่ง แววตาเยือกเย็นขับเน้นให้มหาเทพหนิงหลงสูงสง่าราวผู้หลุดพ้น
“ภายในมีเพียงปราณของท่าน” มหาเทพผู้น้องทบทวนร้อยตลบก็ไร้คำตอบ เขาตามหาพี่ชายไปทั่วแดนเหนือกาล เหลือเพียงตำหนักหั่วชิง ซึ่งเป็นตำหนักสุดท้ายที่จะคิดถึง อีกหนึ่งข้อสงสัยคือ ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามา เหมือนมีปราณเพลิงเข้มข้นบดบังปราณน้ำของพี่สี่ พอครู่หนึ่งก็พบปราณเทพปรากฏเด่นชัดเหมือนเมฆาเคลื่อนผ่านดวงจันทร์
“เจ้าไม่ควรดึงจิตนิวรณ์ออกมาไว้เช่นนั้น” หนิงหลงไม่ไขข้อสงสัย แต่เอ่ยถึงความผิดของเขาทันที
มหาเทพจิ่นกวางหรี่ตาเล็กมองคู่สนทนา
“ท่านก็เลยทำลายจิตนิวรณ์ภายในเตากำยานของข้ารึ” จิตของมหาเทพไม่ใช่วัตถุธรรมดา ไม่สามารถทำลายได้นอกจากผู้เป็นเจ้าของสลายดวงจิตของตนเอง
“มันค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย นี่ถือเป็นความผิดที่เจ้าปล่อยให้จิตนิวรณ์มีพลังปราณขึ้นมา คงถึงเวลาที่เจ้าจะย้ายไปพำนักที่แดนอสูรแล้ว” นอกจากจะไม่ยอมบอกความจริง พี่สี่ยังเลือกที่จะส่งเขาไปทำงานแทน เรื่องในแดนอสูรเป็นไปอย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ ทั้งเรื่องในอดีต และราชาอสูรกำลังมีเคราะห์
“แล้วตอนนี้จิตนิวรณ์ของข้าเล่า อยู่ที่ใด” มหาเทพจิ่นกวางเอ่ยถามด้วยคิ้วขมวดสงสัย
“คงกำลังสนทนากับเทพสุริยะ ถ้าข้าคาดการณ์ไม่ผิด” หนิงหลงตอบเสียงเรียบทำให้ผู้ฟังมิอาจคาดเดาว่านับเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไม่ ทุกอย่างที่หนิงหลงยื่นมือเข้ามาแทรก ไม่เคยเหลือรอด เขาจัดการทุกสิ่งด้วยความยุติธรรมและเยือกเย็น ผู้มีชนักติดหลังเช่นมหาเทพจิ่นกวาง ไม่อาจรั้งอยู่ให้พี่ชายเพิ่มโทษ จำต้องละทิ้งความสงสัย เอ่ยลาหนึ่งคำแล้วจากไปยังแดนอสูรที่วุ่นวายและมืดดำ
เมื่อภูษาสีน้ำนมหายไปลับตา องค์เทพก็นึกห่วงหนิงเฟิ่ง แม้นางจะมีกายทิพย์เป็นเด็กหญิง แต่ร่างจริงของนางยังคงไร้ขน หงส์ตนนี้ยังไม่โตพอที่เขาจะปล่อยมือให้นางโบยบินตามลำพัง
豐雪天
เฟิงเสวี่ยเทียน
ความคิดเห็น