คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 6 เรื่องยุ่งเกิดขึ้นเพราะนางชอบสอดมือโดยแท้
ตอนที่ 6 เรื่องยุ่งเกิดขึ้นเพราะนางชอบสอดมือโดยแท้
เมื่อนางฟื้นสติก็เข้าเขตอรุณรุ่งของอีกวัน ยามตื่นจากฝันร้ายในอดีต ความรู้สึกผิดครั้งนั้นก็ยังตามมาหลอกหลอนนางถึงแดนอสูร
หนิงเฟิ่งตื่นแล้ว แต่ใจยังหนักอึ้ง หันมองพบหลินหยวนซุนชุดขาวนั่งจิบชาอ่านตำรา ใบหน้าเรียบสนิทไม่รู้แผนการ
พอนึกถึงเรื่องขายหน้าเมื่อวานก็ยกสองขาหน้าขึ้นดู ขาหน้าขนปุยที่ควรเป็นสีแดง ตอนนี้เปลี่ยนกลับเป็นเรียวแขนยาว หนิงเฟิ่งกะพริบตาถี่ ขมวดคิ้วแน่น ความทรงจำสุดเลวร้ายก่อนหมดสติย้อนกลับมาในหัว นางพังโต๊ะน้ำชาของเขา ขนขาวสะอาดถูกย้อมด้วยสีแดงเพราะหลงกลกินถังหูลู่ผสมยาพิษ
สายตาร้อนแรงของหนิงเฟิ่งชัดแจ้งเสียจนบุรุษเคราขาวรับรู้พลังอาฆาต เขาหันมามองเพียงชั่วครู่ ริมฝีปากแดงเอ่ยวาจาทักทาย
"นอนพอแล้วรึป่ายซู ถึงเวลากินปลาเปรี้ยวหวานของเจ้าแล้ว" ไอสังหารที่แผ่กระจายหยุดชะงัก เอ่ยถึงอาหารทีไร ได้หูตั้งมิต่างจากแมว ปลาเปรี้ยวหวานตัวโตควันฉุยวางล่ออยู่บนจาน แม้จะเห็นแก่ของกิน เสี้ยวสติของหนิงเฟิ่งยังสะดุดกับคำเรียกขาน
ป๋ายซูหรือ?
คล้ายไม่ตกใจกับร่างใหม่ที่เปลี่ยนไป หรือมีเพียงหนิงเฟิ่งที่รู้สึก
อย่างนี้ก็ดียิ่ง! นางเบื่อเดินสี่ขาแล้ว
เมื่อหาเหตุผลดี ๆ ได้สักขอ หนิงเฟิ่งก็ไม่ไยดีอสูรเฒ่า ลงมือกินปลาเปรี้ยวหวานอย่างอารมณ์ดี ทว่าเพียงคำเดียวที่กลืนก็ทำให้ดวงตากลมเบิกกว้าง
‘รสชาติเช่นนี้!!’ หนิงเฟิ่งลงมือกินอย่างรีบร้อนคำแล้วคำเล่า ถึงกับลืมมือเรียวที่ยืนตะเกียบมาให้
อร่อย!
คนแก่ท่าทางไม่เอาไหนเช่นเขา ไม่คิดว่าจะมีฝีมือทำครัวเป็นเลิศถึงเพียงนี้
แม้เหล่าเทพเซียนจะไม่ดื่มกินเพราะเป็นอมตะ แต่พวกเขาก็ดื่มกินเพราะความรื่นรมย์ ดังนั้นอาหารการกินของนางล้วนอุดมสมบูรณ์และเป็นทิพย์ ก่อนที่หนิงเฟิ่งจะรับโทษในอดีต นางก็เคยลิ้มรสโภชนาสวรรค์มามาก ไม่นึกว่าปลาเปรี้ยวหวานฝีมืออสูรเฒ่าจะทำให้นางพอใจ รสมือของหลินหยวนซุนเป็นเลิศกว่าเซียนห้องเครื่องสวรรค์เสียอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
เพียงชั่วพริบตา ปลาตัวโตในจานก็หายไปเหลือแต่ก้าง หนิงเฟิ่งเงยหน้ามองหลินหยวนซุน เห็นเขาเท้าคางมองนางกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน ทิ้งหนังสือที่อ่านวางนิ่งบนโต๊ะ สายตายินดีที่ส่งมาปลาบปลื้มราวกับผู้ที่มองสัตว์เลี้ยงของตนเจริญอาหาร เป็นนางที่ไม่กล้าสู้สายตา เบือนหน้าหลบอย่างไม่พอใจ
ดูเถอะนางเป็นถึงศิษย์ปิดสำนักของมหาเทพบรรพกาลหนิงหลงไท่จวิน แม้จะอยู่ในสถานะสัตว์เลี้ยงของเว่ยจวิ้นหมิงมาเกือบเดือน แต่ไท่จื่อผู้นั้นก็ไม่เคยมองนางด้วยสายตาเช่นนี้
แต่เก็บมาใส่ใจครู่เดียวก็ไม่คิดต่อ ปลาอร่อย ๆ เช่นนี้ได้กินทุกมื้อก็คงดี หลินหยวนซุนเป็นถึงอาจารย์ของรัชทายาท อย่างไรก็ต้องร่ำรวยอยู่แล้ว
“เจ้าชอบก็ดี” ริมฝีปากของหลินหยวนซุนแย้มออกกว้างกว่าเดิม
“วันนี้มีปลาตัวเดียวเท่านี้ ขอโทษด้วย” และเอ่ยตัดรอนด้วยหน้ายิ้ม เขาลุกเดินจากไปไม่หันกลับ ทิ้งให้หนิงเฟิ่งนั่งนิ่งค้าง
อะไรกัน จวนออกจะใหญ่โต เขาต้องเก็บไว้กินคนเดียวแน่
คิดได้ก็รีบเดินตามร่างสูงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรวันนี้นางต้องได้กินปลาเพิ่ม
แม้วิ่งวนไปทั่ว แต่จวนนี้นางพึ่งมาพัก ไม่ชินทาง กว่าจะตามกลิ่นเขาเจอก็นานโข หลินหยวนซุนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดบัณฑิตเป็นยาจก ร่างกายสะอาดสะอ้านถูกย้อมด้วยฝุ่นถ่านดำ นางได้แต่มองตามเขาตาปริบ ๆ เห็นหลินหยวนซุนหยิบย่ามใบหนึ่งมาสะพายไหล่ แล้วเดินตรงไปทางประตูจวน ก่อนออกไปยังหันมาทิ้งวาจาสั่งเสียกับนางว่า
“ป่ายซูเอ๋ย อยู่เฝ้าบ้านให้ดี ประเดี๋ยวข้าเสร็จธุระจะรีบกลับมา”
อสูรตนนี้สร้างความแปลกประหลาดให้นางอย่างมาก ชุดเหม็นเน่าคืออะไร ดูไม่ชอบมาพากล หลินหยวนซุนเป็นถึงขุนนางใกล้ชิดรัชทายาท ไม่มีทางตกอับขอทานข้างถนน เขาต้องกำลังวางแผนทำบางอย่างอยู่ ยังไม่นับที่เขาขวัญกล้าใช้นางเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ชาติพยัคฆ์เช่นนางคือเผ่าราชัน นี่ไม่เป็นการหมิ่นเบื้องสูงหรอกหรือ คิ้วน้อยขมวดคิดไม่นานก็คิดตก
เฝ้าบ้านเราะ ฝันไปเถอะ!
สวรรค์กลั่นแกล้งนางไม่หยุด จวนไท่ซือเป็นที่พักของบัณฑิต มิใช่ขุนนางบู๊ เหตุใดต้องก่อกำแพงสูงด้วย ภายในจวนไม่เห็นบ่าวไพร่เพ่นพ่าน แต่หน้าประตูกลับมีกำลังป้องกันแน่นหนา เว่ยจวิ้นหมิงส่งคนมาคุ้มครองป่ายซู องค์ชายอสูรตนนั้นชอบสร้างเรื่องใหญ่โต หนิงเฟิ่งรู้ดี
ตอนนี้ นางมองซ้ายแลขวา กำลังพยายามปีนรั้วหิน หาทางลงไม่ได้ รีบร้อนเสียจนตัวเอียงตกลงมาเสียงดังสนั่น
อู้ย!!
หนิงเฟิ่งเจ้านี่โง่จริง คิดจะหนี ยังไม่ทันเป็นอิสระ ตัวเองก็จะตายเสียก่อน
ไม่มีฤทธิ์มันลำบากอย่างนี้นี่เอง พอพ้นกำแพงจวนไท่ซือ ร่างของนางก็กลับเป็นเสือลายเมฆตัวเดิม อยากจะนวดสะโพกตนเองบรรเทาปวด ก็ทำไม่ได้ จึงนั่งนิ่งให้หายเจ็บครู่หนึ่ง ก่อนลุกเดินสี่ขาออกไปตามถนน จวนของหลินหยวนซุนตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน นอกเขตตลาด
อย่างไรซะ ถ้าจะเดินเข้าหมู่บ้านต้องตรงไปทางเดียว คือทิศที่มีกลิ่นอาหารหอมฉุย นางฉลาดอย่างนี้ไม่มีหลงแน่
หกเดือนก่อน...
“ไม่ได้เรื่อง!”
ถาดไม้สีแดงบนโต๊ะสั่นสะเทือนตามแรงอารมณ์ของสตรีชุดเหลือง บุรุษชุดหนังดำแดงก็ปราดเข้ามาเก็บเศษขนม ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดประโยคเหล่านั้นทันที
“เซียนซู่จิ่น ข้าทำผิดอันใด นี่ก็ทำตามที่เจ้าสอนทุกอย่างแล้ว” มือหนารีบดึงจานกระเบื้องออกจากโต๊ะ ให้พ้นมือ ก่อนที่ขนมก้อนถัดไปจะถูกปาทิ้ง
“วันก่อนท่านก็ลืมใส่น้ำตาล วันนี้ก็ใส่น้ำมากไป รู้หรือไม่ว่าขนมเปี๊ยะไส้ถั่วของท่านมีรสเช่นไร คราวหน้าคราวหลังลองชิมก่อนนำมาให้ข้าสิ”
หยางผิงมองขนมเปี๊ยะรูปร่างบิดเบี้ยวในจาน ไม่ยอมรับคำตัดสินของซู่จิ่น หยิบมากัดหนึ่งคำ เพียงแค่ตัวแป้งแฉะสัมผัสลิ้นก็คายทิ้งทันที
ให้ตายเถอะ...เซียนซู่จิ่นกินก้อนยาพิษเข้าไปได้อย่างไรตั้งหนึ่งคำ
เพียงแค่สัมผัสลิ้น รสชาติก็ติดตรึง เขาควานหาน้ำชาร้อนล้างปาก ไม่วายจุดไฟเผาจานขนมนั้นทิ้ง เป็นควันดำคลุ้ง
“เอ่อ...” เมื่อล้างปากล้างคอด้วยชาร้อนไปหนึ่งกา เป็นเขาที่ส่งสายตาละอายให้องค์หญิงเผ่าสวรรค์
ซู่จิ่นเพียงมองเขาทุรนทุรายจากฝีมือตนเองนิ่ง ๆ ไม่เอ่ยต่อว่าอีก ทำให้หยางผิงประหลาดใจ
นึกว่านางจะเอ่ยวาจาคมมากรีดใจเขาเสียอีก...
“หากอยากเรียนทำครัวก็ควรเอาใจมาด้วย คิดซะว่าเหมือนฝึกดาบหรือคาถา พลิกมือผิด ท่องคาถาพลาด ไม่ถึงชีวิตก็เจ็บตัว อย่านึกว่าเพียงอาหารจะฆ่าคนไม่ได้ ท่านคงเห็นแล้วว่าขนมเปี๊ยะของท่านฆ่าตัวท่านเองได้”
องค์หญิงซู่จิ่นเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ เป็นจริงอย่างที่นางว่าทุกคำ หยางผิงเห็นว่านางเตือนด้วยความหวังดี ไม่เก็บทิฐิในอดีตมาถือ ทำให้ผู้แก่อาวุโสกว่าเช่นเขาละอายใจ ทั้งเคยคิดอคติ ยืนฝั่งตรงข้ามกับนาง ตอนนี้กลับนึกคำเอ่ยไม่ได้
ซู่จิ่นก็นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศในครัวอึดอัดขึ้นมาห้าส่วน
“พี่ซู่จิ่น ท่านลุง ข้าขอเข้าไปนะเจ้าคะ” แล้วสวรรค์ก็ช่วยเปิดทางให้หยางผิง สตรีวัยกำดัดโผล่เข้ามาในครัวเปลี่ยนบรรยากาศนี้ให้ลดความอึดอัดลง ก่อนที่ขาเรียวจะก้าวข้ามธรณีประตู เป็นหยางผิงที่นึกได้จึงเอ่ยห้ามเสียงดัง
“รั้งขาเจ้าก่อนเถอะหนิงเฟิ่ง” เทพสุริยะร่ายคาถาปิดประตูครัวทันที ก่อนจะก้าวยาวไปหยิบเสื้อคลุมหมอกฟ้าส่งให้องค์หญิงซู่จิ่น นางเข้าใจเจตนาของชายหนุ่ม ยื่นมือรับอย่างรีบร้อน หยิบฉวยเสื้อคลุมที่ถอดวางขณะสอนทำขนมจากร่างสูงขึ้นมาสวมโดยไว
“เรียบร้อยแล้ว” เซียนซู่จิ่นเป็นผู้เปิดประตูให้หงส์ไฟ หนิงเฟิ่งเข้าใจสถานการณ์เมื่อครู่ดี ดวงตาเรียวฉายแววหมองหม่น มีเพียงเรื่องนี้ที่กระทบจิตใจนาง ตั้งแต่คราวเคราะห์ใหญ่หล่นทับองค์หญิงซู่จิ่น นับปีนี้ก็ย่างเข้าปีที่เก้าสิบแล้ว
ครานั้นเมื่อจัดการปัญหาไร้สาระที่สวรรค์เรียบร้อย องค์มหาเทพก็เร่งรุดมาปล่อยเด็กน้อยจากกรงกักตน ตามจริงก็ไม่ไร้สาระเท่าไหร่ เพราะเขตอาคมปราการกั้นแดนสวรรค์และแดนอสูรเกิดปริร้าว ไอขุ่นสกปรกเล็ดลอดเข้าสู่สวรรค์ สร้างความโกลาหล เทพเอ้อหลางผู้เฝ้าประตูไม่อาจยับยั้งระงับเหตุการณ์ อีกทั้งเทียนจวินก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร จึงส่งสารด่วนมายังแดนเหนือกาล อัญเชิญองค์มหาเทพจิ่นกวางผู้ดูแลโดยตรง
เขาก็เข้าใจเช่นเทพเซียนบนสวรรค์ ว่ามหาเทพจิ่นกวางเข้าสู่นิทรามาหลายสิบหมื่นปี มิตื่นตั้งแต่ครั้งเกิดทะเลโลหิตทมิฬไหลท่วมแดนอสูร
เขาเข้าใจผิดตลอดมา เมื่อพบว่าไท่จวินไม่ได้ประทับ ณ แดนเหนือกาล
มหาเทพหนิงหลงกล่าวต่อเทียนจวินเสียงเรียบว่า
‘เขาติดธุระ’
เพียงแค่นั้นก็ไม่มีใครกล้าสอดปากถามต่อ เป็นมหาเทพหนิงหลงรับหน้าที่ผนึกเขตคาถาประสานรอยร้าวแทน ซ่อมเขตแดนก็ใช้เวลาเกือบสัปดาห์ ด้วยไม่ใช่เจ้าของปราณผนึก มหาเทพหนิงหลงจึงสร้างปราณน้ำอีกสายมาหุ้มทับเขตอาคมเดิม
จบเรื่องวุ่นไปหนึ่ง เทียนจวินถือโอกาสทอง นานครั้งที่เทพบรรพกาลเยือนสวรรค์ อัญเชิญมหาเทพหนิงหลงเป็นองค์ประธาน ให้เหล่าเทพเซียนดินถวายความเคารพ ในพิธีแต่งตั้งเซียนใหม่ หากไม่เป็นเพราะนกกระเรียนทองผู้ส่งสารจากมหาเทพจิ่นกวางโผล่ลงกลางงานเลี้ยง
ไม่สิ โผล่กลางโต๊ะเสวยของเทียนจวินเสียด้วยซ้ำ
หยางผิงตี้จวินเห็นชัดว่าน้ำแกงรากบัวชามนั้นกระเซ็นติดฉลองพระองค์มังกรทองของเทียนจวิน เจ้านกกระเรียนทองเงอะงะ แต่ก็ช่วยปลดภาระลงจากสองบ่า
มหาเทพหนิงหลงอ่านสารท่าทีสงบ และเร่งรุดจากไปไม่เอ่ยลา เป็นหน้าที่เทพปฐมเคารพเช่นเขา ต้องกล่าวลาเทียนจวินและเหล่าเทพเซียน
พูดแต่น้อย ทั้งยังไม่เปิดช่องให้ถาม เอ่ยสองสามประโยคก็คว้าปีกกระเรียนทอง เหาะกลับแดนเหนือกาลทันที
ทัณฑ์แรกของหนิงเฟิ่งยังไม่สิ้นพันปี ทัณฑ์สองกำลังกล้ำกราย ดีที่เซียนซู่จิ่นปลอดภัย อยู่ในการดูแลของเทพกระต่ายแพทย์โอสถสวรรค์
ครั้งนั้นมหาเทพหนิงหลงเรียกตัวหนิงเฟิ่งฝึกเคล็ดวิชาเคลื่อนดาว เด็กน้อยพลังปราณบำเพ็ญเพียงร้อยกว่าปี ตอนแรกเขาก็นึกห่วงหนิงเฟิ่งอยู่ แต่เมื่อเห็นว่านางฝึกได้ก็โล่งใจ แววตานางฉายแววมุ่งมั่น เพียงไม่นานหนิงเฟิ่งก็ฝึกวิชาสำเร็จ
มหาเทพหนิงหลงให้นางหยิบยืมเคลื่อนพลังเพลิงจากพื้นดินตำหนักหั่วชิงเข้าสู่กาย ก่อนเปลี่ยนเป็นปราณเซียนไหลเวียนคืนให้องค์หญิงซู่จิ่น เข้าสิบส่วนส่งออกเพียงหนึ่งส่วน กว่าจะได้พลังบำเพ็ญหมื่นปีกลับคืน ตำหนักประทับก็เกิดความปั่นป่วน
พลังเพลิงที่เด็กน้อยยืมไปทำให้ธาตุไฟในตำหนักนี้เสียสมดุล เกิดพสุธาไหวรุนแรงคล้ายจะถล่ม หันมององค์มหาเทพก็ยังวางท่าสงบนิ่ง หยางผิงคิดว่าถึงคราวเขาออกหน้าช่วยเหลือแบ่งปราณเพลิงค้ำจุนแทนที่ ไม่คาดว่าหนิงเฟิ่งจะหัวไวกว่ามาก เด็กน้อยถ่ายปราณวารีที่ดูดซับมาลงแทนที่ปราณเพลิงเกิดเป็นสมดุลน้ำไฟ
จากเดิมที่พื้นดินแห้งแล้ง ต้นไม้มีเพียงกิ่งไร้ใบไร้ดอก กลายเป็นดินชุ่มชื่น อีกทั้งลำธารสายหนึ่งก็ผุดขึ้นแอ่งเล็ก ผู้เป็นเจ้าของตำหนักยังคงมีหน้าตานิ่งเฉย
แววตาฉายแววชื่นชมศิษย์
“หนิงเฟิ่ง เจ้า...”
นอกจากภายนอกตำหนักจะเปลี่ยนไป ร่างกายภายนอกของหนิงเฟิ่งก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อหยางผิงละสายตาจากลำธารเล็ก กลับปะทะกับโฉมงามผู้หนึ่ง ดวงหน้านั้นงามหมดจดไร้รอยไฝฝ้า จมูกโด่งรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงอวบอิ่มดังกลีบกุหลาบ หากที่ตรึงใจที่สุดกลับเป็นดวงตานั้น ดวงตาหงส์เรียวยาว นัยน์ตาใสสกาวราวกับดาวฤกษ์บนทางช้างเผือก ผมของนางเปลี่ยนจากสีแดงเพลิงเป็นเส้นไหมดำขลับทิ้งตัวกลางหลัง หนิงเฟิ่งสูงอีกหนึ่งศอกคล้ายเด็กสาวอายุสิบห้า เป็นดรุณีแรกแย้ม
โฉมงามล่มเมืองจุติ ณ แดนเหนือกาล มิอาจไม่ยอมรับว่าตำแหน่งสตรีโฉมงามอันดับหนึ่งในสามภพเปลี่ยนมือเสียแล้ว
ณ แดนอสูรที่มืดมิด หนิงเฟิ่งเดินตรงไปไร้จุดหมาย แดนอสูรล้วนถูกปกคลุมด้วยไอหมอกหนา ปิดกั้นท้องนภากว้างย้อมเมฆเป็นสีดำ แม้แต่แสงสุริยะยังส่องลงมาได้ยาก ไม่ว่ากลางวันกลางคืนท้องฟ้าก็ไม่ต่างกัน
หากแต่โดยรอบดินแดนประดับด้วยหินจันทราส่องสว่าง ทดแทนแสงทองของเทพพระอาทิตย์ ทำให้ตลอดสองข้างทางมีแสงสว่างราวกับมีเทพปฐมเคารพหยางผิงตี้จวินปรากฏกาย
พยัคฆ์ขาวลายเมฆรูปร่างอุ้ยอ้าย เดินเปะปะไร้ปลายทาง หัวกลม ๆ มองซ้ายแลขวา หาเฒ่าขอทาน ขาสั้น ๆ เดินไม่ไกลก็เหนื่อย เห็นแผงอาหารเตาถ่านลุกโชน ส่งควันขาวออกไปรอบทิศ ถังไม้ด้านบนเตาร้อนก็ดูท่าจะอุ่นได้ที่ จากกลิ่นที่สูดเข้าเต็มปอดเดาได้ว่าเป็นซาลาเปาไส้เนื้อ
เห็นสถานที่เหมาะสมสำหรับนั่งพัก หนิงเฟิ่งก็ก้าวย่างองอาจ ไสเท้าเข้าไปใกล้เตานั่งพักรับไอร้อน พักขาได้ไม่นานท้องน้อยก็เริ่มประท้วงเป็นสัญญาณว่าปลาเปรี้ยวหวานเมื่อเช้าย่อยหมดแล้ว
หอมซาลาเปาไส้เนื้อ...
หนิงเฟิ่งลุกเดินจากข้างเตา ก้าวผ่านหน้าเฒ่าแก่เนี้ยเจ้าของแผง เดินรอบแรกก็แล้ว รอบสองก็แล้ว ท่านป้าท่านนั้นก็ไม่หันมอง สนเพียงลูกค้าตรงหน้า
อะไรกัน... วิธีนี้นางใช้ได้ผลทุกครั้ง เว่ยจวิ้นหมิงผู้นั้น เห็นนางเดินวนเพียงรอบก็รีบยกอาหารมากองตรงอุ้งเท้า
ไม่ได้ความแล้ว อย่างนี้ต้องใช้ไม้ตาย
หนิงเฟิ่งย่างสามขุมเข้าไปใต้แผง เดินวนรอบขาอวบของหญิงชรา คลอเคลียพร้อมส่งสายตาหวาน เฒ่าแก่เนี้ยรู้สึกตัวทันทีว่ามีบางอย่างมาก่อกวน
"ไอ้ย่าาาา แมวตัวนี้มาจากไหน"
มาจากท้ายตลาด "หง่าววววว"
"เกะกะร้านข้าน่า ไปซะเจ้าแมวสกปรก"
ขอซาลาเปาสักก้อนเถอะท่านป้า "แหง่วววววว หง่าวววว"
"วันนี้มารดาของเจ้ายังอารมณ์ดีอยู่ ไม่เช่นนั้นจะยกน้ำร้อนในเตามาสาดไล่" ไม่เพียงไม่รับฟัง ท่านป้าท่านนี้ยังถือไม้ยกสูงข่มขู่ หนิงเฟิ่งเห็นท่าไม่ดีละกายเดินออกมาแทน
ไม่กินก็ได้ ข้าเป็นถึงคนของตำหนักอี้เหอ วังไท่จื่อ นางเฒ่านี้บังอาจนัก หากข้าเจอกับเว่ยจวิ้นหมิงเมื่อไหร่ จะให้เขามาปิดแผงเจ้า
คิดได้ยามโกรธก็อารมณ์หนึ่ง พอระลึกความทรงจำได้ก็อารมณ์หนึ่ง สื่อสารกันยังไม่รู้เรื่อง อีกทั้งนางโดนไล่ออกจากวังไท่จื่อเช่นนี้ ยังจะมีหน้าอวดเบ่ง
พยัคฆ์ขาวลายเมฆชั่วหนึ่งก้าวฉับโกรธา ชั่วหนึ่งหูลู่หางตกหงอยเหงา เดินเปะปะตรงไป มุ่งมาดหาเฒ่าขอทานหลินหยวนซุนตามเจตนาเดิม
วันนี้ต้องให้ตาเฒ่าหลินหยวนซุนซื้อซาลาเปาให้นางกินให้จงได้...
ขาสั้นๆ เริ่มก้าวฉับมั่นคงสม่ำเสมอ ตั้งใจไม่ว่อกแว่ก เดินตามตรอกซอกซอย ตาพยัคฆ์มองหา จมูกเสือดมกลิ่น หูตั้งฟังเสียง เหนื่อยสายตัวแทบขาดไม่นั่งพัก ปณิธานแน่วแน่
แล้วความพยายามของนางก็เป็นผล เมื่อเลี้ยวเข้าตรอกแคบ อับแสงหินจันทรา บรรยากาศมืดมัวหนึ่งแห่ง ตรงหน้ากลับเป็นตาเฒ่าขอทาน เขาขุดดินแข็งข้างกายด้วยไม้แหลม ก่อนจะฝั่งก้อนหินไร้ค่าลงไปในหลุมตื้น แล้วกลบด้วยสองมือ
เพราะรอบกายมืดมัวอับแสง ตาพยัคฆ์อีกจมูกเสือของนางจึงมีประโยชน์ยิ่ง แม้กายภายนอกจะคลุกไปด้วยผงถ่าน แต่กลิ่นดอกมู่หลานยังคงติดกายแน่นไม่จางหาย
เป็นหลินหยวนซุนไม่ผิด
เมื่อกลบหลุมนี้เสร็จ เขาก็ลุกเดินถัดไปสองก้าวก็ลงมือขุดอีก ฝังดินก้อนใหม่ลงพื้นก้อนแล้วก้อนเล่า
หนิงเฟิ่งนึกสงสัยอยู่เงียบๆ ไม่แสดงตัว แอบมองเฒ่าขอทานอยู่ข้างกองขยะ นั่งพักให้หายเหนื่อยไปในตัว หลินหยวนซุนยังคงขุดหลุมฝั่งกลบอยู่อย่างนั้นอีกหลายก้าว นางเห็นว่าเขาเดินไปไกลพอสมควรแล้วจึงเดินไปที่กองดินสีเข้มลับตา ลงขาหน้าขุดดูภายใน เห็นเป็นเพียงก้อนหินดำธรรมดาก้อนหนึ่งนอนนิ่งใต้หลุม
ทำอะไรของเขา...
หนิงเฟิ่งทำการกลบดินไว้เหมือนเดิม แล้วเดินตามเฒ่าขอทานอีกครั้ง แต่ก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับกำแพงหนา
ปึก!!!!
เงาดำทะมึนยืนห่างเพียงแค่เอื้อมมือ แสดงให้เห็นว่าเมื่อครู่ที่นางชนไม่ใช่กำแพงอย่างที่คิด เป็นสัตว์ขนกลมตัวโตสีดำทะมึน แววตานักล่าคล้ายข่มขู่คุกคาม
หนิงเฟิ่งตกตะลึกตัวแข็งทื่อเมื่อมีผู้มาใหม่ขว้างหน้าสูงกว่านางเกือบเท่าตัว หนิงเฟิ่งต้องเงยหน้าสุดคอเพื่อที่จะมองวงเขี้ยวนั้นได้ชัดเจน แสงสลัวในตรอกมืดทำให้รอบกายคล้ายมีเขตแดนเวทหนาสร้างขึ้นปกคลุม นางไม่คิดว่าสุนัขบ้านตัวโตตรงหน้าจะเป็นสุนัขเฝ้าบ้านธรรมดา แววตาเย็นชาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
“ขออภัยที่ล่วงเกินนะพี่ชาย ข้าแค่หลงทาง” ด้วยยื้อเวลาหาทางหนีเจรจาพาทีอาจเป็นผล ไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตรงหน้าจะเข้าใจหรือไม่ ดูอย่างจวิ้นหมิงไท่จื่อผู้นั้นชาติพยัคฆ์ราชายังไม่เข้าใจนาง แต่ไม่ลองก็ไม่รู้
สุนัขตัวโตตรงหน้าไม่รับไมตรี มันทำเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูก ดูท่าทีหงุดหงิดแต่ไม่จู่โจม ยังคงส่งสายตาเย็นชามาให้
“แหะ ๆ ท่านไม่ชอบใจ งั้นข้าขอตัว” หนิงเฟิ่งหูลู่หางตกแสดงท่าทียอมแพ้ ค่อยๆ เบี่ยงตัวย่อขา ก้าวเยื่องไปด้านซ้าย หมายหลุดจากปราการมืด หากแต่ก้าวเพียงครึ่งขา แข้งยาวตรงหน้าก็วาดมาขวางทาง หนิงเฟิ่งหดตัวกลับแทบไม่ทัน แล้วเบี่ยงตัวไปด้านขวา ขายาวนั้นก็ยกขวางเช่นเดิม นางจึงต้องหดหัวกลับมาท่าเดิมก่อนที่จะค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลัง
ปึก!
สัมผัสที่ได้ทำให้นางหน้าซีดลง ไม่ต้องหันมองก็พอเดาออกว่าเป็นกองขยะ ที่นางนั่งพักเมื่อครู่ อสูรทะมึนตรงหน้าก้าวย่างเข้ามาอย่างองอาจ ในยามที่ปราณเซียนในกายรวมถึงคาถาวิชาที่ร่ำเรียนมาไม่สามารถใช้ได้ หนิงเฟิ่งรู้สึกละอายต่อซือฝุอย่างยิ่ง ยังไม่ทันแก้แค้นแทนมหาเทพหนิงหลง กลับต้องมาตายใต้คมเขี้ยวสัตว์หน้าขนอีก
เสียงร้องคำรามกึกก้องพลันดังขึ้นกะทันหันจากร่างตรงหน้า
หนิงเฟิ่งหรี่ตาลงตั้งสมาธิมองหาช่องทางหนี ก่อนจะเห็นแสงสว่างที่ลอดมาจากกลางขาคู่นั้น นางแสร้งหูลู่ หมอบต่ำ หลุบตาปิดบังความคิด ในขณะที่สุนัขทะมึนอ้าปากกว้างอวดเขี้ยวคม หนิงเฟิ่งก็ได้จังหวะวิ่งผ่าทะลุช่วงขายาวของสัตว์ตรงหน้า ก่อนจะใช้หัวกลมชนกระแทกใส่กายสูง แล้วออกวิ่งตรงไปไม่คิดชีวิต
ในใจตอนนี้ขอเพียงหลุดจากการโจมตี ลืมเลือนเฒ่าขอทานที่ตามอยู่ เบื้องหน้าเป็นตรอกมืด ยิ่งวิ่งยิ่งหลงลึก แต่เสียงคำรามและเสียงเท้าสองคู่ที่วิ่งตามหลังเป็นแรงขับชั้นดีให้นางวิ่งต่อไปไม่ลดละ สุดตรอกมืดไร้แสงหินจันทรา นางไม่อาจมองเห็นแม้แต่อุ้งเท้าปุยของตนเอง หากเทพสุริยะได้เห็นหน้าตาตื่นตระหนักหวาดผวาของหนิงเฟิ่งผู้ไม่เคยกลัวใคร คงต้องเก็บไปเป็นเรื่องเล่าล้อเลียนตั้งวงเก็บเงินเข้าฟังเป็นแน่
หนิงเฟิ่งวิ่งจนมาถึงทางแยก ด้านหนึ่งเห็นแสงสว่างรำไรคล้ายมีหวัง อีกด้านมืดมิดอับแสง นัยน์ตาหงส์ฉายแววลังเล ในระหว่างนั้น ร่างสีดำพลันพุ่งวาบมาถึงเบื้องหน้านางมันตามมาทันแล้ว
หลายปีที่กักตนในแดนเหนือกาล มีเรื่องที่นางถนัดที่สุดเพียงไม่กี่เรื่อง หนึ่งคืออ่านนิทานเรื่องเล่า สองคือหลบหลีกเป็นปลาไหลยามทำผิด ครานี้ละทิ้งปราณเซียน ละทิ้งคาถามนตร์ เหลือเพียงแรงกายและสี่ขา
นางไม่ยินดีจะทิ้งชีวิตใต้คมเขี้ยวยาวนี้
ท่ามกลางหมอกมืดปกคลุม พยัคฆ์ขาวลายเมฆเปลี่ยนท่าทีต่อสู้ หูลู่ชูหาง เตรียมขู่ตั้งรับ อสูรตรงหน้ามีแววแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีเปลี่ยนไป มันชะงักรอตั้งรับ หนิงเฟิ่งสบโอกาสพุ่งตัวเข้าใส่คอยาว อ้าปากกางเขี้ยวหมายขย้ำคอแลกเลือด เป็นสุนัขตัวโตไม่ทันระวัง ถอยเท้าสองก้าวเพื่อหลบเลี่ยง
ตกหลุมพรางข้าจนได้ เจ้าหมาโง่...
หนิงเฟิ่งปราดเปรียวว่องไวขึ้นมาทันควัน กรงเล็บแหลมกางจิกลงบนอุ้งเท้าศัตรู ก่อนอุ้งเท้าปุยจะแตะพื้นก็เปลี่ยนการเคลื่อนไหว กระโดดหลบเข้าไปเส้นทางมืดใช้ไอขุ่นปกปิดร่างกาย
เสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังไล่หลังมาไม่ขาด
หากแต่หนิงเฟิ่งไม่อาจฟังจบท่อน เมื่อเท้าปุยของนางก้าววิ่งไปไม่แตะพื้น จมดิ่งลงในบึงมืดทันควัน ฟองอากาศใสลอยออกจากปากพร้อมลมหายใจ
นางพลาดแล้วจริง ๆ ได้แต่ดึงสติกลับเข้าร่าง แม้ร่างพยัคฆ์ขาวนี้จะไม่สามารถร่ายมนตร์โคจรลมปราณได้ แต่กายทิพย์ก็คือกายทิพย์ นางยังคงสามารถหยุดลมหายใจได้นาน ไม่ตกตายเพราะจมน้ำตื้น
หนิงเฟิ่งยกอุ้งเท้าปิดปากกว้าง หยุดฟองอากาศที่ผุดขึ้นเหนือผิวน้ำฟองแล้วฟองเล่า นั่งนิ่งรอฟังเสียงเคลื่อนไหว ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แม้สุนัขอสูรตัวนั้นจะไม่กระโดดตามลงมา แต่ก็เดาได้ว่าคงเฝ้ารอขย้ำนางบนบก
บึงน้ำที่นางตกมามืดและลึกพอที่การเคลื่อนไหวใต้น้ำจะไม่ไหวกระทบผิว หนิงเฟิ่งตัดสินใจก้าวย้ำโคลนเลน ตรงไปไร้ทิศทางดีกว่าโผล่ขึ้นไปทิศเดิมเจอกับอสูรหน้ามืด รอกินเลือดจากคอนาง
หนิงเฟิ่งเดินทางใต้โคลนอยู่ครู่ใหญ่ มองเห็นรอบกายไม่ชัดเจน แต่โคลนดินสกปรกเปลี่ยนเป็นหินปะการังหลากสี แสงสว่างภายนอกส่องลงมาถึงใต้พื้นน้ำ ปรากฏเป็นฝูงปลาหลากหลายพันธุ์แหวกว่ายไปมารอบกาย เกิดความประหลาดใจอย่างมาก หนิงเฟิ่งจึงตัดสินใจโผล่หัวขึ้นผิวน้ำตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง
ขนนุ่มเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะจดเท้า ฝั่งพื้นดินเป็นชายป่าร้างไร้หินจันทราประดับแต่ต้นไม้ทั้งหมดกลับมีใบเรืองแสง ส่องสว่างราวสวนสวรรค์ หนิงเฟิ่งหยุดเท้านั่งพักใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ มองกลับไปทางที่จากมาเห็นเป็นแอ่งน้ำสกปรกจากตัวนางกระจายเป็นทางยาว แม่น้ำที่เดินผ่านมากว้างขวางมองไม่เห็นอีกฝั่งตรงข้าม
หลบหนีการไล่ล่าจากศัตรูที่ไม่รู้จักอยู่เกือบครึ่งวัน หนิงเฟิ่งรู้สึกว่าพละกำลังเริ่มร่อยหรอ ร่างนี้ไม่เหมาะกับการออกแรงพอฝืนตัวก็เกือบแพ้พ่าย
นางนอนพักกายใต้ร่มไม้อยู่นานจนขนเริ่มแห้ง พึ่งรู้สึกตัวว่าอุ้งเท้าตนเองบวมเป่ง ยามจวนตัววิ่งหนีไม่คิดชีวิต เท้าเล็กเหยียบย่ำหนามแหลมหินคมไม่รับรู้ ตอนนี้ได้พักสงบใจกลับรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด พยัคฆ์ลายเมฆขยับตัวอีกครั้ง มองไปรอบกาย ชายป่านี้แปลกตาคล้ายเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ ตาหงส์สอดสายข้างทางหาสมุนไพรให้ตนเอง บรรเทาความเจ็บปวด
นางเริ่มรู้สึกถึงปราณร้อนครั่นเนื้อครั่นตัวไม่สบาย มองซ้ายขวาเห็นแต่ใบไม้ใบหญ้าแปลกตาไม่รู้จัก มหาเทพหนิงหลงเคยเอ่ยว่า ซือซูของนางมหาเทพจิ่นกวางเป็นเอกเรื่องสมุนไพรรักษารวมถึงพิษร้ายแรงและค่ายกล ยังเคยเปรยว่าจะส่งนางไปกราบเป็นอาจารย์รับวิชาจากซือซู ยามต้องใช้งานกลับไม่มีความรู้ หนิงเฟิ่งสลัดความคิดในห้วงคำนึงนึกถึงบิดา เดินหน้าเข้าไปในป่า
คล้ายมีมนตร์สะกดใจก้าวย่างตามทางเดิน ยิ่งลึกเข้าไปในป่ากลับยิ่งอบอุ่น แสงสว่างยิ่งเข้มข้น เห็นชัดว่ามาจากแท่นศิลาหยกสลักภาพสตรีโฉมงามดั่งนางอัปสร ท่าทางอ่อนช้อยดังเทพธิดาจากสรวงสวรรค์กำลังร่ายรำ เหมือนจริงคล้ายภาพเคลื่อนไหว หรือเป็นตัวนางที่ตาฝาดเลอะเลือน
ยืนตะลึงได้ไม่นานขาน้อยก็อ่อนแรงทรุดลงกับพื้น นางมองเห็นตามทางที่เดินผ่านว่ามีหย่อมโลหิตเป็นสายตามรอยเท้า แต่ความอบอุ่นจากศิลานี้ทำให้ใจนางละทิ้งความเจ็บปวด เปลือกตาหนักอึ้ง ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับลง ชุดคลุมสีครามตัวหนึ่งได้คลุมลงมาใส่ศีรษะเล็ก ๆ หนิงเฟิ่งดิ้นรนเท่าที่แรงจะยังเหลือ จึงได้เห็นเงาร่างสูงของชายหนุ่มชุดครามปักลายพยัคฆ์สูงศักดิ์สง่างาม เรือนผมสีน้ำเงินตัดกับผิวสีขาวดั่งหิมะจับตัวแข็ง มือเรียวได้รูปคู่นั้น ช้อนประคองตัวนางขึ้นแนบอก ยามอยู่ในตำหนักอี้เหอเขาดูคล้ายเด็กน้อยไม่เอาถ่าน ยามอยู่ในโต๊ะหนังสือจับตำราดูคล้ายบัณฑิตแก่เรียนไม่ได้ความ แต่ยามนี้สำหรับหนิงเฟิ่งแล้ว เว่ยจวิ้นหมิงคล้ายเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ลงมาโปรดนางก็มิปาน
"หลับตาลงเถอะป่ายซู เจ้าปลอดภัยแล้ว" เปลือกตานางคล้ายเชื่อฟังคำเอ่ยของบุรุษตรงหน้า ปล่อยตัวซบลงกับอกกว้างเข้าสู่นิทราทันที
เพียงเข้าสู่นิทรา ความฝันก็พานางย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน
“เรียบร้อยแล้ว” เซียนซู่จิ่นเป็นผู้เปิดประตูให้หงส์ไฟ
หลังจากที่หนิงเฟิ่งใช้วิชาเคลื่อนดาว คืนพลังบำเพ็ญหมื่นปีให้พี่ซู่จิ่นแล้วเพื่อป้องกันมิให้ซ้ำรอยเดิม เทพสุริยะจึงสละเสื้อคลุมหมอกฟ้า ของวิเศษประจำตำแหน่งตี้โฮ่วที่มีไว้ให้สตรีในอนาคตป้องกายในตำหนักเพลิง เสื้อคลุมหมอกฟ้าถักทอจากหินอัคคีดำ เป็นหนึ่งในศาสตราวุธเทพตกทอดจากมารดาของหยางผิง เสื้อคลุมนี้มีฤทธิ์คุ้มกายผู้สวมใส่ ป้องกันคมดาบ อาวุธร้าย เวทมนตร์คาถามืด อีกทั้งความร้อนหรือหิมะไม่กล้ำกราย เหมาะสำหรับเซียนซู่จิ่นที่ต้องรักษาตัวจากปลิงดูดปราณเช่นหนิงเฟิ่ง แม้ตอนนี้หนิงเฟิ่งจะฝึกสติสยบวิชาดูดดึงปราณสำเร็จ แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท เสื้อคลุมหมอกฟ้านี้ก็ถูกนำออกมาใช้ก่อนกำหนด
หรือจะเป็นชะตาสวรรค์ ชี้ส่องทางให้กับผู้ที่จะขึ้นเป็นตี้โฮ่วตำหนักสุริยเทพ
“พี่ซู่จิ่น ช่วงนี้ท่านเอาแต่สอนท่านลุงทำขนมไม่สนใจหนิงเฟิ่งบ้างเลย ข้าเหงานะเจ้าคะ”โฉมงามชุดแดงส่งสายตาออดอ้อน ขอความเอ็นดู
“ตัวข้าก็เบื่อเต็มที ไม่คิดเลยว่าเทพปฐมเคารพผู้เก่งกาจจะสมองทึบได้ถึงเพียงนี้” ทั้งสองพี่น้องจับจูงมือกันเดินข้ามธรณีประตู ออกจากครัวสกปรกไป ทิ้งให้เทพปฐมเคารพหนึ่งเดียวเช่นเขา รับคำว่าสมองทึบไว้เต็ม ๆ
“ยามนี้ตำหนักหั่วชิงไร้เจ้าของ ซือฝุจากไปตรวจตรานอกแดนเหนือกาล วิชาก็ไม่ได้เรียน หนิงเฟิ่งดีใจได้สองคืนก็เบื่อแล้ว ซือฝุไม่อยู่ไม่มีผู้กล่อมนอน ข้านอนไม่หลับ”
ผ่านเรื่องยุ่งของหนิงเฟิ่งมาร้อยปี มหาเทพที่งานยุ่งที่สุดเช่นหนิงหลงไท่จวินก็ถึงคราวทิ้งตำหนัก ออกเยี่ยมเยียนสามภูมิใต้ปกครอง ซือฝุฝากฝังว่าครั้งนี้ไปนาน ไม่ให้นางซน แต่อนุญาตให้ออกนอกตำหนัก ท่องเที่ยวไปทั่วแดนเหนือกาลได้ แรกเริ่มก็ยินดีอยู่แต่เมื่อไม่มีซือฝุให้อ้อนนางก็คล้ายไม่มีเรื่องยินดีให้ยิ้ม
เทพเซียนทั่วไปมีงานมากเท่าไหร่นางไม่รู้ แต่หากให้มหาเทพหนิงหลงเป็นเกณฑ์ตัดสิน นางก็ให้ความเห็นว่าเทพเซียนทุกผู้ล้วนมีงานยุ่ง ซือฝุของนางกลางวันหากไม่สอนเต๋าบังคับนางอ่านตำรา ก็เข้าฌานบำเพ็ญตน ตกดึกอ่านรายงานมากมาย ม้วนพับสูงนั้นคล้ายไม่มีชั้นแรก
หนิงเฟิ่งชอบที่จะย้ายผ้าห่มไปนอนในเรือนพักของซือฝุ แม้นางจะนอนมองกองม้วนพับกระดาษนั้นนานเพียงใดก็ไม่เคยอดตาได้ถึงชั้นแรกเป็นต้องหลับก่อนทุกครั้ง ยามตื่นก็เห็นซือฝุนั่งอ่านตำราที่เดิม มีเพียงรอยบุ๋มข้างเตียงกับความอบอุ่นข้างกายที่เป็นหลักฐานชี้ว่าซือฝุของนางได้ละกองหนังสือ มานอนหลับข้างนางและก็ลุกขึ้นไปทำงานต่อแล้วเช่นกัน
ตัดภาพมาที่หยางผิงตี้จวินผู้ว่างงาน วัน ๆ ท่านลุงเอาแต่ลอยไปลอยมา รถม้าไม้แบกดวงอาทิตย์นั้นก็เคลื่อนตัวเองได้โดยที่เจ้าของไม่ต้องควบคุม ต่อให้หยางผิงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวมไม่ออกไปฉายแสงสุริยะ ทั้งหกภพภูมิและสามสิบแปดโลกมนุษย์ก็ยังมีแสงสว่างส่องทั่วทุกพื้นดิน
สวรรค์เอนเอียงเสียจริง
“มหาเทพหนิงหลงเป็นผู้ปกครองที่ทรงธรรม ท่านไม่เคยละทิ้งให้สรรพสิ่งในสามภพหกภูมิต้องอยู่โดดเดี่ยว” หนิงเฟิ่งหยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ซู่จิ่น
ซือฝุของนางน่านับถือ
“ข้าก็ไม่เคยละทิ้งสรรพสิ่ง แสงสุริยะยังคงส่องทั่วสามภพ”
“อย่าเอาหยกมาเทียบกับหินเลย” ประโยคเรียบง่ายของเซียนซู่จิ่นสร้างความขัดเคืองให้กับเทพสุริยะไม่น้อย แต่ด้วยนิสัยแข็งกระด้างที่มีมากในกายสีทองแดง น้อยใจได้ไม่นานก็คงลืมเลือนไปเช่นเดิม
ตึง!!!!!! ตึง!!!!!!!!!!!
ทั้งสามสนทนากันได้เพียงไม่กี่คำก็ปรากฏเสียงดังสนั่นไปทั่วตำหนัก หนิงเฟิ่งตั้งสมาธิหาความผิดปกติ แต่ยังไม่ได้ความ ก็มีเสียงแผดร้องหนึ่งดังขึ้น
“คล้ายเสียงสัตว์เทวะเฝ้าประตู” ซู่จิ่นกล่าวอย่างตื่นตระหนัก ทั้งสามมองหน้ากันไปมา ก่อนที่เทพสุริยะจะพุ่งกายออกไปหาสาเหตุยังต้นกำเนิดเสียง
เห็นเช่นนั้นหนิงเฟิ่งก็ไม่อาจรั้งขาพุ่งกายตามไปติดๆ แต่ไม่วายห้ามปรามองค์หญิงสวรรค์ไว้ในตำหนักหั่วชิงที่ปลอดภัย
“ท่านรั้งรอที่นี่เถอะ” ซู่จิ่นพยักหน้ารับคำแต่นัยน์ตาหวานฉายแววเป็นห่วงให้ทั้งสองที่เหาะจากไป
แดนเหนือกาลมิใช่ที่เข้าง่ายออกง่าย ต้องได้รับอนุญาตจากมหาเทพผู้ปกครองคือหนิงหลงไท่จวิน รอบแดนปกคลุมด้วยกำแพงเวทเข้มข้นหมื่นแสนปี ตั้งอยู่คงที่ไม่มีจุดเริ่มไม่มีจุดดับ มีเพียงประตูหินสูงสามจ้าง* เป็นทางเข้าออก
*หนึ่งจ้างเท่ากับ 2.31 เมตร
ใช่ว่าเพียงเข้าตามตรอกออกตามประตูจะเป็นเรื่องง่ายดาย
ประตูหินนี้ได้รับความคุ้มครองด้วยสามสัตว์เทวะ สัตว์เลี้ยงดูเล่นของมหาเทพจิ่นกวาง นามว่า ลวี่เซ่อ(สีเขียว) หวงเซ่อ(สีเหลือง) และหงเซ่อ(สีแดง) แม้นามที่ซือซูตั้งออกจะไม่น่าเกรงขามเท่าไหร่ แต่กายของสัตว์เทวะนั้นน่าเกรงขามกว่าผู้เป็นนายอยู่ ทั้งสามเป็นพญากิเลนห้าธาตุมีฤทธิ์แกร่งกล้าและขี้หงุดหงิด ผู้ติดต่อผ่านทางหากไม่มีป้ายหยกประทานจากมหาเทพทั้งสองก็ไม่อาจก้าวขาเข้าไปได้
เว้นเพียงเทพสุริยะหยางผิงไว้ผู้หนึ่งถึงแม้จะมีป้ายหยกประทานแต่ก็ยังคงเข้ายากออกยาก คล้ายไปเหยียบหางขัดขากิเลน โดนท่านพี่ทั้งสามกลั่นแกล้งทุกครั้ง
“เสียงต่อสู้มาจากประตูหินไม่ผิดแน่”
“เจ้าสามกิเลนนั้นเล่นสนุกอีกหรือเปล่า” แม้แววตาจะฉายแววเคร่งเครียดแต่ไม่วายเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ลูกไฟบินว่อนเช่นนี้ ไม่เล่นหรอกท่านลุง” ทั้งสองเร่งกายตรงยังที่เกิดเหตุ สัตว์เทวะสูงใหญ่ทั้งสามกำลังต่อสู้ติดพันกับผู้บุกรุก เห็นเป็นร่างพญาอสรพิษงูขาวยักษ์ตัวหนึ่ง มันพ่นพิษควันดำกัดกร่อนประตูหิน แต่พิษนี้ไม่อาจระคายผิวศิลาหมื่นแสนปีรวมทั้งผิวหนังหยาบของกิเลนห้าธาตุสามสี
เมื่อเห็นว่าสัตว์เทวะสามารถรับมือได้ เทพสุริยะก็รั้งรออยู่หลังประตูไม่สอดมือเข้าไป เกรงจะทำให้กิเลนทั้งสามมีอารมณ์ขุ่น ข้อหาหยามหน้าหันมาเล่นงานเขาแทน แม้หนิงเฟิ่งจะนึกสนุกอยากประลองฝีมือ แต่ก็เห็นว่าการออกไปปรากฏ ณ แท่นประตูหินเป็นการฝ่าฝืนโทษห้ามออกนอกแดน จึงรั้งรออยู่ข้างเทพสุริยะ
แต่เมื่อบุคคลอีกผู้ปรากฏขึ้นกลับเป็นหนิงเฟิ่งไม่อาจหยุดนิ่ง ร่างที่ปกคลุมด้วยเกราะเงินยวง ถือทวนสามง่ามติดกาย พุ่งเข้าโรมรันปีศาจงูยักษ์ สามกิเลนไม่รับไมตรีเห็นผู้มาใหม่เป็นผู้บุกรุกเช่นกัน แบ่งมือออกมาต่อสู้ ทำให้แม่ทัพสวรรค์เทพเอ้อหลางเจอศึกหนัก ต้องรับมือทั้งจากปีศาจงูและสัตว์เทวะสามกิเลน
“เหตุใดเทพเอ้อหลางถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ปีศาจงูตนนี้น่าจะหลุดมาจากแดนอสูรเป็นแน่ เขาทำหน้าที่เฝ้าประตูทิศประจิมเชื่อมแดน ไม่คิดว่าปราการที่มหาเทพหนิงหลงสร้างจะรั้งปีศาจตนนี้ได้เพียงเก้าสิบปี ไม่ได้การแล้ว!” แล้วหยางผิงก็ไม่อธิบายต่อ อดีตแม่ทัพสวรรค์หยางผิงตี้จวินเหาะเข้าวงต่อสู้ทันที
หนิงเฟิ่งมองดูลูกไฟปลิวว่อนหลายสาย อีกทั้งไอขุ่นดำทมิฬ กิเลนหงเซ่อพ่นลูกไฟร้อนใส่งูขาวตลอดร่าง แต่ไฟนั้นกระทบผิวหยาบเพียงครู่ก็ดับลง ไม่นานก็มีห่าฝนเทกระหน่ำเกิดคลื่นน้ำซัดปีศาจงูให้โครงไม่ทรงตัว แต่อสรพิษยักษ์ก็ไม่ระคายผิวยังคงยืดหยัดมั่นคง กลับเป็นเอ้อหลางและหยางผิงที่พ่ายให้กับปราณน้ำถูกซัดไกลจากแดนประลอง
ในที่สุดสามกิเลนก็ปล่อยทะเลน้ำแข็งโอบล้อมแท่นประตูหิน ตรึงงูยักษ์กับที่ ดวงตาขีดรีแดงก่ำฉายแววโกรธเกรี้ยวไม่ยอมแพ้ สะบัดกายรุนแรงฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงกรีดร้องแผดก้องทั่วแดน
สามสัตว์เทวะและสองเทพเซียนคุมเชิงกันอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่รู้แพ้ชนะ ถึงยามงูยักษ์แผดเสียงร้องกึกก้อง เกิดคลื่นเสียงเป็นอาวุธทำร้ายคู่ต่อสู้ ชั่วขณะที่กิเลนทั้งสามเผลอชะงักกับเสียงทรงพลัง หางยาวก็ตวัดรัดตัวสัตว์เทวะทั้งสามไว้ ปากงูเปิดกว้างพ่นไอดำขุ่นมัวไปทั่ว หยางผิงเห็นสามกิเลนเสียท่ากำชับดาบคมพุ่งตรงหมายฟันลงกลางลำตัว แต่ไม่เป็นดั่งคิด
เทพสุริยะถูกปลายหางพาดลงกลางท้องลอยสูงจากไปลิบสายตา หนิงเฟิ่งเกิดตระหนักชัด ไม่อาจรั้งขารอในที่ปลอดภัย พุ่งเหาะออกไปยังลานประลอง ปลดปล่อยกงจักรไฟรับคำสั่ง นางดึงความสนใจจากหัวอสรพิษด้วยแส้โลหะที่มหาเทพหนิงหลงสร้างให้นางแทนชิ้นเดิมที่ถูกตัดไป เป็นกระบี่อ่อนหนึ่งเล่ม เปลี่ยนเป็นแส้โลหะได้ตามใจเจ้าของ
งูยักษ์เห็นผู้มาใหม่ล่อตาก็อ้าปากพ่นไอขุ่นพร้อมฝนพิษกัดผิว หนิงเฟิ่งสร้างปราการเซียนคลุมกาย พร้อมสั่งกงจักรเพลิงตัดหางอสรพิษปล่อยสัตว์เทวะสามกิเลน กงจักรคมกริบตัดผ่านหนังหยาบสร้างความเจ็บปวดแต่ไม่ขาดสองท่อน ปีศาจงูบันดาลโทสะปล่อยกิเลนทั้งสามเป็นอิสระพุ่งตรงหมายจะทำร้ายหนิงเฟิ่งแทน
งูยักษ์แผดเสียงร้องอีกครั้ง หนิงเฟิ่งเผลอสบเข้ากับตาแดงก่ำของปีศาจงู เกิดเป็นปราการจิตปกคลุมรอบลานประลอง คล้ายมีบางอย่างหยั่งลึกเข้ามาในกาย
หนิงเฟิ่งดิ้นรนให้พ้นพันธนาการแต่ก็ไม่อาจขยับกาย อสรพิษร้ายพุ่งตรงหมายดับชีวิต ก่อนที่คมเขี้ยวจะเฉียดงับตัวนาง ก็เกิดกำแพงกระจกแกร่งกล้าบานหนึ่ง กดสกัดร่างงูยักษ์ไว้ด้านนอก
หลังแสงสีเงินจางหาย อสรพิษยังคงแยกเขี้ยวโกรธเกรี้ยว ปรากฏร่างบุรุษชุดดำสนิทขึ้นชั่วขณะวิญญาณกลับร่าง บุรุษชุดดำตรงหน้าถือกระบี่เฮ่ยเทียนที่นางไม่เคยเห็นคมกระบี่ออกจากฝัก เงาหลังที่ถือกระบี่ของชายหนุ่มตรงหน้า เป็นซือฝุของนางไม่ผิด เรือนผมสีดำปลิวไหวตามลม มือเรียวกุมเฮ่ยเทียนแน่น
มหาเทพหนิงหลงผู้ทรงธรรมชักกระบี่แล้ว
ความคิดเห็น