คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 5 ผิดที่นางจริง ๆ นั่นแหละ
ตอนที่ 5 ผิดที่นางจริง ๆ นั่นแหละ
หากมิใช่มิตร ก็ใช่ว่าจะเป็นศัตรู เมื่อเป็นศัตรูแล้ว ก็ไม่อาจไว้ไมตรีนับถือเป็นมิตรสหาย
คำกล่าวเช่นในนิทานเรื่องเล่าธุลีแดง* นางเห็นว่าเป็นจริงได้เพียงในแดนธุลีแดงเท่านั้น ดูอย่างหยางผิงตี้จวินและเซียนซู่จิ่นสิ ทั้งสองแรกเริ่มนับได้ว่าแปลกหน้า ต่อมาดูคล้ายเป็นศัตรู สิ้นสุดกลับเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ทั้งหมดนี้ก็เกิดในแดนเหนือกาล
*ธุลีแดง หมายถึง โลกโลกีย์ หรือชีวิตความเป็นไปในทางโลก
แต่ตรงหน้านางกลับเป็นสตรีกินน้ำส้มไหโต** เซียวซีเหม่ยนับเป็นสตรีที่ดี ตลอดหนึ่งเดือนเต็มที่หนิงเฟิ่งเข้านอกออกในตำหนักอี้เหอ เห็นว่าเซียวซีเหม่ยล้วนจัดการงานเรือนได้หมดจด งานครัวไม่ขาดตกบกพร่อง เว้นเพียงว่านางไม่ชอบใจสัตว์เลี้ยงของสวามี ตั้งแต่ครั้งที่เว่ยจวิ้นหมิงมัดขานางเข้าไปขังในห้องบรรทม เซียวซีเหม่ยก็ตั้งตนยืนฝั่งตรงข้ามเสมอ สตรีแดนอสูรนี้ตาถั่วเสียจริง ขนฟูของนางเหมือนเต้าหู้เสียที่ไหน*** มีอะไรให้น่าหึงหวง
**ไหน้ำส้มสายชู เป็นสแลงแปลว่า "หึงหวง"
***กินเต้าหู้ หมายถึง ผิวของสตรีที่ขาวเนียนเหมือนเต้าหู้ ประโยคนี้กล่าวถึงบุรุษกินเต้าหู้คือการถูกเนื้อต้องตัว
"รบกวนท่านแล้ว" เว่ยจวิ้นหมิงเอ่ยเบา ด้วยอาลัยไม่อยากจากกัน ผู้รับคำกลับยิ้มรับยินดี การสนทนาที่แอบฟังแต่ไม่ได้ยินเมื่อครั้งก่อน เป็นเรื่องของหนิงเฟิ่งทั้งสิ้น
ด้วยเซียวซีเหม่ยอ้างเรื่องแพ้ขนแมว? ขอร้องให้ไท่จื่อพิจารณาส่งหนิงเฟิ่งในร่างสัตว์เลี้ยงออกนอกตำหนัก เพื่อรักษาอาการป่วย ปิดตาข้างเดียวยังดูออก นางจงใจขับไล่หนิงเฟิ่งให้พ้นทาง
ในแดนอสูรเสือขาวนับเป็นเผ่าพันธุ์ของราชัน แพ้ขนของนางก็นับว่าโป้ปด เพราะเว่ยจวิ้นหมิงก็นับเป็นเสือขาวตัวหนึ่งเช่นกัน แต่นางจะเรียกร้องอะไรได้ หนิงเฟิ่งเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง หากทำให้เกิดบาดหมางแคลงใจคู่ครอง ย้ายนางออกไปสักพักเป็นการดีกว่า
เว่ยไท่จื่อจึงมีรับสั่งให้หลินหยวนซุนรับหนิงเฟิ่งไปดูแลที่จวน
คนแซ่หลิน คือไท่ซือขององค์รัชทายาท เป็นอาจารย์ผู้มีวิชาแกร่งกล้า เชี่ยวชาญการรบ และคำสอนเชิงเต๋า เชิงพุทธ นับว่าเป็นผู้รู้รอบน่าเลื่อมใส แม้หนิงเฟิ่งจะไม่เคยเห็นเขาแสดงฤทธิ์เดชกับตา แต่ท่าทีสูงส่งราวเซียนผู้หลุดพ้นนั้นก็เชื่อได้ว่าเขาคือผู้วิเศษ
หลินหยวนซุนคือบุรุษผมขาวทั้งศีรษะและหนวดเครา แต่ท่าทางภายนอกกลับไม่คล้ายสูงวัย ดูคล่องแคล่ว ทั้งยามสอนวิชาและยามกลั่นแกล้งนาง
คนแซ่หลิน อยู่ต่อหน้าไท่จื่อก็ดีอยู่ ต่อหน้าราชาอสูรก็ดีอยู่ ต่อหน้าบ่าวไพร่ชาวบ้านก็ดีอยู่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วกลับไม่ดีเลยสักนิด หากนับบุคคลตลอดชีวิตที่เคยพบเจอ เรื่องหน้าหนาหนิงเฟิ่งนับให้ซือซูของนางเป็นหนึ่ง ท่านลุงหยางผิงเป็นรอง อันดับสามคงไม่พ้นหลินหยวนซุนไท่ซืออสูรตนนี้
"เราฝากเสี่ยวป่ายสักพัก หากเจรจากับซีเหม่ยแล้วคงไปรับกลับในไม่ช้า" แม้จะบอกว่าฝากแต่ก็ยังอุ้มตัวนางไว้กลางอก เว่ยจวิ้นหมิงให้นามใหม่ในร่างนี้
ป่ายซู
มิรู้อะไรดลใจเขาถึงได้หวงนางมาก นางกำนัลมิอาจแตะต้องขนปุกปุยนี้หากมิได้รับอนุญาต กฎนี้ร่วมถึงเซียวซีเหม่ยด้วยเช่นกัน มีเพียงหนิงเฟิ่งเท่านั้นที่รู้แก่ใจ ลับหลังองค์รัชทายาท อาจารย์ของเขาล้วนแตะต้องหยิกหยอกนางตามใจตนเองเสมอ
"ตัวข้าไม่ถือเป็นการรบกวน ธุระของพระองค์ก็เป็นงานของข้าผู้เป็นอาจารย์พ่ะย่ะค่ะ" หลินไท่ซือยังคงกล่าวด้วยท่าทีสุขุม แววตานิ่งสงบ ผิดกับหนิงเฟิ่งที่กำลังตื่นตระหนก เมื่อก่อนหากถูกกลั่นแกล้งก็วิ่งตามหาเว่ยจวิ้นหมิงให้พบ หลินหยวนซุนก็มิอาจแตะตัวนางได้ แต่ตอนนี้คนแซ่เว่ยยื่นเนื้อเข้าปากเสือเฒ่าเองกับมือ
โอ้ สวรรค์จะแกล้งนางไปถึงไหน
หลังฝากฝังกันแล้ว ทั้งคู่ยังสนทนากันต่อนับได้สองชั่วยาม หนิงเฟิ่งก็นอนหลับนับได้สองชั่วยามเช่นกัน หลิวไท่ซือ กล่าวลาอย่างสุภาพ ขอตัวกลับจวนพร้อมกับอุ้มนางไว้แนบอก
"จากนี้ไป เจ้าอยู่ในความดูแลของข้าแล้วป่ายซู หวังว่าจะไม่วิ่งหนีข้าอีกนะ" เสียงทุ้มไม่คล้ายคนชราเอ่ยขณะเดินทางกลับจวน แขนยาวเหมือนคีมเหล็กไม่ยอมปล่อยนางลงเสียที ความใกล้ชิดทำให้นางได้กลิ่นดอกมู่หลานจากกายเขาชัดเจน ทั้งสองนั่งอยู่ในรถม้าเมฆา ภายในบุผ้าไหมนวมสมตำแหน่งไท่ซือ
'ฝันไปเถอะ' นางได้แต่กล่าวในใจ แม้เผ่าอสูรจะมีร่างจริงเป็นสัตว์เวทย์แต่ก็ไม่แน่ว่าจะฟังภาษาสัตว์ได้
เมื่อครู่นอนเฝ้าศิษย์อาจารย์สนทนาอยู่นาน ท้องน้อย ๆ ของนางก็เริ่มร้อง ถ้ามีอะไรให้แทะไม่ให้ปากว่างก็คงดี
"กินสักคำมั้ย" เขายังคงเอ่ยลอย ดวงตาคู่นั้นไม่ได้หันมองป่ายซู มือเรียวหยิบผลไม้สีแดงผิวมันเงาเสียบไม้ยาวออกจากห่อกระดาษ แม้ไม่รู้จักชื่อ แต่ก็สามารถเรียกน้ำลายได้
"นี่เรียกว่าถังหูลู่ เป็นผลซานจาเชื่อมเคลือบน้ำตาล" เขายื่นผลไม้สีแดงส่งมาให้ถึงปาก หนิงเฟิ่งที่รออยู่แล้วรีบกัดไปคำโต น้ำตาลเคลือบกรอบ รสหวานเด่นละลายในปาก เมื่อเคี้ยวลงไปเป็นรสเปรี้ยวตามมาตัดกับน้ำตาลเชื่อมด้านนอกได้ลงตัว ถังหูลู่หนึ่งไม้ เห็นว่ามีซานจาเชื่อมเสียบอยู่ห้าลูก หนิงเฟิ่งเคี้ยวไปคิดไป ทั้งไม้นี้เป็นของนาง หรือหลินหยวนซุนแค่แบ่งให้นางหนึ่งผลเท่านั้น
"เด็กน้อยแสนตะกละ ทั้งหมดนี้เป็นของเจ้า กินให้เต็มพุงเถอะ" ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแป้น ลืมเรื่องที่สงสัยว่าเขาอ่านใจนางได้เสียสนิท
หลิวหยวนซุนมองพยัคฆ์ขาวลายเมฆตรงหน้า ขอแค่มีอาหารล่อ ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่คิดให้รอบคอบเป็นภัยต่อตัวโดยแท้ แม้จะสงสารอยู่บ้าง แต่เขาแกล้งนางแล้วสนุกดี นิ้วเรียวหยิบแพรขาวเช็ดมุมปากให้ ขนสีขาวคล้ายถูกย้อมสีแดงรอบปากมองดูน่าขัน เจ้าตัวยังคงเอร็ดอร่อยกับของกินตรงหน้า มิทันสังเกตว่าขนสีขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสดเท่าผลซานจาเชื่อมที่นางกินไป
ให้ตายเถอะ ขนสีแดงนี้คืออะไร นางพลาดที่ตรงไหนกัน
ระหว่างเดินทางหลังจากกินถังหูลู่ไปสามไม้นางก็พักสายตาต่อ พอมาถึงจวนไท่ซือ กลับพบว่าแขนขาขนปุยกลายเป็นสีแดงเพลิง
จริงสิ พอนึกย้อนไปก็มีเพียงถังหูลู่สามไม้เท่านั้นที่อาจจะผสมยาพิษ คิดแล้วก็จ้องคนที่เดินนำหน้า หลินหยวนซุนก้าวย่างอย่างสุขุมเดินนำเข้าไปภายในจวน บ่าวไพร่ต้อนรับด้วยชาดีหนึ่งกา แล้วหลบฉากจากไป หนิงเฟิ่งจ้องมองตามทุกกิริยา แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยคล้ายไม่เห็นสีแดงเต็มตัวนาง
หงส์น้อยเดินวนรอบโต๊ะน้ำชาเรียกร้องความสนใจ ก็มิอาจดึงสายตา นางจึงกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เป็นเหตุให้เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรง ทั้งกา ทั้งถ้วยชาล้มระเนระนาด เห็นได้ว่าน้ำชาร้อนนั้นไหลเป็นทางหลายสาย สายหนึ่งไหลไปทางหลินไท่ซือ แต่เขายังคงจิบชาในมือนิ่งเฉย
"ไม่พอใจเรือนข้ารึอย่างไรป่ายซู ตำแหน่งไท่ซือนี้ไม่ได้สูงศักดิ์พอจะเลี้ยงดูปูเสื้อให้เจ้าสุขสบายหรอกรึ" หนิงเฟิ่งยังคงทำเสียงฟึดฟัดไม่พอใจ แต่บุรุษหน้าหนายังทำสุขุม เรียกอารมณ์ร้อนของนางได้มากโข
อสูรเฒ่าตนนี้ไม่ทราบพลังบำเพ็ญ ดูภายนอกก็เดาว่าตบะแก่กล้า หากเป็นร่างหงส์อาจพอสู้ล้างอายได้ แต่อยู่ร่างนี้ไม่อาจโคจรลมปราณสู้กันซึ่งหน้า หนิงเฟิ่งเด็กเกเรแต่ไหนแต่ไร เห็นท่าทีเฉยเมย เหมือนโดนยั่วโมโหหนักเข้า จึงพานกระโดดกัดมือเรียวฝังเขี้ยวคมเรียกโลหิตจากหลินหยวนซุน
หลินหยวนซุนไม่คิดว่าหนิงเฟิ่งจะใจร้อนเพียงนี้ คงเพราะสิ่งสกปรกอัปมงคลที่นางเผลอดูดซับในแดนอสูร ทำให้ปราณทิพย์เกิดขุ่นมัว โทสะดำมืดเกิดในดวงจิตทำให้ระบายอารมณ์ด้วยกำลัง
แม้โลหิตสีมรกตจะไหลย้อมข้อมือ หลินหยวนซุนก็ยังนิ่งเฉย รสหวานและเย็นของเลือดที่อยู่ภายในปากทำให้เกิดความฉงน ด้วยไม่เคยลิ้มรสโลหิตผู้ใด เกิดหลงลืมชั่วขณะ เผลอดื่มโลหิตทิพย์จากกายหลินหยวนซุนลงท้อง เพียงไม่นานหนิงเฟิ่งก็หมดสติไปต่อหน้าเขา
"เจ้าเด็กตะกละ แม้แต่เลือดข้าก็ดื่มกินเหมือนขนม" ชั่วอึดใจร่างพยัคฆ์สีแดงก็กลับคืนร่างเป็นหญิงสาว หลินหยวนซุนอุ้มนางไว้แนบอก พาร่างหมดสติไปพักที่ห้องนอน เสียดายที่นางดื่มโลหิตทิพย์ของเขามากไป ไม่เช่นนั้นคงดีใจที่คืนร่างเดิม เขาไม่คิดว่านางจะโกรธมากถึงเพียงนั้น ถังหูลู่ที่เขาปรุงขึ้นนอกจากจะคืนร่างแล้วยังเปลี่ยนสีขนได้
หรือเขาจะแกล้งนางหนักไป...
อสูรเฒ่าคิดในใจ แต่ได้เห็นหนิงเฟิ่งยามโกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็คุ้มอยู่ รอยยิ้มกว้างประดับอยู่มิจาง หลินหยวนซุนรั้งสายตาจ้องร่างจริงของป่ายซูเพียงครู่ก็จากไป
แพรขาวสะบัดตามการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ เท้าก้าวย่างหนักแน่นมั่นคง แต่เสียงเดินเบาหวิวคล้ายเหยียบเมฆ สง่างามเกินกว่าอสูรตนใดในแดนมืดแห่งนี้จะเทียบได้
ภาพเหตุการณ์ที่ถูกกลั่นแกล้ง ทำให้หวนคิดถึงอดีต มิแน่ชัดว่าเป็นฝันหรือความจริงกันแน่ เมื่อคราวนั้น หลังจากรับน้ำตาลก้อนจากมหาเทพจิ่นกวางเข้าปาก หนิงเฟิ่งก็เร่งรุดกลับเรือนเยว่ชิง เห็นเทพธิดากระต่ายหยกตรวจชีพจรคนป่วยข้างตัว สีหน้าเซียนซู่จิ่นซีดเซียวไร้โลหิต ใบหน้างามของเทพธิดากระต่ายเกิดแววงุนงง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม
“ขอล่วงเกินแล้ว” เสียงใสเอ่ยเบาก่อนจะเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ถอดเสื้อคลุมตัวนอกของพี่ซู่จิ่นออกด้วยท่าทางเงอะงะ เป็นเทพธิดาฉางเอ๋อเห็นท่าไม่ดี ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เทพธิดากระต่ายยังคงไม่มองคนป่วย นิ้วเรียวกดผิวสัมผัสแอ่งชีพจรที่คอนวล ครู่เดียวก็ย้ายไปหลังต้นคอขาว
ทำไมเทพธิดากระต่ายถึงต้องหน้าแดงเช่นนั้นด้วย...
พี่ซู่จิ่นหน้าซีดเป็นไก่ต้ม แต่ทั้งหน้าและลำคอของเทพธิดากระต่ายกลับแดงขึ้นเรื่อย ๆ คงเพราะร้อนใจ นางเป็นแพทย์สวรรค์ต้องคำนึงถึงคนไข้เป็นที่หนึ่ง นัยน์ตาหงส์ฉายแววชื่นชม รูปโฉมก็เป็นเอก ช่างเหมาะสมกับซือซูของนางโดยแท้ แม้จะสงสัยอยู่บางเรื่อง แต่ก็ยืนนิ่งอยู่ห่าง ๆ ไม่เกะกะ
แสงจากโคมที่จุดเอาไว้สร้างความสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งห้อง เทพธิดากระต่ายตรวจร่างกายภายนอกอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ไม่นานก็ละมือ เร่งสวมเสื้อคลุมให้เซียนซู่จิ่นเช่นเดิม ทั้งสองค่อยหันกลับมาสนใจหนิงเฟิ่งที่ยืนร้อนใจอยู่หน้าประตู
“หนิงเฟิ่ง เจ้า!” เทพธิดาฉางเอ๋อมีสีหน้าตกใจอย่างยิ่งเมื่อหันมาสบตากับหนิงเฟิ่ง เช่นเดียวกับเทพธิดากระต่ายที่หันมาตะลึงตาค้าง
พึมพำเสียงเบา “พระโพธิสัตว์กวนอิมคุ้มครอง พระโพธิสัตว์กวนอิมคุ้มภัย”
หนิงเฟิ่งเมินเสียงพึมพำนั้น เมื่อเห็นว่าตรวจเสร็จแล้วจึงแทรกตัวเข้าไปใกล้พี่ซู่จิ่นที่นอนไร้สติ
“พี่ซู่จิ่นอาการเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มีทางรักษายังไงบ้าง”
“หนิงเฟิ่ง กายเจ้า!” เหมือนว่าเทพธิดาฉางเอ๋อยังตกใจไม่หาย พยายามเอ่ยเสียงดังอีกครั้ง เป็นเทพธิดากระต่ายหยกที่ขัดขึ้นเสียงดัง
“เอ่อ ขอเอ่ยตามตรง องค์หญิงซู่จิ่นอาการค่อนข้างหนัก ปราณเซียนของนางถูกดึงดูดออกนอกกายเป็นเหตุให้มีอาการอ่อนแรง แต่ดวงจิตไม่ได้กระทบกระเทือน อย่างช้าคือเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ อย่างเร็วคือมีผู้เสียสละถ่ายทอดพลังปราณให้นาง ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้ ไม่ช้าองค์หญิงจะมีร่างทิพย์ไม่ต่างจากมนุษย์เดินดิน ร่างกายอ่อนแอ ด้วยเทพเซียนหลุดพ้นจากวัฏสงสาร หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับกายทิพย์นี้ คงไม่พ้นสูญสลายเป็นธาตุทั้งห้าเช่นเดิม” คำกล่าวรวบรัดใจความครบถ้วน แต่สร้างแรงกดดันให้หนิงเฟิ่งไม่น้อย
“เอาปราณข้าได้ เอาปราณข้าไปให้นาง หนิงเฟิ่งยอมทุกอย่างเจ้าค่ะ พี่ซู่จิ่นต้องฟื้น นางต้องฟื้นสิ อึก... พี่ซู่จิ่น ข้าผิดเองที่เป็นต้นเหตุให้ท่านโดนลงโทษร่วมกันกับข้า ฮือ ๆ”
เด็กน้อยไม่อาจกลั้นน้ำตา ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ตระกองกอดร่างไร้สติของเซียนหญิง ภาพน่าเวทนาของหนิงเฟิ่ง ทำให้ฉางเอ๋อได้แต่เก็บความสงสัยที่มีต่อผิวสีเขียวนั้น ตบไหล่ปลอบใจหงส์น้อยเบา ๆ
“ระงับอารมณ์ก่อนเถอะหนิงเฟิ่ง พลังบำเพ็ญของเจ้าเล็กน้อยไม่กี่สิบปี เรื่องนี้ขอให้จิ่นกวางไท่จวินช่วยเป็นธุระ ติดต่อซือฝุของเจ้าให้รีบกลับมาช่วยดีกว่า”
“ซือซูหรือเจ้าคะ หนิงเฟิ่งจะไปขอร้องซือซูเดี๋ยวนี้” มีหนทางช่วย ดวงใจหงส์เหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง เด็กน้อยกำลังยันกายลุกก็ชะงักกับสิ่งที่สังเกตเห็นทางหางตา
เกิดอะไรขึ้น!
พอก้มลงสำรวจร่างกาย ก็พบว่ามือป้อม ๆ ของนางตอนนี้ย้อมด้วยสีเขียวเหมือนใบสน เมื่อหยดน้ำตาไหลจากแก้มกลมตกกระทบมือข้างนั้น แผ่กระจายคล้ายหยดฝนก่อนจะแยกเป็นหลายสาย ความเย็นจากน้ำตาที่รับรู้ บอกว่ามือสีน่าเกลียดนี้เป็นของนาง
สีเขียวนี้มันอะไรกัน!
แสงโคมภายในห้องเริ่มจะอ่อนแรง พลันเกิดแสงสุริยะจากภายนอกสาดเข้ามาทดแทน พร้อมกับประตูที่เปิดกว้าง เงาร่างสูงของคนผู้นั้นอยู่ในชุดคลุมแพรขาวปลิวสะบัดตามลม มือข้างหนึ่งไพล่หลัง ก้าวข้ามธรณีประตูเขามาในเรือนเยว่ชิง
ซือซู...
ชั่วขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ความรู้สึกมีความหวังของหนิงเฟิ่งพลันพลุ่งพล่านราวสายน้ำหลาก แม้จะตกใจสีผิวที่เขียวน่าเกลียด แต่การช่วยเหลือพี่ซู่จิ่นต้องมาก่อน ผิดกับมหาเทพจิ่นกวางที่มองเด็กน้อยชุดแดงผิวกายสีเขียวน้ำตาเปื้อนแก้มแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น
เสียงหัวเราะร่าเริงนั้นทำลายความหวังของหนิงเฟิ่งให้สลายกลายเป็นควันไปหมด
เจ้าคนผู้นี้...ต้นเหตุของสีเขียวในผิวนางแน่!
นางได้ยินเขาพึมพำเสียงเบา พลางเดินตรงเข้ามาหา “เด็กโง่”
ยังจะมาว่านางอีก!
ไท่จวินส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้ขณะเดินผ่านหนิงเฟิ่ง เขาตรงไปหาเซียนซู่จิ่นที่ไม่ได้สติ มือที่ไพล่หลังอยู่เห็นว่าถือพัดหยกไว้หนึ่งเล่ม เมื่อพัดหยกกางออกก็ปรากฏละอองหมอกขาวลอยพุ่งรอบห้อง ก่อเป็นเกาะหุ้มร่างของเซียนซู่จิ่น
ในหัวของหนิงเฟิ่งบังเกิดความคิดหลายสายสับสนขัดแย้ง มีเรื่องเข้ามามากมายมิอาจรับมือ ได้แต่รั้งรอไตร่ตรองเหตุการณ์ตรงหน้า ลืมสังเกตละอองขาวสายหนึ่งที่หายเข้าไปในร่างของตนเช่นกัน
เวลาชั่ว 1 ก้านธูป หมอกควันขาวก็สลายไป สตรีสามนางที่ยืนอยู่ล้วนแต่จดจองที่ร่างเซียนหญิง ไม่นานพี่ซู่จิ่นก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ แม้ลมหายใจแผ่วเบา ก็นับว่าก้าวขึ้นจากปรโลกมาแล้ว หญิงสาวทั้งสามผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง หนิงเฟิ่งก้าวยาวไปนั่งข้างเตียง มองหน้าเซียนซู่จิ่นให้ชัดเจน แน่ใจ
แผ่วเบา...แต่ก็ยังมีชีวิต ดีเหลือเกิน
“ลุกขึ้นมา” เสียงทุ้มเอ่ยขัดความยินดีของนาง หนิงเฟิ่งได้แต่กัดฟันแน่น ปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกลวก ๆ พลางโอบจับข้อมือเรียวของพี่ซู่จิ่นไว้แน่น ไม่ทำตามคำสั่ง
“ไม่!” ช่วยพี่ซู่จิ่นได้ก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่แกล้งนางก็อีกเรื่อง
ซือซูที่พึ่งพบเจอไม่น่าไว้ใจ
“อย่ารั้นอีกเลย เชื่อฟังที่ไท่จวินบัญชาเสียหนิงเฟิ่ง” องค์มหาเทพมองผ่านกิริยาไม่เคารพ เทพธิดาฉางเอ๋อเห็นว่าไม่เหมาะสมจึงเอ่ยเตือน
หนิงเฟิ่งสบตาฉางเอ๋ออย่างไม่เข้าใจ เห็นอยู่ว่าเขากลั่นแกล้งนาง เทพธิดาพระจันทร์ยังเอ่ยตำหนินางได้ ส่วนเทพธิดากระต่ายคนรักของซือซูก็ยืนนิ่งที่มุมห้องไม่ออกความเห็น
“คารวะมหาเทพ บ่าวขออภัยไม่อาจลุกขึ้นทำความเคารพได้” เสียงหวานเปล่งออกมาแผ่วเบา ดึงสติของหนิงเฟิ่งกลับมาที่คนป่วย
เซียนซู่จิ่นลืมตาขึ้นมาพบคนแปลกหน้า แต่ได้ยินฉางเอ๋อเรียกเขาว่า
ไท่จวิน
มหาเทพบรรพกาลอีกองค์ที่เหลืออยู่ ต่อให้ใกล้ตายสิ้นลมหายใจเดี๋ยวนี้ นางก็มิอาจละเลยทำความเคารพได้
“ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ อย่าฝืนกายลุกขึ้นมานะ ไม่งั้นข้าจับท่านตรึงกับเตียงแน่” เด็กน้อยได้แต่เก็บความขุ่นเป็นอารมณ์ เอ่ยน้ำเสียงกระทบกระทั่ง
“หน้าเจ้า...” เซียนซู่จิ่นเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของหนิงเฟิ่ง เอ่ยเสียงแผ่ว
“ลุกออกมาเสียเถอะเด็กน้อย เจ้าทำให้องค์หญิงอาการทรุดลง” แต่แล้วมหาเทพจิ่นกวางก็ขัดขึ้นอีก
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีวันทำร้ายพี่ซู่จิ่น ข้าไม่ยอมให้ท่านหลอกเป็นครั้งที่สอง!”
“หลอกอะไร?” มหาเทพยังคงเอ่ยเสียงเรียบ ในน้ำเสียงมีแววขบขันอยู่
หนิงเฟิ่งเห็นว่าพัดหยกที่กางอยู่ตรงหน้ามิอาจปิดบังรอยยิ้มของเขาได้เลย เขาเป็นถึงเทพบรรพกาล น้องชายของหนิงหลงไท่จวินผู้เที่ยงธรรม
เหตุใดถึงหน้าหนาเช่นนี้
เทพธิดากระต่ายเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมดได้แต่คิดในใจ
‘ข้าจะกินเจเพิ่มอีกร้อยปี รอดพ้นภัยนี้มาได้เพราะพระโพธิสัตว์คุ้มครองโดยแท้’ สงสารก็แต่เด็กน้อยที่รับเคราะห์แทน
ยามนั้นเขาพึ่งกลับจากโลกมนุษย์ใบหนึ่ง รีบกลับโพรงกระต่ายพักผ่อนให้คลายล้า แต่ดวงพาซวยพบกับมหาเทพจิ่นกวางเข้า ไท่จวินต้องการสมุนไพรหลายชนิด เทพกระต่ายก็จัดหาให้ตามประสงค์ ด้วยไม่พบกันนาน แต่เดิมมหาเทพมิใช่คนที่ควรไว้ใจ มหาเทพเอ่ยจะตอบแทนด้วยน้ำตาลก้อนที่ได้จากแดนอสูร เขาล้วนไม่กล้ารับ ยื้อแย่งกันอยู่นานไม่อาจแสดงกิริยาหยาบคาย หากเด็กน้อยไม่โผล่มาคงเป็นเขาที่ตัวเขียวแทน
“แดนเหนือกาลห่างไกลจากโลกีธุลีแดง ส่วนตัวท่านก็เป็นถึงเทพบรรพกาล เสี่ยวเฟิ่งมิอาจกล่าวหาว่ามหาเทพรังแก แต่เด็กน้อยเช่นเสี่ยวเฟิ่งเข้าใจว่าท่านวางยาข้า หรือเสี่ยวเฟิ่งเข้าใจผิดประการใด ขอมหาเทพโปรดชี้แนะด้วย” เด็กน้อยคงโกรธพอดู ถึงกับทิ้งกิริยาเหมือนเด็กลง เห็นชัดว่าท่าทางไร้เดียงสานั้นล้วนเป็นการปั้นแต่ง หนิงเฟิ่งเงยขึ้นมองใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังพัดหยกด้วยสายตาเยือกเย็น
“เด็กน้อยเอ๋ย จงอย่ากลัวที่ผู้อื่นจะไม่เข้าใจตน จงกลัวที่ตนจะไม่เข้าใจผู้อื่น” เขากล่าววาจาสั่งสอน พลางเหลือบมองนาง เห็นเด็กน้อยมิได้ตอบโต้ จึงกล่าวต่อว่า
“รู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าจะเดินไปที่ใด ตัวเจ้าก็ดูดดึงพลังชีวิตของทุกสิ่ง แดนเหนือกาลไม่มีเริ่มต้น คงตั้งอยู่มานานเกินไปเสียแล้ว นานจนเจ้าไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่องค์หญิงซู่จิ่นมีตบะเพียงหมื่นปี ไม่อาจทนให้เจ้าดึงพลังปราณของนางได้นาน ก้อนน้ำตาลเพียงช่วยคุมพลังของเจ้า ไม่ให้ดูดซับปราณของผู้อื่นไปมากกว่านี้” วาจาเฉียบคมขององค์มหาเทพจิ่นกวางดั่งมีดคมกรีดลงในใจหงส์ มีเพียงเทพกระต่ายผู้เดียวที่คิดต่าง
องค์มหาเทพหน้าหนากว่าที่เขาคิด...
เทพกระต่ายเห็นว่าน้ำตาลปั้นก้อนนั้นไม่มีสรรพคุณดีเช่นที่กล่าวแน่ ขณะที่มหาเทพแบ่งปราณรักษาเซียนซู่จิ่น เขาเห็นกับตาว่ามีปราณสายหนึ่งผ่านไปยังร่างของเด็กน้อยด้วย
ไม่รู้ว่าเด็กที่ช่วยเขาไว้จะทันเล่ห์เหลี่ยมของมหาเทพหรือไม่ เพราะตัวเขาเองถึงแม้จะเกิดจากก้อนหยกที่มหาเทพสร้างขึ้น อยู่รับใช้ใกล้ชิดมาเกือบหมื่นปียังตามไม่ทัน...
ความเงียบเข้าปกคลุมเรือนเยว่ชิง หนิงเฟิ่งมองตรงไปยังร่างอ่อนแอของเซียนซู่จิ่นที่นอนนิ่งข้างกายนาง ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ท่านพูดไม่ผิด เป็นข้าที่ผิดเอง” ดวงตากลมโตนั้นหลุบต่ำ มือน้อย ๆ กำแน่นจนซีดขาว ไหล่บางสั่นไหวตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้
มหาเทพจิ่นกวางมองหงส์น้อยยอมจำนน ชายแขนเสื้อสีขาวสะบัดวูบ
หนิงเฟิ่งได้ผิวขาวนวลคืน
เขาหมดสนุกแล้ว...
“ข้าไม่มีวันโกรธเจ้า หนิงเฟิ่ง” ซู่จิ่นเอ่ยปลอบใจ แม้ร่างกายจะบอบช้ำแต่จิตใจนางแสนดีนัก
หนิงเฟิ่งยืนขึ้นแล้วเอ่ยต่อ
“เสี่ยวเฟิ่งขอฝากเทพธิดากระต่ายดูแลพี่ซู่จิ่นที่เรือนเย่วชิงสักพัก คงเป็นการดีกับนางมากกว่า หากซือฝุกลับมา เสี่ยวเฟิ่งจะมารับพี่ซู่จิ่นกลับเจ้าค่ะ”
เทพธิดากระต่ายรึ? ทั้งเจ้าตัวที่ถูกเรียกว่าเทพธิดา และเทพธิดาฉางเอ๋อมีแววฉงนในดวงตา
เด็กน้อยเข้าใจว่าเขาเป็นหญิงรึนี้...
เทพกระต่ายมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจเอ่ยเสียงใดขึ้นมาขัดบรรยากาศกดดันได้
หนิงเฟิ่งก้มลงมองร่างซูบเซียวอีกครั้ง ในใจบังเกิดความรู้สึกร้อยพัน แต่ที่ชัดเจนที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียว แล้วรั้งมือจากไป
นางเสียใจ...
ชายผ้าแดงพลิ้วสะบัดยามต้องลม หนิงเฟิ่งจากไปแล้ว
มหาเทพจิ่นกวางหุบพัดลงข้างกาย ความรู้สึกตอนนี้มิอาจแบ่งแยกว่าเกิดจากความยินดีที่หลอกเด็กน้อยสำเร็จหรือรู้สึกผิด ดวงตามองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า เพียงครู่เดียวก็เปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา เมื่อคิดถึงท่าทางเสียใจของเด็กน้อยคนนั้น
หนิงเฟิ่ง เจ้าทำให้ข้าสนุกกับการแกล้งเจ้า แต่ก็รู้สึกผิดได้ในคราวเดียวกัน
เวลาเวียนผ่านวันผ่านคืนไปอย่างมืดบอด
มหาเทพหนิงหลงและเทพหยางผิงไปนานกว่าทุกครั้งจริง ๆ นับวันนี้ก็ร่วมสัปดาห์แล้ว หนิงเฟิ่งสร้างกรงน้ำแข็งที่แผ่ไอหนาวอยู่ภายใน ขังตนเองไว้ไม่ให้เผลอไปทำร้ายผู้ใดอีก กรงนี้นางเป็นคนสร้างขึ้น พลังของนางไม่อาจดูดซับน้ำแข็งให้พังทลายลงได้
ร่างของเด็กน้อยชุดแดงนอนขดตัวคุดคู้ที่ด้านในสุดของกรง ท่าทางหนาวเหน็บ ริมฝีปากม่วงคล้ำ เส้นผมกระจายยุ่งเหยิง ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทดูคล้ายอยู่ในห้วงนิทรา เด็กน้อยปิดกั้นพลังปราณ เปิดประสาททั้งห้า รับการทรมานจากตัวเอง ทว่าเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหลายคู่กระทบพื้นด้านนอก เปลือกตาบางก็กะพริบเปิดทันควัน
“จากไปไม่นาน มีถ้ำน้ำแข็งในตำหนักหั่วชิงได้อย่างไร” เสียงนี้ หนิงเฟิ่งรับรู้ว่าเป็นท่านลุงของนาง
“หนิงเฟิ่งออกมาได้แล้ว” หนิงเฟิ่งยังคงนิ่งเงียบ ปล่อยให้เทพสุริยะละลายกรงน้ำแข็ง เมื่อผ่ามือสัมผัสกับเสาน้ำแข็งก็เกิดเสียงดังกังวานคล้ายแก้วแตก
น้ำแข็งค่อย ๆ ละลายปริแตกร่วงลงกับพื้นทีละเสี้ยว ต่อมาน้ำแข็งทั้งหมดก็แหลกสลาย หนิงเฟิ่งยังคงนอนนิ่ง แม้ว่าร่างกายหงส์ของนางจะดูดซับพลังมาสี่สาย ไฟ น้ำแข็ง ทอง น้ำ แต่เมื่อปิดผลึกลมปราณในตัว ก็เหมือนมนุษย์เดินดิน รับรู้ความรู้สึกเด่นชัด ร่างกายที่ถูกไอเย็นเฉียบทำร้ายตลอดเวลาที่ผ่านมายังคงแข็งทื่อ
ท่าทางอ่อนแรงของเด็กน้อยสะเทือนใจผู้พบเห็น โดยเฉพาะผู้ที่เลี้ยงนางมาเองกับมือเช่นมหาเทพหนิงหลง
ศิษย์น้อยของเขาเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก อายุเพียงร้อยกว่าปี แต่มีความคิดอ่านรับผิดชอบเสียยิ่งกว่าเทพเซียนชั้นสูง มหาเทพหนิงหลงเอ่ยภายในหนักแน่น
‘แม้ต่อไปนางอาจเป็นตัวอันตรายต่อสามภพ เป็นเขาเองที่จะดึงนางออกจากเส้นทางดำมืด’
มหาเทพหนิงหลงค่อย ๆ รวบรวมลมปราณ เดินพลังในร่างเพิ่มไออุ่นให้เด็กน้อย ส่วนเทพสุริยะเดินเข้ามาใกล้หมายจะช่วยพยุงลุกขึ้น กลับได้รับสายตาเย็นชาที่เด็กน้อยส่งให้ ร่างกายหงส์ไฟตนนี้เย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็งพันปี เทพหยางผิงมองผ่านสายตาของนางยังคงจะช่วยประคองตัว
หนิงเฟิ่งเงยหน้ามองพวกเขา เป็นบิดานาง ท่านลุง และซือซู...
นางแกะมือเทพสุริยะออกด้วยกำลังน้อยนิด ร่างป้อมฉายแววทระนง ดึงดันลุกขึ้นยืนเองจนได้ น้ำเสียงเรียบเอ่ยแผ่วเบา
“พี่ซู่จิ่นคงปลอดภัยแล้ว”
"อืม" เทพสุริยะพยักหน้ารับคำให้หนิงเฟิ่งสบายใจ
“หนิงเฟิ่ง ซือฝุสอนเจ้าให้กล้าทำกล้ารับ เจ้าขโมยปราณของเซียนซู่จิ่นมา ต้องชดใช้ด้วยตัวเจ้าเอง” มหาเทพสั่งสอน
หยางผิงและมหาเทพหนิงหลงลงไปจัดการเรื่องยุ่งยากบนสวรรค์ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับองค์หญิงซู่จิ่น ทั้งเขาและมหาเทพรับรู้ถึงพลังนี้ของหนิงเฟิ่ง แต่ด้วยตบะหลายสิบหมื่นปีของพวกเขาไม่เห็นว่าการดูดดึงปราณของนางจะเป็นอันตราย จนลืมองค์หญิงซู่จิ่นไปเสียสนิท
หากไม่ได้รับสารจากมหาเทพจิ่นกวาง คงต้องรั้งอยู่เมืองฟ้าอีกเกือบเดือน กว่าจะละมือมาได้ก็ปล่อยเวลามาเกือบสัปดาห์ พวกเขาไปตรวจอาการของซู่จิ่นแล้ว นางปลอดภัยดี ยาบำรุงของเทพกระต่ายเป็นเลิศ ร่างกายฟื้นฟูแข็งแรง ทั้งยังปากมากเหมือนเดิมอยู่
มีเพียงหนิงเฟิ่งที่โทษตัวเองอย่างหนัก ถึงกับสร้างกรงน้ำแข็งขึ้นมาทรมานตน หนิงเฟิ่งมีธาตุไฟเป็นธาตุเอก ความเย็นเช่นนี้สร้างความเจ็บปวดให้ดวงจิตนาง
“ศิษย์สำนึกแล้ว ขอซือฝุลงโทษอย่างหนักด้วยเจ้าค่ะ” แววตามุ่งมั่นของนาง ทำให้เขาใจอ่อนไม่น้อย ด้านมหาเทพหนิงหลงยังมีท่าทีเรียบเฉย ส่วนมหาเทพจิ่นกวางคล้ายไม่ได้ฟังคำสนทนา เสกชุดเก้าอี้หยกนั่งจิบชาอย่างใจเย็น
“หากสอนให้เจ้าถ่ายทอดลมปราณให้ผู้อื่น คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี ข้าจะสอนเคล็ดวิชาเคลื่อนดาวให้แทน” มหาเทพหนิงหลงตัดสินอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด นางก็คุกเข่าลงคำนับซือฝุ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
“พี่สี่จัดการปัญหาได้ดียิ่ง หมดหน้าที่นกพิราบส่งสารเช่นข้าแล้วกระมั่ง” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเอ่ยขึ้นหลังจากวางแป้นน้ำชาลงบนโต๊ะ
“แดนอสูรรอให้เจ้าลงไปจัดการอยู่” มหาเทพหนิงหลงยังคงเอ่ยเสียงเรียบไม่ยินดียินร้าย
“ไว้เจอกันเด็กน้อย ข้าขอตัว” เรือนร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวนั้นหันหลังจากไป แม้ประโยคเมื่อครู่จะพูดกับนาง แต่หนิงเฟิ่งก็ไม่หันมอง
ความคิดเห็น