ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ขับขานรัก ลำนำไร้ใจ 天長地久 (ebook)

    ลำดับตอนที่ #4 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 3 บิดาของนางผู้เดียว

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 63


    CR.SQW


               

    ตอนที่ 3 บิดาของนางผู้เดียว

     

    หงส์น้อยตรอมใจหลังถูกทำโทษ แต่ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังจนกว่าจะเหนื่อยแล้วหยุดไปเอง เทพสุริยะต้องทนฟังนางคร่ำครวญตั้งแต่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืด หนิงเฟิ่งน้อยไม่อาจออกนอกเขตแดน หยางผิงจึงมาเยี่ยมเยือนตำหนักหั่วชิงบ่อยครั้งขึ้น


    ครั้งนั้น หลังจากหนิงเฟิ่งคำนับอาจารย์ เรียกขานซือฝุหนึ่งประโยค ยังไม่ทันเงยหน้า เห็นเพียงภูษาสีมืดสะบัดไหวหายลับไปไกล ไม่รีรอเทพเซียนน้อมส่ง 


    เหล่าเซียนมุงส่งตาหลายคู่มาที่เทพสุริยะแทน เขาหันซ้ายขวามิรู้คำกล่าว คารวะเทียนจวินอย่างนอบน้อม โค้งให้ผู้อื่นตามสมควร แล้วคว้าตัวเด็กน้อยแนบเอว พุ่งไปในทิศที่ภูษาสีดำพึ่งลับไป


    เป็นเรื่องลือขานทั่วแดนสวรรค์ เล่ากันว่าเทพธิดาน้อยผมแดง ติดตามเทพสุริยะมาเที่ยวแดนสวรรค์ เกิดพลัดหลงเข้าไปในป่าท้อของเจ้าแม่หวางหมู่ องค์หญิงซู่จิ่นผู้ดูแลนึกเอ็นดูมอบท้อสวรรค์ให้เด็กน้อยกัดกิน เป็นเทพเอ้อหลางเข้าใจผิด มิได้ถามความ เข้ารบพุ่งกับเด็กหมายเอาผิด เทพธิดาไม่สู้จึงถูกเทพเอ้อหลางรังแกทำลายอาวุธประจำกาย เหตุทั้งสิ้นยุติลงเมื่อมหาเทพบรรพกาลมาเยือน ทุกผู้จึงทราบว่านางเป็นศิษย์หนึ่งเดียวในมหาเทพหนิงหลง เรียกขานกันเป็นบิดาบุตรี 


    มหาเทพแผ่ไอเย็นรอบตัว ท่าทางโกรธน่าดู” เซียนสาวรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวในวงสนทนา


    ข้าเห็นกับตาว่ามหาเทพโกรธมาก สร้างปราการน้ำขึ้นขังเทพเอ้อหลางไว้ ไม่ให้ทำร้ายศิษย์” เซียนห้องเครื่องอีกผู้กล่าวบ้าง


    ใช่ ๆ อีกทั้งเทพสุริยะยังจุดไฟล้อมไว้อีกชั้น ต่อว่าเทพเอ้อหลางอย่างเผ็ดร้อน” เซียนหนุ่มเลี้ยงม้าได้ทีกล่าวส่วนที่ตนได้ยินมาบ้าง


    สายตามหาเทพน่ากลัวนัก แม้ไม่กล่าวโทษจอมทัพ แต่ก็รับรู้ว่าไม่พอใจ เร่งรุดจากไปด้วยท่าทีเย็นชา เทพธิดาน้อยน่าสงสาร น้ำตาอาบสองแก้ม ไม่ใช่ผู้กระทำผิดกลับต้องรับโทษ นางคงเสียใจจนสิ้นสติ ท่านเทพหยางผิงยิ่งโกรธหนัก ทิ้งเพลิงปราณร้อนไว้ทั่ว อุ้มเด็กน้อยแนบอกจากไปไม่หันกลับ” เซียนหญิงผู้แรกกล่าวเสริมด้วยอารมณ์ร่วม


    เทพเอ้อหลางทำเกินไปจริง เทียนจวินโกรธมากที่เหล่าเทพเซียนสร้างความขุ่นข้องให้มหาเทพ รวมถึงสุริยเทพผู้ถือเป็นหนึ่งในเทพปฐมเคารพอีก มีรับสั่งลงโทษอย่างหนัก เนรเทศไปเฝ้าประตูทิศเบื้องล่างทางเชื่อมแดนอสูร


    เห็นว่าตอนที่เทียนจวินช่วยปลดพันธนาการ เทพเอ้อหลางบาดเจ็บไม่น้อย ยืนตรงไม่มั่นคงนัก ท่าทางโกรธเกรี้ยว มีเพลิงอาฆาตลุกโชนในดวงตา เห่าฟ้ายิ่งแล้วใหญ่ ขนไหม้เกรียมพุพองไปทั้งตัว” 


    เรื่องยิ่งเล่ายิ่งไกลเค้าเดิม หนิงเฟิ่งเป็นผู้ถูกกระทำ เป็นศิษย์หนึ่งเดียวของมหาเทพสูงส่ง เทพเอ้อหลางผู้เถรตรงกลับเป็นตัวร้ายระรานผู้อื่น เทพหยางผิงได้ฟังแล้วก็ถอนใจ


    ในเรื่องเล่าเขาก็ฟังดูร้ายกาจ อดีตเขาสิบพี่น้องล้วนแข่งกันชิงดี ตัวเขาถือยศเทพแม่ทัพสวรรค์ไร้พ่าย ออกปราบปีศาจร้ายแข่งกับพี่ชาย สร้างความวุ่นวายให้สวรรค์ไม่น้อย แต่หลังจากพี่ท่านทั้งเก้าต้องศรลาลับ เทพแม่ทัพสวรรค์แล้วเช่นไร เมื่อไม่มีผู้พี่ให้แข่งขัน ตัวเขาจึงถอดเกราะแขวนดาบกลับพำนักตำหนักสุริยะเดียวดาย


    ข่าวลืออาจมีความจริงอยู่บ้าง เพราะหลังจากนั้นไม่นานเทพเอ้อหลางก็ได้บัญชาสวรรค์รับหน้าที่เฝ้าประตูประจิม จากสีหน้าเทพหนุ่มในครานั้นคงเคืองหนิงเฟิ่งไม่น้อย

     

    ไม่เพียงแต่จอมทัพที่ต้องโทษโยกย้ายตำแหน่ง เซียนหญิงซู่จิ่นก็เป็นอีกผู้ที่อยู่ในอวนเดียวกัน องค์หญิงเผ่าสวรรค์รับบัญชามหาเทพติดตามเป็นผู้คุมหงส์น้อย ตอนแรกเขาคิดว่า มหาเทพเพียงลงโทษตามเหตุ เพราะซู่จิ่นก็ผิดที่ยื่นท้อให้หนิงเฟิ่งทั้งที่ไม่ใช่คำสั่งจากซีหวางหมู่ ต่อมาก็เข้าใจ มหาเทพต้องการยืมมือให้ช่วยสอนศิษย์ แม้จะยังเป็นเด็กน้อย แต่หนิงเฟิ่งก็นับเป็นสตรีผู้หนึ่ง เติบโตเพียงนี้ยังมิรู้แยกชายหญิง เซียนซู่จิ่นต้องรับภาระหนักสั่งสอน


    ท่านลุงนับเป็นบุรุษ ท่านพ่อไม่สิ ซือฝุก็นับเป็นบุรุษ เทพเอ้อหลางและเทียนจวินก็เป็นบุรุษ” หนิงเฟิ่งนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ตรงหน้าเป็นเซียนซู่จิ่น เขาเดินผ่านสวนหินนี้เพียงจะตรงไปยังห้องรับรอง 


    เป็นอย่างที่เจ้าเอ่ย” ซู่จิ่นพยักหน้าตอบรับ ตำหนักหั่วชิงเป็นดินแดนที่มีธาตุไฟเข้มข้น ไม่มีต้นไม้ต้นไหนขวัญกล้าเติบโต สวนข้างตำหนักจึงมีเพียงกองหินประดับสุดแห้งแล้ง


    หนิงเฟิ่งไม่เข้าใจว่าจะแยกบุรุษสตรีอย่างไร” 


    บุรุษนั้นสูงกว่าสตรีเป็นจริง อกผายไหล่ผึ่งกว่าสตรีเป็นจริง แขนขายาวกว่าสตรีเป็นจริง หน้าตาคมคาย ไม่อ่อนหวานก็เป็นจริง บางท่านมีหนวดเครา บางท่านหน้าตาเกลี้ยงเกลาดูสุภาพ พูดจาโผงผาง เสียงทุ้มใหญ่กว่าสตรีอยู่มาก” ซู่จิ่นอธิบายได้แค่ภายนอก องค์หญิงเผ่าสวรรค์ไหนเลยจะรู้เรื่องทางโลกมากนัก นางพูดไปดูเขินอาย แก้มขาวมีซับสีเลือด


    แล้วสตรีล่ะเจ้าคะ? ” เห็นเด็กน้อยยังไม่แน่ใจ จึงถามเพิ่มเติม


    สตรีก็ข้าก็เจ้า ตัวก็เล็ก ไหล่ก็แคบ หน้าก็มน ดูแล้วไม่กระด้าง เสียงเล็กแหลม นิสัยขึ้นลง บ้างพูดมาก บ้างสงบเรียบร้อย มีอกมีเอวที่ต่างชัด” พอเซียนสาวกล่าวจบ เขาเห็นหนิงเฟิ่งก้มมองตัวเองครู่หนึ่งแล้วยื่นมือแตะอกซู่จิ่นอีกครู่หนึ่ง นางร้องตกใจเสียงดัง ซับสีเลือดลามไปทั่วหน้า 


    ทำไมหนิงเฟิ่งไม่เห็นมีอกยื่นออกมาแบบพี่สาวเลย


    เจ้าเด็กน้อยผมแดง ริอาจเป็นโจรเด็ดบุปผา 


    สุดท้ายซู่จิ่นก็ขอยืมมือมหาเทพสร้างตุ๊กตาดินปั้นจำลองเปลี่ยนร่างเป็นบุคคลหลากหลายให้เด็กน้อยหัดแยกแยะจากประสบการณ์


     

    หลายวันต่อมา...


    ความอาวุโสนั้นดูตามความสูงใหญ่ แก่เฒ่า นับได้ตามอายุหนึ่ง นับตามตบะบำเพ็ญอีกหนึ่ง” เป็นอีกวันที่เขาเดินผ่านสวนหิน และหยุดฟังเสียงหวานเอ่ย


    ซือฝุบอกว่า หนิงเฟิ่งอายุร้อยปี นับว่าอาวุโสหรือไม่เจ้าคะ?”


    เสี่ยวเฟิ่งเอ๋ย ข้าอายุ 1หมื่นปี นับว่าอาวุโสกว่าเจ้ามาก แต่ห่างเพียงนี้นับเป็นพี่น้องถูกแล้ว แต่ถ้าตามศักดิ์เจ้าเป็นบุตรีของมหาเทพ นับว่าศักดิ์สูงกว่าเทพสุริยะ เรียกเขาท่านลุง พี่สาวคิดว่าไม่น่าถูกต้อง” บทเรียนนี้เซียนซู่จิ่นพยายามสอนเรื่องลำดับอาวุโส เรื่องนี้เข้าใจยากพอควรในเผ่าสวรรค์ เพราะเดาไม่ได้จากร่างเตี้ยสูง ผมขาวผมดำ 


    ท่านลุงเคยบอกว่า หนิงเฟิ่งนับเป็นย่าทวดของเขาได้” เด็กน้อยจำเก่งเสียจริง เอาเรื่องเขามานินทาจนได้


    เทพสุริยะ น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าแสนปีแน่


    ท่านลุงแก่มากแล้วจริง ๆ ด้วย ถ้านับตามอายุ ทั้งพี่สาวและหนิงเฟิ่งคงต้องเรียกท่านลุงเป็นปู่ทวดแทน แล้วทั้งสองก็หัวเราะเสียงใส 


    หนิงเฟิ่งนึกสนุก เสกตุ๊กตาดินปั้นเป็นรูปของเทพสุริยะแต่มีผมขาวผิวเหี่ยวย่น หัวเราะชอบใจกันทั้งพี่สาวน้องสาว


    เสี่ยวเฟิ่งเสียนิสัยเพราะองค์หญิงซู่จิ่นแท้ ๆ มองกลับไปอีกครั้งยังเห็นเด็กน้อยล้อเลียนทำหลังค่อมข้างหุ่นดิน หยางผิงตัวจริงได้แต่ทำปั้นปึ่งเดินจากไป


    ครั้งต่อมาก็เห็นตัวเขากลายร่างเป็นพยัคฆ์ อีกทั้งมีปีกเป็นนกแก้ว ซู่จิ่นสอนสั่งเรื่องใดก็เอาตัวเขาเป็นต้นแบบทุกที อยากถามนางดัง ๆ เสียจริง ว่าเห็นหัวเทพสุริยะอยู่หรือไม่


    หยางผิงเกิดอารมณ์หงุดหงิดเมื่อเห็นหนึ่งเซียนหนึ่งหงส์หัวเราะหน้าบาน ตรงหน้ามีร่างแปลงของเขามีตัวเป็นเต่าพ่นน้ำรดดินแห้งแล้งในสวน


     

    ผ่านไปหลายวัน เมื่ออารมณ์กรุ่น ๆ ของหยางผิงลดลงแล้ว เขาจึงเดินทางมาเยี่ยมหนิงเฟิ่งเช่นเดิม วันนี้ทั้งสองพี่น้องไม่ได้วิ่งเล่นในสวน แต่เข้ามาหลบร้อนภายในเรือนรับรอง 


    ท่านลุงหยางผิง ไม่มาหาหนิงเฟิ่งหลายวัน งานยุ่งรึเจ้าคะ?” เด็กน้อยเหมือนทำใจได้มากขึ้น ตอนนี้คล้ายกลับมาร่าเริงตามเดิม 


    ก็ยุ่งพอควร มีเซียนเด็กไม่เคารพผู้ใหญ่พาให้หงุดหงิดเล็กน้อย แต่คิดถึงเสียงเจ้ามากกว่าเลยมาหา” ได้ยินอย่างนั้นหนิงเฟิ่งก็ยิ้มหน้าบาน ยื่นสองแขนกางออกตรงหน้าให้หยางผิงอุ้ม เขาอยากพูดให้องค์หญิงเผ่าสวรรค์รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ประโยคท้ายที่เอ่ยก็ยังมองหน้านาง


    ซู่จิ่นนั่งจิบน้ำชานิ่งไม่สะท้านกับคำเหน็บแนม นางชินชากับคำเอ่ยของเทพสุริยะผู้นี้พอสมควร ปากคมยิ่งกว่ากรรไกรตัดผ้าของนางฟ้าเจ็ดเสียอีก ไม่รู้ว่านางไปทำสิ่งใดให้ขุ่นเคือง


    ท่านลุงข้ามีเรื่องจะฟ้อง เมื่อคืนหนิงเฟิ่งจำได้ว่าปีนเข้าไปนอนในเรือนของท่านพ่อแล้วแท้ ๆ แต่พอเช้า กลับอยู่ในเรือนของตน ท่านพ่อใจร้ายเสียจริง” หนิงเฟิ่งพูดจ้อ


    อะไรกัน แล้วเจ้าก็อยู่เฉยงั้นรึ ข้านึกว่าพอรู้ตัว เจ้าจะวิ่งไปตะกุยประตูเรือนพักของมหาเทพเสียอีก” เขาเอ่ยอย่างรู้ใจ มือหนาถือถ้วยชาว่างเปล่านิ่ง 


    องค์หญิงเผ่าสวรรค์ไร้มารยาทเสียจริง ผู้ใหญ่มาถึงเรือนกลับไม่รินน้ำชา 


    ความจริงข้าก็ทำเช่นนั้น แต่ท่านพ่อไม่ยอมเปิดประตู” หนิงเฟิ่งพูดเสียเบา ดวงตาหลุบต่ำมองเท้า ขาสั้นป้อมของนางยาวไม่ถึงพื้น จึงพยายามยืดให้ปลายเท้าแตะพื้นเช่นผู้ใหญ่สองคนตรงหน้า


    ไม่เรียกซือฝุแล้วรึ


    เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะท่านลุง ท่านฟังที่หนิงเฟิ่งพูดเมื่อครู่หรือไม่


    ข้าเห็นมหาเทพออกจากเรือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง” ซู่จิ่นเอ่ยกับเด็กน้อย ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาร้อนจากเทพหยางผิง


    อ่าว เหตุใดพี่สาวไม่บอกข้า ปล่อยให้หนิงเฟิ่งตะโกนเรียกบิดาตั้งนาน


    พี่สาวกลัวเจ้าอายหรอก


    แล้วองค์หญิงซู่จิ่นมีธุระอันใด ถึงเสด็จแถวเรือนประทับของมหาเทพตั้งแต่เช้ามืด” ท่านลุงที่นิ่งเงียบ ยื่นปากมากลางวงสนทนา หนิงเฟิ่งคล้ายคิดได้ ส่งสายตาสงสัยมาให้


    ผู้น้อยตื่นมาฝึกสมาธิ ด้วยช่วงนี้รู้สึกกำลังอ่อนแรง


    เป็นเช่นนี้เอง หนิงเฟิ่งก็รู้สึกว่าพี่สาวดูอิดโรย ท่านต้องพักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ


    หนิงเฟิ่งเชื่อคำของนางด้วยรึ ให้เขาปิดตาข้างหนึ่ง ยังมองออกมาซู่จิ่นเทิดทูนมหาเทพยิ่ง แววตานางฉายออกมาเสียทุกอย่างที่คิด


    อย่างนี้ แรงใจคงกล้าแข็ง” หยางผิงเอ่ยลอย ๆ แต่ตาคมก็ยังจ้องถ้วยชาว่างเปล่า หนิงเฟิ่งมองท่านลุงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ 


    ท่านลุงกระหายน้ำเหตุใดไม่รินชาเสีย 


    หนิงเฟิ่ง” เป็นเสียงคุ้นเคย เอ่ยเรียกความสนใจของนางจากหน้าประตู 


    ท่านพ่อ!" ยังไม่ทันขาดคำ ผู้ที่อยู่ในบทสนทนาก็ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามาในเรือนรับรอง หนิงเฟิ่งกระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งเข้ากอดเอวบิดา 


    เทพสุริยะมองแล้วกล่าวในใจกับตนเอง เป็นเขาคิดมากไปหรือไม่ รู้สึกว่ากิริยาของหนิงเฟิ่งตอนนี้ดูจะกระตือรือร้นเกินเหตุไปหน่อย 


    หยางผิงและซู่จิ่นทำความเคารพเต็มขั้น ทั้งที่เมื่อก่อน เทพสุริยะเพียงประสานมือแนบอก พอเห็นบุคคลข้างตัว น้อมกายลงคุกเข่าโขลกหัว เขาก็มิอาจน้อยหน้าได้


    ลุกขึ้น” มหาเทพเดินผ่านทั้งคู่ มีเด็กน้อยเกาะเอวไม่ห่าง ไปยังโต๊ะอีกตัวที่มีกองเอกสารอัดแน่น ในช่วงเวลาฝึกตนของหนิงเฟิ่ง ไม่ว่าจะเรื่องใด นางก็วิ่งตรงมาหาเขาเสมอ เรือนรับรองนี้ตั้งติดกับสวนหิน เหมาะแล้วที่เขาจะทำงานไปพร้อมกับสนทนากับศิษย์น้อย


    ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับหนิงเฟิ่งนักเจ้าคะ” หนิงเฟิ่งยังคงตามเกาะเอว แม้มหาเทพจะประทับนั่งบนเก้าอี้แล้วก็ตาม 


    ซือฝุ” มหาเทพเอ่ยเตือน นางยังติดเรียกเขาว่าบิดาไม่ขาดปาก


    ข้าทำผิดอันใด ท่านพ่อถึงไม่ให้ข้านอนด้วยเหมือนเมื่อก่อน” เด็กน้อยไม่รับฟังคำติเตือน เมื่อมองหน้ากลม พบว่ามีน้ำใสเอ่อล้นในตาหงส์


    อะไรกัน เจ้ามันขี้เซา นอนบนเตียงข้าทั้งคืนยังบอกว่าไม่ได้นอน” หนิงหลงเอ่ยเสียงนุ่ม เป็นเขาที่ปล่อยผ่านไม่คาดคั่นนางอีก พร้อมกับอุ้มเด็กน้อยนั่งบนตัก หนิงเฟิ่งได้ทีซุกตัวไปในอกกว้าง


    ท่านลุงยังคงจ้องถ้วยชาว่างเปล่า


    พี่สาวกำลังรินชาร้อนส่งให้ท่านพ่อ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะไม่สบตา 


    มีรึนางจะอ่านไม่ออก แววตานั้นของพี่ซู่จิ่น หนิงเฟิ่งคุ้นเคยดี เพราะนางก็มองท่านพ่อแบบนั้น หงส์น้อยรู้สึกไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่อาจแสดงออก ซู่จิ่นก็เป็นคนที่ดี ความผิดฐานรักบิดานางไม่หนักหนา แต่คนของนางมิอาจให้ผู้ใดแตะต้องได้


    นางรักเขาได้คนเดียว


    หนิงเฟิ่งตื่นมาในเรือนตนเอง ท่านพ่ออย่ามาโกหกข้า” น้ำตาใสเม็ดกลมกลิ้งไปในแก้มกลม มหาเทพมองเด็กน้อยด้วยแววตาอ่อน มือเรียวยกชายผ้าซับน้ำตาใส อาภรณ์สีดำปรากฏวงน้ำขึ้น แต่มหาเทพก็มิได้สนใจนัก


    ข้าต้องไปทำธุระแต่เช้า เดี๋ยวเจ้าตื่นมาไม่เจอจะโวยวายใหญ่เลยพากลับห้อง ไม่นึกว่าเจ้าจะยังโวยวายเช่นเดิม


    ท่านเอ่ยเหมือนไม่รู้นิสัยเสี่ยวเฟิ่ง คงต้องซ้อมประตูที่นางตะกุยไปเมื่อเช้า” หนิงเฟิ่งคิดว่าท่านลุงของนางจะอ่านใจนางได้ ทั้งสามสนทนากันออกรส มีเพียงพี่ซู่จิ่นที่นิ่งเงียบ 


    ท่านพ่อ คราวก่อนท่านลุงได้ให้กงจักรไฟกับข้ามาหนึ่งอัน ตอนนี้หนิงเฟิ่งควบคุมมันได้แล้ว ท่านพ่ออยากชมหรือไม่เจ้าคะ?”


    ได้สิ ข้าไม่อยากทำงานพอดี” เทพหนิงหลงตามใจนางเสมอ คงมีแค่หงส์น้อยตนนี้ที่สามารถดึงรั้งเทพบรรพกาลออกจากกองงานเอกสารได้ 


    มหาเทพอุ้มนางแนบอกพาเดินออกไปที่ลานกว้าง ดวงหน้ามีรอยยิ้มประดับไม่ลบหาย ยิ้มที่มอบให้เพียงเด็กน้อยตรงหน้า เทพสุริยะเดินตามหลังมาไม่ห่าง เหลือแต่พี่สาวที่ยืนนิ่งปฏิบัติตัวไม่ถูก จะตามไปก็ไม่มีใครเอ่ยปากเชิญ หนิงเฟิ่งมองผ่านไหล่กว้างของบิดา


    ข้าไม่ได้เกลียดท่านนะพี่สาว แค่อยากให้ท่านรู้ไว้ว่าท่านพ่อเป็นของหนิงเฟิ่งผู้เดียว


    เหตุการณ์ที่หนิงเฟิ่งแสดงฤทธิ์เดชเอาแต่ใจผ่านมาไม่กี่วัน พอไม่มีเรื่องของมหาเทพเข้ามาเกี่ยว เทพสุริยะเห็นว่าทั้งสองก็ดูรักกันดี หนิงเฟิ่งยังคงเป็นเด็กขี้อ้อน ซู่จิ่นก็ยังช่างพูด เขาเองก็ตามไม่ทัน ดั่งเทพลิขิตกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว เป็นประโยคว่า มันผู้ใดบอกว่าเข้าใจอิสสตรี มันผู้นั้นไม่เข้าใจอะไรเลย ดีจริงที่ชีวิตเขามีเพียงอิสตรีสองผู้ตรงหน้า ไม่เช่นนั้นคงต้องปวดหัวหนักมากกว่านี้เป็นแน่


     

    หนิงเฟิ่งหัวไวเรียนรู้เร็ว ผ่านไป 5 ปี ซู่จิ่นก็หมดเรื่องสอน มีเพียงเรื่องเล่าและนิทานจากแดนสวรรค์ นางหอบหิ้วหนังสือเรื่องโปรดมาเพื่อแก้เหงาให้ตนเอง แต่ตอนนี้ส่งต่อแบ่งปันให้เด็กน้อยบ้าง เรื่องเล่าในสวรรค์มากมายนัก เล่าร้อยปีก็ไม่จบ นางโตมากับพี่นางฟ้าทั้งเจ็ดผู้รอบรู้ มีรึน้องน้อยคนนี้จะไม่รู้


    "จริงรึเจ้าคะที่เทพสามตาผู้นั้นหลงรักเทพธิดาพระจันทร์ แข็งกระด้างตาไม่มีแววอย่างนั้น มีความรู้สึกอ่อนไหวได้ด้วยรึ ข้าไม่อยากจะเชื่อ" เมื่อเอ่ยถึงโจทก์เก่า เด็กน้อยก็มีอารมณ์คุกรุ่นร่วมด้วย นึกถึงหน้าเอ้อหลางแล้วเจ็บใจ


    "เทพธิดาฉางเอ๋อโฉมงามเล่าลือเป็นที่หนึ่ง กิริยาทั้งอ่อนหวาน อ่อนช้อย เป็นนางในใจของเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์" เรื่องเล่าลือเป็นงานถนัด แม้จะเป็นเรื่องลับที่คนรู้น้อย เซียนซู่จิ่นก็มีรายชื่อติดอยู่ในเหล่าเซียนที่รู้เรื่องดี อยู่ไกลถึงตำหนักหั่วชิง คงไม่มีผู้ใดนำความไปฟ้องเทียนจวิน


    "หนิงเฟิ่งอยากเจอนางบ้าง จากหั่วชิงไปตำหนักพระจันทร์ก็ไม่ไกลเท่าไหร่” นางมองออกไปยังพระจันทร์ดวงโต    


    "ไม่ได้ๆ พี่สาวไม่มีอำนาจพาเจ้าไปหรอก"


    "ข้าเพียงอยากเห็นสตรีในใจเทพเอ้อหลางผู้นั้น จะกระซิบบอกนางไม่ต้องรับรักเขา" เด็กน้อยมุ่งมาดมองตรงไปยังทิศเบื้องหน้า 


    แม้ตอนนี้พระอาทิตย์จะยังแสดงแสงสว่าง แต่ก็มองเห็นพระจันทร์ขนาดใหญ่ชัดเจน ด้วยระยะห่างไม่ถึงหมื่นลี้ อีกทั้งไม่มีสิ่งใดกั้นขวางสายตา


    "เจ้าไม่บอก เทพธิดาฉางเอ๋อก็ไม่อาจรับรักเทพเอ้อหลางได้ กฎสวรรค์ เทพเซียนไม่อาจมีรักดั่งใจปรารถนา เพียงประสงค์จากเทียนจวินเท่านั้นเจ้าถึงจะสามารถแต่งให้ผู้อื่นได้" นางเอ่ยเองก็เศร้าเอง 


    นัยน์ตาหวานปรากฏแววหมองหม่น


    "อะไรกัน พึ่งรู้ว่ามีกฎนี้ด้วย" เด็กน้อยยังคงจ้องตรงไปที่จันทราลูกโต วางแผนในหัวเพื่อที่จะไปเยือนสักครั้ง 


    "กฎนี้ข้าจำได้ขึ้นใจเป็นข้อแรก" ซู่จิ่นยังคงมีท่าทางหม่น ไม่สังเกตเด็กน้อยที่มีตาแวววับ


    "กงจักรไฟ!!!!" หนิงเฟิ่งเรียกของเล่นซึ่งเป็นของประทานจากเทพสุริยะทำพิเศษเพื่อนาง มีต้นแบบมาจากกงล้อไฟของเทพนาจา แต่ขนาดใหญ่กว่า รูปร่างเป็นกงจักรสลักลายเหลียนฮวา (ดอกบัว) รวดเร็วดั่งลม เหาะได้ดั่งใจ 


    เด็กน้อยส่งชายผ้ายาวออกไปผูกรัดเอวบางของเซียนซู่จิ่น ดึงรั้งขึ้นนั่งบนกงจักรไฟ มุ่งหน้าเดินทางไปยังที่พำนักของเทพธิดาโฉมงาม


    หลังจากที่หนิงเฟิ่งก้าวเหยียบตำหนักพระจันทร์ ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นวายในชีวิตของนางในภายภาคหน้า


    豐雪天 
    เฟิงเสวี่ยเทียน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×