คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ลำนำบทที่ 1 ตอนที่ 2 ซือฝุ
ตอนที่ 2 ซือฝุ
อีกฟากของแดนเหนือกาล ยังตำหนักเทพสุริยะ หนิงเฟิ่งกินเสบียงที่หยางผิงตุนไว้เสียเกลี้ยงโกดัง เทพสุริยะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เหมือนเจ้าตัวน้อยจะโตขึ้นอีกสักฝ่ามือ เด็กน้อยกินดีโตไวจริง ๆ
“ดีจริง เจ้าจัดการอาหารตรงหน้าได้ไม่นานก็โตได้ทันใจ”
ตั้งแต่คราที่พี่ชายทั้งเก้าของเขา ถูกศรของโฮ่วอี้สังหารหมดสิ้น หยางผิงนับได้ว่าโดดเดี่ยว นอกจากเหล่าเทพบรรพกาลที่หมื่นปีผ่านไปก็ยังไม่มาเยี่ยมเยียน คงมีเพียงหงส์เพลิงตัวนี้ ที่เข้ามายังเขตแดนตำหนักเขาได้ เทพสุริยะเอ็นดูนางอยู่ไม่น้อย ท่าทางสดใสช่วยบรรเทาความโดดเดี่ยวของเขาไปกว่าครึ่ง
“ท่านลุงหยางผิง ข้าอยากกินอีก” เด็กอ้วนวางตะเกียบแล้วส่งสายตาแฝงความนัย
“เสี่ยวเฟิ่งอย่าเรียกว่าลุงเลย เจ้ามองเห็นผมขาวของข้าสักเส้นรึ หนวดเคราก็ดำขลับ อีกอย่างเจ้ากินซะเกลี้ยงตำหนักทุกครั้ง ต้องรอจนเหล่าเซียนรับใช้สวรรค์นำมาส่ง”
“เป็นท่านพ่อให้ข้าเรียกเช่นนั้น” เสียงใสเอ่ยเช่นทุกครั้งที่เทพสุริยะห้ามนางเรียกเขาว่าลุง เขาจึงสอนนางครั้งนั้นให้เรียกมหาเทพว่าบิดาแทน เด็กน้อยล้วนจำคำสอนของทั้งสองบุรุษใส่หัว
“งั้นตามใจเจ้าเถอะ” แววตาใสนิ่งสักครู่คล้ายครุ่นคิด
“เซียนรับใช้คือผู้ใด สวรรค์คือที่ใด ข้านึกว่าท่านลุงปรุงเสกขึ้นมาดังเช่นท่านพ่อทำ” มหาเทพสอนวิชาธรรม สอนวิชาเวท สอนควบคุมลมปราณ นางล้วนจดจำหัวไว แต่หาเหตุผลไม่ได้ว่าเรียนไปมากมายเพื่อสิ่งใด
มหาเทพสอนทุกสิ่งที่ควรรู้แต่ไม่บอกเล่าเรื่องราวสามภพ นางคิดเพียงทั้งแดนนี้มีกันอยู่สองคน แต่พอมาพบเทพสุริยะก็คิดได้ว่ามีคนอื่นอยู่ เช่นนั้นไกลออกไปจากแดนนี้ก็คงมีอีกหลายผู้ เช่นแขกที่มาหาท่านพ่อนั้นไง
“เสี่ยวเฟิ่งเอ๋ย โภชนาทิพย์จากเวทของมหาเทพนั้นพอมีประโยชน์บ้าง แต่จากพลังของข้าคงทำได้แค่ให้เจ้าอิ่มมิได้ประโยชน์จากอาหารเหล่านั้นหรอก” หงส์น้อยฟังอย่างนั้นก็ร้องอ๋อมาหนึ่งคำ
“แล้วเซียนที่ท่านว่ากับสวรรค์ล่ะเจ้าคะ? ข้าไม่เคยได้ยิน” เทพหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แม้มหาเทพจะไม่ได้ปิดบัง แต่การที่เขาไม่เล่าความเป็นไปทั้งสามภพแก่เจ้าตัวน้อย มีรึ เทพสุริยะเช่นเขาจะกล้า
“เซียนก็เป็นแบบเราๆ เจ้าๆ นี้แหละ รูปร่างก็เหมือนกัน ต่างกันเพียงความสามรถ พลังปราณ หากเจ้าขยันหมั่นฝึกวิชาก็จะเป็นเซียน เป็นเทพได้” หยางผิงพยายามอธิบายแบบรวบรัด เอาง่ายไม่ละเอียด เจ้าเด็กน้อยยังนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ส่วนสวรรค์นั้นเป็นเพียงแดนข้างเคียง ที่นั่นมีคนทำอาหารแจก ข้าก็แค่รับมาแบ่งเจ้า”
“เหมือนที่ข้าได้กินผลท้อครั้งแรก ท่านพ่อบอกว่าเอามาฝากจากงานเลี้ยง คงเป็นที่เดียวกันใช่มั้ยเจ้าคะ”
“ถูกอย่างที่เจ้าเอ่ย” เขาหลงกลตอบคำถามออกมาหมด กว่าจะรู้ตัวก็โดนหนิงเฟิ่งหลอกถามไปหลายเรื่อง
เมื่อรู้ว่าสมควรหยุดหงส์น้อยก็ทำเป็นเข้าใจไม่ถามเซ้าซี้
“ท่านลุงหยางผิงเจ้าคะ” เสี่ยวเฟิ่งเงียบไปชั่วครู่ก็ส่งเสียงให้เขาสะดุ้งอีกครั้ง
“ข้าละช้ำใจกับคำว่าลุงของเจ้านัก” เทพหนุ่มเอ่ย
“ก็ท่านดูสูงวัยกว่าพ่อข้านิ” เด็กน้อยตอบตามจริง แม้ไม่เคยเจอผู้อื่น แต่เมื่อเทียบกับบิดา เทพสุริยะดูสูงวัยกว่ามาก แต่งกายสีแดงดำ หุ้มด้วยเกราะโลหะเงาวับ ผมเผ้ารวบตึงกลางหัว ต่างจากท่านพ่อที่สวมผ้าโปร่งเบาสบายผิว ผมดำขลับทิ้งตัวกลางหลังเพียงครึ่ง ที่เหลือเกล้าขึ้นยึดไว้ด้วยปิ่นหยก ผิวก็ขาวเนียนเปล่งแสงนวล แผ่ไอเย็นรอบตัว วงหน้าเกลี้ยงเกลาไม่มีริ้วรอย ต่างจากเทพสุริยะที่ผิวออกคล้ำดำแดงด้วยแสงอาทิตย์ หนวดเคราเต็มหน้า ดูดุร้ายรอบกายมีไอร้อนแผ่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับท่านพ่อแล้วท่านลุงต้องสูงวัยกว่าเป็นแน่
“มหาเทพหนิงหลงนั้นไม่แก่ไม่ตาย เขาอายุมากกว่าข้าหลายรอบนัก ถ้านับเขาเป็นพ่อเจ้า ข้าคงมีศักดิ์เป็นหลานย่าของเจ้าแทน” หยางผิงเอ่ยทีเล่นทีจริง สนทนากับเด็กน้อยแล้วคอแห้ง จึงวาดมือเพียงครู่ก็ปรากฏกาน้ำชาสีดำจากหินสุริยะ รูปร่างไม่สวยต้องตา ดีเพียงอุ่นชาให้ร้อนตลอดเวลา
“ข้าอยากไปเที่ยวสวรรค์” ฟังเสียงใสเอ่ยแล้วสำลักชาร้อน ภูษาสีดำแดงเปื้อนเป็นดวง เด็กน้อยกล่าวได้ตากลม มีเพียงเทพหนุ่มที่ตกใจกลัวว่าเด็กน้อยจะคิดจริงดังที่กล่าว
“ได้อย่างไร มหาเทพอนุญาตให้มาหาข้า มิได้ให้เถรไถล” เทพสุริยะขัดขึ้นทันควัน แม้จะเอ็นดูเด็กน้อยเพียงใด แต่หงส์ไฟตนนี้มีภูมิหลังไม่ชัดเจน เขารู้เพียงว่านางอยู่ในความดูแลของมหาเทพหนิงหลง ใครเล่าจะกล้าเอาถ่านร้อนมาถือ แม้แต่เทพสุริยะเช่นเขาก็กลัวลูกไฟอ้วนกลมตรงหน้าจะเผาผลาญ
“ทำไมละเจ้าคะ?” เสี่ยวเฟิ่งยังคงทำตาอ้อนวอน นางรู้จุดอ่อนของเขาเสมอ
“ปราณเจ้าเพียงน้อยนับได้ไม่ถึงพันปี ไหนเลยจะสามารถลงไปสวรรค์ได้” เขาทำหน้านิ่ง พูดอย่างสงบแต่ในใจกลับร้อนรน
“ที่แห่งนั้นต้องใช้พลังมากอย่างนั้นรึเจ้าคะ? หนิงเฟิ่งเพียงตามท่านไป คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงท่านลุงนะเจ้าคะ” แม้หนิงเฟิ่งจะมีกายทิพย์เป็นเด็กน้อย บําเพ็ญตบะมาเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับแข็งแกร่งน่าเกรงขาม แต่ฤทธิ์ยังไม่น่ากลัวเท่าปัญญา สมองน้อย ๆ มิรู้ว่าวางแผนใดอยู่
“อย่าทำให้คนแก่อยากข้าอายุสั้นเลยแม่นางน้อย” เป็นเขาที่หลุดมาดนิ่ง ย่อกายลงอ้อนวอน เสี่ยวเฟิ่งใช้ลูกอ้อน เขาก็ใช้ได้
นางมองท่านลุงทำตัวเหมือนเด็กเช่นตน ได้แต่ส่ายหน้า
“เมื่อครู่ยังบอกว่าตนไม่แก่ เทพผู้ยิ่งใหญ่กลับคำได้รึ” เจ้าของตำหนักโดนเด็กเจ้าเล่ห์ย้อนความเข้าก็นึกเอ็นดู แต่เขาจะใจอ่อนผ่อนตามนางไม่ได้
“หนิงเฟิ่ง อภัยให้ข้าเถอะ ทั้งสามภพเหลือเทพสุริยะแค่องค์เดียว เจ้าอยากดับข้าหรืออย่างไร” เทพหนุ่มทำแข็งขืนปั้นปึ่ง
หงส์น้อยครุ่นคิดชั่วครู่ ก็เคลื่อนมาคุกเข่าตรงหน้า
“ผู้หลานขออภัยที่ไม่ตรองดูให้ดี ข้าเพียงอยากโตเร็วๆ โภชนาจากแดนสวรรค์ล้วนแล้วแต่เพิ่มพูนพลังปราณ เพียง 1 วันข้าก็สูงได้ 1 คืบ หนิงเฟิ่งหวังท่านลุงจะกรุณา” ตาหงส์ฉายแววสำนึกผิดทำให้เทพสุริยะใจอ่อน แต่ยังคงไม่ยอมทำตามคำขอ เดินหนีไปอีกทาง
“เสี่ยวเฟิ่ง ข้าทำตามคำขอมิได้” นางยังคงคุกเข่าไม่ยอมลุก
“เป็นผู้หลานที่ขอมากไป หนิงเฟิ่งขอเพียงท่านนำอาหารมาให้ ไม่ต้องพาข้าไปด้วยก็ได้”
“เจ้าคิดได้อย่างนั้นจริงรึ”
“จริงแท้ ท่านลุง” หากเขาลงไปสวรรค์เพียงครู่ นางคงไม่สร้างความเสียหายให้ตำหนักสุริยะ หยางผิงตี้จวินชั่งน้ำหนักความคิดชั่วครู่ ก็จากไปไม่กล่าวลาให้รู้ตัว
ทั่วทั้งสามภพ หากกล่าวว่านรกภูมิคือดินแดนแห่งรัตติกาล สวรรค์ก็เป็นดินแดนแห่งแสง สว่างไสว ไร้รัตติกาล ละอองแสงนวล ทั้งบริสุทธิ์ และอบอุ่น ช่างแตกต่างจากตำหนักสุริยะ ที่ร้อนแรงแผดเผาทุกสิ่ง
อดีตแม่ทัพสวรรค์ ผู้ถือตำแหน่งเทพสุริยะกำหนดลมปราณภายใน ก่อนเหาะลงสู่พื้นประตูสวรรค์ ฝ่าเท้าหนาเหยียบลงบนกลุ่มเมฆปุกปุยลอยล่อง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทางเดินกรวดใส เบื้องหน้าประตูหยก คือ เซียนพิทักษ์ทิศอุดร ทหารหนุ่มสองผู้รูปร่างสูงใหญ่องอาจกำยำ สวมเกาะเงินยวง หนวดเครารกครึ้ม มือถือดาบเล่มโตเตรียมพร้อมรบ แต่เมื่อเทียบกับเทพสุริยะแล้ว หยางผิงยังเหนือกว่าหลายส่วน
หงส์น้อยสอดสายตาไปรอบกาย สถานที่แปลกตา ผู้คนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบ นางล้วนจดจำไว้ในใจ
หยางผิงหยุดสนทนากับเซียนเฝ้าประตูเพียงไม่กี่คำก็ผ่านไป ทำเอาหงส์เพลิงน้อยที่อยู่ในร่างขนนก เกือบหล่นจากไหล่กว้าง นางเผลอปล่อยพลังเล็กน้อยเพื่อทรงตัว เซียนพิทักษ์ทิศอุดรรับรู้ถึงพลังเทพเมื่อครู่ ได้แต่มองตามหยางผิงด้วยแววตาฉงน แม้มิอาจปล่อยปละละเลย แต่เซียนน้อยเช่นพวกเขารึจะกล้าขัดขวาง
ตี้จวินผู้เป็นเทพปฐมเคารพ พลังเทพเมื่อครู่คงเป็นของเทพสุริยะแน่ไม่ผิด
หยางผิงรีบเร่งเดินทางไม่ใส่ใจรอบกาย เหล่าเทพเซียนที่ผ่านทางเพียงสนทนาสองคำก็กล่าวลา หวังทำธุระให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เพราะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ที่ปล่อยให้หนิงเฟิ่งรออยู่คนเดียว หงส์ตนนี้มิควรปล่อยให้คลาดสายตา
หารู้ไม่ว่า เด็กน้อยที่เขากังวลกำลังเกาะบนไหล่กว้างตั้งแต่ต้น
หงส์น้อยปล่อยใจไปกับภาพตรงหน้า สองข้างทางเป็นตำหนักน้อยใหญ่ หลังคาประดับหยกเขียว ตัวตำหนักเป็นศิลาขาว สลักลวดลายเข้าใจยากแต่ก็สวยแปลกตา ใกล้กันเพียงเท่านี้แต่กลับแตกต่างนัก แดนสวรรค์เต็มไปด้วยสีเขียวจากต้นไม้นานาพรรณ ต่างจากตำหนักหั่วชิงที่ต้นไม้บนนั้นมีเพียงกิ่ง ไร้ใบ ไร้ดอก สุดแสนจะแห้งเหี่ยว
เพียงหนิงเฟิ่งติดตามเทพสุริยะมาเที่ยวเล่นครู่เดียว ไหนเลยจะเกิดความวุ่นวาย แต่แล้ว จุดเริ่มต้นของหายนะก็เกิดขึ้น เมื่อหงส์น้อยมองเห็นท้อสวรรค์สีหวานแขวนอยู่เต็มต้น ขณะที่เทพหยางผิงเดินผ่านสวนท้อของเจ้าแม่ซีหวางหมู่เทียนโฮ่ว ร่างแปลงของหนิงเฟิ่งค่อย ๆ หลุดร่วงจากไหล่กว้าง ล่องลอยตามลมไปตามทางเดินของสวนท้อ มองดูผลลูกท้อที่เคยลิ้มรส แสนจะเสียดาย เมื่อนางทำได้เพียงมองเท่านั้น ท่านพ่อเคยสั่งสอนไว้ ไม่ให้หยิบฉวยของที่มิใช่ของตน
ขนนกต้านลมสักพักก็ตกลงพื้นดิน เด็กน้อยนอนชมดูต้นท้อสูงใหญ่ พื้นดินชุ่มชื้นต่างจากตำหนักหั่วชิง ปล่อยใจได้ไม่นานก็พลันได้ยินเสียงหวานหนึ่ง เสียงเท้าสองตรงมาหา ร่างแปลงหงส์น้อยได้แต่ท่องมนตร์ส่งลมหลบเท้าเล็ก ๆ
ผ้าแพรสีบัวปลิวสะบัดทุกก้าวย่าง เรือนร่างอรชรอ่อนหวาน เส้นไหมดำขลับยาวจรดเอว ประดับด้วยมุกงามสะท้อนต้องแสงระยับ วงหน้าขาวนวล ตากลม จมูกเชิด ดูน่าชัง หนิงเฟิ่งสำรวจบุคคลตรงหน้าอย่างละเอียด
'สวยจัง' แม้รูปงามไม่เท่าบิดา แต่รูปร่างนั้นงดงามอ่อนหวานกว่านัก หนิงเฟิ่งเคลื่อนกายคลายล่องลอย ลมเย็นพัดผ่านเป็นกลิ่นหอมหวาน หงส์น้อยเผลอตัวล่องลอยไปเกาะไหล่บาง
องค์หญิงซู่จิ่น ซึ่งก็คือผู้หลานของเทียนโฮ่ว มีโฉมงามล้ำเหนือสามภพ เผลอมองเพียงครั้งติดตรึงถึงดวงจิต ไม่เว้นหงส์น้อยที่เป็นหญิง เซียนน้อยซู่จิ่นรับบัญชาเจ้าแม่ซีหวางหมู่ดูแลสวนท้อ หลังจากนางฟ้าทั้งเจ็ดโดนลงทัณฑ์ มีเพียงนางโดดเดี่ยว
เรียวแขนหยกงามเอื้อมมือเก็บลูกท้อสุกงอม เป็นผลให้ขนนกน้อยที่กำลังต้องมนตร์โฉมงามตกพื้น หนิงเฟิ่งตกใจได้สติเผลอปล่อยปราณเทพหนึ่งสาย ซู่จิ่นรับรู้พลังบริสุทธิ์มองไปรอบกายมีเพียงขนนกแดง
“เป็นเทพเซียนผู้ใด เสียมารยาทนัก จงปรากฏกายมาเดี๋ยวนี้” เซียนซู่จิ่นมองผ่านขนนก สำรวจรอบสวน แต่หนิงเฟิ่งร้อนตัว คิดว่าโดนจับได้ จึงแปลงกายกลับร่างเป็นเด็กน้อยผมแดง เซียนซู่จิ่นเห็นเช่นนั้นก็เผลอตัวปล่อยตะกร้าสานที่บรรจุผลท้อนับสิบจากมือ ยังดีที่หงส์น้อยจ้องผลท้ออยู่ก่อนแล้ว จึงยื่นมือคว้าไว้ได้ทัน นางรักกินถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะปล่อยให้ผลท้อวิเศษมัวหมองได้
“ขออภัยที่ทำให้ท่านตกใจ ตัวข้าชื่อหนิงเฟิ่ง หลงเข้ามาในป่าท้อ ไม่มีเจตนาร้าย” หงส์น้อยประสานมือโค้งเคารพบุคคลตรงหน้า เซียนสาวเห็นเด็กน้อยโน้มกายโอนอ่อนน่าชัง ตัวเล็กเพียงเอวนางแต่กลับมีกิริยาดั่งเทพเซียน จึงนึกเอ็นดู
“ตัวข้าไม่ถือโกรธเด็กน้อยหรอก เจ้าเป็นเด็กรับใช้ผู้ใดเล่า จึงหลงมาไกลถึงสวนท้อสวรรค์”
“ข้าพเจ้าติดตามท่านลุงหยางผิง ผู้เป็นเจ้าตำหนักสุริยะมาเพื่อรับโภชนาทิพย์เจ้าค่ะ”หนิงเฟิ่งตอบเสียงใส แววตาไม่มองผู้ฟัง จ้องเพียงผลท้อในตะกร้า องค์หญิงซู่จิ่นเห็นเช่นนั้นก็นึกเอ็นดู นางคงเป็นเด็กรับใช้ในตำหนักเทพสุริยะ ติดตามตี้จวินมาท่องเที่ยวแล้วพลัดหลง
“หนิงเฟิ่ง เจ้าจ้องลูกท้อของข้าซะหมดหวานและกระมั่ง”
“ขออภัยท่านด้วยเจ้าค่ะ” มือน้อยส่งตะกร้าสานคืนเจ้าของด้วยแววตาละห้อย
“เด็กน้อย หากอยากกินผลท้อนี้ ก็เรียกข้าว่าพี่สาวเสียสิ แล้วซู่จิ่นผู้นี้จะแบ่งให้” เซียนสาวนึกเอ็นดู ทั่วสวนสวรรค์นี้มีเพียงนางดูแล ท้อทุกต้นได้รับการบันทึกจำนวนผล อย่างไรท้อต้นนี้ก็เป็นเพียงท้อที่มีผลทุก 10 ปี เจ้าแม่มักประทานให้เหล่าเซียนทั่วไป การที่นางจะแบ่งให้เด็กน้อยตรงหน้าคงไม่เสียหาย
“พี่สาวคือสิ่งใด? แต่หากท่านให้ข้าเรียกก็ย่อมได้ พี่สาวซู่จิ่นคนสวยเจ้าขา” เด็กน้อยเห็นโอกาสทอง ใช้วิชาออดอ้อนเช่นที่ใช้กับเทพสุริยะ เป็นเซียนสาวได้ฟังคำถามแล้วฉงนในใจ เด็กน้อยตรงหน้าคงไม่เคยคบหาคนนอกตำหนัก นางได้ยินว่าตำหนักพระอาทิตย์ร้อนนัก ไม่มีผู้อาศัยนอกจากหยางผิงตี้จวิน
เด็กน้อยน่าสงสารถูกเลี้ยงมาเช่นไรกันนะ
“น่ารักเสียจริงเด็กน้อย ข้าเป็นหญิงเช่นเจ้า ก็เรียกได้ว่าพี่สาวเพราะโตกว่า อย่างท่านลุงเจ้าเป็นชาย ย่อมมีความต่าง”
“เป็นหญิงต้องโฉมงามรึไม่เจ้าคะ” หงส์น้อยคิดถึงท่านพ่อของนางที่รูปงามนัก ท่านลุงและบุคคลสองผู้ที่ประตูสวรรค์นั้นย่อมเป็นชาย หาความรูปงามเช่นพี่สาวไม่ได้เลย แล้วท่านพ่อของนางเล่า เป็นชายหรือหญิง
“ก็แน่สิ เจ้าก็น่ารัก ข้าก็โฉมงาม จริงมั้ย” เซียนซู่จิ่นกล่าวอารมณ์ดี มือเรียวหยิบลูกท้อผลโตส่งให้เด็กน้อย หนิงเฟิ่งรับไปอย่างไม่ลังเล กัดเข้าหนึ่งคำทำหน้าปลาบปลื้ม
“ถ้าอย่างนั้น ท่านพ่อของข้าต้องเป็นหญิงแน่แท้ ท่านพ่อนั้นรูปงามเป็นหนึ่ง” ได้ฟังเสียงใสที่มีลูกท้อเต็มปากเอ่ย ก็เรียกเสียงหัวเราะได้หลายคำ เด็กน้อยไร้เดียงสา
“ท่านพ่อของเจ้า จะเป็นหญิงได้อย่างไร ย่อมเป็นชายแน่แท้” หนิงเฟิ่งได้ฟังก็ขมวดคิ้วย่น
“ท่านพ่อรูปงามนักเหตุใดถึงเป็นชาย เทียบกับท่านลุงแล้วต่างกันมาก”
“ข้าจนปัญญาจะอธิบาย รอเจ้ากลับไปค่อยถามเอาความกับบิดาเจ้าเองเถอะ” เป็นซู่จิ่นที่นึกคำไม่ออก เมื่อเด็กน้อยเถียงตาใสว่าบิดานางรูปงามเป็นหนึ่ง มือก็หยิบจับลูกท้อส่งเข้าปาก แววตากลับดูครุ่นคิดไม่ตก
“หนิงเฟิ่ง!! เหตุใดเจ้าถึงดูตัวโตขึ้นเช่นนี้” หนิงเฟิ่งกินลูกท้อไปหนึ่งตะกร้าเพียงไม่กี่ผล แต่กายทิพย์นางดูยืดยาว เมื่อยืนขึ้นกลับสูงเกือบถึงอกนาง องค์หญิงซู่จิ่นเกิดตื่นตระหนกขึ้น หรือตรงหน้าจะเป็นปีศาจ ซู่จิ่นเจ้าโง่เขลานัก เห็นเป็นเด็กน้อยก็เชื่อคำลวง ให้นางกัดกินท้อสวรรค์ไปหลายคำ
“เป็นปกติของข้า เมื่อรับประทานโภชนาทิพย์ไปเพียงครู่ก็จะเติบโตขึ้นเช่นนี้เอง” หนิงเฟิ่งยังคงกินผลท้อลูกสุดท้ายในมือต่อ
ทันใดนั้นแสงเงาวับกลับปรากฏตรงหน้า ตาหงส์เห็นเป็นทวนสามง่ามพุ่งตรงมาที่ตน หนิงเฟิ่งมีความเร็วเป็นหนึ่ง เคลื่อนไหวหลีกกายเล็กน้อยก็หลบพ้น
////ฉึก////
ตลอดหลายปีที่ได้รับการสั่งสอนจากมหาเทพหนิงหลง หนิงเฟิ่งมิได้ตั้งใจศึกษาเท่าที่ควร นางเพียงคิดเห็นเป็นเรื่องเล่นสนุก แต่ถึงอย่างนั้นมหาเทพหนิงหลงก็จริงจังกับการฝึกเสมอ ยามที่มีอาวุธร้ายพุ่งมาหมายตัดลมหายใจ โลหะเงาวับสะท้อนแสงเพียงครู่ ก็สามารถหลบหนีจากการโจมตีได้มิลำบาก
ทั้งหนิงเฟิ่งและเซียนซู่จิ่น ต่างมองไปยังเจ้าของทวนสามง่ามที่ปักอยู่บนพื้น ผู้มาใหม่เป็นบุคคลสวมเกราะเงาวับ และสิ่งเคลื่อนไหวสี่ขาสีดำอีกหนึ่ง
หงส์น้อยส่งคำถามให้ทางสายตา ก่อนเสียงหัวเราะเบาจะหลุดออกมาเรียกโทสะจากผู้มาใหม่
“หึๆ”
“บังอาจนัก! เจ้าปีศาจร้าย ถือดีอย่างไรมาอาละวาดบนสวนสวรรค์” เขาผู้นั้นตะคอกกลับเสียงดังกังวาน
ดวงตาคมปลายหางชี้ขึ้น จ้องนางตาไม่กะพริบ
หนิงเฟิ่งจ้องมองตอบอย่างไร้ความยำเกรงเช่นกัน มองสำรวจผิวเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อผ้า ผิวขาวนวลสว่าง รูปร่างสูงโปร่งคมคาย ใบหน้างดงามแต่มิได้อ่อนหวาน บุคคลตรงหน้า จะมองให้งามก็งามไม่เท่าพี่ซู่จิ่น พอเทียบกับเทพสุริยะก็มิได้องอาจน่ายำเกรง หากพินิจดูแล้วออกจะงดงามมากกว่า แม้จะไม่อ่อนหวานเท่าไหร่ คงเป็นพี่สาวอีกคนสินะ
“หนิงเฟิ่งมิใช่ปีศาจ เอ๊ะ แล้วปีศาจคือสิ่งใดกัน” เด็กน้อยตอบไปตามความคิดที่มี
“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า” เห็นชัดว่าผู้มาใหม่ไม่ประสงค์สนทนาต่อ เขาเรียกทวนที่ปักอยู่กลับไปถือ แล้วพุ่งทะยานเข้ามาพร้อมลมปราณหนัก หงส์น้อยกระโดดถอยหลังหลบการโจมตี เตรียมตั้งรับ มือป้อมปลดผ้าผูกผม ปล่อยเส้นไหมสีแดงทิ้งตัวกลางหลัง ผ้าผูกผมกลายเป็นแส่ยาวสีดำตลอดเส้น ตวัดรับทวนแหลมที่ส่งมาทันควัน
“ท่านเทพเอ้อหลาง คือว่า” องค์หญิงซู่จิ่นมองตามซ้ายขวา พยายามอธิบาย
“องค์หญิงโปรดหลบไป” เทพหนุ่มเอ่ยขัด ก่อนจะหันไปโจมตีหนิงเฟิ่งอีกครั้ง
เซียนซู่จิ่นยังสับสนคล้ายไม่แน่ใจ จะขวางเทพเอ้อหลางก็ใช่ที่ ด้วยไม่แน่ใจที่มาเด็กคนนี้ จะปล่อยเลยไม่ช่วยเหลือก็ใจร้ายเกินไป
เด็กตัวเท่าเอวไหนเลยจะทนศาสตราวุธเทพได้ กำลังเด็กหรือจะสู้จอมทัพสวรรค์ หนิงเฟิ่งมิอาจต้านพลังที่โถมเข้าใส่ จึงเลือกส่งปราณเข้มเข้าขัดขวาง
เทพเอ้อหลางยังมิทันป้องกัน ด้วยประมาทปีศาจน้อย เสียสมาธิถูกแย่งทวนสวรรค์ไปจากมือ
“ตัวท่านก็โต หน้าท่านก็งาม คงเป็นพี่สาวอีกผู้กระมั่ง เหตุใดถึงไม่สนทนาเอาความก่อนส่งอาวุธมาฆ่าฟันเล่าเจ้าคะ?” เด็กน้อยได้ทวนมาถือ แล้วทะยานหนี มองเห็นเทพคนงามหน้าตางอง้ำไม่พอใจ
เด็กผมแดงตรงหน้ามีพลังปราณแข็งแกร่ง ปีศาจตนนี้ขวัญกล้าต่อกรกับเขา ทั้งยังบังอาจเรียกขานเป็นพี่สาว หยามเกียรติยิ่งนัก
เทพเอ้อหลางไม่เจรจาตอบ กลับทะยานตามหลังนางไม่ลดละ ทั้งสองเหาะออกมาไกลจากเขตสวนท้อ เทพหนุ่มร่ายเวทย์โจมตีไม่เว้นช่องให้หลบ แต่เด็กน้อยก็สามารถหลบหลีกได้ทุกครั้ง ยามหนิงเฟิ่งส่งพลังกลับ ก็เป็นเห่าฟ้าที่ไม่อาจหลบพ้น ถูกลูกไฟสายหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บ
“เหอะ งามรึก็ไม่สู้พี่ซู่จิ่น นิสัยก็ร้ายกาจ หนิงเฟิ่งเริ่มหงุดหงิดแล้วนะ” เด็กน้อยหมุนตัวเผชิญหน้า ฟาดแส้ให้บังเกิดเป็นเปลวไฟล้อมเอ้อหลางและเห่าฟ้า เทพเอ้อหลางเห็นท่าไม่ดี จึงส่งดวงจิตสั่งให้ทวนสามง่ามในมือของหนิงเฟิ่งเปลี่ยนเป็นมังกรพันธนาการนางไว้
หนิงเฟิ่งไม่ทันไหวตัวก็ถูกทวนสามง่ามคืนร่างเป็นมังกรเงินรัดกายแน่นหนา
“พี่สาวใจร้าย เหตุใดไม่สู้ซึ่งหน้า รังแกหนิงเฟิ่งเช่นนี้ไม่ละอายบ้างหรือ” เด็กน้อยเริ่มหัวเสีย หน้าตาบึ่งตึง ตอบโต้ด้วยวาจาเผ็ดร้อน
“สามหาวนัก! ปีศาจร้ายมีโทษลักลอบเข้าสวรรค์ อีกทั้งขโมยลูกท้อของเจ้าแม่หวางหมู่ ซ้ำยังกล้าดูหมิ่นข้าเทพเอ้อหลางผู้เป็นจอมทัพสวรรค์”
“เหอะ สู้กันมิรู้แพ้ชนะ ใช้เล่ห์กลเช่นนี้กล้าเอ่ยเต็มคำว่าเป็นจอมทัพ แม้หนิงเฟิ่งจะไม่เข้าใจนักแต่ก็พอคิดได้ว่าท่านไม่คู่ควร”
“เจ้า!” เทพเอ้อหลางระเบิดโทสะแรงกล้า สั่งมังกรเงินปลดปล่อยหนิงเฟิ่งจากพันธนาการ คืนร่างกลับมาหาตน
“คิดว่าแน่นักก็เข้ามา!” นับว่าการประลองระหว่างจอมทัพและหนิงเฟิ่งพึ่งจะเริ่มต้น
“ดี!” เด็กน้อยอารมณ์ร้อนยังคงฟาดแส้เพลิงไม่อ่อนข้อ เอ้อหลางชี้ทวนโรมรันไม่ยั้งมือ ทั้งสองส่งอาวุธใส่กันไม่ไว้หน้า ดีที่ทั้งสองประลองกันนอกเขตตำหนัก ไม่มีบุคคลอื่นเข้าสอดมือ
“เจ้าปีศาจร้าย เหตุใดถึงมาอาละวาด ตอบมา!” ปากถามแต่มือไม่หยุด ทั้งสองยังคงปล่อยกระบวนท่ามือเท้า แส้ไฟพาดตรงมาพันเอวหนา เป็นเทพหนุ่มใช้พลังอัสนีตัดขาด ส่งผลให้หงส์น้อยเสียหลักเซล้ม
“ใจร้าย!” หนิงเฟิ่งล้มฟาดไปกับพื้น ความเจ็บปวดทางร่างกายมิเท่ากับโทสะที่เขาทำลายอาวุธของบิดาเสียหาย นัยน์ตาสีดำค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
หนิงเฟิ่งสิ้นสติชั่วขณะ นางถือกำเนิดเป็นหงส์เพลิง แต่ก็มีปราณน้ำในร่าง ยามที่มิอาจควบคุมดวงจิตของตน ร่างเล็กส่งฝ่ามือออกพร้อมกับปล่อยโซ่น้ำแข็งผูกรัดคู่ต่อสู้ เอ้อหลางที่รับฝ่ามือเพลิงไม่ทันระวัง ถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้อีกครา
“เจ้าปีศาจร้ายปล่อยข้า!” เอ้อหลางยังคงออกคำสั่งเสียงดัง ใบหน้าคมคายเชิดขึ้นอย่างโอหัง
“คำก็ปีศาจ สองคำก็ปีศาจ หนิงเฟิ่งเป็นหนิงเฟิ่งมิใช่ปีศาจ ท่านทำลายแส้ที่ท่านพ่อให้ข้า ท่านต้องชดใช้” โซ่เหล็กจากน้ำแข็งเปลี่ยนเป็นเพลิงแดงลุกลามเข้าใกล้ หวังเผาไหม้ดวงจิตเทพ เด็กน้อยไร้สตินัยน์ตาไร้แวว จุดหมายคือชำระแค้น ขณะที่เพลิงปราณเข้าใกล้ก็ปรากฏแสงจ้า เป็นผลให้ดวงตามืดบอดชั่วครู่ ปลายโซ่จึงหลุดจากมือ
“โอ๊ย” แสงนั้นเกิดจากตาที่สามของเทพเอ้อหลาง แม้โซ่จะหลุดจากมือหนิงเฟิ่ง แต่ไฟปราณยังคงลุกไหม้มิอาจดับ เทพหนุ่มหยัดยืนมั่นคงแต่มิอาจปลดโซ่ออกจากตัวได้เอง พลังเนตรทิพย์แสดงร่างจริงของเด็กน้อยเป็นหงส์ไฟไร้ขน น่าขบขัน แต่มิอาจมองเป็นเรื่องตลกเมื่อไฟปราณยังคงเผากาย
“เจ้าปีศาจหงส์ไฟไร้ขน รูปจริงอัปลักษณ์ยังกล้ามาต่อกรกับสวรรค์”
“อย่ามาว่าหนิงเฟิ่งนะ เจ้าสามตา” ยามตาที่สามเปิดออก หนิงเฟิ่งจึงได้สติรับรู้อีกครั้ง
“เจ้าเด็กน้อยไร้มารยาท ชาติกำเนิดสูงกลับริเป็นปีศาจขโมยของ” หงส์ไฟคือเผ่าพันธุ์สูงส่ง นับเป็นสัตเทวะในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้ไม่ใช่เผ่าเมืองสวรรค์แต่ก็มีปราณบริสุทธิ์แกร่งกล้าบำเพ็ญกายในป่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ประพฤติตนไร้มารยาทเช่นนางแน่แท้ จิตมารคงชักนำให้นางเป็นปีศาจร้าย ขวัญกล้าขึ้นมาอาละวาดบนสวรรค์ เอ้อหลางได้ปักธงในใจ
“ไม่จริง ๆ หนิงเฟิ่งไม่ได้ขโมย เป็นพี่สาวให้ข้ากิน”
“อย่างไรเจ้าก็มีโทษลักลอบเข้าแดนสวรรค์โดยไม่ได้รับอนุญาต”
“หนิงเฟิ่งเข้ามาด้านหน้าประตูถูกต้อง ไม่มีผู้ใดห้าม ไม่ถือว่าลักลอบ” นางเข้าตามตรอก ตามประตู จะว่าหลบเลี่ยงก็มิใช่ เซียนพิทักษ์ล้วนเห็นขนนกสีแดงที่เป็นร่างแปลงทั้งคู่ ผิดที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ใส่ใจเอง
ระหว่างที่ทั้งสองโต้เถียงได้ไม่กี่คำ ก็ปรากฏปราณน้ำคุ้นเคยดับไฟให้เอ้อหลาง หนิงเฟิ่งรับรู้ถึงพลังปราณพลันชะงักงัน ค่อยหันมองด้านหลังช้า ๆ
“คารวะมหาเทพหนิงหลง” เป็นจอมทัพสวรรค์เห็นผู้มาใหม่ ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือ จึงค่อมกายเคารพมหาเทพบรรพกาล
หนิงเฟิ่งได้ยินนามก็ตัวแข็งทื่อ
เป็นบิดาของนางไม่ผิด ด้านหลังยังมีท่านลุงหยางผิงยืนอยู่ รวมทั้งพี่ซู่จิ่นและบุคคลอื่นอีกมากมาย
ความรู้สึกผิดพึ่งจะปรากฏขึ้นในหัว ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้มหาเทพหนิงหลง
มหาเทพหนิงหลงได้มิเอ่ยสิ่งใด เพียงพยักหน้ารับการคารวะ เทพสุริยะได้โอกาสแทรกกายเข้ามาดึงรั้งนางออกจากสนามประลอง
“เสี่ยวเฟิ่ง เจ้าหาเรื่องได้ใหญ่นัก ไหนรับปากข้าว่าจะไม่ตามมา แล้วนี้เจ้า...” หยางผิงเอ่ยตัดพ้อ แต่ยังตำหนิไม่จบคำ หงส์น้อยก็เอ่ยขัด
“หนิงเฟิ่งเพียงบอกไม่ให้ท่านพามา แต่ข้าตามท่านมาย่อมไม่ผิด” เด็กน้อยยังคงเจรจาหน้ายิ้ม แต่มิวายเหลือบมองบิดาเป็นระยะ ๆ
“ลักลอบเข้าสวรรค์ เป็นความผิด” มหาเทพยังนิ่งงัน มีเพียงเทพสุริยะที่ร้อนรน เพราะเขาที่ต้องรับผิดชอบ
ตามมาไม่เท่าไหร่ แต่ไปมีเรื่องกับเทพเอ้อหลางนี้สิ เขาได้แต่กุมขมับ
“ลักลอบอย่างไร หนิงเฟิ่งเข้าทางประตู”
“บังอาจ! เจ้าเด็กปีศาจไม่ยอมรับผิดอีกรึ” เอ้อหลางที่มิอาจทนฟังเด็กน้อยแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ขัดขึ้น
“นางมิใช่ปีศาจ ข้าขอแก้ความเข้าใจผิดนี้” ฝ่ายหยางผิงเอ่ยสุภาพ แต่เอ้อหลางก็รับรู้ถึงน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจอยู่
เทพสุริยะถือเป็นเทพปฐมเคารพชั้นสูง นางรู้จักกับเทพสุริยะไม่ผิดแน่ ทั้งยังเอ่ยวาจาสนิทสนม คงมิใช่ปีศาจ แต่ด้วยรูปลักษณ์และปราณแข็งกล้า อันตรายนัก
“ขออภัยที่ผู้น้อยเข้าใจผิด แต่นางบุกเข้าสวรรค์นั้นผิดกฎ”
“หนิงเฟิ่งไม่ผิดนะเจ้าคะ สอบถามบุคคลที่พบหน้าประตูก็ได้ ทั้งสองเห็นข้าและไม่ได้เอ่ยทัดทาน”
เชอะ เจ้าสามตาน่าชังนัก ทำกิริยาแข็งกระด้างใส่ท่านลุงแล้วยังหาเรื่องนางไม่ลดละ
หงส์น้อยคล้ายรู้สึกไม่ถูกชะตา อยากหาเรื่องคนตรงหน้าให้หงุดหงิด
“ว่าอย่างไร เซียนพิทักษ์ทิศอุดร” เสียงกังวานมิคุ้นเป็นบุรุษชุดเหลืองกล่าว จะนับว่ามาใหม่มิได้เพราะยืนมาแต่ต้น เพียงพึ่งเอ่ยปากเท่านั้น ไม่นานเซียนสองก็ก้าวมาคุกเข่าเบื้องหน้าประมุขสวรรค์
เมื่อครู่เทียนจวินได้รับรายงานว่ามีผู้บุกรุกเขตแดนทิศอุดร ในรายงานระบุว่าเทพเอ้อหลางรับผิดชอบก็ไม่ใส่ใจ
เพียงคล้อยหลัง ทหารยามอีกหนึ่งก็รายงานว่ามหาเทพเหนือกาลเดินทางมาเยือนสวนสวรรค์ เขาจึงเดินทางมาต้อนรับ แต่เทียนจวินก็มิได้คิดว่ารายงานทั้งสองเรื่องจะเกี่ยวข้องกันวุ่นวายเช่นนี้
“จริงเช่นนางกล่าว พวกข้าเห็นขนนกแดง ซึ่งเป็นร่างแปลงของนางมิผิด” เซียนพิทักษ์สารภาพความผิด พวกเขาละเลยเพราะเห็นว่าเป็นเทพสุริยะ
“เห็นมั้ยเจ้าคะท่านลุง หนิงเฟิ่งมิได้ลักลอบ” เด็กน้อยกอดแขนออดอ้อน
เทพสุริยะหรี่ตามองหนิงเฟิ่ง ก่อนจะครุ่นคิดกับตนเอง สถานการณ์เช่นนี้ หากเข้าข้างนาง ตำหนักสุริยะถูกลบออกจากบันทึกสวรรค์เป็นแน่ แต่ถ้าไม่ หนิงเฟิ่งจะต้องมาพังตำหนักเขาอีก เมื่อไม่มีทางใดแล้วเทพสุริยะเลือกหุบปากเงียบ รอมหาเทพออกหน้าแทน
“กฎสวรรค์ให้เจ้าล้อเล่นได้รึ ผ่านเซียนพิทักษ์แล้วอย่างไร โทษขโมยท้อสวรรค์เล่า” เอ้อหลางเห็นว่าเทียนจวินยังมิกล่าวโทษ จึงประกาศความผิดของนางให้เทพเซียนโดยรอบได้รับรู้
“เป็นพี่สาวให้มา หนิงเฟิ่งมิกล้าขโมย” เด็กน้อยมองหาพี่ซู่จิ่นเพิ่มน้ำหนัก
เซียนสาวก้าวเท้าคุกเข่าเคารพผู้เป็นใหญ่ เอ่ยว่า
“เป็นความจริงเจ้าค่ะ ซู่จิ่นกระทำโดยพลการ มิตรองให้ทั่ว ผู้หลานผิดไปแล้ว ขอเทียนจวินประทานโทษ”
ประมุขสวรรค์มองเซียนสาวตรงหน้าสลับกับองค์มหาเทพ เทพเหนือกาลยังคงมิเอ่ยปาก เขาก็มิกล้าตัดสินใจ แม้จะเป็นประมุขสวรรค์ แต่ไหนเลยจะสู้เหล่าเทพบรรพกาลได้ อดีตหลายหมื่นปีก่อนตัวเขายังเวียนว่ายบำเพ็ญตบะ มหาเทพหนิงหลงก็ปกครองดูแลสามภพแล้ว เป็นถึงองค์ชายสี่ของเผ่ามังกรโอรสแห่งมหาเทพผู้สร้าง ผู้ปกครองแดนเหนือกาลที่ทรงฤทธิ์ ค่ำจุนภพภูมิดีรักษาสมดุลสามภพ ประมุขสวรรค์เช่นเขาต้องเกรงใจหลายส่วน
“หนิงเฟิ่งไม่ได้โกหก เป็นพี่สาวผู้นี้ที่วู่วาม โจมตีไม่เจรจา” หงส์น้อยได้ทีคิดว่าตนรอดพ้นความผิด เอาเรื่องชำระความระหว่างนางและเทพตรงหน้า ท่านลุงได้แต่ดึงรั้งไม่ให้พูด มีรึหนิงเฟิ่งจะยอม ท่านพ่อมิได้ตำหนิแค่ทำหน้านิ่งเย็นชานิดหน่อย พี่ซู่จิ่นก็เข้าข้างนาง เทียนจวิน? ชุดเหลืองก็ไม่ตำหนินางสักคำ
“สามหาว!” ได้ยินคำกล่าวยั่วโทสะของเด็กน้อย ในมือหนาปรากฏทวนเงินขึ้นอีกครั้ง เมื่อความอดทนขาดผึง ทั้งสองเข้าโรมรันทันที หนึ่งเทพ หนึ่งสุนัขเร่งกายเข้าประชิดชิงความได้เปรียบ
“หยุดนะหนิงเฟิ่ง ท่านลุงขอร้องเจ้าแล้ว” เทพสุริยะเอ่ยขวางการปะทะ
“นี่อย่างไร จู่โจมไม่ถามไถ่อีกแล้ว” เด็กน้อยมีไฟกรุ่นอยู่ คล้ายรอตั้งรับตลอดเวลา เนื่องด้วยแส้เพลิงถูกทำลาย หนิงเฟิ่งจึงใช้กระบวนท่ามือเท้า ลูกไฟส่งจากมือเล็กกระทบเต็มอกเห่าฟ้า ไฟร้อนลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องตกใจของเทพเซียนดังขึ้นรอบวงเป็นระยะ หลีกทางให้ทั้งสองต่อสู้กัน
ความวุ่นวายดำเนินต่อได้เพียงครู่เดียว
ยามชายผ้าสีดำสะบัดเล็กน้อย ไฟร้อนก็ดับสิ้น
เมื่อเทพบรรพกาลขยับกายก็ถึงเวลาจบเรื่องเสียที ทวนสามง่ามถูกผลึกกลับคืนเป็นพัดจีนตกที่พื้น ส่วนเห่าฟ้าวิ่งไปหาเจ้านาย เทพหนุ่มถูกพลังปราณผลักออกไม่อาจเข้าใกล้หงส์ไฟได้อีก เกิดกำแพงแก้วกั้นขวางทั้งคู่ เด็กน้อยตัวลอยตามลมมาคุกเข่าตรงหน้ามหาเทพ เหล่าเทพเซียนที่แตกตื่นกลับอยู่ในความสงบ รอคำพิพากษาจากเทพบรรพกาล
ตุ๊บ! เทพสุริยะคุกเข่าลงเคียงข้างร่วมรับผิด
ในใจเอ่ยเพียง แย่แน่ แย่แน่
“ขอมหาเทพลงโทษที่ต้นเหตุ หยางผิงผู้นี้ มิอาจดูแลนางให้อยู่ในกรอบได้” แต่มหาเทพกลับมิได้ชายตามองเทพหยางผิง ตาคมเพียงจ้องมองเด็กน้อยตรงหน้า
“หนิงเฟิ่ง” คำแรกที่เอ่ย เหล่าเซียนเทพคล้ายหยุดหายใจ
“ท่านพ่อ ลูก...” รอบข้างกลับมีเสียงอื้ออึงขึ้น เด็กสาวนามหนิงเฟิ่งเรียกขานมหาเทพเหนือกาลว่าบิดา ไม่ขวัญกล้าก็เสียสติ เพิ่มความระทึกขึ้นอีกห้าส่วน
“ขออภัยเทียนจวินที่คนของข้ามาก่อกวน” คล้ายไม่อยากฟังคำเอ่ยของเด็กน้อยอีก มหาเทพประสานมือขออภัย
เทียนจวินกำลังตกตะลึง ไม่คิดว่ามหาเทพจะหันมากล่าวกับตน ละล่ำละลักโค้งกลับ มิอาจรับความเคารพจากผู้สูงส่งได้
“มิได้ๆ เรื่องกฎก็มีอยู่ คนของผู้น้อยผิดก็เห็นชัด ขอมหาเทพพิจารณาโทษ” คนของเขาก็มิทันเล่ห์ของนาง อีกข้อที่สำคัญ นางเรียกมหาเทพว่าบิดา ต้องเป็นคนใกล้ชิด เรื่องนี้เขามิขวัญกล้าตัดสิน ยื่นอำนาจให้มหาเทพจัดการเสียจะได้ไม่ผิดใจกับแดนเหนือกาล
“ผิดว่าตามผิด หนิงเฟิ่งรับคำสั่ง” น้ำเสียงเยือกเย็นกล่าวคำพิพากษา
“เจ้าค่ะ” แม้อยากเถียงใจจะขาด แต่แววตาแข็งกร้าว ตรึงร่างมิให้นางขัดขืน
“ศิษย์แดนเหนือกาลทำผิด ออกนอกเขตไม่ได้รับอนุญาต บุกรุกแดนสวรรค์ กัดกินท้อวิเศษ ก่อความวุ่นวาย ไม่รู้ต่ำสูง รับโทษจองจำ ณ ตำหนักหั่วชิง พันปีไม่ข้ามเขตแม้เพียงก้าว งดน้ำอาหารทิพย์ ทบทวนความผิด ตัดขาดจากนอกดินแดน” มหาเทพเอ่ยความผิด แม้ไม่ยอมรับก็ต้องรับคำ เทพเซียนรอบด้านต่างเวทนาเด็กน้อยโดนจองจำ อีกหนึ่งก็เห็นสมควรตามมหาเทพผู้เที่ยงตรง มีเพียงเทพสุริยะที่รู้ตื้นลึกหนาบาง มองว่าเป็นผลดีแก่เด็กน้อยเสียมากกว่า
หนิงเฟิ่งตะลึงกับการงดน้ำอาหารเป็นที่สุด ได้แต่ส่งสายตาอ้อนวอนท่านลุงข้างกาย
“เซียนซู่จิ่นกระทำผิดด้วยไม่รู้ เพราะมีต้นเหตุจากเด็กน้อย ตัวข้ามิอาจลงโทษ ขอเพียงองค์หญิงสละเวลามาเป็นผู้คุมดูแลหนิงเฟิ่งรับโทษ” วาจาศักดิ์สิทธิ์ไม่ถือสา กลับเหมือนกล่าวโทษ ผู้คุมก็เหมือนถูกจองจำไปพร้อมกัน มิน่าเห็นแก่ตาใสๆ
เซียนซู่จิ่นโอดครวญในใจ
“ซู่จิ่นน้อมรับเจ้าค่ะ”
“เทียนจวินเป็นพยาน วันนี้ตัวข้าหนิงหลงรับหงส์เพลิงตนนี้เป็นศิษย์” ผู้ได้รับเกียรติกะทันหันได้แต่มองซ้ายขวา ด้วยมิอาจเดาใจมหาเทพ
“ตามประสงค์ท่านแล้ว” แม้สงสัยที่มาของหงส์เพลิง แต่ไหนเลยจะกล้าขัดวาจาศักดิ์สิทธิ์
“คำนับซือฝุ (อาจารย์) เจ้าสิ” หยางผิงได้สติตอบรับความคิดมหาเทพ กดหัวเด็กน้อยโขลกคำนับอาจารย์
เป็นศิษย์มีอาจารย์ เป็นคนมีผู้ปกครอง นางทำผิดเป็นมหาเทพมีสิทธิ์ลงโทษ กฎของนางคือทำตามคำสั่งหนิงหลงไท่จวิน รอดพ้นทัณฑ์สวรรค์ และมหาเทพยังคงเที่ยงตรง ยุติธรรม มิเอนเอียง แม้จะมีเค้าลางความวุ่นวายก่อตัวก็เถอะ
“ซือฝุ” เป็นคำใหม่ที่รับรู้ แม้ไม่เข้าใจนักแต่หงส์น้อยก็พร้อมจดจำ
ความคิดเห็น