คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : - take me home : chapters - 025 { 100% }
- Aunyong -
chapters – 025
“คุณไม่เป็นไรนะ” เสียงหวานทักขึ้นหลังจากพี่อี้ชิงออกไปแล้ว เขารู้สึกเป็นห่วงชายตรงหน้าที่เพิ่งรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของพี่ชายและพอซึ่งเคยอคติกันมาก่อน คนตัวเล็กทำได้เพียงยิ้มบางเป็นกำลังใจให้ สายตาหม่นทอดมองอาหารตรงหน้าแล้วคิดว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลานั่งทานข้าว
ครอก...
แต่ผมกำลังหิวง่ะ
อาหารตรงหน้ามันล้อตาล้อใจ ถึงจะเป็นเพียงข้าวยำแบบเกาหลีแบบพื้นเมืองรสไม่จัดจ้านแต่น่ากินมาก คนตัวโตไม่ยอมกินเอาแต่ซึมแบคฮยอนไม่รู้จะปลอบใจยังไงดีนี่นา...เพราะเขาเองก็เสียใจเหมือนกัน
“หิวก็กินดิวะ” ลู่หานเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งแรกในหลายนาทีที่ผ่านมา ตัวเล็กเบ้ปากเหมือนอยากจะร้องไห้อีกรอบพอเห็นหน้าหล่อๆมันห้ามไม่อยู่จริงๆ
“ฮือ คุณเงยหน้าแล้วเหรอ ผมนึกว่าคุณก้มหน้าขาดออกซิเจนตายไปแล้วซะอีก” ว่าแล้วแบคฮยอนโน้มตัวไปสวมกอดแผ่วเบาด้วยความดีใจ คนอายุมากกว่าเห็นแบบนั้นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หน้าตามู่ทู่ยังกับปลาทู
“กินข้าว”
“กินด้วยกันนะ”
“อื้อ กินข้าวด้วยกันเถอะว่ะ ฉันก็หิวเหมือนกัน” พูดจบร่างสูงคว้าเมนูมาอ่านพร้อมเรียกบริกร การกระทำปรับเปลี่ยนเร็วจนแบคฮยอนแทบตามไม่ทัน
“คุณหายดราม่าแล้วเหรอ” อารมณ์แบคฮยอรกำลังมาพอดี แต่อีกคนกลับหายเศร้าไปเสียเฉยๆ
“อื้อ...โทษทีว่ะ พอดีเป็นคนเปลี่ยนเร็วยกเว้นเรื่องแฟนมีคนเดียวก็พอแล้ว”
งื้ออออ แบคฮยอนไม่อยากกิน!!
ข้าว!
“เสร็จจากนี้แล้วไปไหนต่อดี” ลู่หานขาดเข็มขัดนิรภัยก่อนหันมาขาดให้คนตัวเล็กบ้าง แรกๆทำมันโรแมนติกดีอยู่หรอก หลังๆทำเพราะว่าแบคฮยอนเป็นหมูอืดทำอะไรก็ชักช้าไปเสียหมดแต่ดีแล้วลู่หานรักหมูของเขาอยากดูแลเหมือนแบคฮยอนดูแลเขา
“หมูคิดว่าไง อยากไปไหนรึเปล่าวันนี้ฉันว่าง” ถามเสร็จก็ยิ้ม อมยิ้มแบบว่า...
“คุณอ่ะ! ผมไม่ใช่หมูนะ”
“เมื่อกี้ใครสั่งข้าวเพิ่ม ไหนจะกิมจิชิเก” สารถีหนุ่มออกตัวพร้อมฟังบ่นจนหูแฉะ คนข้างๆยังไม่เลิกบ่นเลยจนกระทั่งรถออดี้คันเดิมค่อยๆเข้าไปในอาคารหนึ่ง
แบคฮยอนมองตามอย่างไม่เข้าใจนักเพราะสถานที่นี่ไม่ใช่ทั้งห้างไม่ใช่ทั้งบ้าน คิ้วบางเลิกขึ้นเชิงถามแต่กลับไร้คำตอบเมื่อรถหยุดลงชั่วคราวตรงหน้าป้อมยามทางเข้าที่จอดรถ ร่างสูงคนขับกดลดกระจกลงเผยให้เห็นใบหน้าของลุงยามชายวัยกลางคน เขาขอบัตรประชาชนก่อนลู่หานจะหยิบออกจากกระเป๋าสตางค์ให้ดู เท่านั้นแหละผู้รักษาความปลอดภัยก็เปิดทางให้เข้าพร้อมทำความเคารพ
“เชิญเลยครับคุณลู่”
คนตัวเล็กขมวดคิ้วเป็นเกลียวไม่เข้าใจสักเท่าไรกับบ้านทำสายพานส่งออกที่ใครเห็นนามสกุลก็รู้จักกันหมดเหรอ คนตัวโตเลี้ยวรถเข้ามาให้ลานจอดรถใต้อาคารที่สว่างจากไฟนีออนสีขาวก่อนเข้าไปโซนวีไอพี ดวงตาเล็กๆเบิกกว้างกับภาพตรงหน้ารถราคาเจ็ดหลักแปดหลักจอดเรียงยาวแล้วลู่หานก็ดันจอดออดี้ตัวเองเทียบ
“คุณที่นี่ที่ไหนอ่ะ” หน้าตาแตกตื่นหันขวับไปถาม ปากอ้ากว้างแล้วกอดหมอนแน่น
“แบคฮยอน...” อินทีเรียหนุ่มจอดรถดับเครื่องเสร็จก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย “ทำไงต่อดี”
เขารู้สึกสมองมันตื้อคิดอะไรไม่ออกจนรู้ตัวว่าขับมาเส้นทางของผู้เป็นบิดาและพี่ชาย จะว่าช็อคหรือตกใจก็ไม่ใช่แต่ออกไปทางรู้สึกแย่ขัดแย้งกับความหยิ่งแล้วต่อต้าน ถามแต่ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้นล่ะทั้งที่รู้เหตุผลกหาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง เขาเกลียดที่ลึกๆอิจฉาพี่ชายที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่น ตลอดหลายปีเขาทนคามกดดันไปเพื่ออะไร?
เขาไม่รู้จริงๆ...ว่าถ้าเจอหน้าควรปั้นแบบไหนเพราะเขาอ่อนแอเกินไป
“ทำตามที่คุณคิดนั้นแหละมันมาจากใจจริง อีกฝ่ายก็จะรับรู้ถึงความจริงใจนั้น”
“ขอบใจนะ”
“ฮี่ๆ นี่ใครนี่แบคฮยอนนักเขียนพันล้าน” คนตัวเล็กเผยยิ้มเล็กๆแสนสดใสเรียกกำลังใจให้อีกคน
“ขี้โม้อีกแล้ว” ยื่นแขนไปรั้งคออีกคนเข้ามาฟัดแก้มสักฟอดเพิ่มกำลังใจ “ป่ะ...ไปกันเถอะ”
“ไปลุยกันเล้ย!”
อื้ม ว่าไปนั้น ลุยเล้ยอะไรกันมาติดแหงกอยู่ตรงแผนกประชาสัมพันธ์เหมือนเด็กหลงแบบนี้
พอลู่หานบอกพนักงานว่าตัวเองเป็นใคร หญิงสาวหน้าประชาสัมพันธ์ก็โค้งศีรษะให้อย่างมีมารยาทพร้อมบอกจะนำทางให้ แต่คงให้เด็กกะโปโลอย่างแบคฮยอนที่แต่งกายไม่สุภาพและเป็นคนนอกขึ้นไปข้างบนด้วยไม่ได้ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่ได้เกี่ยงหรือน้อยใจอะไร จริงๆนะ สุดท้ายเลยจบลงกับการนั่งตากแอร์เย็นๆฟังเสียงนาฬิกาเดิน มองไปเรื่อยๆเผื่อเจออะไรดีๆไปเขียนนิยายเห็นอย่างนี้แบคฮยอนน่ะรอเก่งนะ
“สวัสดีค่ะคุณอี้ชิง” เสียงพนักงานสาวกล่าวทักทายเลขาหนุ่มหน้าหวาน
“สวัสดีครับ อ้าวนั่นแบคฮยอนรึเปล่า” อี้ชิงเดินตรงมาทางน้อยชายคนใหม่ของเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “ว่าไงตัวเล็ก พี่นึกว่ากลับบ้านแล้วซะอีก”
“สวัสดีครับพี่อี้ชิง”
แบคฮยอนตัดสินใจบอกเรื่องราวทั้งหมดว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คนฟังก็ทำหน้าตาแตกตื่นจากที่ก่อนหน้าง่วงนอนไปธนาคารก็แทบหลับ ยิ่งเรื่องของลู่หานอีกมุมที่ไม่รู้พอได้ฟังก็บอกได้คำเดียวว่า
พี่น้องนิสัยเหมือนกันเด๊ะ!
“งั้นแบคฮยอนขึ้นไปกับพี่ดีกว่า” อี้ชิงส่งฝ่ามือมาให้อีกคนจับทว่าแบคฮยอนกลับส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่เป็นไร “ทำไมล่ะ”
“ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย ขึ้นไปมีแต่ผู้ใหญ่ผมว่าคงไม่เหมาะ”
“นั้นสิค่ะ ประธานบอกชั้นบนคนนอกห้ามเข้า” ประชาสัมพันธ์สาวเอ่ย
“ขึ้นได้ครับ นี่แบคฮยอนน้องชายผมแล้วก็...คนสนิทของลู่หานด้วย”
ตลอดทางเดินเต็มไปด้วยความเงียบเชียบหากเป็นแต่ก่อนเขาคงชินและอยู่กับมันได้ ทว่ากลับไม่ใช่เวลานี้ยามที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยคนชื่อลู่หาน เดินไปเรื่อยๆก็พบกับทางแยกเป็นสองทาง
“รู้สึกจะอยู่ห้องริมสุดล่ะมั้ง พี่ไม่เคยขึ้นมาถึงชั้นนี้เลย”
“เอ๊ะ หรือจะห้องนั้นครับ” แบคฮยอนชี้ไปยังโต๊ะตัวหนึ่งไร้ผู้คนตั้งอยู่หน้าห้อง “อาจจะเป็นเลขา”
“จริงด้วยสิ...” ว่าแล้วก็เดินไปดูด้วยกันก่อนจะรับรู้ว่านี่แหละห้องประธาน
“เอาไงต่อดีครับ”
“แอบฟังกัน” อี้ชิงบอกด้วยท่าทางสบายๆ ควานหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อสูท
“งั้นทำแบบในหนังเหรอครับที่เปิดแง้มๆแล้วฟัง”
“ไม่ใช่ มีแต่ในหนังเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่องอะ ประตูห้องแบบนี้แง้มก็มีเสียงแอ๊ดแล้ว เราต้องใช้งานเจ้านี่!” อี้ชิงดึงบางอย่างออกมาจากช่องใส่ด้านในเสื้อสูทสีเทาอ่อนพร้อมกล่องสีเขียวแก่ รูปหน้ากล่องทำเอาแบคฮยอนเหวอ
“พี่จะใช้ไอ้นี่แอบฟังเหรอครับ” คนตัวเล็กมองแบบอึ้งๆ
“ใช่เลย พี่ดูซีรี่ย์มาเมื่อวานเห็นเขาดักฟังด้วยเจ้านี่พี่เลยว่าจะซื้อมาแอบฟังคริสว่าคุยอะไรกับลูกค้าเขานานสองนาน” ถึงเขาจะไว้ใจแต่ก็อยากรู้อยู่ดีนั้นแหละ
พี่ใหญ่นั่งลงยองๆลับๆล่อๆอยู่หน้าบานประตูฝั่งขวาไม่ลืมกวักมือเรียกน้องชายให้นั่งด้วยกัน แบคฮยอนชั่งใจนิดหน่อยก่อนทิ้งตัวลงข้างๆกันทางฝั่งขวา ไม่นานนักก็เอาหูแนบสนิท อี้ชิงทดสอบดูหูฟังหมอสเตทโทสโคปที่สอยมาเมื่อบ่ายแก่
“ได้ยินมั้ยครับ” ปากเรียวเอ่ยถามกระซิบแหบแห้งพี่ชายที่ยังจับพิกัดทางของเสียงไม่ได้ อี้ชิงส่ายหน้ากับอุปกรณ์แพทย์
“ยังไม่ได้เลย” รูปปากบอก แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อความยาวสาวความยืดกับน้องชาย ประตูก็เปิดออกมาเสียก่อน
ผัวะ!
“อั่ก!”
ประตูไม้กระแทกเข้ากับสองพี่น้องอย่างจังดังปัก เสียงโอดโอยคร่ำครวญต่อจมูกแดงแปร๊ดทว่ากลับถูกกลบด้วยเสียงของสองพ่อลูกตระกูลลู่ สองหนุ่มหน้าสวยยกมือขึ้นลูบหน้าผากลากยาวถึงปลายจมูก ถูๆสักพักจนเริ่มชาก็หันไปสนใจบทสนทนาต่อ ทั้งสองคนยังคงไม่ทันสังเกตเห็นสองร่างหลังบานประตูใหญ่ฝั่งขวาเพราะกำลังเถียงกันอย่างออกรส
กรรม! ไหงลู่หานตั้งใจมาขอโทษพ่อพร้อมคุยกันดีๆเกิดทะเลาะมีปากเสียงกันเสียได้ “ไม่! พ่อไม่ช่วยผมก็อยู่ได้เหมือนกัน” ลู่หานเถียงออกไปไม่ย่อหย่อน
“เหอะ! อย่างแกถ้าไม่มีฉันเป็นที่พึ่งคงทำอะไรไม่ได้นั้นแหละ ไอ้ลูกไม่รักดี!”
“หึ...ตอนแรกผมคิดว่าจะพูดดีๆกับพ่อแท้ๆ แต่เพราะอารมณ์พ่อเวลาคุยกันมันคุยกันไม่รู้เรื่อง พ่อเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่สุดไม่รับฟังความคิดเห็นของใครเลย พ่อกลับบ้านทีไรมันร้อนไปหมดเพราะพ่อไม่ยอมเอาใจเขามาใส่ใจเราไงล่ะ! เอะอะก็โวยวายหงุดหงิดแล้วคนรอบข้างเขารับความทุกข์มาได้มั้ยก็เปล่า ทำไมไม่ผ่อนคลายแล้วทำจิตใจให้สงบเสียบ้าง หยุดบังคับกันสักที พ่อบอกเป็นหวงผมผมเข้าใจ พ่อรักผมผมก็เข้าใจแต่ทำไมพ่อไม่เชื่อใจแล้วเข้าใจอะไรผมเลย เอาแต่ว่าเอาแต่ดุเหมือนกับผมไม่ใช่ลูก ถ้านี่คือการแสดงออกพ่อผมคงให้ศูนย์และถ้าให้พูดมากกว่านั้น....” ลู่หานหยุดพักหายใจ ใช่...เขากำลังโกรธ! “ผมไม่เห็นรู้สึกสักนิดว่าพอรักผมจากใจจริงไม่ใช่ผลประโยชน์ในอนาคตของตัวเอง”
“ลู่หาน นี่แก!”
เพี๊ยะ!!
ผู้เป็นพ่อยกฝ่ามือหนากระทบข้างแก้มเต็มแรงจนคนโดนตบหน้าหันตามทิศพร้อมเซถลาเสียหลักนิดหน่อยแต่ก็ยังคงทรงตัวยืนได้อยู่ ใบหน้าชาดิกจนรู้สึกเจ็บปวดแก้มเนียน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากทุกคนต่างหากกันหยุดชะงักกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“แบคฮยอน!” สองเสียงประสานกันมั้งลู่หาน อี้ชิง
แบคฮยอนวิ่งเข้ามาขวางการกระทำของผู้เป็นพ่อคนรักได้ทันท้วงทีก่อนทุกอย่างที่พยายามกันมาจะพังพินาศ ลู่หานต้องโกรธมากจนไม่รับฟังอะไรแน่ๆ
“เจ็บมั้ยหนู ลุงขอโทษ” เสียงชายวัยสี่สิบแปดเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะเมื่อกี้โทสะทำให้เขาตบเต็มแรง ไม่รู้เจ้าหนุ่มนี่วิ่งมาจากไหนขวางไว้แทน
“ไม่ครับ” แบคฮยอนหันมายิ้มทั้งที่รู้สึกว่าแก้มตัวเองมันบวมๆ
“แบคฮยอนเจ็บมั้ย” ลู่หานถามเสียงพร่าพร้อมกอดกระชับแบคฮยอนเข้ามาใกล้ๆเพื่อดูรอยมือแดงเถือกโดยไม่แคร์สายตาคนเป็นพ่อว่าจะคิดอะไร
“ไม่ผมไม่เป็นไรเลย” แบคฮยอนยิ้มกว้างแบบสดใส ก่อนผละออกเพราะมันไม่ดีเลยถ้าจะทำอะไรต่อหน้าผู้ใหญ่ คนตัวเล็กเลือกยิ้มให้พี่ชายแล้วหันมาประจันหน้ากับคุณลุงพ่อของลู่หาน
“...”
“คุณลุงครับ ผมอยากให้คุณลุงกับลู่หานดีกัน ถึงผมจะเป็นคนนอกแต่การที่ทนเห็นพ่อกับลูกทะเลาะกันแล้วรู้สึกแย่ ทุกวันนี้คุณลู่หานเขารักคุณลุงแล้วรอวันที่คุณลุงจะเปิดรับในสิ่งที่เขาเป็น โชว์ผลงานให้คุณพ่อของตัวเองดูในวันสำเร็จการศึกษา อยากให้คุณลุงรู้ว่าเขาทำได้”
“แบคฮยอน” ลู่หานขัดขึ้นแล้วขมวดคิ้วเชิงติเตียน
“แต่ว่าทุกวันนี้เขารู้สึกเหงาเวลากลับบ้าน เขากังวลและไม่เป็นสุขกลัวทำให้คุณลุงไม่พอใจ เขาคิดไปเองว่าคุณลุงไม่รักเขา เวลาเราทะเลาะกันผมคิดเสมอว่าหากวันหนึ่งเราจากกันช่วงเวลาที่มัวแต่ทะเลาะกันทำไมเราไม่ใช้อยู่ด้วยกันอย่างมีค่า...เดี๋ยวก็จากไปแล้วสักวัน”
คริสหอบแรงหลังจากพนักงานประชาสัมพันธ์รายงานว่าอี้ชิงพาแบคฮยอนบุกห้องประธาน ลู่หานก็มาด้วยเหมือนกัน กลัวจะเกิดเรื่องเลยวิ่งมาเต็มที่...แล้วเจอเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แบคฮยอนวิ่งเข้ามาขวางศึกสองพ่อลู่ตระกูลลู่
“...เฮ้อ ลุงนับถือในความบ้าบิ่นของเรามาก...ชื่ออะไรนะ แบคฮยอนใช่มั้ย”
“คะ..ครับ” แบคฮยอนตอบเสียงสั่นเมื่อนึกได้ว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่
“ลุงขอโทษจริงๆ...เรื่องตบหน้าลุงยั้งมือไม่อยู่” คุณลู่เอ่ย เขารู้สึกผิดมากที่กระทำรุนแรง จริงอย่างที่ลู่หานบอกว่าเขาอารมณ์ร้อนและไม่นึกถึงตัวเองเลย... “ไปหาหมอดีมั้ย”
“ไม่ครับ ผมไม่เป็นอะไร แต่อยากจะขอร้องคุณลุง”
“หื้ม ว่ามาสิ”
เขาสิ่งยิ้มกว้างให้กับเด็กกล้าหาญคนนี้ที่กล้าบุกขึ้นมาแล้วขัดศึก พูดจากล้าแกร่งไม่เกรงกลัวใดๆเพื่อความถูกต้อง ปกป้องลูกชายของเขาไม่ห่วงตัวเอง...
“ได้โปรด...” แบคฮยอนไม่ปล่อยจังหวะทิ้งขว้าง ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “เชื่อใจในตัวเขาแล้วให้เขามีเวลาพิสูจน์ตัวเองจนสำเร็จ...ถึงตอนนั้นอยากให้คุณลุงกอดเขาสักครั้ง”
“ได้สิ...ฉันสัญญา” เอ่ยออกมาบางเบาก่อนจะมองเลยไปยังคนต้นเหตุที่ประคบประงมคนตัวเล็กตรงหน้าจนเผยไต่ออกมาให้จับได้ “ฉันให้โอกาสอีกครั้ง...ทำให้เต็มที่ล่ะ ครั้งนี้ฉันจะไม่ช่วยแกอีก”
แบคฮยอนฉีกยิ้มกว้างตลอดทางเดินมาลานจอดรถ พอพ้นสายตาพนักงานคนตัวโตข้างกายก็คว้ามือเขาไปกุมไว้แน่นจนกระทั่งขึ้นรถลู่หานถึงยอมปริปากพูดแต่ผิดคาดเกินไปหน่อย
“ยิ้มบ้าไรวะ ไหนหันหน้ามาดูดิ๊” มือหนารั้งใบหน้าของอีกคนให้หันมาหา จับปลายคางหันแก้มกลมๆที่บวมแดง “บวมขนาดนี้ยังยิ้มอยู่ได้” ลู่หานหยิกแก้มกลมอีกข้างด้วยควาหมั่นไส้
“ก็ผมมีความสุขนี่นา” แบคฮยอนพูดไปยิ้มไป
“เหอะ เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ คราวนี้หลังไม่ต้องมาทำตัวพระเอกเลยเข้าใจมั้ย ฉันต่างหากที่เป็น”
“ตรงไหน? เชอะทำคุณบูชาโทษแท้ๆ แทนที่จะขอบคุณหรือว่าชวนไปกินมื้อเย็นเป็นดินเนอร์หรูๆกันมั้ย ชิชะ”
“อยากกินจริงดิ งั้นไปกินกันป่ะเมื่อกี้ไม่อิ่มเลยวะ” ลู่หานสตาร์ทเครื่องพร้อมขาดเข็มขัดนิรภัยให้คนรักและตัวเอง แบคฮยอนเหมือนหมูอืดที่รอรับบริการจากคนกระเป๋าตังหนัก หมูโง่ด้วย...วิ่งเอาหน้ามารับมือพ่อเขา ดูสิ! แก้มกลมๆหน้าดึงบวมแล้วเขาจะไปหอมแก้มที่ไหน ข้างเดียวไม่พอใจหรอกนะ...ถ่อว
“จริงคุณ โหยข้าวเขาให้น้อยไปป่ะ” แบคฮยอนโวย
พอสบายใจท้องไส้ก็หิว
“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้กินอะไรที่อิ่มๆแน่นท้องไม่แพงกัน”
“มันมีเหรอ?” แบคฮยอนขมวดคิ้ว
“มีสิ...รับรองอร่อยถึงเช้า”
แบคฮยอนทำหน้าเหยเกพอถึงสถานที่สำหรับมื้อเย็น ห้างสรรพสินค้าคงเป็นตัวเลือกที่ดีอ่ะนะ...แต่นั่นลู่หานเขาเดินข้ามหลายร้านไปแล้ว ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่ามื้อนี้มันไม่ใช่อาหารร้านหรูดินเนอร์ใต้แสงเทียนแล้วล่ะ คนตัวโตหยุดชะงักเมื่อแบคฮยอนหยุดเดินพร้อมส่ายหน้าเบ้ปากคล้ายจะงอแง
“ไหนว่าดินเนอร์หรู” ดึงแขนเท่าไรแบคฮยอนก็ไม่ปล่อยให้ลากเข้าไปได้หรอก!
“อย่าดื้อดิวะ เนี่ยพามาสั่งแหลกจ่ายถล่มเลยไง อยากกินอันไหนก็เดินไปหยิบมาใส่ตะกร้าแล้วจ่ายเงินไปทำกินเองที่บ้าน” ลู่หานไม่แยแสกับการต่อต้านของคนรักเลยสักนิด เขาเดินอาดๆเข้าไปด้านในซุปเปอร์ทิ้งนักเขียนโหวงเหวงกลางฝูงชน
อะไรอ่ะ!
แม้จะปวดหัวตุบๆเหมือนไมเกรนจะมาเยือนแต่พอคนตัวเล็กได้ปลาแซลม่อนลดราคามาไว้ในกำมือสองแพ็คก็ยิ้มร่าลืมว่าคาดโทษลู่หานอยู่ เขาไปฝึกปรือฝีมือการแย่งชิงมาได้สักพักเพื่อวันนี้!
ลู่หานอดยิ้มขำกับหน้าตาบ้าบอบ๊องบวมของนักเขียนผู้จะโด่งดังในอนาคตไม่ได้ เดินข้างกันมือมันต้องไปดึงแก้มเด้งๆอีกข้างที่ไม่บวมด้วยความหมั่นไส้
ฟัดแม่ง!
“ดีใจจังเนอะกะอีแค่ตบตีเขามาได้เนี่ย”
“หึ ไม่เหมือนกันหรอกอะไรที่มันพยายามสุดๆแล้วได้ผลตอบแทนนั้นแหละถึงเรียกว่าการชนะอย่างแท้จริง” แบคฮยอนเปรยพลางหยิบถุงผักสลัดใส่ลงในตระกร้ารถเข็น
เดี๋ยวนี้เจ้าของบ้านตัวจ๋อยถนัดเรื่องจับจ่ายข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจนบางทีมาหยอดไว้ที่ห้างก่อนไปทำงานก็ได้ของถูกต้องครบถ้วน ส่วนเกินก็มีมาเยอะกว่าของใช้ด้วยบางที พวกขนมกินแล้วโง่ อ้วน บั่นทอนสมองและอีกหลากหลายข้อเสีย
ลู่หานรู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวไปหมด ปัญหากับพอและพี่ทุเลาลงจนตอนนี้ความรู้สึกโกรธค่อยๆจางหาย เขาอยากใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เคียงข้างกันไปตลอดเส้นทางข้างหน้า ถ้ามีแบคฮยอนเขาต้องทำได้แน่
“คุณเอากุ้งด้วยป่ะ” แบคฮยอนเอาศีรษะกลมๆถูไถแกมออดอ้อนเพื่อขอซื้อกุ้งตัวใหญ่ถอดหางไปเปลี่ยนแทนกุ้งตัวใหญ่ที่เนื้อมีอยู่นิดเดียว เปลือกก็แข็งหนาก็หนาแกะยากจะตายชักไม่รู้กินไปได้ยังไง “น้าๆ ดูสิถุงหนึ่งได้เยอะแยะเลยกินแล้วกรุบๆเด้งๆเต็มปากไม่ต้องแกะเอง”
“ว่าล่ะ ไอ้จอมขี้เกียจเอ่ย จะเอาก็เอาแต่ไม่ต้องเอากุ้งฉันออกนะ” ลู่หานกอดเอวอวบเบียดกายไปยืนข้างกันเพราะโซนนี้มันหนาว ตัวติดกันจะได้อบอุ่น
“อุ่นจัง”
“เถิบมาอีกนิดดิ อ้วนแล้วแขนโอบเอวไม่หมดเลยว่ะ ฮะๆ” คนโตกว่าโดนตีไปหนึ่งที
“ความจริงคุณมาเดินด้วยกันมันดีกว่าตอนเดินคนเดียวอีก” แบคฮยอนพูดขึ้นลอยๆ เขาคิดว่าเวลาเดินเลือกของกับคนรักมันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
“ปากหวานจัง แฟนใครวะเนี่ยไหนหอมที” เมื่อก่อนจำได้คนตัวเล็กยังนั่งในรถเข็นร้องไห้งอแงจะเอาขนมอยู่เลย
ทั้งคู่เดินหยอกล้อกันไปเรื่อยตลอดการซื้อมื้อเย็นพร้อมขนมจิปาถะเต็มรถเข็น สายตาใครคนหนึ่งกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆตั้งแต่ต้น จะฟ้าบันดาลให้เขามาหรืออะไรก็ช่างที่ทำให้คุณนายลู่เห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคำพูดทุกประโยกและการกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาเธอ มือไม้เริ่มสั่นเทากับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แฟนงั้นเหรอ?
ตอนแรกเขาคิดจะว่าจะแวะไปหาสามีเธอซึ่งบริษัทอยู่ไม่ไกลจากห้างนี้ แต่ได้ยินเลขาบอกว่ามีแขกมาเธอเลยเลือกเดินเล่นซื้อของในห้างเสียก่อนนานทีจะออกจากบ้านทำให้เดินเล่นเพลินจนกระมั่งเจอลูกชายสุดที่รักกับแบคฮยอน...เด็กที่เธอเอ็นดู
“คุณผู้หญิงค่ะ...” คุณแม่บ้านใหญ่เอ่ยสะกิดให้หลุดออกจากภวังค์เมื่อคุณหนูของเธอเดินพ้นสายตาเราไปแล้ว บอกเลยว่าเธอเองก็ตกใจกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“อื้ม...ฉันจะกลับบ้าน” คำตอบรับสั้นๆพร้อมหันหลังออกไปจากตรงนี้ คุณแม่บ้านวางตระก้าจับจ่ายของทางห้างลงกับพื้นแล้ววิ่งตามนายเธอไป
แย่แล้วคุณหนู...
คุณนายลู่เดินดิ่งขึ้นห้องไม่พูดไม่จาอะไรกับใครทั้งนั้น แม้กระทั่งแม่สามีที่เดินสวนกันในบ้าน หล่อนกำลังโกรธและเก็บงำพายุร้ายเอาไว้...
“นี่ เธอจะรีบไปไหนเล่าแม่คุณ นิทำไมแม่ลู่หานถึงหน้าบูดขนาดนั้น” คุณย่าเอ่ยถามคุณแม่บ้านซึ่งออกไปด้วยกันมา
“เอ่อ...คือว่า...”
ลิ้นชักบริเวณหน้ากระจกถูกเปิดออกอีกครั้งหลังจากวันนั้นได้รูปมาเธอก็เก็บที่นี่ตลอด มือเหี่ยวย่นเล็กตามกาลเวลาดึงรูปออกมาจากซองสีน้ำตาล...ช้าๆ...และกระจ่างแจ้ง!
ลูกเธอ...เป็นแฟนกับผู้ชาย...
“ไม่...มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น...ฉันจะไปถามเขาเอง”
“นี่ตกลงเย็นนี้คุณจะทำอาหารเองจริงใช่ปะ” แบคฮยอนถามขณะมือยังจัดเก็บของให้เรียบร้อย
“เออ หมูเชิญไปอาบน้ำก่อนเลยขอรับ เซบาสเตียนคนนี้จะจัดดินเนอร์สุดหรูให้” ลู่หานว่าพร้อมแกะกล่องแซลม่อนเนื้อปลาสดๆออกจากห่อ “รีบอาบล่ะที่รัก”
“ขนลุกอะ!” เสียงตะโกนลงมาจากชั้นบนเรียกเสียงหัวเราะร่าออกมา
มื้ออาหารหรูสุดถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย แสงเทียนสลั่วๆถูกจุดขึ้นพร้อมปิดไฟแถบห้องนั่งเล่นจนมืดสนิท...มีเพียงแสงไฟที่สว่างสไหวในเวลาต่อมา แบคฮยอนทานอย่างละเมียดละไมเพื่อซึมซับรสชาติความหอมอร่อยของสเต็กปลาแซลม่อนอบขิง ไหนจะน้ำสลัดทำเองนี่อีก
“อร่อยอ่า คุณน่าจะรับหน้าที่ทำอาหารไปนะ”
“เหอะ ไหนรางวัลครับคุณหนู?” ลู่หานเอ่ยถามก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์
“งื้อ...ไม่มีอะ เดี๋ยวให้นอนกอดน้า ทำให้กินอีกน้า”
“งั้น” ร่างสูงหยัดตัวขึ้นสูงแล้วเดินอ้อมโต๊ะเล็กมาหาแบคฮยอน “หอมแก้มก่อน”
“อื้อ” เจ้าของบ้านรับคำอย่างง่ายดาย ปกติเวลาอ้อนไม่หอมแก้มก็แก้มถูกไหล่ กดหอมไปหนึ่งฟอดให้หายเหนื่อย
“มื้อต่อไปจะทานอะไรกันดี” เสียงแหบพร่า
“จะไม่มีมื้อต่อไปอะไรอีก!!”
เสียงเยือกเย็นตะเบ่งในลำคอทำเอาสองคนทั้งผู้อาศัยกับเจ้าของบ้านสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นมาเจอกับใครสักคนแสนคุ้นเคยในความมืด...ไม่...สามคนเลยต่างหาก
“ม๊า!”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปเอาตัวลูกชายฉันมา” คำสั่งของนางพญาทำให้ชายหนุ่มร่างทึกทึนรีบเดินมากระชากร่างสูงของอินทีเรียหนุ่มไม่ให้ดิ้นหลุด “งามหน้ามากมั้ยล่ะ กอดจูบซุกไซร้กันไม่อายฟ้าอายดิน หยอกล้อกันนอกสถานที่เป็นพวกรักร่วมเพศน่าขยะแขยงสิ้นดี”
“ม๊า! ผมบอกให้หยุด” ลู่หานพยายามสลัดแขนออกจากพันธนาการจนขับรถและขนสวนแล้ว แต่กำลังต่างกันเกินไป
“ไม่หยุด! ม๊าเสียใจกับแกมากนะลู่หาน ม๊าไม่ชอบเลย ไม่ชอบให้ลูกม๊ามารักกับไอ้ผู้ชายเพศเดียวกันเหมือนคนผิดปกติแบบนี้! ฮือออม๊ารับไม่ได้ ไม่รับอะไรทั้งนั้น” เธอพูดทั้งน้ำตาและนั่นเป็นครั้งแรกที่ลู่หานทำผู้เป็นมารดาเสียใจมากขนาดนี้ ราวกับจะสิ้นใจซะเดี๋ยวนั้น
“ฮึก!” แบคฮยอนยืนนิ่งกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ เขากำลังรับผิดอยู่ในตอนนี้
“ฉันเลี้ยงลูกชายฉันมาตั้งนานจนกระทั่งเขาโต ฉันตามใจเขาทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะเลือกอะไรฉันก็ไม่เคยห้ามเพราะคิดว่ากลัวเขาควรจะมีทางเลือกชีวิตเป็นของตัวเอง แต่มันไม่ใช่แบบนี้! เข้าใจมั้ย...ฉันทนไม่ได้จริงๆ ฮืออ ทำไมลูกชายฉันเป็นแบบนี้” หล่อนทรุดลงกับพื้นกระเบื้องแสนเย็นเชียบเหมือนหัวใจของแม่ที่คิดว่าลูกจะมีชีวิตปกติดีค่อยๆหายไป แบคฮยอนรีบเข้ามาพยุงทันที ทว่า “อย่ามาโดนตัวฉัน!! นังเด็กบ้า”
“ม๊า”
“คุณ...ป้า” แบคฮยอนอึ้งกิมกี่ยังงุนงงไม่หาย เขาพยายามรวบรวมสติให้มากแล้วไม่ร้องไห้ออกมาง่ายๆ แต่ทุกอย่างกลับพัง
หายไปแล้วความรักและเอ็นดูเด็กคนนี้...
“กลับ ฉันจะกลับบ้าน ลู่หานกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เธอยันตัวลุกขึ้นเองพร้อมสะบัดมือแบคฮยอนออกอย่างรังเกียจ
“ไม่ผมไม่กลับ!”
เราแค่ปล่อยมือกันใช่มั้ย
แต่เราไม่ได้ทิ้งกันใช่มั้ย
คุณไม่ทิ้งผมใช่มั้ย...
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น