ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #8 : - take me home : chapters - 007 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 57






     

    - Lovesick -


     

    chapters – 007

     
     

     

     

               แกร๊ง  แกร๊ง

     

                เสียงนาฬิกาปลุกรุ่นโบราณสีเงินตีกระดิ่งสองข้างสลับไปมาดังระงมทั่วห้องนอนสีขาว  คนที่นอนหลับอุตุอยู่บนเตียงนุ่มหนาแสนสบายใต้ผ้าห่ม  ยกแขนปัดป่ายไปมาตามสัญชาตญาณ  หากแต่ครั้งนี้กลับขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ  ราวกับมีวัตถุบางอย่างมากดทับหรือโอบรัดเอาไว้  ยากแก่การหมุนตัวไปปิดสัญญาณการเตือน  มือยังปัดเคว้งคว้างกลางอากาศ  คนงัวเงียเริ่มอารมณ์เสีย  กรนด่าตุ๊กตาตัวใหญ่ของตัวเองที่น่าจะหล่นลงมาทับตน

     

                น้องสติชตัวหนักจัง!

     

                ร่างเล็กค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆตามปกติ  หากแต่ครั้งนี้ภาพตรงหน้าควรเป็นแสงสว่าง  บรรยากาศภายในห้อง...

     

                ชุดนอน...อกแกร่งที่ตนซุกอยู่  จนชัดเจนแล้วว่าเหตุการณ์เมื่อคืนคงไม่ใช่เพียงความฝัน  หากแต่จับต้องและสัมผัสได้ถึงไออุ่นในอ้อมกอดใหญ่ตลอดทั้งคืน  เจ้าชายขี่ม้าขาวของเขายามเศร้าได้กำเนิดขึ้นแล้ว  แม้บางครั้งจะใจร้าย...

     

     

                สวัสดียามเช้าวันใหม่ที่สุด  หลังพายุผ่านพ้นไปเราจะเป็นสายรุ้ง...

                เดี๋ยวนะ...ต่อจากนี้เขาจะเอื้อมไปปิดหยุดนาฬิกาที่ตนเองตั้งไว้สำหรับตื่นมาทำอาหารเช้าได้ยังไง  แล้ว...แล้วคือ เอ่อ...ถ้าผู้ชายเขานอนกอดกันอย่างนี้  คนที่ตื่นก่อนควรทำไง...แต่อีก...

     

                "เฮ้ย!คุณ  ทำไมเสียงดังขนาดนี้ยังไม่ตื่นอีกฮะ"  ร่างบางเริ่มหมดความอดทนตะโกนขึ้นมา  หวังจะปลุกคนขี้เซาได้บ้าง  "คุณ...ลู่หาน  ร้อน..."  ลองทำเสียงอ่อนดูบ้าง

     

                เอ๊ะ  ไอ้บ้านี่ 

     

                ครั้งแรกแบคฮยอนคิดว่าตัวเองหน้าแดงจนเห่อร้อนขึ้นมา  พอลองซุกหน้าลงไปอีกที  อุณหูมิในร่างกายของร่างสูงส่งไอร้อนออกมามากจนเขาสัมผัสได้ต่าง

     

                "คุณ  ไม่สบายเหรอ"  พยายามเขย่าร่างที่ไร้สติ  แล้วผละร่างตัวเองออกมาจากอกแกร่งได้สำเร็จ  รีบเขาฝามือทายลงบนหน้าผากตัวเองและของคนตัวโตเพื่อวัดความร้อน

     

                หลังจากรู้ว่าคนตัวโตไม่สบายก็รีบห่มผ้าแล้วจัดท่าทางการนอนให้เรียบร้อย  ไม่ลืมที่จะกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก  เอื้อมมือไปจับหน้าผากขาวซีดอีกครั้ง  ก่อนตัดสินใจว่าต้องเช็ดตัวเสียก่อน

     

               

     

     

     

     

     

     

                ใช้เวลาไม่นานนักสำหรับเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัว  กะละมังพลาสติกสีขาวใบเล็กถูกเติมน้ำจนพอดี  ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนเล็กถูกจุ่มลงจนมิด  แล้วถึงขึ้นมาบิดจนแห้งมาด  ก่อนซับเหงื่อบนใบหน้าที่ขาวซีดขาดเลือดฝาดข้างแต่งแต้มเหมือนวันก่อนๆ  ริมฝีปากหยักสวยแห้งเผือดกับลมหายใจที่หอบหน่วงเป็นช่วงๆ

     

                หนุ่มน้อยเจ้าของบ้านกัดเม้มริมฝีปากแน่น  กังวลใจว่าหากไข้ไม่ลดแล้วจะทำไงดี

     

                "หายไวๆนะคุณ..."  เป็นครั้งแรกล่างเล็กมาทำอะไรแบบนี้ให้กับใครสักคน  เพราะปกติตนเองจะถูกดูแลเสียมากกว่า  ไม่เคยเลยที่ต้องมานั่งเป็นห่วงใคร

     

                เพราะไม่ทันได้ห่วง...ก็จากไปเสียแล้ว

     

                ทิ้งคำพูดแผ่วเบาเอาไว้พร้อมกับกะละมัง  สาวเท้าออกจากห้องนอนพลันนึกเมนูสำหรับคนป่วย  ที่นอกจากข้าวต้มแล้วมีอะไรบ้างที่ทานแล้วจะหายเร็วๆ  เดินนึกไปนึกมาหน้าตู้เย็นที่แทบไม่เหลือของไว้ทำอาหารแล้ว  ก็ไม่พ้นทำข้าวต้มเปล่าๆใส่เหลือให้คนร่างสูงทาน

     

                ก็ในเมื่อวัตถุดิบใช้หมดไปแล้วเมื่อวาน  จะให้ทานไก่วุ่นเส้นผัดซอสคงกะไรอยู่

     

                "อื้ม...ก่อนอื่นข้าวที่หุงไว้เมื่อวานยังอยู่  โอเค...แล้วเทน้ำใส่หม้อ"  พึมพำอ่านสูตรอาหารในมือที่เรียกสั้นๆว่าข้ามต้มเกลือ  พร้อมปฏิบัติตามอย่างคล้องแคล้วด้วยความเคยชิน

     

                พอน้ำเดือดก็ตักเกลือใส่เล็กน้อยพอประมาณกับข้าว  ตามด้วยเทข้าวสวยที่สุกแล้วลงในหม้อช้าๆ  ใส่ทัพพีค้นไปเรื่อยๆพร้อมเบาเตาแก๊สให้อ่อนลง  คนจนกว่าข้าวจะแตกเม็ดจนหนืดคล้ายโจ๊กแต่ไม่เละมาก  รอจนเดือดปุดๆ  แล้วปิดเตาแก๊สให้เรียบร้อย  ยกหม้อลงไปเตรียมพร้อมเสิร์ฟ...

     

                กลิ่นหอมของข้าวโชยขึ้นมาจากหม้อ  ร่างเล็กยิ้มร่าโชคดีเหลือเกินที่ต้มไว้เสียเยอะ  ยิ่งได้กลิ่นแบบนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยรสชาติมันต้องอร่อยไม่มีที่ติ  ว่าแล้วก็ท้องร้อง  แต่ขอไปป้อนข้าวคนป่วยก่อนดีกว่า

     

     

     

               

     

     

     

                แล้วนี่ยังไง  เขาที่ต้องเป็นฝ่ายโกรธคนตัวโตแต่กลับต้องมานั่งดูแล  ป้อนข้าวป้อนยา

     

                "คุณ...ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนเร็ว"  แบคฮยอนสะกิดไหล่คนป่วยเบาๆ  แต่ก็ยังไม่ยอมตื่น  แถมละเมอพูดอะไรงึมงำๆก็ไม่รู้...

     

                พอนั่งลงบนขอบเตียงแล้วทอดมองใบหน้าหล่อเหลานั่นดีๆ  ตอนหมดสภาพนี้เหมือนเด็กตัวโตไร้สิ้นฤทธิ์หมดแล้ว...กวางตัวผู้ตัวใหญ่

     

                "ลู่หาน!  ลุกมากินข้าวก่อนเร็ว  จะได้กินยา"  รู้ว่าป่วยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง  ถ้าไม่ทานยาก็จะไม่หาย  แล้วก็ถ้าไม่ทายข้าวก่อนยาจะกัดกระเพาะรึเปล่าอันนี้ไม่อาจรู้

     

                "...แม่ครับ..."

     

     

                หื้อ?

     

                ร่างบางถึงกับสะดุ้งทันทีที่มื้อหนาหยาบกร้านยกขึ้นมาปัดป่ายไปบนอากาศว่างเปล่า   แล้วก็ไม่รู้ทำไมตัวเองถึงต้องยื่นมือไปจับไว้  คนละเมอกระชับก่อนดึงไปถูแก้มตัวเอง  แล้วเปล่งคำพูดออกมาเบาๆว่า

     

                "อุ่นจัง..."

     

                ความน่าสงสารเกาะกุมเพิ่มพูนจนต้องปล่อยให้จับมือไว้แบบนั้น...จนตัวเองก็เผลอหลับไปข้างคนป่วยด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำอาหาร...

     

                หวังเป็นเพียงแสงสว่างยามเธอเศร้า   หวังคลายเหงายามเธอเปล่าเปลี่ยวแม้นเธอไม่ต้องการก็ตาม



    25%



     

     

                ฮื้อ

                เปลือกตาหนาค่อยๆเบิกกว้างขึ้นช้าๆ  กระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัส  ก่อนจะจับสัมผัสได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม  ฉากผนังสีขาวแล้วก็หลอดไฟ  หันทางขวาก็เป็นตู้เสื้อผ้าของตัวเอง...

     

                เมื่อตั้งสติได้เลยรีบเด้งตัวขึ้นมาจากหมอน  ร่างเล็กกระพริบตาถี่ๆ  หันไปมองข้างตัวเองก็ไร้วี่แววของคนป่วย  มีแต่ร่างตัวเองที่มานอนสบายใจเฉิบแถมยังมีผ้าห่มมาห่มให้ถึงอกอีก  คิดได้ก็ขยุ้มผมตัวเองจนยุ่ง

     

                น่าอายชะมัดเลยแบคฮยอน  มาดูแลเขาดันหลับเสียเอง!

     

                แล้วไอ้คนป่วยนิสัยเสียหายไปไหน? 

               

     

     

     

     

     

                เป็นเพราะเสียงดังโครมครามจากข้างล่าง  ทำให้คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ในใจก็นึกว่าใครจะมาพังบ้านเขารึเปล่า  แต่ภาพที่เห็นดันเป็นภาพของผู้ชายดูดีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวผับครึ่ง  กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหาร 

     

                แบคฮยอนไม่รอช้าให้ความสงสัยคืบคลานเข้ามานาน  ก้าวขาสั้นๆของตัวเองลงบันไดวนแล้วตรงไปยังห้องครัวด้วยท่าทางโงนเงนเพราะลุกเร็ว

     

                "ไง  ตื่นแล้วเหรอ"  ลู่หานทักทายด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ผิดจากเมื่อคืนวานลิบลับ  ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

     

                "ท  ทำอะไรอยู่"  เพราะโกรธหรือว่าอายที่เผลอหลับทับคนป่วยไม่รู้ 

     

                "ทำข้าวเที่ยง  เห็นนอนหลับสบายเลยไม่อยากปลุก"  พูดไปก็ผัดอะไรบางอย่างลงในกะทะไป  ไม่สนใจจะเงยหน้ามามองคนตัวเล็กที่หน้าบูด  ยู่ปากเล็กน้อย  ที่เห็นชามตัวเองว่างเปล่าวางอยู่บนเค้าเตอร์

     

                นี่คงรีบลุกขึ้นมาเททิ้งสินะ  กลัวเราเห็นล่ะสิ!

     

                "..." ร่างบางยกมือขึ้นมาถูแขนแก้เก้อ  ก่อนจะนึกอะไรออกมาได้ก็โพลงถามออกไป  "นี่แล้วคุณหายแล้วเหรอ  ทำไมลุกขึ้นมาทำกับข้าวเองงี้อ่ะ"  ตกอกตกใจเพราะเห็นคนป่วยที่ตัวเองดูแลอยู่ทำหน้าที่แทน

     

                "หายแล้ว..."  พูดปกติก่อนจะไอกระแอมเสียงดังจนแบคฮยอนจิ๊ปากใส่คนอวดเก่ง "มีหมอดีก็เงี่ย"

     

                จบประโยคของร่างสูง  ร่างเล็กก็รู้สึกว่าหน้าขาวๆของตัวเองร้อนเห่อโดยไม่มีสาเหตุ  ดวงตาใสเบือนหน้าหนีไปทางอื่น  หลบอาการเขิน...

     

                งื่อ...

     

                "แล้วก็...เมื่อวานนี้  ขอโทษนะเว้ย  ที่พูดรุนแรงแบบนั้นออกไป..."  เอ่ยคำขอโทษตะกุกตะกัก  เพราะคนตัวสูงเอง  น้อยนักที่จะได้พูดคำนี้แบบจริงใจ...ปากหนักยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ  เขินมากถึงมากที่สุด  แต่ก็พูดที่เตรียมตัวไว้แล้วให้หมด  ไม่คิดจะเงยหน้าไปมองคนที่รอรับคำขอโทษเลยสักนิด  ก็เขิน "ขอบใจที่รอทานข้าว...แม่งอร่อยดีว่ะ  แต่เย็นไปนิดเลยต้องอุ่น  อุ่นในไมโครเวฟแล้วน้ำมันดันแห้งซะงั้น  เลยต้องมาอุ่นในกระทะ  เอ่อถ้าอุ่นพวกผัด  อุ่นในกระทะ...เห้ย!?"

     

                อะไรที่ทำให้ขาสองข้างวิ่งไปกอดคนตัวสูงจากด้านหลัง  แจนเล็กสองข้างกอดรอบคอแกร่งแน่น  ใบหน้าหวานยิ้มทั้งน้ำตา  ซบลงกับแผ่นหลังกว้างจนน้ำตาไหลซึมเสื้อสีขาว  ความตื้นตันใจมันจุกอกแน่นจนพูดไม่ออก  รู้แค่ว่าอบอุ่นจนไม่อยากให้หายไป  อยากกอดไออุ่นนั้น

     

                คิดถึง...เหมือนความรู้สึกที่ห่วงใยมันกำลังถ่ายทอดออกมาในซึ่งกันและกัน 

     

                "คุณ...ขอบคุณนะ"

     

                ลู่หานตัวแข็งไปเสียแล้ว...เขาได้แต่ยืนนิ่งๆให้เด็กขี้แยร้องไห้ไปเรื่อยๆ  โดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น  อีกทั้งหัวใจที่เต้นระส่ำยากจะควบคุมนั่นอีก...

     

                พอขอโทษแล้วมันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง...

     

                หื้ม...  กลิ่นอะไร

     

                คนตัวสูงที่จิตหลุดรีบดึงสติกลับมาทันที  ที่เสียงแบคฮยอนดังขึ้น  ก่อนจะสูดจมูดฟุดฟิดๆ

     

                "เฮ้ย!! คุณ  วุ้นเส้นไหม้!!"

     

     

     

     

     

     

     

                จบความวุ่นวายในครัว  เหมือนทั้งสองคนจะลืมเรื่องราวร้ายๆที่ผ่านพ้นไปเสียสนิท  จนตอนนี้รู้สึกว่ากระชับมิตรกันมากขึ้น  ดังที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า  'บางครั้งมิตรภาพจะแน่นแฟ้นได้  เกิดจากการทะเลาะกัน  เพื่อที่จะเข้าใจกันมากขึ้น'

     

                "นี่สงสัยฝีมือผมพัฒนาขึ้นอ่าคุณ  รสชาติโคตรอ่ะ"  เคี้ยวข้าวไปคุยโวไป  แม้คราบน้ำตากับตาแดงปูดยังคงทิ้งร่องรอบเอาไว้ให้ร่างสูงหัวเราะเล่นก็ตาม

     

                "ตลกล่ะเหอะ  ทำได้แค่นี้ยังถือว่าเบๆไปไอ้หนู"  คีบข้าวสวยคำโตเข้าปาก  เคี้ยวตุ้ยๆไม่แพ้กัน  เพราะเมื่อวานทั้งคู่ไม่มีใครอาหารตกถึงท้องเลย  ถึงแม้ลู่หานจะซัดข้าวต้มชามโตไปแล้วก็ตาม

     

                คนถูกเรียกว่าไอ้หนูชักสีหน้าใสทันที 

     

                "แหมลุง  กินๆไปเถอะครับ"  สรรพนามรุ่นพ่อถูกยกขึ้นมาใช้ทำให้คนตัวสูงถึงกับฉุนกึก  แต่ไม่ทันจะเอ่ยปากพูด  ร่างเล็กก็ยู่ปากหน้าบู่ทู่ใส่เสียก่อน  "นี่คุณ  ทิ้งข้าวต้มผมเหรอ"

     

                ถามคำถามที่ยังคาอยู่ในใจ  ข้าวที่พวกเขาทานอยู่ตอนนี้ก็คือข้าวต้มอืดขึ้นหม้อจนกลายเป็นข้าวสวย...บางทีมันอาจจะดูไม่น่ากิน...เวลาตักใส่ถ้วยไปให้คนตัวสูง  ไม่รู้ว่าแบคฮยอนกลายเป็นคนขี้น้อยใจไปเมื่อไหร่กัน  รู้สึกว่าตัวเองนิสัยเสียมากเกินไป...

     

     

                "คิดมากว่ะ  กินไปหมดแล้วไม่เหลือสักเม็ด...อร่อยดีเพิ่งเคยกิน"

     

                แค่นั้นคนตัวเล็กก็ยิ้มร่า  แล้วไม่ได้ถามซอกแซกอะไรเมื่อได้คำตอบที่พอใจ 

     

     

     

                "เอ่อนี่คุณ  บ่ายนี้ผมไม่อยู่นะ"  พ่อบ้านจำเป็นยืนล้างจานอยู่บอกกับคนตัวสูงที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะกินข้าว

     

                ชิจะเก๊กทำไมวะ  อยู่กันแค่สองคน

     

     

                "ไปไหน?"  ถามขึ้นอย่างอยากรู้

     

                ก็จะไปไหนได้วะเนี่ย...เอ๋อชิบหาย

     

                "อื้ม  ไปเอาต้นฉบับคืนอ่ะ  อาจจะกลับเย็นๆ"  เช็ดไม้เช็ดมือเรียบร้อยเสร็จ  ก็เช็ดเค้าเตอร์  ซิงค์น้ำที่เปียกโชก ก่อนกล่าวต่อ  "เห็นว่าถ้าไม่ไปเอาวันนี้เขาจะขอโลกทิ้ง...  แต่ก็ดีนะคุณ  ปกติเขาไม่คืนต้นฉบับกันหรอกสำนักพิมพ์อ่ะ  สงสัยคงเอ็นดูผมขึ้นมานิดๆล่ะมั้ง ฮะๆ" พูดไปก็ยิ้มไป  ยกเว้นสายตาที่แสนเศร้าสร้อย  จนคนที่จ้องอยู่ตลอดถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ  ก่อนจะตัดสินใจบางอย่างแล้วพูดออกไป

     

               

     

                "เดี๋ยวไปส่ง"  พูดแค่นั้นก็ลุกออกจาเก้าอี้ทันที

     

                "ฮะ  ว่าไงนะ  เฮ้ยคุณจะไปส่งจริงเหรอ"  รอยยิ้มหวานถูกฉายกว้าง  รีบวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผม

     

                บางทีมื้อเย็นนี้อาจจะได้กินของดีแบบวันนั้นก็ได้  คิคิ  ใครจะไปรู้

     

                ใช้เวลาไม่นานมากนัก  แบคฮยอนก็เดินลงมาพร้อมเสื้อเชิ้ตสายทางสีฟ้าอ่อนตัวหลวม  กับกางเกงสี่ส่วนสี่น้ำตาลอ่อน  กลิ่นแป้งเด็กหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ  ทำให้ลู่หานต้องหันมามองใบหน้าหวานที่เปื้อนรอยยิ้มจนหุบไม่อยู่อยู่บ่อยๆ  ก่อนคว้ากุญแจรถแล้วออกไปรอข้างนอก  ทิ้งไว้เพียงร่างเล็กวิ่งวุ่นปิดประตูหน้าบ้านหลังบ้านจนเสร็จ

     

                ตัวก็เล็กเป็นเด็ก  ยังใช้แป้งเด็กอีก

     

                คิดไว้แค่นั้นคนที่แอบนินทาอยู่ในใจก็เปิดประตูรถขึ้นมานั่งข้างคนขับตามความเคยชิน  พลันสายตาเหลือบไปสบเข้ากับถุงอะไรสักอย่างที่ข้างในเหมือนมีถังใบเล็กๆกับฝาปิดสีส้มปิดไว้อย่างดี  นัยน์ตาดำเพ่งอ่านตัวอักษรหน้าถุงพลาสติกใสสีแดงที่กรีสอยู่หน้าถุง  จนเมื่อรถแล่นออกจากซอยหน้าหมู่บ้านได้สักพัก  ก็อ่านออกทันที

     

                'ไอศกรีม'

     

                "นี่ๆ  ทำไมมีถังไอศกรีมมาวางอยู่ในรถล่ะคุณ"  อาการอยากรู้อยากเห็นแปะหราบนในหน้าหวาน  

     

                "เออ  เมื่อวานแวะกินอร่อยดีเลยซื้อมาฝาก  แต่ชั่งเหอะมันเน่าไปล่ะมั้ง  ไว้ถึงแล้วหยิบลงไปทิ้งให้ด้วยนะ"  สั่งงานเสร็จก็หันกลับไปขับรถต่อเช่นเดิม  แต่มีบ้างที่เหลือบมาดูสีหน้าเศร้าๆของคนตัวเล็ก

     

     

                พอได้ยินว่าเป็นของตัวเอง...ที่กำลังจะถูกทิ้งมันโหวงๆแปลกๆ

     

                "อื้อ  ไว้จะเอาไปทิ้ง"  พูดแค่นั้นก็หันออกไปทางกระจกรถ  จนบรรยากาศเงียบเฮียบกลับมาอีกครั้ง  ได้ยินเพียงเสียงแอร์ที่ดังวี้ด

     

                "อย่าเศร้าดิเว้ย  เดี๋ยวพาไปกินเลยเนี่ย  เสร็จจากเอาต้นฉบับก็ว่าจะพาไป"  ง้อคนไม่เป็น  ทำได้แค่นี้แหละลู่หาน!

     

     

                ก็แล้วทำไมต้องง้อด้วยวะกู !!  เชี่ยกูเป็นอะไรไป?

     

     

                "จริงนะ  เลี้ยงมื้อเย็นด้วยดิคุณ  ที่บ้านไม่มีของทำอาหารแล้วอ่ะ  กว่าจะกลับบ้านไปซื้อของมาทำเสียเวลา" 

     

                "ได้คืบจะเอาศอกเหรอฮะ  เวรจริง"  พ้นคำหยาบคาบออกมาไม่หยุดหย่อน

     

                "ปากร้าย  ชิชะ"  บ่นงุบงิบแล้วเบ้ปากหันไปทางอื่น

     

                "เออก็ได้ว่ะแม่ง!  ฉันจะเลือกร้านเองเข้าใจมั้ยเตี้ย"

     

                "รับทราบ!"

     

                รถออดี้คันดำเงาวับขับจอดเทียบฟุตบาทเส้นขาวเหลือง  หน้าสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงโซล  หนังเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคนไม่ว่าจะเป็นหมวดนิยายโบราณของเกาหลี  ที่ได้รับการนำเสนอให้ทำเป็นซีรีย์  ก็มาจากที่นี่ทั้งนั้น...และที่สำคัญ  มันยังอยู่ในเครือของตระกูลปาร์คอีกด้วย

     

                ร่างสูงหันไปถามแบคฮยอนให้แน่ใจอีกครั้งว่าแน่ใจนะว่าที่นี่  ร่างเล็กพยักหน้าสองสามทีก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในบริษัท...

     

                ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงถูกตีกลับ  แต่ก็ดีที่กล้าส่ง...ความฝันสินะที่ผลักดันให้ทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้

     

     

     

     

     

     

     

                ร่างบางเดินตรงดิ่งเข้ามาติดต่อพนักงานพบกับบก.ที่นัดกันไว้เมื่อเช้านี้  หญิงสาวคลี่ยิ้มส่งให้ตามมารยาท  ก่อนต่อสายและบอกให้หนุ่มน้อยหน้าหวานขมวดคิ้วตีกันยุ่งเหยิง  ขึ้นลิฟต์ไปชั้นห้า

     

                "ขึ้นลิฟต์ฝั่งตะวันตกนะคะ"  พนักงานโอเปอเรเตอร์สาวกล่าวพร้อมผายมือไปทางด้านซ้าย  บอกพิกัดด้วยความแม่นยำ

     

                "ขอบคุณมากครับ"  คนตัวเล็กโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณพี่สาวใจดี

     

                เนื่องจากสำนักพิมพ์นี้ใหญ่โตมาก  มีทั้งหมดยี่สิบห้าชั้นกับอีกยิบย่อยที่ใต้ดินด้านล่าง  พนักงานหลายพันคนเดินขวักไขว่สวนทางกันไปมาราวกับห้างสรรพสินค้าก็ไม่ปาน   หากนิยายเขาได้ตีพิมพ์ที่นี่คงจะดีไม่น้อย  เดินมาสักพักก็เจอลิฟต์เรียงรายอยู่หกตัวด้วยกัน  ทั้งซ้ายและขวาหันหน้าเข้ามากัน  ลิฟต์แต่ละตัวเป็นแบบระบบประหยัดไฟฟ้า  เปิดเฉพาะชั้นที่กำหนดเอาไว้  ยกตัวอย่างเช่น  จะไปชั้นห้าเราก็ต้องขึ้นลิฟต์ตัวแรกที่เขียนไว้ว่าจากชั้นหนึ่งถึงชั้นห้า  หากขึ้นมากกว่านั้นต้องไปขึ้นลิฟต์ตัวที่เขียนไว้ว่า  ชั้นหกถึงชั้นสิบเป็นต้น

     

                คนตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ   ริมฝีปากบางถูกกัดเม้มจนแดงก่ำด้วยความประหม่า  อยู่ๆก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาซะอย่างนั้น...แค่มาเอาต้นฉบับคืน

     

                "เฮ้ย  รอด้วยครับ!"  ร่างบางวิ่งหน้าตั้งทันที  ที่เห็นประตูลิฟต์ใกล้จะปิด  กว่าจะรอก็นานหลายสิบนาที  ถ้าชวดรอบนี้ก็รออีกนาน  เดี๋ยวคนแก่ข้างนอกจะเอ็ดเอาอีก

     

                แต่ว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้น  วินาทีนั้นอยู่ๆร่างกายก็สั่งการกระทันหัน  พุ่งทยายกลางอากาศ  ท่ามกลางสายตาของใครคนหนึ่งในลิฟต์  ตกตะลึงกับภาพที่เห็น

     

     

                ปัก

     

                "อ๊ากกกกกกก"

     

                ประตูลิฟต์หนีบหัว!!   

     

     

     

     

     

                "คุณครับเป็นอะไรมั้ย"  เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น ตกใจอย่างมากที่อยู่ๆคนตัวเล็กนี่ก็พุ่งเอาหัวเข้ามาตอนประตูกำลังจะปิด

     

                "แอ๊กๆ  โอ๊ย...เจ็บจัง"  ไอเสียงดังอยู่หลายทีจนประตูลิฟต์ปิดอีกครั้ง  และคนตัวเล็กก็เข้ามานอนหงายนายเพื่อสูดอากาศเข้าปอด

     

                "เป็นอะไรมั้ยมาก   เจ็บตรงไหนครับ"  ถามอีกครั้ง  เมื่อเห็นรอยแดงเป็นขีดที่ลำคอก็รู้ทันทีว่าเจ็บมาก 

     

                "ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณ"  แบคฮยอนพูดเสียงแผ่วเบา  รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลูกกระเดือก  เข้าใจอารมณ์คนโดนตัดหัวก็วินาทีนี้  แต่ความอับอายนี่ยิ่งกว่า

     

                ฮือ  น่าอายชะมัด!

     

                "ฮะๆ  นึกยังไงถึงพุ่งเข้ามาแบบนั้นครับ  มันอันตรายรู้ตัวมั้ย"  แม้จะกลั้นหัวเราะอยู่ก็ยังจะขอดุคนตรงหน้าสักหน่อย

     

                "ขอโทษครับ  ผมแค่กำลังรีบ...ขอบคุณที่ช่วยไว้นะครับ"  พออาการหายดีก็ต้องรีบกล่าวขอโทษทันควัน

     

                "ไม่เป็นไรครับ  แต่ผมคงต้องไปส่งพนักงานสักหน่อย  ว่าแต่คุณอยู่แผนกไหน  ทำไมไม่เคยเห็นหน้า?"

     

                "เอ๋?  ผมเปล่าทำงานที่นี่ครับ  พอดีผมมาเอาต้นฉบับคืนเฉยๆ"  มือบางยังคงบีบนวดคอระหงของตัวเองต่อไป   หมุนคอกันเคล็ดจนไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าชายร่างสูงที่ยิ้มแทบหุบไม่อยู่แบบไร้เหตุผล

     

                "อ่อ  ถ้าอย่างนั้นชั้นไหนล่ะครับ  ผมจะกดให้คุณ...เอ่อ  ชื่ออะไรเหรอครับ"  ถามชื่อหนุ่มน้อยใจกล้า  "ผมปาร์คชานยอลครับ"

     

                "ผมบยอนแบคฮยอนครับ"

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ลู่หานนั่งรออยู่ในรถพร้อมเปิดเพลงคลอเบาๆ  เคาะนิ้วไปตามจังหวะพลางโยกตัวเล็กน้อย  ใช้ความคิดของกิจกรรมวันนี้ว่าจะทำอะไรดี  ทานอาหารร้านไหน  ของว่างต้องเป็นร้านไอศกรีมนั่นอยู่แล้ว  เวลาผ่านไปก็นานสมควร  สักพักมือหนาก็รีบกดปลดล็อครถทันที  เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเดินหน้าบูดบึ้งมาแต่ไกล

     

                "เป็นไร"  ถามสั้นๆขณะมองกระจกด้านหลัง  แต่ก็ได้ความเงียบกลับมาแทน  "เป็นอะไรอีกวะ  บก.เขาว่าอะไรนายเหรอ"  ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง  ไม่รู้ทำไมช่วงนี้จิตใจคนตัวเล็กดูสำคัญสำหรับเขาจัง

     

     

                "เปล่า  แต่เฮ้อช่างเถอะ  ผมหิวแล้วอะ"  บ่นกระปอดกระแปด  ถอนหายใจสองสามก็เริ่มหิวลูบท้องโครกครากของตัวเองให้สงบลง

     

                "เอ้า  ตะกละชิบ  เดี๋ยวจะพาไปกินหมูย่างนะ  ชอบมั้ย?"

     

                เท่านั้นแหละ  ร่างเล็กก็รีบพยักหน้ายิ้มแป้น  ดีอกดีใจที่จะได้สวาปามเนื้อย่างหมูย่าง  ของโปรดที่ชอบมาแสนนาน

     

     

                "คุณ  กินเนื้อด้วยได้ป่ะ  ผมอยากกินอ่ะ"  ได้ทีก็ขอเพิ่มอีกหน่อยล่ะกัน

     

                "เออ  จะกินไรก็กินไป  ชิ!"  จิ๊ปากอย่างขัดใจ  พอพูดถึงของกินล่ะอารมณ์ดีเชียว 

     

                หลอกกินตังกูตลอด!

     

     

     

     

                ติ้ง

     

                เสียงข้อความเข้าจากเครื่องของลู่หาน  คนตัวสูงที่กำลังขับรถอยู่รีบเปิดดูทันที  เพื่อมีงานเข้าอะไร  หากตแพอเปิดดูปุ๊บ  สายตาคมก็หุบลง...

     

     

               

                'ลู่หาน  ฉันกลับมาจากปารีสแล้วนะ...ว่างมั้ยมาเจอกันหน่อยสิเพื่อนรัก ....' 

     

     

     

     

     

     

     

     

                จากคยองซู...

     

     

     

     

     

                "นี่คุณ  ผมอยากกินข้าวยำด้วยอ่ะ  ผมชอบกินข้าวคลุกๆ"  ฮัมเพลงสบายใจโดยไม่ทันได้สังเกตใบหน้าหล่อเหล่าที่ครุ่นคิดอะไรอยู่จนหน้ายุ่ง

     

                "ไอศกรีมมีน้ำแข็งใสมั้ยน้า...ต็อกก็อยากกิน ฮ่า"

     

                "..."

     

                "คุณ?  เป็นอะไร  ไม่สบายอีกเหรอ  ไข้ขึ้นเหรอ!"  พอนึกได้ว่าคนตัวโตยังไม่หายไข้ดีนี่นา  รีบเอามือไปแตะหน้าผากทันที

     

               

     

     

     

     

     

               

                "นี่แบคฮยอน...ลงไปรอที่ร้านก่อนได้มั้ย...เดี๋ยวฉันมา"

     



    75%





     

     

               ชีวิตคนเราก็ไม่แน่ไม่นอนแบบนี้แหละครับ  สุดท้ายก็เลยลงมาจากรถไม่มีคำขอโทษใดๆออกมาจากปากคนตัวสูงเลยสักนิดเดียว  นั่งแกร่วอยู่ตรงป้ายรถเมล์คนเดียว

     

                คืออย่างน้อยก็ควรส่งให้ถึงที่ก่อนป่ะ!

     

                ร่างบางนึกกรนด่าในใจอย่างโกรธเคือง  เมื่อคนอายุมากกว่าดันทำตัวไม่น่านับถือเอาเสียเลยทั้งไม่รักษาคำพูดกับพูดขอโทษไม่เป็น  เป็นปกติของมนุษย์ที่มักจะลืมเรื่องราวดีๆเวลาโทสะ...

     

                “ก็แล้วจะไปกินอะไรที่ไหนยังไม่รู้เลย  แล้วจะให้ไปรอที่ร้านไหนอ่ะ!

     

     

     

     

     

     

     

     

                ทางด้านหนึ่งของในเมืองหลวงใจกลางกรุงโซล  ร้านอาหารญี่ปุ่นระดับภัตตาคารตั้งอยู่ในย่านการค้าที่มือชื่อเสียงโด่งดังอย่างอัพกูจอง  ร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารสดใหม่สไตล์ญี่ปุ่น  หากว่าจะมาต้องสั่งจองเสียก่อนล่วงหน้า  เนื่องจากพื้นที่ของร้านค่อนข้างมีจำนวนจำกัด

     

                ลู่หานเดินเข้ามาในร้านมือหนึ่งล่วงกระเป๋า  ส่วนอีกข้างยกขึ้นผลักประตูบานประจกใส  พนักงานต้อนรับกล่าวต้อนพร้อมถามถึงหลายเลขโต๊ะว่าได้จองไว้หรือเปล่า  จากนั้นจึงเดินนำไปยังโต๊ะตัวที่มีชายหนุ่มหน้าหวานนั่งรออยู่ก่อนแล้ว  ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มหวานจับใจ

     

                “ไงตาโต”  ลู่หานทักทายเพื่อนสนิทแสนคิดถึงด้วยสรรพนามคุ้นเคย

     

                “ลู่หาน!  คิดถึงจังเลย!”  เผลอตะโกนเสียงดังจนแขกโต๊ะใกล้เคียงต้องหันมามอง  แต่คยองซูกลับไม่แคร์สายตาพวกนั้นเลยสักนิด  รีบกระโดดกอดจอเพื่อนรักตัวดีที่ไม่เคยติดต่อกลับไปตาเขาเลย  หลังจากที่เขาแอบหนีไปเรียนต่อ  “นายสูงขึ้นรึเปล่าเนี่ย...เอ๋?  สีผมก็เปลี่ยน”

     

                “พอได้แล้ว  หายใจไม่ออกเว้ย”  ลู่หานพยายามผลักคนตัวเล็กในอ้อมกอดให้ออกห่าง  แล้วกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ให้เรียบร้อย   ก่อนเจ้าของร้านจะมาเชิญเราออกไปเสียก่อน

     

                “หื้ม?  ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี...นายแปลก” 

     

                “ตลกว่ะ  นายคิดมากไปป่าวคยองซู  ฉันแค่เปลี่ยนสีผมกับสูงขึ้นกว่านายแค่เนี่ยแปลก?”

     

                ที่คยองซูบอกว่าแปลกไม่ใช่ภายนอกซักหน่อย  หากแต่ภายในต่างหากที่แปลก...ไม่รู้ว่าอะไรที่แปลกแต่ก็ช่างมันเถอะเนอะ

     

                “ฮื้อ  ช่างเถอะๆ  อยากกอดเพื่อนรักให้ขาดใจตายไปเลยข้างหนึ่ง แต่ทำไมนายทำเหมือนไม่คิดถึงกันงี้อ่ะ  งอนนะ”  คนตาโตเบ้ปากเล็กน้อย  เมินหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมเชิดหน้าขึ้นเรียกร้องความสนใจ

     

                ลู่หานชินแล้วกับความเอาแต่ใจของเพื่อนตาโต  คยองซูเป็นประเภทที่อยากทำอะไรก็ทำ  ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างอยู่แล้ว  ยิ่งไปเรียนเมืองนอกไม่บอกกันนี่คงนั่งรอให้ลู่หานติดต่อไปก่อนถึงไม่ยอมติดต่อกลับมาทั้งที่ตัวเองทิ้งเพื่อนไว้แล้วไปเรียนแบบมีความสุขกับไอ้ชานยอลแท้ๆ  รู้ว่านิสัยแบบนี้มันไม่ดี...แต่ก็นะเพื่อนนิหว่า

     

                “ฮะๆ  ไว้ง้อได้ปะ  สั่งอะไรกินก่อนเถอะหิวแล้ว”  เอื้อมมือไปยีผมของคนแสนงอนที่นั่งตรงข้าม  จุดนั้นภาพบางอย่างพร้อมความรู้สึกก็แว้บขึ้นมาในโสตประสาต

     

                แบคฮยอน...

     

                “นี่...เป็นอะไรเปล่าลู่”  คยองซูกำลังเปิดอ่านเมนูก็ต้องหยุดสายตาไว้  เมื่อคนตัวสูงกลับมีสีหน้าต่างจากเมื่อครู่   “เลิกงอนแล้วน้า  อย่าทำหน้าเศร้าดิ!

     

                “เฮ้ยเปล่า  เดี๋ยวสั่งเผื่อหน่อยนะ  ไปเข้าห้องน้ำแป๊ป”

     

                ลู่หานไม่ทันได้ยินเสียงเรียกของคยองซูเสียด้วยซ้ำ  เขารีบลูกพรวดออกมาจากเก้าอี้แล้วหาที่เงียบๆในมุมหนึ่งของทางขึ้นชั้นสองเพื่อโทรหาใครบางคน  ป่านนี้คงนั่งแกร่วรอเขาอยู่ที่ไหนสักแห่ง...

     

                บ้าเอ่ยเพิ่งจะขอโทษเขาไปแท้ๆ  ดันมาปล่อยให้เขารออีก

     

                ก่อนจะกดโทรออกนั้น  นัยน์ตามคมเข้มสะดุดกับตัวเลขสีแดงที่ขึ้นโชว์จำนวนสี่สิบกว่าสาย  พร้อมข้อความอีกมากมายจากเจ้าของบ้านเด็กดื้อ  ยิ่งเปิดอ่านแต่ละข้อความก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมันโง่งี่เง่าชิบหาย  ตบปากสักสิบรอบยังไม่น่าให้อภัย  รีบกดต่อสายหาแบคฮยอนทันที

     

                ไม่คุ้นชินกับความเป็นห่วงที่เอ่อล้นขนาดนี้...

     

                รอไม่นานนักปลายสายก็กดรับ  ดังมาพร้อมเสียงอู้อี้ของสายลม

     

                “นี่นายอยู่ไหนวะ”  ถามด้วยความสงสัย

     

              อยู่ริมถนนอะคุณ  ลมมันแรงมีไรป่ะ  ไม่มีจะวางแล้วนะ

     

                เอ๊ะ!  ไอ้เด็กนี้...ไม่ได้ข่มไว้ 

     

                กูมีความผิดติดตัวอยู่...เออเนอะ  เดี๋ยวเด็กแม่งโกรธกูอีก  แต่เดี๋ยวนะ?  เมื่อกี้บอกอยู่ริมถนน

     

                “แล้วทำไมไปอยู่ตรงนั้น  นี่อย่าบอกนะว่าชั่วโมงกว่านั่งอยู่ที่เดิม”  ลู่หานสัมผัสได้เลยว่าไอ้เด็กแบคฮยอนนั่นต้องนั่งเอ๋ออยู่แน่ๆ

     

                อื้อ...ร้อนอ่ะคุณ  ผมไม่รู้ว่าร้านไหนนิ  อยู่ๆคุณก็ให้ผมลงทิ้งแหมะกันไว้ตรงป้ายรถเมล์

     

                “เอ้าแล้วทำไมไม่โทรถามฮะ  เดี๋ยวส่งที่อยู่ร้านไปให้” 

     

                ฮื้อ  คุณ...ท้องฟ้ามันมืดๆนะ  แบคฮยอนบ่นงุงงิงอยู่คนเดียว  เสียงลมก็ตีจนลู่หานไม่ทันได้ฟังประโยคสุดท้าย

     

                “งั้นแค่นี้นะ  ไปรอที่ร้าน สั่งอะไรไปก่อนก็ได้  เดี๋ยวตามไป”

     

                กดวางสายไปไม่ทันล่ำลากัน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                อะ  ไอ้บ้านี่!  ตัดสายไปก่อนได้ไงแว๊

     

                กัดฟันกรอดแล้วทิ้งตัวลงที่เดิม  รอข้อความอยู่สักพักที่อยู่ร้านก็เด้งมา

     

                เฮ้อ...

     

               

                ใช่เวลานั่งรถเมล์ไม่นานนักก็มาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง  สไตล์การตกแต่งร้านไปทางยุโรปโมเดิร์น  หรูหราตั้งแต่ทางเข้าพร้อมบริกรชุดหูกระตายสีขาวสะอาดสะอ้าน  ต่างจากร้านเพิงหมาแหงน(ของลู่หาน)ลิบลับ

     

                เดินออกทันมั้ยวะเนี่ย...

     

                “กี่ท่านครับ”  เสียงนุ่มมาจากชายร่างสูงหล่อเหล่า  ผมสีทองสะท้อนวิบวับจนพล็อตนิยายเรื่องใหม่ผุดขึ้นมา  แนวฮาเร็มโฮสคลับอะไรทำนองนี้

     

                แต่ไม่ใช่เวลา...

     

                “อะ...เอ่อ...”  มือสวยยกขึ้นเป็นเชิงบอกว่าขอเวลาปรึกษาหารือกับเพื่อนสักหน่อย  ล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก่อนยกมาพิมพ์รัวราวกับแป้นพิมพ์ที่บ้าน

     

                คุณแน่ใจนะว่าร้านที่ส่งมาให้ถูก  ทำไมหรูจัง!  ผมไม่เข้าได้ป่ะ  เดี๋ยวไปรอที่ฟู้ดเซ็นเตอร์ในห้างก็ได้  อยู่ไม่ไกลกัน

     

              กดส่งทันที  ไม่นานก็มีข้อความตอบกลับ

     

                ถูกร้านแล้ว  จะสั่งอะไรก็สั่งไปเถอะน้า

     

              “ตกลงกี่ท่านดีครับ?”  บริกรหนุ่มเดินเข้ามาถามอีกครั้ง  เมื่อเห็นทีท่าไม่ดีของคุณลูกค้า  โดยเฉพาะสีหน้าเริ่มซีดเซียว  ริมฝีปากบางเม้มเข้าอย่างชั่งใจ

     

                เอาตรงๆเขาพกเงินอยู่แค่ไม่กี่วอน...

     

                “สองที่ครับ”

     

                เสียงของลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามาในร้าน  ทำให้ร่าเล็กเบี่ยงตัวหลบมาด้านข้างเพื่อยืดเวลาตัดสินใจ 

     

                “อีกท่านจะถามมาทีหลังใช่มั้ยครับ”  บริกรหนุ่มถามขึ้นตามลำดับ

     

                “ไม่ครับ  อีกคนก็คือคุณคนเนี่ย...” 

     

                หื้อ?

     

                แบคฮยอนไม่รู้ว่ามือใหญ่ของใครมาแตะต้นแขนตัวเอง  พอเงยหน้ามาก็ปะทะเข้ากับใครสักคนที่คุ้นๆ  ยิ่งน้ำเสียงทุ้มใหญ่ของเขายิ่งฟังแล้วคุ้นหู

     

                “จ้องหน้านานแบบนั้น...อื้ม...แสดงว่าลืมกันใช่มั้ยครับเนี่ย”  ชายร่างสูงโปรงในเสื้อสูทสีดำดูภูมิฐานยังคงจ้องใบหน้าหวานอย่างมีความหวัง

     

                “คุณ...ชานยอลใช่มั้ยครับ?”

     

                เท่านั้นแหละ...ร่างสูงก็ยิ้มแก้มแทบปริจนเห็นฟันครบสามสิบสองซีก  หน้าแปลกตรงที่แบคฮยอนดันยิ้มตาม

     

                “ปิ๊งป่อง!  ถูกต้องแล้วครับ”  เอามือลูบศีรษะทุยๆอย่างลืมตัว  ก่อนหันไปทางบริกรหนุ่มที่ยืนรอคำสั่งอย่างสุภาพ  “สรุปสองที่นะครับ”

     

                พอชานยอลเก็บมือลงไปไว้ข้างตัวเหมือนเดิม  แล้วเดินนำแบคฮยอนไป...คนตัวเล็กก็เอามือไปลูบผมตัวเองให้เซ็ททรงเหมือนเดิม...หน้าก็แดงด้วย!

     

     

     

                เดินตามเขามาแบบงงๆ  ไม่ทันได้ฟังคนอื่นเขาคุยกันหรือสนใจจะถามสักนิด  แบคฮยอนรู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็มานั่งบนโต๊ะตัวหรูตรงข้ามกับคนร่างสูงที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง 

     

                “ดีใจจัง  วันนี้คิดว่าต้องทานข้าวคนเดียวซะแล้ว”  ชานยอลพูดขึ้นพลางพลิกเมนูดู  ไม่ลืมที่จะแอบเหลือบลอบมองคนตัวเล็กแก้มกลมที่ขมวดคิ้วตีกันจนยุ่ง  จากนั้นดวงตาเรียวหางตกก็เบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นราคาอาหาร 

     

                ทำไมจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากลุ้มใจอะไรอยู่  เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมต้องชวนคนตัวเล็กมาทานข้าวด้วยกัน...คงอยากจะทำความรู้จักคนตลกๆล่ะมั่ง...

     

                ชานยอลนั่งคิดเพลินๆเลือกเมนูไปพลางๆ  จนรู้สึกได้ถึงแรงสะกิดยิกๆตรงเมนู  จึงจำต้องละสายตาไปเลิกคิ้วถามคนหน้าตาลอกแลกราวกับมีความลับระดับชาติอะไรจะบอก  มือบางยกหนังสือเมนูขึ้นปิดกั้นหน้าตัวเองไว้แล้วกระซิบเบาเสียจนร่างสูงต้องชะโงกหน้าไปหาเอง

     

                ...กลิ่นหอมอ่อนๆของแป้งเด็กก็ลอยมาติดจมูกเสียอย่างนั้น

     

     

                “นี่คุณ...ผมว่าเราไปทานร้านอื่นกันดีมั้ย”  แบคฮยอนพูดเสียงเบาหวิว  เกรงใจบริกรหนุ่มที่รอรับออเดอร์

     

                “หื้ม?  ทำไมล่ะครับ”  คนตัวสูงรู้  แต่อยากแกล้ง  “อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะ  สั่งเถอะครับผมเลี้ยงเอง”

     

                “ไม่เป็นไรครับ...แต่คือ...มันแพงมากนะคุณ  พนักงานอย่างคุณใช่เงินฟุ่มเฟือยจัง”  สำหรับแบคฮยอนนั้นตอนนี้เงินทองเป็นสิ่งสำคัญ 

     

                ผิดกับคนตัวโตที่เอาแต่หัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น 

     

                ใครบอกว่าเขาเป็นพนักงานกัน...  กรุ๊ปปาร์คใหญ่โตจะตายไป...ทำไมนักเขียนที่มาส่งต้นฉบับถึงไม่รู้จักผู้บริหารกันน้า...

     

                “สั่งเถอะครับผมเลี้ยงเอง  ตามสบายเลย”  ชานยอลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เช่นเดิม  ปล่อยคนขี้เกรงใจเล็กน้อยยู่ปาก   ก่อนหันไปสั่งเพียงขนมปังกระเทียมอาหารเบาๆ  เพราะฉุกคิดได้ว่าต้องรอคนแก่อีกคนมากินข้าวด้วยกัน

     

     

                “ทำไมสั่งแค่นั้นล่ะครับ  สั่งอีกเยอะๆเลยผมไม่ว่าหรอกครับ”  ชานยอลเรียกพนักงานกลับมาอีกครั้งพร้อมยื่นเมนูไปให้คนตัวเล็กเลือกอาหารอีกสักจาน  แต่กลับถูกปฏิเสธโดยแบคฮยอนให้เหตุผลว่าเขานัดกินข้าวกับเพื่อนอีกคนแต่ยังไม่มา  ไม่กล้าสั่งอะไรหนักท้องมากนัก  ชานยอลพยักหน้าเข้าใจแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร

     

     

                อาหารถูกวางเรียงตรงหน้าพร้อมกับหน้าตาที่หน้ารับประทานเสียเหลือเกิน  ซ้อมคันงามถูกหยิบโดยคนมือเล็ก  จิ้มจึกลงบนขนมปังกรอบพร้อมจิ้มครีมซอสรสชีสด้วยความหิวโซจึงลืมมารยาทบนโต๊ะอาหารไปเสียสนิท 

     

                “อร่อยมากเลยเหรอ”  ชานยอลนั่งมองคนตัวเล็กทานจนตัวเองรู้สึกเจริญอาหารหนักกว่าเก่า  คนถูกถามก็พยักหน้าหงึกๆ  ก่อนจะจิ้มขนมปังชิ้นเล็กๆที่หันไว้แล้วขึ้นมา  แล้วยื่นไปให้คนตรงหน้าอย่างลืมตัว  สร้างความตกใจให้กับชานยอลเล็กน้อย

     

                “อร่อยมากเลยคุณลองทานดูสิ  ขนมปังเขากรอบนอกนุ่มในนะ!”  น้ำเสียงจริงใจไม่เสแสร้งครั้งแรกที่ได้ยินในรอบหลายปี...ทำให้คนตัวสูงลืมวิ่งรอบตัวแสนหรูหรา  แล้วเคลื่อนหน้าไปทานขนมปัง...

     

                ขนมปังกระเทียมแสนธรรมดากลายเป็นขนมปังรสเลิศที่ให้หากินที่ไหนก็คงไม่อร่อยเท่ากับคนตรงหน้าป้อนให้...

     

     

                “อร่อยมากเลยครับ  งั้นแบคฮยอนทานเนื้อชิ้นนี้บ้างสลับกัน”

     

     

                “ไหนๆ” สำหรับแบคฮยอนอาหารคือสิ่งสำคัญ!

                และมื้ออาหารเล็กๆก็ผ่านไปอย่างเรียบง่ายแต่สนุกสนานจนลืมเวลาทำงานไปเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                อีกทางฝั่งหนึ่ง  ลู่หานกลับกระวนกระวายใจว่าตัวเองทิ้งคนตัวเล็กมานานหรือยัง  ทำไมอาหารถึงทยอยมาเสิร์ฟช้าขนาดนี้จนบางครั้งคยองซูก็อดสงสัยเลยถามออกมาไม่ได้ว่าตกลงจะว่างหรือไม่ว่าง  ทำตัวเหมือนมีเรื่องอะไรซะอย่างนั้น

     

                “นี่  มองนาฬิกาบ่อยจัง  มีธุระอะไรเหรอ?”  คนตาโตเอ่ยถาม

     

                “อื้อเปล่า...ทานเถอะตาโต  เดี๋ยวเย็นซะก่อน”  พูดเสร็จก็คีบซูชิหน้ากุ้งของโปรดเพื่อนรักส่งให้เจ้าตัวคนขี้สงสัย 

     

                “อร่อยจังหว่า...  เสียดายเนอะชานยอลไม่ว่าง  เขาชอบกินซูชิหน้ากุ้งเหมือนฉันเลย”  ร่าเริงเสร็จก็คอตกเมื่อนึกถึงอีกคน...

     

                ที่แอบชอบมาตั้งแต่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน...ปฏิเสธนัดวันนี้เขาเสียจนต้องเอ่ยชวนลู่หาน...เพื่อนที่เข้าใจเขาทุกอย่าง...

     

                หากแต่สิ่งที่น่าน้อยใจมากกว่านั้นคือ...ลู่หานเปลี่ยนไป



                สำหรับลู่หาน  รสชาติอาหารไม่อร่อยเท่ากินที่บ้านเลยสักนิด  แบคฮยอนยังทำซุปสาหร่ายได้อร่อยกว่านี้อีก 


                แล้วกูไปคิดถึงเด็กนั้นทำไวะ!!

     

     

                “เออ  เสร็จแล้วลู่หานไปส่งเราที่บ้านหน่อยสิ  พอดีเมื่อเช้าคนขับรถคุณพ่อมาส่งน่ะ”  คยองซูจิบน้ำชาอุ่นๆปิดท้ายกลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยอย่างใจเย็น  ผิดกับอีกคนที่ลุกลี้ลุกลน

     

     

                ไม่ว่าลู่หานคนนี้จะยุ่งอะไรอยู่  แต่คยองต้องสำคัญมากกว่าพวกนั้นนะมั่นใจเหลือเกินว่าประโยคที่พูดไปจะกลายเป็นบอกเล่า  ไม่ต้องการคำตอบให้แน่ชัด...ยังไงก็ต้องโอเคอยู่แล้ว...เพื่อนที่ไว้ใจเสมอมา...

     

     

     

     

     

                “คงไม่แล้วล่ะวันนี้...”  เสียงแหบพร่าพูดขึ้นเตรียมตัวจะลุก  สร้างความตกใจให้กับหนุ่มน้อยตาโตที่มีสถานะเพื่อนสนิทตั้งแต่เล็กจนโตกล้าปฏิเสธ...

     

                “ฮะ...”  คยองซูเอ่ยแผ่วเบา  สมองยังคงประมวลอะไรไม่ได้...

     

                “ฉันไปนะ  ขอโทษจริงๆนะตาโต  วันนี้ไม่ได้จริงๆถ้ายังไงนายโทรหาที่บ้านให้เอารถมารับก็แล้วกัน  ไว้จะโทรหานะเว้ย”

     

     

     

     

     

     

                ขอให้ฝนอย่าเพิ่งตกเลย...คนตัวเล็กของเขาไม่ชอบฝนเอาเสียเลย  ถ้าเกิดตกขึ้นมา...แล้วใครจะปลอบวะ

     


     

    100%

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    เย้ๆ  ลงครบหนึ่งร้อยแล้ว  ตอนนี้หากหลายอารมณ์ดีจัง

    40 หน้าคงยังไม่พอ...


    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×