คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : - take me home : chapters - 006 { 100% }
- Learning -
chapters – 006
ตึง ตึง
เสียงวิ่งดังอึกกระทึกคึกโครมแต่หัววัน หนุ่มน้อยร่างเล็กในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีดำขาวกับกางเกงผ้าสีเทาขาสั้นขมวดคิ้วขัดใจ ยกนิ้วกดเอ็นเตอร์แรงๆหนึ่งทีแล้วหันไปยังต้นของเสียงดัง ที่ดังขัดสมาธิในการแต่งนิยายของเขา
คนตัวสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวดำสวมทับเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่ง สะพายกระเป๋าพาดข้าง ผมเผ้ายุ่งเหยิงเต็มไปด้วยเจลแต่งทรง เดินผิวปากควงกุญแจรถในมืออย่างอารมณ์ดี ต่างจากหลายวันก่อนลิบลับ
"จะไปข้างนอกเหรอคุณ" ร่างบางที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานหันหลังมาถามเจ้าของเสียงดังกวนใจ
"ใช่ แม่บอกพ่อไม่อยู่บ้าน" พูดไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วไป "เลยว่าจะเข้าไปเอารถ ไม่มีรถแล้วออกไปไหนลำบาก"
"อ๋อเหรอ ทำอย่างกับปกติคุณออกจากบ้านอย่างนั้นแหละ เห็นเอาแต่นอนดูบอลไปเรื่อย" คนตัวเล็กกระแซะนิดหน่อยพอให้รู้สึกสดชื่น
"เหอะ หุบปากเหอะน่าพิมพ์นิยายกิ๊กก๊อกนายไปเถอะ เย็นนี้จะพาไปซื้อของล่ะ ของเกลี้ยงตู้เย็นไม่ยอมดู เป็นคนใช้ภาษาอะไรวะ "
โอ้โห ขึ้นเลยครับ ไอ้คนปากเสีย
"คนใช้บ้าอะไรคุณ นิสัยไม่ดี" เบะปากไม่พอใจทันควันเมื่อสรรพนามแบ่งชนชั้นไร้รสนิยมหลุดออกจากปากหนา รีบหันหน้ากลับมาพิมพ์นิยายแล้วกระแทกแป้นพิมพ์แรงๆเพื่อระบายอารมณ์โกรธยามเช้า ก่อนฉุกคิดเรื่องอาหารกลางวันขึ้นมา
ถ้าเกิดลู่หานกลับช้า จะได้ไม่ต้องทำมื้อเที่ยง อิอิ
คนตัวเล็กลุกจากเก้าอี้หมุนเบาะนุ่มอย่างดี ตรงมายังห้องใส่รองเท้าก่อนออกพ้นประตูบ้าน ร่างสูงกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ลูกหมาน้อยในสายตาอินทีเรียหนุ่มยิ้มกว้าง
"คุณไปนานใช่ป่ะ มื้อเที่ยงไม่กลับมาทานข้าวบ้านใช่มั้ย" รัวคำถามตะล่อมให้ใจอ่อนทันที
"ตลก ฉันจะมาทานข้าวที่บ้าน แค่ไปเอารถเฉยๆเว้ย อย่ามาตีเนียน ถ้ากลับมาไม่เจอข้าวเที่ยงวางบนโต๊ะนะ งดขนม!!" ประกาศคำประกาศิต จุดอ่อนของว่าที่นักเขียน คนตัวเล็กเลยได้แต่หน้านิ่ง เก็บริมฝีปากฉับ
ฮึ่ย! ไอ้บ้านิสัยเสีย ชกปากสักครั้งคงหายแค้น อย่าให้มีวันนั้นนะ เชอะ!
เสียงโต้วาทีเงียบลง เมื่อคนตัวสูงเดินผ่านพ้นรั้วบ้านเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งไว้ความสงบกับสายลมเย็นๆพัดกระทบกรอบหน้า พวงแก้มกลมขึ้นสีชมพูอ่อนด้วยความเย็น เสียงละลอกน้ำใสกระทบฝั่งไพเราะเสนาะหูมากกว่าเสียงเพลง บ่อยครั้งที่ร่างเล็กนั่งเหม่อลอยทอดสายตาไปยังทะเลสาบกว้าง รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาไม่รู้ตัว ภาพความทรงจำแม้เริ่มจืดจางไปตามกาลเวลาแต่กลิ่นอายนั้นยังคงอยู่รอบตัวของเขา
หลายวันผ่านมาเขานั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ความทรงจำดีๆกำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงหัวเราะ การพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รู้จักคำว่าทะเลาะกันเล่นๆ เดินเลือกซื้อของในห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต เที่ยวบ้านเพื่อน เรื่องราวดีๆเช่นวันวานของใครบางคน สีสันการเริ่มต้นนับหนึ่งในชีวิตกำลังก่อตัวขึ้น จากคนสองคนอย่างไม่รู้ตัว เริ่มต่อเติมจิ๊กซอว์ให้เป็นรูปร่างอีกครั้ง
นิ้วเรียวทำงานเองอัตโนมัติ กดพิมพ์ความคิดทั้งหลายลงหน้ากระดาษเวิร์ดสีขาวสะอาด อักษรนับสิบเรียงร้อยเป็นแนวยาวจนเกิดเป็นเรื่องราวเรื่องใหม่...โดยไม่รู้ตัว
เกือบสองชั่วโมงที่แบคฮยอนเทาคาง ขยุ้มกลุ่มผมนุ่มหนาของตัวเองจนเสียทรงหลายครั้ง เดินวนไปมาพลางเหลือบมองวัตถุดิบในการทำอาหารเที่ยงก็ระเหี่ยใจ
วุ้นเส้น? ผัดผักของเหลือจากเมื่อเช้าเล็กน้อย? เนื้อไก่ทอดของเหลือจากเมื่อวานเย็น?
ทำไรดีอ่า ฮืออ แบคฮยอนไม่เก่งเรื่องรีเมคอาหารเลยขอบอก ถ้าเอามายำๆรวมกันเดี๋ยวก็โดนว่าอีก คนแก่เรื่องมากชะมัด
"ไก่...วุ้นเส้น...โอ๊ะ!"
ความคิดดีๆมักเกิดขึ้นเวลาคับขัน คงเป็นคำนิยมใหม่สำหรับร่างบางที่ยิ้มร่าเมื่อนึกถึงหน้าของคนตัวสูง เวลาเห็นอาหารจานโปรดวางอยู่บนโต๊ะ ก็พาลให้อดขำไม่ได้
ฮี่ๆ เขาต้องดีใจแน่ๆ แล้วก็จะยกย่อง ง้อเราให้ทำให้ทานอีก แล้วเราก็จะมีอำนาจขึ้นมาทันที ฮ่าๆ
มโนภาพต่างๆนาๆ หยุดลงเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บ่งบอกถึงเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง อาหารถูกยกเสิร์ฟมาตั้งแต่ตอนเที่ยงครึ่งแล้ว หากแต่เจ้าภาพเปิดจานหลักก็ยังไม่มาเสียที เมื่อรอนานจนทนไม่ไหว มือเล็กรีบคว้าโทรศัพท์มากดโทรออกหาลู่หานทันที ใจคอเริ่มไม่ดี กลัวเสียแต่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หรือลู่หานคิดสั้น น้อยใจครอบครัว!
สะบัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป กลับมาจดจ่อกับเครื่องมือสื่อสารเครื่องหนาต่อ แต่รอนานแล้วก็ไม่มีคนรับสายเสียที
ไปทำอะไรของเขาอยู่ที่ไหนน้า...รีบกลับบ้านเถอะนะ ขออย่าให้เป็นอะไรไปเลย
20%
หลังฝนตกจะพาลพบท้องฟ้าที่สดใส
ฝนจะตก...
นั่นคือสิ่งที่กระวนกระวายมาตลอดลองจากเรื่องของลู่หาน ตั้งแต่เห็นเมฆเกาะกลุ่มกันดำทะมึนมาแต่ไกล ใจคอก็เริ่มรู้สึกไม่สู้ดีนัก
หากฝนตกชำระล้างพื้นถนน พื้นจะลื่นเสียจนบังคับรถลำบาก... ไอ้บ้าเอ่ย ทำไมไม่กลับมาสักทีจะหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว มืดๆขับขี่รถมันอันตราย...
หากแต่ไร้เงาของร่างสูงแสนปากเสีย สมาชิกใหม่ในครอบครัวเลยสักนิด ไม่มีแม้กระทั่งจะโทรกลับมาหลังจากเห็นมิสคอลที่กระหน่ำโทรหาเป็นสิบๆมิสคอล แบคฮยอนจึงตัดสินใจส่งข้อความไปแทนว่าให้โทรกลับหลังจากเห็นข้อความนี้
คนตัวเล็กนั่งรอมานานหลายชั่วโมง พิมพ์นิยายได้ไร้อารมณ์เสียจนอยากทึ้งหัวแล้วตบหน้าตัวเองแรงๆ ให้ได้สติกลับมาใจจดใจจ่อกับงานเขียนเบื้องหน้า จนกระทั้งคนหูดีได้ยินเสียงลูกบิดประตูหน้าบ้าน วิ่งพาร่างตัวเองไปหาเจ้าของเสียง แต่ต้องชะงักเมื่อคิดขึ้นได้
โธ่ เหมือนหมาดีใจเวลาเจ้าของกลับบ้าน นี่มันบ้านเขานะเฮ้ย
คิดได้ดังนั้นจะวิ่งไปยังโต๊ะคอมฯคงไกลไป จึงกระโจนเหยงไปนั่งบนโซฟาเบาะนุ่มแล้วคว้ารีโมทคอนโทรลกดเปิดทันที เหยียดขาสั้นในท่าทางสบาย ไม่ทุกร้อนทั้งที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้าน แล้วทำอาหารไว้รอ...
หวังว่าจะได้ข้อแก้ตัวดีๆสักข้อ ฟังคำขอโทษจากผู้อาศัย ที่เจ้าของบ้านคิดบทลงโทษไว้แล้วเป็นที่เรียบร้อย
ผิดถนัด ลู่หานกลับเดินเข้ามาในบ้านมาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย มือหนายกขึ้นบีบนวดต้นคอยาวไปถึงไหล่กว้าง แล้วก้าวขายาวไปยังบันไดเพื่อนขึ้นไปข้างบน โดยไม่กล่าวทักทายหรือคำพูดที่ควรจะพูดเลยแม้แต่น้อย
แปลก? เป็นอะไรรึเปล่า
"นี่คุณ ไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ" คนตัวเล็กนั่งกอดหมอนอิงบนโซฟาเอ่ยถามขึ้น
"เออหวัดดี" น้ำเสียงพูดราวกับขอไปที พร้อมกับมือหนาที่โบกปัดไปมานั่น ร่างบางชักสีหน้าใส่ทันที ขมวดคิ้วบางอย่างไม่สบอารมณ์ ริมฝีปากกำลังจะยกขึ้นเปิดศึกโต้วาทีอีกครั้ง
หากแต่ลู่หานกลับหันมาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
"กินข้าวแล้วใช่มั้ย"
"อื้อ...กินแล้ว" พยักหน้าแล้วตอบช้าๆ ฝั่งใบหน้ากว่าครึ่งลงบนหมอนใบใหญ่ แอบจ้องมองคนร่างสูงด้วยความเป็นห่วง
ลู่หานดูเพลียและอ่อนล้าเหลือเกิน อยากเอ่ยถามว่ามีปัญหาอะไรที่บ้านมารึเปล่า ใครทำอะไรคุณ แต่มันคงเป็นการย้อนรอยความเครียดหนักกว่าเดิม ทำให้ร่างบางเก็บความสงสัยพับลงกระเป๋ายกยิ้มให้กำลังใจคนหม่นแทน
"ก็ดีแล้ว ฉันไปนะ" คนตัวโตไม่ได้กล่าวขอโทษหรือพูดยืดยาวชวนทะเลาะเหมือนก่อนแต่อย่างใด ทิ้งตัวลงเดินหนักหน่วง
"คุณเดี๋ยว" เรียกรั้งไว้ก่อนลุกขึ้นจากโซฟา ทั้งๆกอดหมอนปิดหน้าไปด้วย "แล้วคุณกินไรมายัง หิวมั้ย"
บางทีแบคฮยอนหวังว่า...เขาจะเป็นแสงสว่างยามพายุโหมกระหน่ำ
"ยัง...ไม่หิวไปนะ" กำลังจะก้าวเดินอีกขั้นแต่ก็ถูกคนตัวเล็กกล่าวดักคอ
"แต่ผมทำของโปรดคุณไว้ด้วยนะ" ยิ้มแป้น "ไก่วุ่นเส้นผัดซอสไงคุณ"
"ไม่หิว ก็บอกแล้วไงว่าไม่หิว ทำไมต้องเซ้าซี้ด้วยฮะ!" เผลอตวาดกลับไม่รู้ตัว
เฮือก!
คนตัวเล็กผวาเฮือกเมื่อร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงบันได้บันดาลโทสะออกมา ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สายตาติติงหงุดหงิดอย่ามารบกวน
แบคฮยอนไม่เคยเห็นลู่หานโหมดน่ากลัวแบบนี้มากก่อน...ล่าสุดคือเขาเสียใจกับคำพูดพ่อตัวเอง...แต่ยังทิ้งไว้ถึงการต้องการความรัก หากเวลานี้ แววตานั้นถูกกลับด้วยความโมโหและรำคาญ
"ผม...แค่เป็นห่วงคุณ" แบคฮยอนพยายามกลั้นน้ำตาของอาการตกใจเอาไว้ จึงเว้นระยะการเปล่งเสียง
ร่างบางพยายามสร้างเกราะปลอบใจตัวเองว่าแท้จริงตนเข้มแข็งเสมอมา ลดความเป็นห่วงภาระให้กับญาติพี่น้อง ความจริงเขากลัว...กลัวความเป็นครอบครัวหายไป...หากเป็นคนน่าสงสาร
"ไม่ใช่ตอนนี้ แบคฮยอน..." เสียงติดหงุดหงิดยังคงถูกส่งมาเรื่อย เพราะระดับความสูงที่ห่างกันพอสมควร ทำให้เขาไม่ทันสังเกตดวงตาเรียวจ้องแป้วมายังเขา กำลังจ้องมองด้วยน้ำตาที่อาบคลอขอบตาจนร้อนผ่าว
ไม่ชอบ...เสียงตะคอกแบบนี้เลย ให้ตายสิ
"ผมขอโทษ..." สูดลมหายใจเข้า สร้างเกราะขึ้นมาใหม่แล้วเอ่ยความจริง "ความจริง ผมรอคุณมาทานข้าวเที่ยงด้วยกัน เพราะคุณบอกคุณจะมา ก็แล้วทำไม่โทรมาบอก...ผมก็คิดว่าคุณเป็นอะไร แต่คุณกลับไม่ขอโทษผมไม่พอ ยังจะมาพูดจาแบบนี้อีก คุณมัน...ไม่รู้อะไรเลยสักนิด เห็นแก่ตัว!"
ด้วยเส้นด้ายบางของคนใจแข็งน้อยขาดผึง ทุกอย่างจึงกลายเป็นสงครามใหญ่...
"ก็แล้วไหนบอกกินแล้วไง! ฉันไม่มาก็กินไปก่อนสิ จะโง่รออยู่ทำไมวะ ฉันผิดรึไงฮะ! นายนั้นแหละไม่เข้าใจอะไร อย่าพูดเหมือนตัวเองรู้เยอะ รู้ทุกเรื่องได้มั้ย อย่ามาแสดงความสงสารฉันไม่ชอบ!!"
จากอารมณ์โกรธที่ค้างคาในใจอยู่แล้ว ยิ่งง่ายต่อการแตกหัก เปล่งวาจาว่าร้อยออกมาจนคนข้างล่างอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
"ผมคิดว่า เราเป็นครอบคัวเดียวกันซะอีก...ฮึก"
อ่อนไหวเหลือเกินแบคฮยอนในเวลานี้...เขาเพียงแค่ต้องการใครสักคน เคียงข้างตัวเองเวลาเศร้าหรือเหงา คิดว่าลู่หานน่าจะเป็นแบบนี้ เขาจึงหวังว่าจะเป็นแสงสว่างสองให้ความมืดในใจได้หายไปบ้างไม่มากก็น้อย...คงหวังมากไป ความห่วงใยของเขากลับกลายเป็นความรำคาญ จุ้นจ้าน
ลู่หานครุกครุ่นด้านมืดอยู่ไม่เห็นอะไร หรือได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาแค่อยากจะอยู่เงียบๆแล้วหนีไปให้พ้นเสียงรบกวนวุ่นวายซะ และเพราะความที่ไม่แคร์สิ่งอื่นใด...เขาไม่ได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นของร่างบาง เสียงสะอื้นดังขึ้นเหมือนเด็กน้อยที่พ่อแม่ไม่รัก ดังก้องกังวานปะปนกับเสียงลมพายุ
แม่ครับ พ่อครับ แบคฮยอน...คิดถึงพ่อกับแม่จัง ทำไมโลกเราเข้าใจยากอย่างนี้
ผมควรไปขอโทษเขาดีมั้ย...
ความร้ายกาจของวันนี้ยังไม่หมดสิ้นไป เมื่อข่าวประกาศการเข้ามาของพายุจากจีน ทำให้คนที่พิมพ์นิยายอยู่ชะงักกลางคัน รีบปิดบ้านดับไฟแล้วขึ้นห้องนอนตัวเองทันที
ภายในห้องโทนสีน้ำตาครีมสบายตา รูปแบบการจัดแจงทำให้ห้องนอนโล่งเป็นระเบียบร้อย เตียงนอนนุ่มสปริงผ้าปูสีขาวถูกดึงให้ตึงน่านอน ถัดจากนั้นก็เป็นตู้เสื้อผ้าสีขาวสองตู้เรียงติด มือเรียวกดเปิดไฟทั่วห้องนอน เตรียมคลุมโปงเหมือนทุกครั้ง...ความรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ขึ้นรถไฟเหาะแล้วภาวนาในใจว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
แบคฮยอนก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน...กัดฟันรอจนกว่าพายุจะสงบ
ถ้าขอนอนกลับเขา...คนตัวสูงจะให้มั้ยนะ
"คุณ...ขอผมนอนด้วยคนได้มั้ย" เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความมืดสนิทของห้องนอนอินทีเรียหนุ่ม
"..."
ไร้การตอบรับของเจ้าของห้อง มีเพียงเสียงพายุถาโถมประเดประดังเข้ามาจนเสียวสันหลังวาบทุกครั้ง ท้องฟ้ากว้างสว่างวาบอย่างบ้าระห่ำ จนคนตัวเล็กสั่นสะท้านเข้าขั้วหัวใจ มือเท้าเกรงด้วยความกลัว ละทิ้งความพยายามข้อนอนกับเพื่อนใหม่ลง ตัดสินใจหันหลังกลับเดินไปตามทางเดินแสนมืดมิด คลำผนังกำแพงหาทางไปเรื่อยจนถึงห้องนอนตัวเอง
ลู่หานเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง แล้วพิจารณาสิ่งที่ตัวเองทำ
ผมดูใจร้ายกับร่างเล็กเกินไปรึเปล่าว่ะ
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี๊ยงลงมากลางทะเลสาบและหุบเข้าอย่างต่อเนื่อง เสียงดังอื้ออึงจนคนตัวเล็กเกิดอาการสั่นเทาทั้งร่าง
เวลากลัวเหลือเกิน...เขากลัวฟ้าร้อง เขาไม่ได้เกลียดสายฝนที่ตกมาให้ใจชุ่ม แต่เกลียดเสียงฟ้าร้องนั่นคงเป็นสิ่งเดียวบนโลก ราวกับจะขาดใจตาย... ความรู้สึกเสียวแปลบที่ดวงใจน้อยๆ
ร่างบางขดตัวอยู่ภายในตู้เสื้อผ้าไม้สีขาวกระชับแขนเล็กกอดหมอนนุ่มแน่น สัญชาตญาณบ่งบอกว่าจะปลอดภัยหากอยู่ในที่แคบ สะอื้นร้องไห้ออกมาแล้วออกมาเล่าไม่เหือดแห้ง จนกว่าค่ำคืนนี้จะผ่านไป...เขาจะต้องทนฝันร้ายเพียงลำพัง เป็นแบบนี้อยู่นานตั้งแต่เสียครอบครัวไป เขาก็กลัวช่วงเวลานี้มาตลอด หากแต่ครั้งนี้คิดว่าจะไม่ต้องกลัวอีกต่อไป...เขาคิดผิด ในเมื่อคนใจร้าย ก็ยังคงใจร้ายอยู่วันยังค่ำ
เปรี๊ยง!
"ฮึก..." ฟันเล็กกัดหมอนกลั้นเสียงร้องตะโกน กลัวเสียงก้อง...กลัวภายนอก
แบคฮยอนหายไปไหน?
"แบคฮยอนอยู่ไหน" ตะโกนแข่งเสียงฟ้า ตามหาร่างบางที่สักครู่เผลอใจร้ายใส่ ลางสังหรณืเขาบอกว่าควรเดินมาง้อ
รู้สึกผิดจับใจ...เขามันโง่เอง เขาต่างหากที่ไม่รู้เรื่องอะไรของตัวเล็กเลยสักนิด
"ลู่หาน..."
หันขวับทันที เสียงเรียกชื่อตัวเองแผ่วเบา แม้ได้ยินไม่ชัดก็สัมผัสได้ว่าบางสิ่งในตู้เสื้อผ้าสีขาวมีแบคฮยอน ไม่รอช้าก้าวฉับๆไปเปิดตู้ออก จนพบกับในหน้าหวาน สภาพเหมือนเด็กน้อย ดวงตาฉ่ำน้ำตาสะอ้นแสงสว่างเล็กน้อยภายนอก ตัวบางสั่นระริกกลัวจับใจ
"แบคฮยอน" เอ่ยเรียกชื่อแผ่วเบาชวนให้อุ่นใจ ร่างสูงยอตัวลงให้เสมอแล้วกว้าตัวไปกอดอย่างไม่รีรอ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น แขนเล็กกระชับแขนกอดล้อมรอบคอกลับแน่นราวกับกลัวหาย เช่นเดียวกัน ลู่หานกระชับอ้อมกอดแน่น พลางยกมือลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
"ฮือ...ฮึก ฉันกลัว" เสียงสั่นเครือ "กลัวฟ้าร้อง..."
เข้าใจท่องแท้แล้วแน่...เขาเองที่ขี้เง่า เห็นแก่ตัว...
"อย่ากลัวนะ...ฉันอยู่นี่แล้ว นายไม่ได้อยู่คนเดียวนะเว้ย" พูดปลอบครั้งแรกในชีวิต ที่ร่างสูงได้ใส่ใจลงไปด้วย "ฉันขอโทษ...ฉันต่างหากที่ไม่รู้เรื่องนายเลย..."
มีเพียงเสียงร้องไห้ก้องไปทั่วห้องนอนเล็ก กังวานไปเรื่อยๆจนเสียงเบาบางลง...
"หลับซะนะ...ฉันจะอยู่นี่...ไม่รู้นายได้ยินมั้ย..." ลู่หานเว้นวรรคเอาไว้สักพักก่อนจะพูดขึ้นว่า "ฉันดีใจนะ ที่มีนายร่วมเป็นครอบครัวเล็กๆ ฝันดี..."
80%
หลังจากออกจากบ้านหลังสวยสีขาวริมทะเลสาบนั้นแล้ว ร่างสูงของอินทีเรียหนุ่มก็ก้าวเดินตามเส้นทางถนนสายยาวที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติมากมายนานาพันธุ์ อาจเป็นเพราะมีรถใช้อยู่ตลอดเวลานั้นทำให้เขาพลาดที่จะได้เห็นสิ่งสวยงามเช่นนี้ในเช้าตรู่ กลิ่นอายสดชื่นลอดผ่านโพรงจมูกช่างแสนบริสุทธิ์จับจิต ส่งผลให้อวัยวะทุกสวนกระตือรือร้นพร้อมสำหรับการเดินเท้าเปล่าจนลืมระยะทางแสนไกล
มิน่าแบคฮยอนถึงชอบที่จะอยู่แต่บริเวณบ้านไม่ไปไหน ในเมื่อมีสิ่งล้ำค่าแสนหาอยากในเมืองหลวงอยู่ใกล้ตัวแล้ว
การนั่งรถเมล์ก็เช่นเดียวกัน ยามเช้าของวันหยุดไร้ซึ่งผู้คนอัดแน่นเช่นวันทำงาน ร่างสูงจึงได้สัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านผิวหน้าสีขาวซีดให้มีเส้นเลือกฝาดเป็นเส้นยาว อารมณ์คุกรุ่นเมื่อวันวานอันตรธานหายไปเพียงข้ามคืน ในใจนึกขอบคุณร่างเล็กที่ให้กำลังใจเขาและเคียงข้างตลอดเวลา แม้ยามที่กำลังสับสน
รถเมล์พามาส่งถึงแค่ป้ายสุดท้าย หากแต่ไม่ผ่านบ้านของคนหนุ่ม ลู่หานจึงจำต้องนั่งแท็กซี่ต่อเข้าไปในตัวบ้าน ระหว่างที่รอรถอยู่นั้น พลันสายตาก็ไปสบเข้าร้านร้านหนึ่ง ตกแต่งด้วยโทนสีไม้อ่อนอบอุ่นสบายตา ป้ายร้านเป็นรูปไอศกรีมโฮมเมดยอดฮิต ทำให้นึกถึงใบหน้าหวานของคนหนึ่งที่ป่านนี้คงง่วนกับการทำอาหารอยู่ที่บ้าน...
แล้วทำไมต้องไปนึกถึงด้วยวะ
นึกอยากเอามือเขกหัวตัวเองเหลือเกิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆร้านดีไซน์สวยๆและมีเอกลักษณ์แบบนี้พร้อมยกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด นัยน์ตาดำคู่คมเงยหน้าอ่านป้ายร้านตรงประตูบ้านกระจกว่าเปิดแล้ว ไม่รีรอให้ใช้ความคิดนาน สองขายาวพาก้าวเข้ามาในร้านที่ตกแต่งแบบมีลูกเล่น ทั้งอบอุ่น สบายตาแล้วก็เรียบง่าย
หากร่างเล็กมาเจอร้านไอศกรีมแบบนี้ คงมิวายตื่นเต้นเสียยกใหญ่ แค่พาไปทานข้าวนอกบ้าน ร่างบางก็แทบจะโอเวอร์แอคติ้งเสียเกินจริง
"ยินดีต้อนรับค่ะ" พนักงานสาวยิ้มหวานต้อนรับลูกค้าที่เดินเข้ามา ร่างสูงจ้องมองตู้ไอศกรีม คิ้วหนาขมวดกันยุ่ง จนเธอต้องเอ่ยแนะนำเมนูหลัก "ตอนนี้รสยอดนิยมของทางร้านเราคือ ช็อกโกแลตบานาน่าค่ะ รสชาติจะไม่หวานมากแต่ได้รสชาติของกล้วยและช็อกโกแลต เข้ากันอย่างลงตัวค่ะ"
ลู่หานจึงได้แต่พยักหน้าตามช้าๆ ฟังการแนะนำแต่ละรสชาติถัดมาจากเมนูแนะนำ จนได้ข้อสรุปว่าตนจะเลือกรสช็อกโกแลตบานาน่ามาลองชิมดู
"หนึ่งที่นะคะ ไอศกรีมจะเสิร์ฟที่โต๊ะค่ะ" หลังชำระเงินเสร็จก็เดินมานั่งรออยู่ตรงโต๊ะไม้สีอ่อนริมหน้าต่างใส
ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเขามานั่งทำบ้าอะไรที่นี่เวลานี้? ยิ่งทานของหวานแต่เช้ามันไม่ใช่สไตล์เขาเลยสักนิด
รอไม่นานนักของหวานยามเช้าก็ถูกเสิร์ฟตรงหน้าของอินทีเรียหนุ่ม ที่หลงผิดตามคำบอกของแบคฮยอนว่าทานของหวานจะทำให้ร่างกายสดชื่น และเมื่อนึกถึงคนตัวเล็กที่บ้าน จึงหันไปสั่งพนักงานว่าอยากได้ไอศกรีมใส่ถังกลับบ้านสามควอท ก่อนจะลงมือเริ่มทาน แม้รสชาตินั้นจะหอมหวานกลมกล่อมสมกับเมนูแนะนำก็ตาม หากแต่มันมันไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก
เฮ้อ กินคนเดียวไม่อร่อยเลยสักนิด ไว้กลับไปกินพร้อมลูกหมาที่บ้านดีกว่า
ตลอดระยะทางกลับบ้าน ลู่หานคอยประคบประหงมของที่แนบอกแม้มันจะส่งไอเย็นออกมาให้ก็ตาม กลัวว่าจะละลายก่อนได้กลับบ้านไปเซอร์ไพรส์ว่าที่นักเขียนจอมยุ่ง จึงคิดว่าจะเอารถแล้วกลับเลย ดีที่ยังมีน้ำแข็งแห้งใส่ไว้ให้ด้วย
เมื่อรสแท็กซี่มาจอดเทียบทางเข้าประตูบ้านบานหรู ร่างสูงก็จ่ายเงินให้เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินลงมาพร้อมกับไอศกรีมในมือ...แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปในบ้าน เสียงทักหนึ่งก็มาหยุดขาสองข้างเขาไว้
"ไงไม่เจอกันนานเลยนะ" เสียงทุ้มเอ่ยทักทายเพื่อนรักที่ไม่เจอกันนาน
"ไงไอ้ชาน สบายดีนะเว้ย" แสร้งทำเป็นสนิทใจ พร้อมเข้าไปกอดทักทายตามประสาเพื่อนห่างกันนานหลายปี "นายสูงขึ้นใช่มั้ยถ้าจำไม่ผิด?"
ลู่หานพยายามทำตัวตามปกติ ไม่ให้ผิดสังเกตอะไร...หากแต่อินทีเรียหนุ่มกลับไม่อยากจะมองหน้า คำคิดถึงเพียงลมปากของตนนั้นมิได้ยินดีเสียเลย
"เออ สงสัยอยู่เมกาฯนานเลยได้รับเชื้อ" เพื่อนตัวสูงกว่าตอบกลับติดตลก "แม่แกชวนฉันมากินข้าว ฉันว่าจะโทรหาแกพอดี"
"อื้อ เข้าบ้านเถอะว่ะ"
ว่ากันว่าผู้ใหญ่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับเพื่อนสนิท มักเป็นการจุดชนวนให้เพื่อนรักนั้นเกิดการทะเลาะกัน...
ใช่เลย ถ้าหากบ้านเขาตั้งแต่พี่ชายยันพ่อ ไม่เปรียบเทียบคนไม่เอาอ่าวกับเพื่อนรัก...เขาคงไม่ต้องมานั่งอิจฉาจนเกิดความรู้สึกไม่ดีแบบนี้หรอก...
เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในบ้านแล้ว แม่ของลู่หานก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเพื่อนเขาอย่างละเอียดยิบ พร้อมคะยั้นคะยอให้เพื่อนร่างสูงบอกเล่าประสบการณ์ที่ไปเมืองมาให้ฟัง โดยอินทีเรียหนุ่มก็ต้องจำใจนั่งฟังด้วย จนกระทั่งความอดทนของเขาหมดลง เขาจึงขอตัวกลับก่อน
ลู่หานไม่ใช่คนขี้อิจฉาเพื่อน แต่การถูกย้ำซ้ำๆเรื่องเดิมๆกับอีกคน มันทำให้ไม่อยากเห็นหน้าไอ้คนที่เก่งเสียทุกเรื่อง
ล่ำลามารดาเสร็จเรียบร้อยก็รีบสาวเท้าเดินไปยังรถออดี้สีดำลูกรักทันที
"ขับรถดีๆนะเว้ย!"
"เออ แล้วเจอกัน" โบกมือลาก่อนขึ้นมานั่งบนรถ... ทอดถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้รถของเพื่อนรักจะจากไปไกลตานานแล้ว แต่อารมณ์เสียยังค้างคาอยู่ในสมอง วิ่งวุ่นไปมา นี่มันคือจุดเริ่มต้นของลู่หาน...ไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะกลัวเพื่อนจะดีกว่าแล้วถูกบิดามารดามาเปรียบเทียบ
เหอะ กูนี่ยิ่งกว่าเด็ก
สตาร์ทรถทิ้งไว้รอให้เครื่องติดสักพัก ก็นึกขึ้นได้ว่าตนมีไอศกรีมของฝากให้ร่างบางอยู่ มันถูกแช่ในรถร้อนจนละลายกลายเป็นน้ำ
"เออ ช่างแม่ง" พูดบ่นคนเดียวพร้อมยกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ
ทั้งหลงลืมเวลานัดทานข้าวกับแบคฮยอน...จนทำให้เกิดเรื่องปะทะโทสะกัน...ลืมแม้กระทั่งกล่าวขอโทษ...
ตอนนี้ลู่หานคิดอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับเจ้าของบ้านและอยากให้เจ้าของบ้านตัวเล็กได้เรียนรู้เรื่องเขามากๆเช่นกัน... ครอบครัวจะอยู่ไม่ได้หากเราไม่เรียนรู้ซึ้งกันและกัน
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
ความคิดเห็น