ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #6 : - take me home : chapters - 005 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 57






     

    - comeback -


     

    chapters – 005

     
     



     

     

                ถุงกระดาษบ่งบอกราคาของได้อย่างดีเยี่ยม  ถูกแรงกอดรัดแน่นจนเกิดเรื่องกรอบแกรบขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดภายในรถออดี้คันดำ   ลู่หานได้แต่ขยับแว่นแล้วกระแอ้มเสียงไอเป็นบางทีแก้อาการดีใจที่ร่างเล็กแสดงออกว่าชอบมากขนาดนั้น  ราวกับกลัวว่าจะหายไป  เจ้าตัวเล็กได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง  ระหว่างทางขับรถไปบ้านของร่างสูงด้วยความตื่นเต้น  

     

                ตื่นเต้นว่าบ้านคนขี้บ่น  ชอบสั่ง  บ่งการ  หน้าโหด และเถื่อน  จะเป็นลูกมาเฟียจีนรึเปล่า...

               

                "นี่  บ้านคุณทำไมอยู่ไกลจัง"  เอ่ยทักเมื่อเวลาผ่านไปหลายนาทีเกือบชั่วโมงยังไม่ถึงที่หมาย  อีกทั้งท้องฟ้าก็เริ่มมืด  และเพื่อนสังเกตเห็นว่านอกรถนั้น  แสงสว่างลดลงเรื่อยๆ  เหมือนทางเข้าคฤหาสน์ผีสิงในหนังสือนิยายฝรั่ง

     

                "ทำไม  กลัวฉันพาไปฆ่าหมกป่าเหรอ  หึ"   น้ำเสียงหยอกล้อของคนรู้ทันถามขึ้น 

     

                "เหอะ  กลัวอะไร?"  

     

                สิ้นประโยค  ความเงียบก็เข้ามาครอบงำพร้อมความเย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศและความมืด  มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้นที่ส่องทางพอให้เห็นสลัว   ข้างทางเต็มไปด้วยความทึบจากต้นไม้และพื้นที่โล่ง 

     

                ฮื้อ...กลัวผี

     

                "นี่...จับ..."  แบคฮยอนเพ่งมองไปยังความมืดด้านนอก  ขนแขนก็ลุกชันขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย  ดวงใจน้อยอกด้านซ้ายเต้นจังหวะควบมาเร็ว  มือน้อยเผลอขยับทำงานอัตโนมัติ  พร้อมสมองสั่งการเกินหน้าที่  คว้าหมับบนมือของร่างสูงที่จับพวงมาลัยรถแค่ข้างเดียว  อีกมือที่ว่างวางไว้บนหน้าขา

     

                สัมผัสเย็นบนฝ่ามือเล็กสาบขึ้น  ลู่หานจึงหันไปมองเจ้าคนไม่รู้ตัว  แล้วยกยิ้มอารมณ์ดี

     

                "จับ...อะไร?"  เอ่ยถามเสียงแหบพร่า  จนแบคฮยอนสะดุ้งโหยง

     

                "อะไรคุณ  ทำไมต้องทำเสียงเบาขนาดนั้นด้วย"  โวยวายทันทีที่รู้ว่าโดนแกล้งอยู่ 

     

                "เหรอ  ไหนใครไม่กลัว  แล้วมาจับมือคนอื่นทำไมวะ"  ไม่พูดเปล่า  จับผู้ร้ายมีหลักฐานคามือที่เกือบดิ้นหลุดไปเมื่อรู้สึกตัว 

     

                "ปล่อยดิ"  ร่างเล็กพูดเสียงแข็ง  แล้วอ่อนลงเมื่อรู้สึกร้อน  ทั้งที่อากาศมันออกจะเย็น  "แค่เผลอนิดเดียว"  บ่นอุบอิบ  เบ้ปากคว่ำแล้วสะบัดพรึบจนมือหลุดจากพันธนาการ

     

     

                "ฮ่าๆ  หิวข้าวยัง  ใกล้ถึงแล้วล่ะ  พอดีบ้านหลังมันใหญ่  เลยต้องมาสร้างไว้ใกล้ๆหน่อย"

     

                "อวด  คนขี้อวด  นี่คุณไม่ใช่พวกมาเฟียใช่มั้ย  แล้วแม่คุณใจดีเปล่าอ่ะ"  ได้ทีร่างเล็กก็ถามคำถามพรวดเดียว  ไม่เว้นช่องว่างให้ตอบ

     

                "ไม่รู้วะว่าใจดีเปล่า  ก็เหมือนแม่ทั่วๆไปอ่ะ   แล้วฉันก็ไม่ใช่มาเฟีย   รู้นะคิดไรอยู่  ไอ้เด็กแก่แดด"  ผลักศีรษะคนตัวเล็กกว่าแล้วจับโยกไปมา  จนกระทั้งเห็นแสงสว่างอยู่ไกลลิบ

     

     

               

                ไม่นานนัก  รถออดี้สีดำคุ้นตาประจำตระกูลผู้ดีเชื้อจีน  ก็แล่นวนวงเวียนของคฤหาสน์หลังใหญ่  ตลอดทางมีต้นไม้สูงเรียงรายเป็นแถวทอดยาวจนถึงตัวบ้าน  ร่างเล็กได้แต่อ้าปากเกาะชิดขอบกระจกรถฟิล์มดำ  บรรยากาศตอนกลางคืนยิ่งชวนให้เหมือนเขาวงกต  ดูลึกลับเสียจนคนเพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้ครั้งแรกอึ้งกิมกี่  ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งตะลึงความงดงามของลายเสาต้นใหญ่  ลวดลายสลักบนบานประตู  ประจักแกสายตาครั้งแรก...

     

                ต้องเอาไปเขียนนิยาย

     

     

                "จะอึ้งอีกนานมั้ย  ลงได้แล้ว"  ลู่หานปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็หันไปบอกคนข้างๆ  ที่ยังคงกอดถุงแน่น   นัยน์ตาดำงดงามส่องระยิบระยับคล้ายเห็นของแปลก    

     

                "บะ...บ้านคุณเหรอ"  เสียงสั่นพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่   เพิ่งรู้ว่าเวลาตะลึงอะไร  ตื่นเต้นอะไรบางอย่าง  มันละสายตาแทบไม่ได้

     

                "อื้อ  ลงไปเร็ว  หิวแล้ว"  คำสั่งการของคนอายุมากกว่าดูไร้ผล  เมื่อคนตัวเล็กยังใส่ใจกับรายละเอียดของบ้าน  ตาโตลุกวาวสะท้อนแสงจันทร์...

     

     

     

                เจ้าของบ้านสถานะที่สลับกันเมื่อเปลี่ยนสถานที่ที่เรียกว่า 'บ้าน' ขยับตัวเอียงไปด้านข้างเล็กน้อย แขนยาววาดล้อมโอบเบาะคนตัวเล็กแล้วใช้แขนขวาโอบด้านหน้าแล้วหาตัวปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย อย่างคล่องแคล้ว  จนแบคฮยอนได้แต่ตัวแข็งสตาฟฟ์ตัวเองตอนสัมผัสได้ว่ากำถูกโอบ  ถึงจะทราบอยู่แล้วว่าคนตัวโตกำลังทำอะไร...แต่การที่ลมหายใจอุ่นมากระทบคอ  ทำให้ไหววูบ...

     

     

                ทำไม....ใจเต้นแรงอีกแล้ววะ

     

             

    10%
     

               บ้านหลังใหญ่โตเกินความพอดี  สำหรับร่างเล็กยังคงทำให้หวั่นอยู่บ้าง  เมื่อก้าวเท้าเข้ามาเหยียบพื้นกระเบื้องแสนเย็นเฉียบ  สัมผัสได้ผ่านพื้นรองเท้าผ้าเดินในบ้าน  ความเงียบเสียจนได้ยินเสียงเครื่องฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่นดังกังวานในยามเงียบสงัด  สาวใช้หรือแม่บ้านยกน้ำเปล่ามาวางไว้ตรงหน้าของแขกตัวเล็กในห้องรับรอง  รอยยิ้มจากผู้สูงอายุในชุดสีขาวดูเป็นมิตร  พอให้ดวงใจที่เต้นแรงกระทบผิวเนื้อบนกายได้สงบลง  คลายความตื่นเต้น

     

     

                "ขอบคุณมากนะครับ"  กล่าวนอบน้อมอย่างสุภาพ  ส่งยิ้มกว้างจนปากเหลี่ยม  โชว์ฟันขาว

     

                "ไม่เป็นไรค่ะ  นานๆทีเพื่อนคุณลู่หานจะมาเยี่ยมบ้าน"  ยิ้มด้วยความเย็นดู  จนคนถูกมองเคอะเขิน  หัวเราะแหะๆกลับแล้วจึงเอ่ย

     

                "ปกติไม่เขาไม่ค่อยพาเพื่อนมาบ้านเหรอครับ?"  โผลงถามออกไป  ขมวดคิ้วฉงน 

     

                "ใช่ค่ะ  นอกเสียจากเพื่อนอีกสองคนที่ตอนนี้ไม่ค่อยแวะมานานแล้วค่ะ  ดีใจจริงๆที่ได้เพื่อนใหม่  โธ่คุณชายเล็กไม่น่าถูกไล่ออกจากบ้านเลย"  บ่นเพ้อตามประสาคนอายุมาก  หากแต่เกิดคำถามในใจของร่างเล็ก

     

                ยังไม่ทันได้ถามเสียงเดินลงส้นเท้าแบบไร้มารยาทของผู้ชายนิสัยเสียก็ดังก้องมาแต่ไกล  จนร่างเล็กหันขวับไปมอง  เพราะพ่อกับแม่สอนว่าการเดินลงส้นเท้านั้นไม่ดี  สายตาจิกสะดุดลงตอนตั้งสติได้  ว่าถิ่นของร่างสูง  และคุณแม่บ้านก็ยืนมองอยู่  จึงหันไปก้มโค้งศีรษะขอโทษที่เสียมารยาท

     

                "แหะๆ"  เสียงหัวเราะแห้งๆ ทำลู่หานหลุดหัวเราะ

     

                "อะไร  เข้ามาถิ่นคนอื่นกลายเป็นลูกหมาเลยเหรอ"  เสียงพูดผู้กำชัยชนะ  รอยยิ้มแสยะขึ้นที่มุมปาก  "ป่ะลุก  กินข้าวกัน"  มือแกร่งคว้าตนแขนแบคฮยอนแล้วออกแรงลาก

     

     

                "อะไรของคุณเนี่ย"  บ่นเสียงเบา  ด้วยความเกรงใจสถานที่  พยายามสะบัดแขนออก

     

                "เดินช้า" 

     

                อะไรของเขาว่ะ!

     

     

     

     

                ตลอดทางเดินลึกเข้าไปด้านใน  ให้อารมณ์พระราชวังจีน  พนังสูงห้อยระย้าประดับด้วยโคมไฟราคาแพง  แจกันใบใหญ่ประดับดอกไม้สดสวยแปลกตาชวนให้หันมอง  โอ่งสีทองสลักมังกรสะท้อนวับเข้านัยน์ตาดำ  จนต้องขมวดคิ้วหรี่ตามอง   แบคฮยอนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกพาดินไปไหนเสียด้วยซ้ำ  ราวกับต้องมนต์สะกด  สมองประมวลเก็บภาพสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของต้น  

     

                ประตูใหญ่ของห้องรับประทานอาหารเปิดออก  เผยให้เห็นหญิงวันกลางคนในเครื่องแบบชุดกี่เพ้าสีชมพูอ่อน  มวยผมขึ้นรวบตึงปักด้วยปิ่นหยก  ใบหน้าละมายคล้ายคลึงกับร่างสูงราวกับนางฟ้า   รอยยิ้มสวยส่งความอบอุ่นอ่อนนุ่มในจิตใจ  

     

                "นี่แม่ฉันเอง  แม่ครับนี่แบคฮยอนที่ผมไปเช่าห้องอยู่"  ลู่หานแนะนำแขกผู้มาเยือนกับมารดา

     

                "สวัสดีครับ  ผมบบยอนแบคฮยอนครับ"  กล่าวทักทายทีท่านอบน้อม  โค้งตัวเก้าสิบองศาตามมารยาทที่มารดาของตนได้สอนมา

     

                "น่ารักจัง  สวัสดีจ้ะ  เรียกฉันว่าคุณแม่ก็ได้นะ  มาๆนั่งทานข้าวกัน  วันนี้ลงครัวเองเลยนะ" 

     

               

                เสียงนุ่มนวลของหญิงสาววันกลางคนเงียบลงท่ามกลางมื้อเย็นที่เอร็ดอร่อย  ทั้งสามแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน  โดยเฉพาะผู้เป็นมารดา  ที่ดูจะถูกอกถูกใจกับเพื่อนใหม่ของลูกชายคนเล็ก  ถามไถ่จนทราบว่าตัวเล็กนั้นอยู่ด้วยตัวคนเดียวเพียงลำพัง  ทั้งยังจะมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน  แบคฮยอนก็ยินดีทุกเมื่อ  จนกลายเป็นว่า  เพียงเวลาไม่นาน  ก็สนิทกันจนเหมือนลูกอีกคน

     

     

                บรรยากาศแสนอบอุ่นของครอบครัว   โชยตลบอบอวลทั่วห้องอาหารแห่งนี้  ความรัก  การดูแลเอาใจใส่  การพูดคุย  ถูกถ่ายทอดออกมาซึมลึกในจิตใจ  ร่างเล็กจึงทำได้เพียงปิดซ้อนน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไว้

     

                "ตายแล้ว  นี่เราทานข้าว  ทายของหวาน  จนมืดค่ำ ขับรถกลับไม่ไหวมั่งเสี่ยวลู่"  มารดาเอ่ยทักท้วงขึ้น  "ค้างที่บ้านดีกว่า  เดี๋ยวให้แม่บ้านจัดห้องให้  พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับนะ"

     

                "ไม่เป็นไรม๊า...เดี๋ยวป๊ามาเจอแล้วเรื่องใหญ่อีก"  ตีหน้าเซ็งทันควัน  เมื่อภาพในอนาคตลอยมาเป็นช็อต 

     

                "คิดว่าถ้าป๊าอยู่  ม๊าจะวนเสี่ยวลู่มาปะทะกันเหรอ  ป๊ากับคริสไปดูงานที่จีน  กลับมะรืนนี้แหละไม่ต้องห่วง  พรุ่งนี้เช้าทานข้าวเช้าแล้วค่อยกลับก็ได้"  ยิ้มกริ่มภูมิใจกับแผนการกักตัวลูกชายไว้ให้หายคิดถึงของตัวเอง  หันใบหน้างดงามไปพยักพเยิดกับร่างเล็กข้างลูกชายจอมหน้าบูด

     

                "ไม่ต้องหาตัวช่วยเลย  นี่วางแผนไว้รู้หรอก"  ถอนหายใจเฮือกใหญ่  ก่อนยกมือขยี้หัสตัวเองอย่างจนใจ  "อ่าๆ  พักก็พัก"

     

                "โอเคเลย  งั้นม๊าจะให้คนไปจัดห้องรับรองแขกนะ  เสี่ยวลู่ก็มานอนกับม๊าคืนนี้  คิดถึงไม่ได้เจอตั้งหลายวัน"  เดินเข้ามากอดลูกชายด้วยความห่วงใยคิดถึง  จนคนมองอดยิ้มได้

     

                "ไม่ต้องจัดหรอกครับป้า  เดี๋ยวให้แบคฮยอนนอนห้องผมก็ได้"  พูดปัดความยุ่งยาก  สายตาคมมองร่างเล็กที่ใบหน้าอ่อนล้ากับการเดินเที่ยววันนี้  ถ้าจัดห้องต้องรออีกเป็นชั่วโมง

     

                "เอางั้นน้า  แบคฮยอนหนูโชคดีมากเลยน้า  เสี่ยวลู่ไม่ค่อยให้ใครเข้าห้องนอน  ขนาดชานเลี่ยเองยังถูกเอ็ดบ่อยๆ"  อารมณ์ดีเสียจนพูดถึงบุคคลที่สาม  "อ่อ  ชานเลี่ยกลับมาเกาหลีแล้วนะลูก  รู้ข่าวรึยัง"

     

                "อื้อ  ก็รู้แล้ว"  พูดปดให้มารดาสบายใจและหยุดพูดถึงเพื่อนเขาคนนั้นเสียที  "ไปเหอะม๊า  ลู่ง่วงล่ะ  นี่ให้นอนอย่างเดียวอย่ารื้ออะไรเข้าใจปะ"  ประโยคแรกพูดกับมารดาออดอ้อน  พอมาประโยคหลังถึงกับแกล้งเสียงเขียว

     

                "ครับ" ยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย  ปกติหางคิ้วที่กระตุก  อยากตอกหน้าหงายหากแต่เกรงใจคุณแม่ของร่างสูง

     

                "พรุ่งนี้ใส่เสื้อที่ซื้อให้ด้วยล่ะ  อยากเห็น...ฝันดี"  

     

                นานเท่าไรแล้วนะที่ไม่ได้ยินคำพูดแบบนี้  น้ำเสียงแบบนี้  ความรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อล้นขอบตาจนร้อนผ่าว  หุบยิ้มไม่ได้เสียจนเมื่อแก้มกลม   ถึงแม้คนตรงหน้าจะตีหน้ายักษ์  ชอบดี  ตวาด  ตะคอกไร้ความปราณี  ทั้งหมดก็อิ่มเอมหัวใจทุกครั้ง  เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปยาวนานหลายปี

     

                ชอบจัง...

     

     

                "คุณแบคฮยอนเชิญทางนี้เลยค่ะ"  คนถูกเรียกรีบหันด้วยความว่องไว้  เดินตามคุณแม่บ้านคนเดิมไปต้อย  จนมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องประตูไม้สีขาวห้องหนึ่ง  ลวดลายหน้าประตูแปลก...แต่ไม่เหมือนบานไหนๆ

     

     

               

     

                "เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ"  รู้สึกเกรงใจเสียเหลือเกิน  ทั้งเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็ทำให้มากมายขนาดนี้ 

     

                "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  ดิฉันเต็มใจ  พักผ่อนให้สบายเถอะนะคะ"  คุณแม่บ้านส่งยิ้มให้อีกทีแล้วเปิดประตูห้องนอนออกไป 

     

     

                ร่างเล็กเอี้ยวตัวไปมองประตูห้องเล็กน้อย  แล้วเริ่มการสำรวจห้องนอนที่ดูมีสไตล์เป็นของตัวเอง  วอลเปเปอร์ลายสกรีนแมนยูสีแดงหลาตรงหัวนอน  โชว์เด่นกับพนังสีครีมนม  เตียงนอนแบบสะลิงพร้อมเสาสี่ต้นชวนให้นึกถึงพิธีบูชายัญ  เตรียมโยนน้ำสู่ชิวเบาบ้าอย่างไงอย่างนั้น  มุมห้องริมหน้าต่างบานใหญ่มีระเบียงสีขาวไม้เนื้ออ่อนยื่นออกเพื่อรับลม  โต๊ะหนังสือถัดมาที่เต็มไปด้วยกองหนังสือซ้อนทับกันหลายสิบเล่ม  แต่ละเล่มก็หนาไม่ต่ำกว่าหนึ่งนิ้ว  จำพวกหนังสือออกแบบอินทีเรีย

     

     

                เอ๊ะ...

     

     

                ตาเรียวเหลือบเห็นเข้ากับกรอบรูปหงายหน้าขึ้น  บนกระจกคล้ายเกิดแรงกระแทกอะไรบางอย่างจนเกิดรอยร้าว   มือบางถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู   ในภาพประกอบตัวบุคคลสี่คน  ซึ่งมีลู่หาน  คุณแม่  ชายวัยกลางคน  และผู้ชายร่างสูงโปร่งหน้าคมเข้มอีกคน  กลางรูปเป็นรอยร้าวคั้นกลางระว่างเขาและครอบครัว...ให้ออกห่างกัน  กลายเป็นภาพของอินทีเรียหนุ่ม  ยืนอยู่เพียงลำพังของอีกฝากหนึ่ง....

     

                ทำไม...แววตาเขาดูเหงาจัง


     

     

    40%

     

     

    ก๊อกๆ

                ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเกือบทำกรอบรูปหลุดออกจากมือ  เมื่อเสียงเคาะประตูดังอย่างต่อเนื่องเป็นจังหวะอะไรสักอย่าง  วางของในมือกลับลงไปที่เดิม  จากนั้นก็ร้องอ๋อทันทีเมื่อรู้ว่าใคร  คนเดียวที่มีรสนิยมห่วยแตกกระทั้งกดกริ่งและเคาะประตูห้อง   ก่อนจะหูชากับความน่ารำคาญ  คนตัวเล็กก็สาวขาสั้นของตัวเองตรงไปเปิดประตูออกทันที

     

                "ไง  ได้รื้ออะไรรึเปล่า"  ลู่หานทักทายประโยคแรกแล้วแทรกตัวเข้ามาในห้องโดยไม่ขออนุญาต  ถือสิทธิ์เจ้าของห้องเป็นทุน

     

                "เฮ้ย  คุณเสียมารยาท  เข้ามาห้องคนอื่นได้ไง"  จ้องเขม็งมองร่างสูงทันที

     

                "อ่าฮะ  พูดใหม่ดิ  ห้องนายแน่เหรอ  หื้ม?"  ยิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งคนตัวเล็กเสร็จ  ก็ส่งบางอย่างให้  "นี่ชุดนอนนะ  ใส่ของฉันไปก่อนก็แล้วกัน  ส่วนนี่แปรงสีฟัน"

     

                "ขอบคุณครับ..."

     

                "อื้ม  ก็เดินผ่านมาพอดีอ่ะ  กลัวลำบากแม่บ้านเลยเอามาให้เอง"  เกาท้ายทอยแก้เขิน  ความจริงคือเจ้าของเองนั้นแหละที่จัดแจงของมาให้

     

                "เหอะ  งั้นผมขอถอนคำพูดล่ะกัน"  แบคฮยอนถอนหายใจเนือยๆ  รู้สึกง่วงขึ้นมาตงิด  วันนี้ทั้งวันเดินไปนู่นไปนี่  ใช้พลังงานไปเยอะจนอาหารย่อยเอาไปทำพลังงานให้คนอื่นเขาหมด

     

                "เอองั้นไปอาบน้ำนอนเถอะ  ฉันไปล่ะ"  พอเห็นร่างเล็กตาปรือ  เลยจำใจต้องเดินออกไปนอกห้อง  ทั้งที่ยังอยากมีเรื่องจะคุยด้วย

     

                ทำไมกูเหงาจังวะ... 

     

                พอลู่หานกลับไป  คนตัวเล็กก็เดินสำรวจรอบห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ  ความง่วงและเหนื่อยล้าเมื่อสักครู่ก็หายไปปลิดทิ้ง  แม้ยังไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าของห้องก็ตาม 

     

                ห้องลู่หานอุดมไปด้วยวิชาการและศิลปะ  ชั้นหนังสือสองสามตู้อัดแน่นหนังสือเล่มหนา  บางช่องว่างคงอยู่บนโต๊ะ  แบคฮยอนว่าที่นักเขียนในอนาคตยิ้มร่า  หนังสือภาพสวยๆแบบบ้านมากมายหลายแบบถูกเปิดออกมาอ่าน  ร่างเล็กรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่กับหนังสือ  กลิ่นอายของเรื่องราวสู่จินตนาการนั้นล้วนไม่มีที่สิ้นสุด  ยามราตรีนี้...

     

     

     

                เอ๊ะ  นี่กระดาษอะไรหว่า

     

                หนุ่มน้อยหน้าหวานผู้มากไปด้วยความฝัน  ยกหนังสือหนาสามนิ้วออกจากพนังตู้  มือบางพยายามเขี่ยแผ่นกระดาษสีขาวเหลือง  ที่หล่นคาอยู่จนสีกระดาษเปลี่ยน  มีจุดด่าง

     

                "โอ๊ะ...ได้แล้ว"  อุทานด้วยความดีใจ  ค่อยๆดึงแผ่นกระดาษออกจากซอกแคบ

     

                แบคฮยอนเอียงคอเล็กน้อย  นิ้วชี้ซ้ายเกาหางคิ้ว  สายตาเรียวก้มลงอ่านบางสิ่งในกระดาษ  หัวข้อด้านบนเขียนไว้ว่า 'ใบจนการศึกษา...อินทีเรียดีไซน์'

     

                ผมชอบห้องนอนเขานะ...นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าชอบที่สุดตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้...และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาบ้านเพื่อน...ฝันดีครับคุณลู่หาน

               

     

     

     

     

     

     

                พ่อกับแม่สอนไว้ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย  ปั่นวัวปั่นควายให้ลูกท่านเล่น  เป็นคำสอนขึ้นใจเสมอมาแต่ไม่เคยได้ใช้มันสักครั้ง  ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองใช้ดู 

     

                เจ้าของห้องเช่าที่ได้สถานะว่าเพื่อนใหม่ของคุณหนูเล็กประจำตระกูล  ตื่นเช้าแต่ไก่โห่  ลงมาเดินดูสวนดอกไม้ของคุณแม่ลู่หานเล่น  กลับกลายเป็นผู้ช่วยของชาวสวน  ทำความสะอาดศาลาเล็กใกล้บ่อน้ำ  ท่าทางคล่องแคล้วถูกหยิบยกมาใช้มากกว่าที่บ้านตัวเอง  ทำให้ใช้เวลานานก็กลายเป็นที่รักและเอ็นดูของเหล่าแม่บ้านและชาวสวนหย่อม

     

     

     

                "หอมจังครับ  คุณป้าทำอะไรน่าทานทุกอย่างเลย"   ปากหวานจนหน้าตีของเด็กหนุ่มเพื่อนคุณหนูเล็กชวนเขิน  หญิงวัยกลางคนยิ้มให้บางและกว้างขึ้นอีกในประโยคต่อมา  "ผมช่วยหั่นผักดีกว่า  ผมถนัดใช้มีดมากเลยครับ"

     

                ยอมพูดปดเพื่อช่วยงานครัว  ถือเป็นเรื่องดีสำหรับแบคฮยอนในเวลาเช้าแบบนี้  เมื่อคืนเขาเข้านอนทันทีหลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นานสองนาน  แล้วตั้งนาฬิกาปลุกให้ปลุกตีห้าครึ่งเพื่ออาบน้ำแล้วลงมาหางานทำ

     

                "คุณแบคฮยอนชอบทานไก่วุ้นเส้นผัดซอสมั้ยคะ"   หันมาถามคนข้างกายที่หันหอมอย่างตั้งใจ

     

                "ชอบครับ  ชอบมากเลย"

     

                เมื่อวานกินซะเต็มคราบ

               

                "ว้าว  น่ารักจังเลยค่ะ  คุณหนูก็ชอบทานเหมือนกันเลย  เช้านี้คุณผู้หญิงเลยให้จัดมื้อใหญ่ตอนเช้า" 

     

                "โห  ดีจังเลยครับ ผมชอบมากๆ"  พูดไปกวาดตามองส่วนผสม  ซึมซับวิธีทำบ้าง  จนคุณแม่บ้านจับสังเกตได้  หยิบกระดาษและปากกามาให้จดเสียเลย  พร้อมเคล็ดลับต่างๆจนกระทั้งเสร็จสมบูรณ์

     

     

     

                อาหารมากมายที่เรียกว่ามื้อเช้าของเศรษฐี  ถูกวางเต็มโต๊ะอาหารทั้งเครื่องเคียงและอาการจานหลักจานใหญ่  ลู่หานยิ้มกริ่มเมื่อเห็นว่ามันคืออะไร  ยกตะเกียบเงินคีบตักมาทาน  เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ  ทำให้ร่างเล็กอดดีใจว่าตนมีส่วนร่วมในการทำอาหารขานนั้นด้วยไม่ได้

     

                "อร่อยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ"  ร่างสูงกล่าวขอบคุณคุณแม่บ้าน

     

                "เมื่อเช้าแบคฮยอนตื่นเช้าจังเลยลูก  เห็นว่าลุกมาทำงานบ้านงานส่วน  ยังช่วยทำอาหารเช้าอีก"  สิ้นเสียงคุณแม่  ตะเกือบแทบร่วงลงพื้น

     

     

                ไอ้เด็กบ้าเนี่ยนะ  ทำงานบ้านอาหารเช้านี่ด้วย?!

     

     

                "ตกใจอะไรกันคุณ  ผมทำเต็มที่เลยนะ  เมื่อกี้ยังบอกอร่อยอยู่เลย"  เอียงตัวไปกระซิบเยอะเย้ยคนตัวสูง

     

     

     

                แล้วเสียงหัวเราะพูดคุยแบบตอนเย็นก็กลับมาอีกครั้ง  หากแต่ไม่นานนัก...พายุก็มาราวกับต้อนรับสิ่งที่น่ากลัวที่สุด...

     

     

     

                "ไอ้ลู่หาน!"

     

                "ป๊า"  สองเสียงพ่อลูกประสานกันกลางวงข้าว  "ปะ...ป๊า  ไหนว่ากลับพรุ่งนี้ไง"  ภรรยาพูดเสียงสั่น   สีหน้าสามีน่ากลัวใช่ย่อย

     

                "ทำไม  แกอดอยากจนต้องซมซานกลับมากินข้าวที่นี่ตอนฉันไม่อยู่เลยรึไง  หรือทำสำเร็จแล้ว?  ไอ้ความฝันซังกะบวยหาเงินไม่ได้นั่นน่ะ"  น้ำเสียงผู้เป็นพ่อดุดันเสียจนแขกร่างเล็กกลัวจนตัวสั่นระริก

     

                คนนอกอย่างเขา...ควรทำยังไงดีวะเนี่ย

               

     

                "พูดแรงไปแล้วนะป๊า  นี่บ้านเราแล้วก็ลูกเราอีกคนนะทำไมต้องตะคอกด้วย  เสี่ยวลู่แค่อยากมาเยี่ยมแม่ที่วันๆไม่มีใครสนใจบ้าง  ทำไมต้องทำกับลูกขนาดนี้  ฮือออเสี่ยวลู่ลูกแม่"  เมื่อพายุมา  คุณหญิงของบ้านก็ส่งเฮอริเคนที่เรียกว่าน้ำตากลับ ดับอารมณ์โกรธในเย็นลง

     

                "พ่อเถอะม๊า...ผมกลับล่ะครับ"

     

                "ทำไม  ฉันมากินข้าวไม่ลงเลยรึไง  ตักข้าว!  นั่งทานกันให้จบแล้วค่อยกลับไปทำตามฝันโง่ๆของแกสิ"

     

                เขาว่ากันว่า  การรักษาน้ำใจกัน  ก็ต่อเมื่อไม่มีแรงกัดดันด้านลบเยอะเสียเท่าไรนัก 

     

     

                "ป๊าต่างหากไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง!"  คนตัวสูงระเบิดอารมณ์ออกมาครึ่งหนึ่ง

     

                "แกตะคอกใส่ฉันเหรอ  ไอ้เด็กเวร!"

     

     

                เพียะ!

     

                แรงปะทะข้างโหนกแก้มและมุมปาก  ถูกตบจนใบหน้าคมหันตามแรง...แสบจนหน้าชา  เจ็บปวดที่หัวใจ  ลู่หานจึงได้แต่นึกหาความยุติธรรม    แล้วคนที่เป็นศัตรูกันมานานอย่างพี่ชายยอดแย่ก็เดินเข้ามายกยิ้มมุมปากของผู้กำชัยชนะ...

     

     

     

                ทำไมชีวิตกูมันเชี่ยแบบนี้ว่ะ...

     

               

     

     

     

     

               

     

     

                "กลับบ้านกันคุณ...ไปกินข้าวเช้ากัน"  เสียงหวานควบคุมอาการสั่นเครือ  อยากมอบรอยยิ้มให้คนตรงหน้ามากกว่าหยดน้ำตาของความสงสาร  "กลับบ้านเรากัน" 

     

                มือเล็กเอื้อมไปกุมมือซ้ายของอีกคนปิดลอยถลอกจากการชกกำแพงเมื่อสักครู่หันหน้าเข้ากับกำแพง  แผ่นหลังของร่างสูงสั่นเทา  มันอัดแน่นไปด้วยหลากหลายอารมณ์  โลกสีเทาของเขานั้นกว้างมากจนร่างเล็กสัมผัสได้ถึงมัน  ยกมืออีกข้างที่ว่างวางลงแผ่นหลัง  เสียงสะอึกราวกับจะขาดใจหยุดลงช้าๆ  ในเวลาต่อมา...จิตใจที่อ่อนแอกำลังบำบัดในทางของมันเอง  เวลาจะเป็นเครื่องปลอบประโลมได้เพียงแค่เสี้ยวเดียว   หากแต่ตอนนี้กลับถูกเติมเต็มมาครึ่งหนึ่ง 

     

                คนตัวเล็กยิ้มกว้างจนเปลือกตาแทบปิดดวงตาเรียวเล็ก  กระชับมือหนาให้รู้ว่ายังมีคนที่จะให้กำลังใจเขาเสมอ  ยืนข้างกันยามเศร้า  ยิ้มต้อนรับเวลาเหงา  วันที่ล้มจะยื่นมือไปให้จับ  ปัดเป่าแผลลึกในใจ...ด้วยคำว่าครอบครัว 

     

                แบคฮยอนเชื่อว่า  คนเราอยู่ไม่ได้หากขาดความฝัน  กำลังใจ

     

     

     

                "แบคฮยอน..."  ใบหน้าคมหล่อของร่างสูงกระทบเข้ากับสายลมที่พัดเพียงเบาบาง  ทักทายก้าวใหม่ของการเริ่มต้น  เริ่มต้นในความคิด  ดวงตาคมนิ่งงันก่อนจะพูดต่อ  "ขอบคุณนะ"

     

     









     

     

                "หน้าที่ของโอฮาน่าอยู่แล้วนี่ครับ  ก็โอฮาน่า...เราจะไม่ทิ้งกันนี่เนอะ"

     

             
     

    80%

     



     

     

      

                                   ผมเอื้อมมือไปกอดเขาได้มั้ย?  ไม่รู้สิ  เหมือนผมอยากทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว  เขาจะไม่ว้าเหว่ถ้าเกิด...เอ่อ  เขาคิดว่ามันเปล่าเปลี่ยว  ผมลังเลชั่งใจอยู่นาน  มันจะดูไม่ดีหรือเปล่าผู้ชายกอดปลอบเพื่อนแบบนี้  เอาดีๆคือผมเริ่มขยับหน้าเข้าหาด้านข้างตัวของเขา...

     

                ร่างเล็กคิดในใจตลอดการนั่งรถเมล์กลับบ้าน  เพราะร่างสูงดูเหมือนจะขับรถไม่ไหว  กับจิตใจที่ห่อเหี่ยวแบบนั้น  มือเขาจะช่วยให้อุ่นสักนิดมั้ยน้า 

     

                "คุณป้ายหน้าถึงบ้านเราแล้วนะ"  มือเล็กดึงแขนเสื้อของคนนั่งเงียบ  เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง

     

                "ดีวะ ฉันยังเป็นคนมีบ้าน"  อยู่ๆคนที่เงียบไปนานก็พูดขึ้นมา  "ฉันแย่มากป่ะ  เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องเลยเนอะ"

     

                "ไม่เอาน่า  คุณก็ดีนะเว้ย..."  เพราะเหมือนมีพลังงานบางอย่าง  มือน้อยๆถึงกล้าเอื้อมไปแตะกับมืออีกข้างที่วางอยู่บนหน้าตักคนร่างสูง  รอยเลือดแห้งกรังตรงข้อต่อกระดูกนิ้วบ่งบอกให้เห็นว่านิ้วยังคงแดงบวม

     

                จนในที่สุดฝ่ามืออุ่นก็ทาบบนฝ่ามือใหญ่  พร้อมกระชับแน่นโดยไร้คำพูดใดๆ  สัมผัสที่มือแผ่ซ่านจนลู่หานรับรู้ได้  ถึงความห่วงใยที่เขาไม่เคยได้รับเลยจากผู้เป็นบิดาและพี่ชายตัวเอง   หรือมันมากกว่าทุกสิ่งที่เขาเคยได้รับ  ทุกความอุ่นผ่านเข้าทางก้อนเนื้ออกซ้ายจนเกิดอาการเต้นแรงกว่าจังหวะปกติ  ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆขึ้น  รอยยิ้มที่เห็นเพียงคนเดียว  แต่เกิดจากอีกคนที่มอบให้

     

                "มือเย็นว่ะ"  บ่นพึมพำหยอกเล่นเสียงดัง  กะให้อีกคนได้ยินจนหน้าเบ้ปากคว่ำ  หากแต่แบคฮยอนกำลังอินกับบรรยากาศรอบข้าง  พอได้ยินเช่นนั้น  รีบชักมือกลับทันที  "อ้าว  ยกมือออกทำไมวะ"

     

                "ก็มือเย็นอะ  รอแปบนะคุณ"  สองมือบางยกขึ้นมาในท่าพนมมือแล้วถูไปมาเสียดสีกันจนเกิดความอุ่นขึ้น  เอื้อมไปกุมมือร่างสูงทั้งสองมือใหม่อีกครั้ง  เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งยิ้มกว้าง

     

                แบคฮยอนโหมดน่ารัก...

     

                นั่นคือสิ่งที่อินทีเรียหนุ่มผู้จิตตกกำลังคิดอยู่  เขางุนงงกับพฤติกรรมแบบนี้ ที่หาดูยากของว่าที่นักเขียน...

     

                "อุ่นละ  แล้วถ้าอย่างงี้อ่ะ"  พูดจบฝ่ามือที่ใช้เท้าคางตรงกระจกรถเมล์ก็เคลื่อนมากุมมือเล็กไว้อีกชั้น

     

                "ฮื้อ...อุ่นดี ฮ่าๆๆ  มือคุณใหญ่มากอ่ะ  อินทีเรียเขาสอนต่อบ้าน  ตอกไม้ด้วยป่ะเนี่ย  มือด้านอีก"  แบคฮยอนกำลังเขิน  จึงหาทางพูดกลบเกลื่อน

     

                แก้มกลมเริ่มขึ้นสีชมพูจนกระทั่งกลายเป็นสีแดงระเรื่อ  เมินหน้าหนีเพื่อหลบซ่อนรอยยิ้มไม่ให้อีกคนเห็น  เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มอารมณ์ดีอะไรหนักหนาก็ไม่รู้ 

     

               

                ทำไมหน้าร้อนจังเรา....

     

     

     

     

     

     

                หลังจากผ่านความหมองเศร้าไปแล้ว  ทั้งสองก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ  ลู่หานขอตัวขึ้นไปบนบ้านเพื่อพักผ่อน  ส่วนเจ้าของบ้านอย่างแบคฮยอนยังพอมีเวลาทำอะไรบางอย่างก่อนตะเตรียมของทำอาหารเที่ยง  เป็นเพราะร่างสูงบอกว่าไม่หิว  ทำให้ร่างเล็กก็ไม่รู้จะทำอาหารเช้าให้มันยุ่งยากไปทำไม 

     

                ร่างบางเดินเยื่องย่างตรงไปเปิดตู้เย็น  นำของกล่องถนอมอาหารของเมื่อวันก่อนออกมาวางตรงเค้าเตอร์  ผัดผักสุดเค็มของเขา  คนตัวโตแสนใจร้ายบอกให้ทิ้งไป  ถ้าคิดมุมกลับ  เพียงเติมข้าวในถ้วยให้มากใส่กลับให้น้อย  รสเค็มนั้นก็จะจืดจางไปเอง  คลุกกับข้าวที่เหลือในชามแสตนเล็ส 

     

                "ทำไรอ่ะ  เสียงดังไปถึงข้างบน"  เสียงบ่นดังมาจากทางบันไดบานอลูมีเนียม  พร้อมใบหน้าหล่อของคนช่างติ

     

                "กินข้าว"  คนตัวเล็กเคี้ยวตุ้ยๆตอบส่งๆแล้วหันมาสนใจอาหารต่อ

     

                "ทำไมไม่มานั่งกินดีๆว่ะ"  ผู้อาศัยในชุดไปรเวทตัวใหม่เดินตรงดิ่งมายังห้องครัว  พลางถอนหายใจเฮ้อออกมาอย่างปลงอนิจจัง

     

                สภาพห้องครัวเละเทอะ  ทั้งจานท้องช้อนเปื้อนกิมจิไปหมด  เม็ดข้าวแข็งกระเด็นไปทั่วเค้าเตอร์  ราวกับเลี้ยงหมาจอมซนเอาไว้หนึ่งตัว

     

                "กินป่ะคุณ  ผมคลุกให้มีปัดปักเหลืออยู่"  ร่างเล็กเชิญชวน ยิ้มร่าพร้อมแก้มกลมๆเหมือนหนูแฮมเตอร์

     

                "ไม่เอา  ทุเรศชะมัด  ดูดิข้าวติดปากเอาออกด้วย"  ยกนิ้วชี้มายังเจ้าตัวดี  "เตรียมข้าวเที่ยงด้วยนะ...เอ่อ  อุ่นแกงอย่าใช้ไฟแรง  เดี๋ยวรสชาติจะเสีย"

     

                เชอะ...ทำเป็นสั่งก่อนหน้านี้ใครร้องไห้เสียใจฮะ?

     

                 คนตัวโตเดินเลี่ยงออกมา  เพราะไม่มีอารมณ์จะว่าอะไรตัวเล็กทั้งนั้น  เวลานี้เขาอาจจะต้องทำใจปลอบใจในส่วนของตัวเอง  วันนี้แบคฮยอนปลอบเขามากพอที่จะทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งอีกครั้ง  พอนึกได้ว่าพรุ่งนี้ยังมี  ก็ขอพักใจช่วยคราว  ลู่หานเลยนอนลงบนโซฟา  ดวงตาเรียวคม  แพขนตาหนาพร้อมเปลือกตาก็ค่อยๆปิดลงช้าๆ  ราวกับต้องมนต์สะกด  ด้วยความเหนื่อยล้า...

     

     

                คนตัวเล็กรีบกินข้าวด้วยความเร็วสูง  กึ่งเดินกึ่งวิ่งแบบย่องไปตรงกระเป๋าเป้คู่ใจของตัวเอง  คว้าหมับแล้วเปิดรื้อหาของสำคัญ 

     

                อิอิ  เจอแล้ว

     

     

               

     

     


    ถ้าหากว่า ใจเราไม่เคยจะรักเลยสักที
    จิตใจวันนี้คงจะไม่แข็งแกร่ง
    และในวันที่ล้มลงคงไม่มีแรง
    ถ้าเรามัวระแวงในมือของกันและกัน

     

     

               

     

                "ฮื้อ..."  ลู่หานตื่นขึ้นมาอีกทีด้วยความงัวเงียแหละหนักหัว  เวลาห้าโมงเย็นของท้องฟ้าที่ส้มแดงสาดทั่วด้านนอกทะเลสาบ  สะบัดหัวไล่ความงุนงง  แล้วกวาดตามองรอบบ้านโล้งกว้าง  สายตาก็หยุดกึกอยู่ตรงโต๊ะคอมคู่ใจของร่างเล็ก

     

                ไปไหนของเขาวะ

     

                ลุกจากโซฟา  พยายามเพ่งดวงตาปรับโฟกัสสักพัก  อยู่ๆโคมไฟดาวไลท์แบบฝังกำแพงหลังโทรทัศน์ก็เปิดพรึบขึ้น  แสงสว่างเฉพาะจุดชี้แนะไปยังกรอบรูปสีขาวลายไม้  เหมือนกรอบรูปในบ้านทุกรูป  หากแต่มันไม่ใช่รูปภาพแต่อย่างใด   กระดาษเนื้อด้านขนาดเอสาม  มีตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเขียนและภาษาเกาหลีเขียนบนกระดาษ  INTERIOR DESIGN  ประดับบนกำแพงใหญ่ 

     

                ใบกระดาษที่ผมคิดว่าทิ้งไปแล้ว...ใบกระดาษที่ได้มาก็ไม่ต่างกับฝุ่นละออง...

     

                เจ้าของใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาเอื้อมมือหนาแตะกระกระจกใส่  ลูบไร้เรียงจนถึงชื่อของตัวเอง  ความทรงจำระหว่างที่เล่าเรียนมา  ตอนเริ่มเรียนและตอนที่จบกับโปรเจ็คงานแสดงผลงาน  งานที่ไม่มีใครมาแสดงความยินดี...

     

                "ยินดีด้วยนะคุณ" 

     

                เสียงหวานหลังกำแพงสวิตช์ไฟยิ้มกว้างส่งให้คนตัวโตกว่า  ท่ามกลางความสว่างสลัวๆ  ลู่หานเพียงแค่คิดว่า  ขอบคุณเหลือเกิน  ขอบคุณพ่อที่ไล่ออกจากบ้าน  ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เจอคนดีแบบนี้  คนขี้เก๊กเดินตรงดิ่งไปยังร่างเล็กที่ยืนแอบหลังกำแพง...

     

     

     

     

     

                หมับ!

     

     

     

                "เออขอบใจวะ...ขอบใจมาก"  คว้าตัวบางมากอดให้แน่น  รู้สึกดีใจ  มันอย่างนี้ใช่มั้ย?  ขอบใจนะ

    บยอนแบคฮยอน...    


    สุดท้ายบางทีต้องเสียน้ำตา แต่ให้ทนไว้อาจเจ็บใจ
    และรอวันหนึ่งที่เราเติบโตจะขอบคุณ
    ว่าใจที่ไม่เคยมีรักให้ใคร และนานต่อไปจะเป็นใจที่ไร้ค่า
    หากมันจะมีอะไรที่ต้องแลกเพื่อได้มา
    ฉันว่ากันและกัน มีค่าที่จะแลกได้มากมาย


     

    100%

     


     
    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    อันรโยง  ชาวโลกและรีดเดอร์ที่น่ารักรัมปามปามรัม

    มันคือการทอล์คยาวๆกันครั้งแรกใช่หรือไม่ขอรั่บ

     ฮี่ๆทำไมเขินแปลกๆนึกว่าเอากล้องมาอัดหน้าตัวเองแล้วส่งให้รีดอะ  มันไม่ใช่ ฮ่าๆ

    เห็นมีคนบอกว่าอยากแบกแพ็คกระเป๋ามาอยู่บ้านแบค

    ฮ่าๆ  ดีใจที่แต่งได้อินขนาดนี้ ฮื้อ

    ดีใจมากที่ทุกคนรู้สึกอบอุ่นตาม  ฟิคเรื่องนี้เกี่ยวกับบ้าน  ครอบครัว

     

    ปัญหาชีวิตของสมัยนี้  พ่อแม่  ลูก  แนวความคิด อะไรๆมันก็ปรับเปลี่ยน

     

    อยากใช้ส่วนนี้มาทำให้รักครอบครัว  แล้วอยากกลับบ้านกันมากขึ้น

    ไม่ใช่ฟิครณรงค์อะไร  แค่อยากให้ทุกคนอยากกลับบ้านมากๆ

    จบตรงนี้อยากขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ  นี่คืดจุดเริ่มต้นที่เราจะรู้จักกันแล้วน้า

    เราชื่อพี  ยินดีที่ได้รู้จักอะจย้า

    ไม่เคยอยากเขียนทอล์คเท่าไร  กลัวไม่มีเพื่อนคุยฮ่าๆแต่ใครอยากได้เพื่อนเม้าก็  @peepanggy จ้าทวิตมา

     

    แล้วก็ขอบคุณเพื่อนเลิ้บๆเพื่อนโลกมืดของเรา #ฟิคโลกมืด  เธอวคือเพื่อนที่บอกให้เรามาคุยกับนักอ่าน

    แล้วก็ให้กำลังใจกันเสมอมาฮื้อ  ขอบคุณต่อมาน้องที่น่ารัก  นางไม่อ่านฟิคแต่นางก็ยังอุตส่าห์มาอ่าน ฮริ้ง

    จบการทอล์ค  ห้วนๆไปปะ ฮ่าๆๆๆ  เอาไงดีอะ งั้นรักนะจุ๊บๆ  เจอกันทอล์คหน้า



     
    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×