ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #12 : - take me home : chapters - 011 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 57






     

    - Hold 1 Hand -


     

    chapters – 011

     

     

               แบคฮยอนยืนมองสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีสักเท่าไรนัก  ดูจากรูปการแล้วสามคนนี้เป็นเพื่อนกันแล้วก็บังเอิญมากที่คนตัวเล็กเองไปรู้จักกับชานยอลที่เป็นเพื่อนกับลู่หานแล้วคยองซูก็เป็นเพื่อนกับสองคนนี้  ทุกคนมาบ้านแบคฮยอนแบบพอดิบพอดีโดยมิได้นัดหมายแต่อย่างใด
     

                “นี่เหตุผลที่นายปฏิเสธนัดฉันงั้นเหรอชานยอล...ตอบฉันสิ!  อยู่ๆคยองซูที่หนาวสั่นหน้าตาซีดเซียวก็ฟิวขาด  ดวงตาโตหวั่นไหวคล้ายแสงเทียนยามโดนลมพัดใกล้ดับกลับกันมันเริ่มมีน้ำคลอขอบตาแสนร้อนผ่าวอีกครั้ง  อยากจะอดทนให้มากกว่านี้แต่มันไม่ใช่นิสัยของคยองซูเลยสักนิด
     

                “หยุดนะคยองซู”  ร่างสูงกล่าวตักเตือนด้วยเสียงแผ่ว  เขาไม่ได้เตรียมการกับเรื่องบังเอญล่วงหน้ามาก่อน  วันนี้คิดเพียงว่าจะมาเจอนักเขียนตัวเล็กก็แค่นั้น
     

                “ไม่หยุด!  ฮึก  นายหลบหน้าฉันทำไมชานยอล  จะแกล้งให้ฉันใจขาดตายเลยใช่มั้ย!  หนุ่มน้อยตาโตยังคงตะคอกทั้งน้ำตาอย่างเจ็บปวด 

     

                “เฮ้ย  ค่อยๆคุยกันใจเย็น”  เป็นลู่หานที่เข้าไปห้ามทัพทั้งสองคน  เพราะเหมือนชานยอลยังทำได้แค่ขมวดคิ้วเป็นปม  เพราะความเป็นเพื่อนมาเนินนาน...จึงรู้ว่าถ้าปาร์คชานยอลเข้าโหมดโหดมันจะเป็นอย่างไร  “พวกนายสองคนทะเลาะกันเหรอ”  หันมาถามคยองซูที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้

     

                แค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเพื่อนตัวเล็กก็ปวดใจเสียแล้ว

     

                “คยองอย่าร้อง”  ลู่หานลูบหัวคนตัวเล็ก

     

                และนั้นเป็นภาพชวนให้แบคฮยอนเจ็บแปลบขึ้นมาแปลกๆ 


     

                “แล้วโวยวายอย่างนี้ทำดีแล้วเหรอ  ทำไมมีอะไรไม่คุยกันข้างนอก  มาโวยวายในบ้านของคนอื่นดีแล้วเหรอคยองซู”

     

                ราวกับกำแพงเขื่อนกั้นน้ำพังทลายลงมา  น้ำตาหยดลงไม่ขาดสายดวงตากลมโตแดงก่ำน่ากลัว  ปากเจ่อจากการกัดปากกลั้นน้ำตา

     

                “ฮึก  ฮือออ  พอกันที! ชานยอลใจร้าย”  ตั้งสติได้เพื่อนตัวเล็กของทั้งสองก็วิ่งออกไปนอกบ้านอย่างรวกเร็วแม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ได้ใส่ติดไปด้วย  มีเพียงร้องเท้าผ้ากับผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่ติดตัวไปแทนร้องเท้าผ้าใบกับร่มกันฝน

     

                ชายหนุ่มร่างสูงสองคนรีบวิ่งตามออกไปตามความเคยชิน  ยามที่คยองซูงอแงเอาแต่ใจบ่งบอกว่าเราต้องตามเท่านั้น  หากปล่อยไว้ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลง  ทำให้บ้านทั้งหลังเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆอยู่ๆก็เงียบผิดปกติทันตา
     

                ทิ้งไว้เพียงเจ้าของบ้านให้ตีสีหน้ายุ่งเหยิงวางตัวและอารมณ์แทบไม่ถูกก่อนหน้านี้ทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาที่อินทีเรียหนุ่มเพิ่งนั่งไป  ทอดสายตาเหมอลอยมองไปยังแก้วสองใบที่วางคู่กันอยู่สลับกับสายฝนพร่ำๆเปาะแปะยามกระทบหลังตาสวย

     

                สงสัยจะไม่ได้กินสปาเกตตี้แล้วล่ะมั้ง  แถมก่อนหน้านั้นลู่หานชักสีหน้าก่อนออกไปด้วย..นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนแทบจิตตกดิ่งทันที

     

                คุณโอฮาน่า...เหงาจัง









     

                “ฮ่าๆ  โอ๊ยนิยายรักห้าอะไรวะ” 



     

                หื้ม?

     

                เปลือกตาหนาค่อยๆขยับ  แพขนตาหนาเลื่อนขึ้นช้าๆก่อนดวงตาใสแป๋วเปิดออก  ภาพแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวแสนธรรมดาแต่อบอุ่น  ปรับภาพให้ม่านตาซูมชัดขึ้นก่อนจะนึกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น  หลังมือถูกยกขึ้นมาขยี้ตาเบาบาง

     

                เสียงหัวเราะเมื่อครู่...

     

                “ฮ่าๆ  เฮ้ยตื่นล่ะเหรอ”  เสียงห้าวหันเหความสนใจจากหน้ากระดาษเป็นใบหน้าหวานที่ลืมตาค้างอยู่ข้างๆเขา  “แต่ก็เริ่มปวดๆล่ะ  ลุกเลยเร็ว”

     

                “ลู่หาน?”  เรียกชื่อของเจ้าของเสียงกวนประสาท  ก่อนเงยหน้าให้มากกว่านี้ว่าต้นเสียงอยู่ที่ไหน  จู่ๆก็สัมผัสได้ว่าหมอนรองหนุนหัวกลมนั้นเป็นตักของร่างสูง  แบคฮยอนรีบสะดุ้งตัวโหยงขึ้นมาเกือบเอาหัวโหม่งอินทีเรียหนุ่มที่ถอยหลบอย่างหวุดหวิด  “คุณ!  กลับมาเมื่อไร”

     

                รู้จักดีใจมากกว่าจะกล่าวขอโทษ 

     

                “อะไรวะขอโทษสักคำก็ไม่มี  ขอบคุณก็ไม่มี เชี่ยขาชาหมดล่ะมึง”  พ้นคำหยาบคายออกมาตามนิสัย  หากแต่คราวนี้แบคฮยอนยิ้มตาหยีไม่ได้ตอบโต้กลับแต่อย่างใด  จนร่างสูงอดถามไม่ได้  “เป็นอะไร  ซาบซึ้งที่ให้นอนตักเหรอ”

     

                “ฮื้อ!  ไม่ใช่  ผมคิดว่าคุณจะไม่กลับบ้านแล้วซะอีก”  แบคฮยอนเผลอพูดตามใจนึกออกไปอย่างไม่รู้ตัว  คนตัวเล็กที่นั่งขัตมาตอยู่กระโจนกอดใส่คนตัวสูงทำให้เสียหลักกันทั้งคู่กลิ้งขลุกขลักอยู่บนโซฟากว้างเพราะปลดพนักพิงออกเป็นที่นอนได้  “ขอบคุณนะคุณ”

     

                คนตัวสูงยังคงงงกับคนตัวเล็กที่ฉวยโอกาสอยู่  เขาไม่ได้ยกแขนกอดตอบแต่อย่างใดปล่อยให้แบคฮยอนโยกตัวเขาไปมาซุกหน้าเล่นๆ

     

                “ไม่กลับบ้านแล้วจะให้ไปไหน”  ในที่สุดลู่หานก็พูดออกมาและใจอ่อนเผลอโอบกอดร่างบางต่อ

     

                อุ่น...ตัวแบคฮยอนอุ่นไม่มีสาเหตุ  เป็นแบบนี้ทุกครั้งจนผมคิดว่า...ถ้าเป็นทุกวันมันคงดี...


     

                “ไปไหนก็ได้ที่ทิ้งผมไว้ที่บ้าน...”  แบคฮยอนโหมดน่ารักปากหวาน?  ร่างสูงขมวดคิ้วเป็นปมกับแรงกระชับอ้อมกอดน้อยๆที่น่าจะสุดแรงของคนตัวเล็กแล้ว   เขาเลยกอดร่างบางแน่นขึ้นอีก  “ฝนตก...ผมกลัวฝนตก”

     

                บ่นงุงงิงก้มหน้าจมกับไหล่ลาดจนคนตัวโตเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ราวกับว่าทุกอย่างที่แบคฮยอนทำแล้วเขายิ้มออกมามันคือมนต์สะกด...มันมาจากใจจริงว่าต้องยิ้ม  ร่างสูงกำลังจะเรียนรู้เรื่องราวของครอบครัวเล็กๆของเขาที่มีสมาชิกอยู่สองคนคือคนตัวเล็กกับเขาว่าอีกฝ่ายชอบอะไร  เป็นยังไง...เหมือนที่ว่าคนเราอยู่ด้วยกันต้องเรียนรู้กัน

     

                ผมจะเริ่มตอนนี้เลยดีมั้ยนะ?

     

                “อ๋อ  ที่มาอ้อนคือกลัวฉันหายไปตอนนายกลัวเหรอ?”  แกล้งพูดแหย่ไปอย่างนั้น  ไม่ได้น้อยใจอย่างที่บอก

     

                “เหรอ?  ไม่นะไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นงั้นเลย  อยู่กับคุณแล้วผมไม่กลัวแล้ว...ความมืดแล้วก็ความเงียบ”  พักนี้รู้สึกว่าตัวเองฟังเพลงทำลายความเงียบน้อยลง  แม้จะตอนดึกแค่ไหนระหว่างที่เขาพิมพ์         นิยายเขาก็จะรู้สึกว่ามีอีกคนปกป้องเขาอยู่...

     

                “ทำไมเด็กน้อยจังวะ”  เขิน...อยู่ๆลู่หานก็เขิน



     

                เอ้า!  กูมาเขินเด็กกะโปโลนี่ทำไมวะ








     

                เผลอไผลไปจนต้องผลักร่างบางออกห่างแล้วพาลสะดุ้งโหยงกับความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆในใจ  มันจะตื่นเต้นก็บอกไม่ถูกแต่มันแค่รู้สึกว่าเลือดไหลเวียนดี  หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ...แบคฮยอนหงายหลังยู่ปากแล้วเดินหนีปึงปังไปในครัว  สองนิ้วเรียวจับใบหูเล็กที่ร้อนระอุ  ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินจนอุณหภูมิในร่างกายติดลบ

     

                เมื่อกี้...รู้สึกดีแต่เขิน!

     

                เขียนนิยายรักมากก็มากทำไมไม่เคยรู้สึกว่าตัวละครมีอาการแบบนี้  มันเรียกว่าตกหลุมรัก...ปวดหนึบๆวูบโหวงในใจ

     

                งื้อ...ทำไงดีหรือเราชอบคุณลู่หานจริงจังเสียแล้ว...สาธุอย่าเลื่อนขั้นไปมากกว่านั้นเลยนะ

     

                เพี้ยง!

     






     

                “มองหน้าทำไม”  ลู่หานม้วนเส้นสปาเกตตี้คำโตแล้วใส่ปากตามปกติ  จะผิดก็แต่อาการหลังตื่นนอนจนมานั่งทานข้าวด้วยกันของเจ้าของบ้านที่ผู้อาศัยยังแปลกใจไม่หาย  อีกทั้งยังจ้องหน้าเขาแล้วทำท่าทางหลายอารมณ์

     

                “คุณ...หื้ม! ไม่มีอะไรๆ  ทานเลยอร่อยมั้ย”  ว่าที่นักเขียนกำลังพิสูจน์อะไรบางอย่างตามที่จดมาทางอินเตอร์เน็ต  ขอแรกขอเดียวไม่ต้องทำข้อต่อไปก็รู้ผมเลย

     

                พิสูจน์ความชอบว่าความรู้สึกคุณอยู่ระดับชอบระดับไหน

     

    อยากเห็นหน้าเช้ากลางวันเย็นไม่อยากละสายตา  มองเท่าไรก็ไม่รู้เบื่อ

     

    ระดับMAX   คุณชอบเขาระดับแม๊กที่จะแปรความสัมผัสกันให้เป็นรัก

     

    จริงแล้วชอบนานแล้วเพิ่งจะรู้สึกตัว  เขียนนิยายมาเยอะเพิ่งเคยเจอกับตัวเองพอเป็นแล้วก็รับมือไม่ทันแฮะ  ฮื่อทำไงดีอยากนั่งมองลู่หานทั้งวันเลยครับคุณสติช 
     

    ทำไงดีโอฮาน่า...


    30%

               

              “รสชาติก็ใช้ได้  แสดงว่าเดี๋ยวนี้ฝีมือพัฒนาขึ้นนะเรา”  ลู่หานพูดไปทานไปอย่างเอร็ดอร่อย  แม้ปากจะโต้แย่งรสชาติแล้วบอกให้ปรุงรสเพิ่มก็ตาม   “จริงด้วย  นายมีคดีติดตัว”  อยู่ๆก็พูดขึ้นมาหลังจากคำสุดท้ายเข้าปากไป

     

                “คดี?”  ร่างบางทำหน้าฉงนปนสงสัยว่าตัวเองไปสร้างเรื่องอะไรเอาไว้ให้ต้องคดี  “แต่เมื่อกี้คุณอ่านอะไรอยู่เหรอ  เห็นหัวเราะซะดูน่าสนุกนะ”
     

                แบคฮยอนถามขึ้นมาก่อน  เผื่อว่าจะได้ขอยืมอ่านสักครั้งเพราะเสียงหัวเราะมีความสุขนั้นเขาเองก็อยากจะรู้

                “อ๋อ  นิยายนายไง  โคตรเหมือนนิยายตลกเลยวะ  แต่ภาษาที่ใช้ไม่สวยแล้วก็บทสนทนาแข็งกระด่างเหมือนบทละครนะมันน้ำเน่าแต่ตลกดีตรงที่นายพิมพ์ผิดบ่อยๆจนกลายเป็นอีกความหมายนึงอ่านแล้วฮาชิบหาย  ฮ่าๆ”  ลู่หานยังพูดต่อ  “แล้วก็นะ...โอ๊ย!

     

                ช้อนตักซุปที่ยังไม่ได้ใช้ลอยกระทบศีรษะคนปากบอนเสียงดังโป๊กดังก้องคั้นบทสนทนาที่แอบหลอกว่ากลายๆ  คนถูกกระทำลูบหัวปอยๆผิดกับคนกระทำเจ้าของช้อนกำลังส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจและอาฆาตมายังลู่หานนิ่งงัน  ก่อนจะตัดข้าวเข้าปากต่อไปแคร์จะขอโทษ
     

                “เชี่ย  เขวี้ยงมาได้  เจ็บนะเว้ย!  ชักสีหน้าตาขว้างราวกับลูกกวางโกรธเพราะลูกหมาเพื่อนกันทรยศ  “เฮ้ย  แล้วจะไปไหน!

     

                แบคฮยอนไม่สนใจคนเรียกตามหลังมาติดๆ   ร่างบางเดินขึ้นไปชั้นสองหวังอาบน้ำไม่หายลืมด้วยน้ำตา...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองแต่งได้แย่ขนาดไหน  ขนาดเขาเองตอนอ่านยังรู้สึกว่าแย่เลยแล้วนับประสาอะไรกับคนที่วันๆเอาแต่พูจาหยาบคายนิสัยแย่!  ไม่รู้ถึงผลงานศิลป์ตัวอักษรเลยสักนิด

     

                ใครจะรู้ว่าการเป็นนักเขียนของเขามันต้องรออีกนานแค่ไหน  จากตอนที่แต่งฆ่าเวลาเล่นๆตอนประถมหกกลับกลายมาเป็นความชอบจนยากที่จะถอนตัวจากวงการนักเขียน  ผ่านการประกวดมานักต่อนักก็ไม่เคยผ่านรอบแรกเลย  แม้กระทั่งกิจกรรมนักเขียนน่าใสส่งมันทุกปีจนมันปีที่สิบสองแล้ว...ก็ยังไม่ติดอีกนั้นแหละ  ส่งสำนักพิมพ์ไหนก็ตีกลับบอกจุดแก้ไขแต่พอเขาเอามาแก้จุดบอดก็ยังบอกว่าใช้ไม่ได้

     

                เฮ้อ

     

                หลังจากอาบน้ำเสร็จอารมณ์ขุ่นมัวก็ยังไม่จางหายไป...ไม่รู้ว่าป่านนี้คนแก่ปากเสียจะทำอะไรอยู่สำนึกบ้างมั้ยว่าพูดไม่ดี  ร่างบางขบคิดอะไรเล่นๆอยู่บนที่นอนก่อนจะหยิบสมุดปากกาที่มีแทบทุกที่ในบ้านหลังนี้ขึ้นมาเปิดหน้ากระดาษหาหน้าว่างถัดไป  ดินสอไม้สีดำถูกบรรจงเขียนภาษาเกาหลีลายมือน่ารักเด็กน้อยลงบนบรรทัดเส้นสีฟ้า

     

                “อื้มมม  เอาเป็นว่า ตัวละครล่ะกัน  คิดได้ก็เขียนลงยุกยิกลงไป

     

                แต่ยังไม่ทันจะเขียนต่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาแล้ววางไว้บนโต๊ะหนังสือก็แผดเสียงสั่นลั่นห้องนอน  ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงนอนที่กลิ้งไปมาจนยับยู่ยี่  นึกสงสัยว่าใครโทรมาหาเขาเวลานี้...ไม่สิเอาจริงๆมีกี่คนเองที่มีเบอร์โทรศัพท์เขา  แบคฮยอนเปิดฝาพับขึ้นเผยให้เห็นเบอร์โทรเข้ามา




     

                ชานยอล?















     

                “ฮัลโหลครับ”  กดรับสายอย่างงงๆแล้วกรอกเสียงหวานใส่  ทำเอาปลายสายหัวใจเต้นรัวระคนความตื่นเต้น
     

                ... 

     

                กรรม...เงียบซะอย่างนั้น  ปาร์คชานยอลพูดไม่ออก

     

                “เอ่อ...ฮัลโหล  ชานยอล”  ร่างเล็กยังพยายามทักทายใส่ปลายสาย

     

                แบคฮยอน...ขอโทษครับพอดีตื่นเต้นไปหน่อย

     

                “ตื่นเต้น?  ฮะๆอะไรกันโทรหาแล้วเงียบตกใจหมดนึกว่ากดผิด”  น้ำเสียงสดใสหัวเราะคลอเบาๆเล่นเอาชีวิตชานยอลสดชื่นหลายเท่า

     

                นั้นสิเนอะฮ่าๆ  จริงๆจะโทรมาขอโทษเรื่องวันนี้...

     

                “อ๋อ!  โอ๊ยไม่ต้องคิดมากหรอก  แล้วคยองซูไม่เป็นอะไรใช่มั้ยเขาดูเหมือนจะไม่สบาย”  แบคฮยอนพูดด้วยความเป็นห่วง  เมื่อนึกถึงใบหน้าซีดๆนั่น

     

                อื้อ  ว่าแต่...นายอยู่บ้านหลังเดียวกับลู่หานเหรอ

     

                “ใช่ๆ  เขามาเช่าห้องบ้านฉันอยู่  ตอนแรกตกใจมากเลยนะ...ฮ่าๆๆ”

     

     




     

                ลู่หานเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องของคนตัวเล็กอยู่นานแล้วหลังจากงอนขึ้นบ้านมา  เห็นเงียบไปสักพักก็หัวเราะร่าขึ้นและเสียงคุยไม่หยุดนั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้กับร่างสูงที่อยากจะเคาะอยากจะรู้อย่างมาก  หูแนบกับประตูห้องนอนสีขาว

     

                คุยกับใครทำไมต้องหัวเราะด้วย?

              ชานยอลจะนอนยัง

                !!

     

     

                ก๊อก  ก๊อก

                “แบคฮยอนนอนรึยัง!” คนตัวโตตะโกนลั่นบ้านกลัวคนในสายไม่ได้ยินเสียง  รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อชื่อเพื่อนสนิทลอยเข้าหู  ทั้งยังไม่ได้เคลียกับคนตัวเล็กว่าไปรู้จักมักจี่กับไอ้คนดังในวงการธุรกิจหลากหลายแขนงอย่างนั้นได้ยังไง  นึกประชดเพื่อนในใจเพิ่มความโอเว่อร์เข้าใส่ด้วยความหมั่นไส้  เรื่องจริงคือที่บ้านของชานยอลมีคนลงทุนทำธุรกิจเยอะเพราะเครือญาติชอบอะไรไม่เหมือนกัน  อีกทั้งชานยอลคือลูกชายคนแรกของวงตระกูลเลยได้มีสิทธิ์ดูแลงานที่ตัวเองต้องการ  พ่อเขาเลยคะยั้นคะยอส่งเสริมกันเข้าไปจนลืมลูกตัวเองอย่างถูกวันนี้  สรุปง่ายๆมันดีทุกอย่างจนลู่หานรู้สึกหงุดหงิด

     

    แถมแบคฮยอนยังชวนมาทานข้าวที่บ้าน  ใช่เรื่องมั้ย!

     

    ความคิดเด็กๆของลู่หานถูกพับเก็บไป  เมื่อรอสักพักยังนิ่งเงียบลู่หานชักสีหน้าขึ้นมาทันที  มือหนายกขึ้นลูบค้างอย่างครุ่นคิดก่อนจะเคาะอีกครั้งพร้อมส่งเสียงดังโวยวายไม่หยุด 

     

    ผัวะ!

     

    “ตะโกนหาอะไรนัก!  ตัวเล็กในชุดนอนเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์มสีซีดคิ้วขมวดจ้องใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาเรื่อง  กำลังว่าจะปรึกษาเรื่องนิยายตรงบทตัวละครแท้ๆแต่ต้องวางสายไปเสียนี่! 

     

    “ทำไม  ขัดจังหวะสวีทรึไงห๊ะ  เคาะเรียกตั้งนานทำไมไม่เปิด”  คนอายุมากกว่าเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มยืนกอดกอดหน้าบึ้งตึง

     

    นักเลงเหรอ?

     

    “ก็เขาจะคุยอะไรก็ไม่ใช่เรื่องคุณป่ะ  ทำไมแอบฟังรึไง”  แบคฮยอนเองก็ไม่ยอมแพ้กอดยกแล้วทำท่าฮึดฮัดสู้เหมือนกัน  ในหน้าหวานเอียงองศาเล็กน้อย

     

    “เออ  แอบฟังแล้วจะทำไมวะ  มันเรื่องของฉันเหมือนกันเพื่อนฉันนิหว่าโด๊”

     

    “นิสัยไม่ดี!  หยาบคาย  ยุ่งเรื่องคนอื่น!  ถึงกับอารมณ์โกรธปะทุทันทีด้วยคำพูดยียวนกวนบาทาไม่กี่ประโยค 

     

    “ก็อยากยุ่งอ่ะ  อะไรนักหนาวะ”  อินทีเรียหนุ่มรู้สึกโลกเบี้ยวยากจะควบคุม  ขยี้หัวแก้เครียดจนยุ่งเหยิงไปหมด  ดวงตาสวยคล้ายกวางป่าจดจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวเล็กสั่นระริกแล้วนึกได้ว่าตัวเองจะมาขอโทษ

     

    “เพื่อนคุณก็เพื่อนผมเหมือนกัน  ชานยอลให้กำลังใจผม  ความฝันผม  ไม่เหมือนคุณหรอกที่ดูถูกผลงานคนอื่น!

     

    “ฮึ  มิน่าล่ะไอ้บก.มันถึงไม่สนใจงานนายเพราะนายมันไม่ยอมรับความจริง!!  ทำไมไอ้ชานบอลให้กำลังเลยคิดว่าเขาดีงั้นสิ  หื้ม...รู้อะไรมั้ยมิตรแท้เขาเตือนกัน  ถ้าฉันไม่หวังดีฉันคงไม่บอกไปตรงๆแบบนั้น”  ประโยคหลังเริ่มน้ำเสียงอ่อนฉับพลันเพราะตัวเล็กตรงหน้าน้ำตาเริ่มคลอใกล้พ้นขอบตา...ปากเล็กกระจับสวยคว่ำงอลง  หางตาเริ่มตกและ...สูดน้ำมูกฮึบๆ

     

    “ใช่ซี่  ผมมันไม่ได้เรื่องสักอย่าง  หนังสือยังเขียนให้คนชอบไม่ได้เลย  แล้วผมจะไปมอบความสุขให้คนอ่านได้ยังไง   แต่ถึงยังไงผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจกัน  หัวศิลป์บ้าบออะไรกัน!  คุณมันก็ไม่เอาอ่าวจนพ่อไล่ออกจากบ้านไงล่ะ!  เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ  วาจาสุดท้ายเฉือดเฉือนแทงใจดำ

     

    ใช่...มันก็ถูกแต่ใช่เรื่องที่จะมาวกเรื่องเขาเหรอ

    “หยุดเดี่ยวนี้นะแบคฮยอน
    !  เสียงทุ้มฉายแววแน่วแน่
     

    “ไม่!

    “หยุด”

    “ไม่หยุด!!

    “นายไม่รู้อะไรก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย...”  เสียงอ่อนลงทันที  ก่อนจะหันไปปะทะหน้ากับคู่อริ  “ดีกันเถอะว่ะ  เบื่อล่ะมาตะเบ็งเสียงเจ็บคอ...ไปกินไอศกรีมกันมั้ย”  คนตัวสูงปรับอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ  ทำเอาแบคฮยอนวิ่งตามอารมณ์ไม่ทันแล้ว  ดึงแขนเรียวแล้วกึ่งลากกึ่งเดินลงไปชั้นล่าง




     

    เอ๊ะ...เมื่อกี้เราทะเลาะกันอยู่ป่ะครับ?  แบคฮยอนงง 
     

    60%
     

     

    เสียงจ๊อบแจ๊บดูดจ๊วบจ๊าบของร่างเล็กที่กำลังเอร็ดอร่อยกับของหวานรสเรนโบว์ในถ้วยโปรด  ชอบถึงขนาดเลียช้อนยกถ้วยเอียงซดกันเลยทีเดียว  หลังจากผ่านสงครามน้ำลายกันเมามันส์ประจำวันนี้ลู่หานก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจมนุษย์อดยากนามว่าแบคฮยอนแล้วว่าเพียงแค่เอาของกินมาง้อก็หายโกรธเร็วยิ่งกว่าอะไร  ตอนนี้เลยกลายเป็นว่านั่งเงียบๆกินของใครของมัน

     

                “ปากเลอะ”  คนตัวโตพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่แปะหน้าคนตัวเล็ก  “ทำไมต้องให้ดูแลวะ  เอ้ามุมปากไง  มานี่”  ลู่หานเข้าใจว่าแบคฮยอนตอนกินไม่แคร์อะไรเลยสักอย่าง  ปากเลอะข้าวกระเด็นยังไงก็ช่าง  ซกมกอันดับหนึ่งในลิสคนรู้จักเลย

     

                แขนยาวเอื้อมแตะมุมบนปากเกลี้ยนิ้วหัวแม่มือปาดไอศกรีมออกอย่างเบามือ  ก่อนเช็ดลงบนกระดาษทิชชู่ที่แบคฮยอนถืออยู่ในมือ
     

                “ขอบคุณ”  คนตัวเล็กตอบสั้นๆ

     

                ยังนะ...ยังไม่หายโกรธ

     

                “นี่  ยังโกรธอีกรึไง  ไม่ปวดหัวเจ็บคอรึไงวะฮะ”  ลู่หานถามขึ้น  ตัวเขาเองไม่ได้คิดมากอะไรเลย  ไม่รู้สิ  เวลาทะเลาะหรือคุยกับแบคฮยอนมันเหมือนสบายใจขึ้นได้ระบายหรือบอกเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง

     

                “ออมอ!  ตัวเองทำเป็นพูด  ผมรู้นะคุณไม่ชอบชานยอลใช่มั้ยล่ะและถ้าให้ท้าย...คุณคงไม่ถูกกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวใช่ป่ะ”  โน้มหน้าเข้าไปพูดด้วยใกล้ๆราวกับว่ามีคนอยู่ด้วยนับร้อยแล้วกระซิบเบาๆ  “เกี่ยวกับพ่อคุณด้วยล่ะสิ”

     

                เท่านั้นร่างสูงก็เบิกดวงตาสวยกว้างจดจ้องมองลงไปในดวงตาลึกเข้าไปถึงแววตาใส  ปากได้รูปเคี้ยวไอศกรีมคำสุดท้ายคงคอช้าๆ  ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่านักเขียนนิยายหวานแหววเช่นนั้นจะสามารถเดาทางชีวิตของตัวเองออก 


     

                เอ๊ะ...หรือชีวิตกูน้ำเน่าวะ

     

                “...”

     

                ลู่หานไม่ได้ทำเพียงแค่วางช้อนลงในแก้วใส่ไอศกรีมแล้วหยิบกระดาษมาเช็ดปาก

     

                “จริงดิ”  คนตัวเล็กมีท่าทางท่าทีสนอกสนใจมาก  หลังจากโชว์พาววิชาที่ชานยอลได้สอนมาเรื่องการเดาทางและการสังเกต  ยิ่งได้ใจใหญ่เมื่อร่างสูงทำหน้าตาประมาณว่าใช่แล้วทำไม  “ทำไมอ่า  ชานยอลไม่ดีเหรอ”

     

                แบคฮยอนเอ่ยถามเมื่อชานยอลคือคนที่ลู่หานไม่ถูกด้วยแต่ผิดกับชานยอลที่แสดงทีท่าว่าดีใจมากตอนบังเอิญเจอกันเหมือนเมื่อสาย

     

                “ดี...แต่คือ  เฮ้อ...เคยรู้สึกป่ะว่าเวลาถูกเปรียบเทียบกับใครก็ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยคนนั้นอ่ะ”  ลู่หานอธิบาย  เขายังจำมันได้ดีถึงความรู้สึกถูกเอาไปเปรียบเทียบแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สองสามครั้ง...

     

                แบคฮยอนช้อนสายตามองคนตัวสูงนั่งนิ่งเงียบ  สีหน้าไม่มีแววเล่นมันฉายความจริงจังกับเรื่องนี้  เจ็บปวด...ร่างสูงมองขอบโต๊ะสีขาวไม่กระพริบตา  

     

                แบคฮยอนใจหายว้าบเมื่อเห็นภาพความเปล่าเปลี่ยวฉายตรงหน้า...เงาทะมึนสีเทาเข้มค่อยๆทิ้งหน่วงซึมซับลงบนแผนหลังกว้างจนหนักอึ้ง  นัยน์ตาน้ำตาลสะท้อนประกายวิบวับหยาดน้ำตาเอาไว้ลึกก้นบึ้งจนก่อตัวเป็นความเบื่อหน่ายเศร้าใจและผิดหวังในคราเดียวกัน  หากแต่ลู่หานอาจจะไม่รู้ตัวว่าตนกำลังแบกภูผาสูงไว้จนรู้สึกเหนื่อย  จะเป็นอะไรมั้ยหากเขาจะช่วยยกภูเขานั้นออกไป...

     

                บางทีคำว่าเพื่อนผู้ใหญ่อาจจะไม่เข้าใจว่ามันลึกซึ้งและเปราะบาง  คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของผู้เป็นพ่อกำลังหล่อหลอมความอิจฉา  เกลียดชัง...ทำลายความเป็นเพื่อนที่มีมานาน

     

                แบคฮยอนเข้าใจเพราะผ่านจุดนั้นมาแล้วเช่นกัน...

     

                “คุณ...กอดนะ”  ไม่พูดเปล่าคนตัวเล็กเดินอ้อมโต๊ะไม้สีขาวแล้วสวมกอดจากด้านหลังคนตัวโต  เป็นกอดที่ไม่ได้รัดแน่น  อ้อมกอดแค่เบาๆที่ค่อยๆดูดซึมความทุกข์ใจออกไปจากร่างสูง  สีเทาค่อยๆกลายเป็นจังหวะหัวใจที่เต้นรัว  “เขาบอกว่า...กอดจะตอบทุกอย่างได้ดีที่สุด  แสดงถึงความรักและความห่วงใยมากกว่าคำพูดร้อยแปด  ผมไม่รู้ว่าคุณพบเจออะไรมาบ้างแล้วก็ทุกข์ขนาดไหนแต่..ผมจะอยู่ข้างๆคุณเองนะ...จากนี้อย่าเศร้าอีกเลย”

     

                แม้มันจะเป็นคำพูดสดไร้การเรียบเรียงและเข้าใจยาก

     

                “ทำไม...นายกลัวฉันเกลียดไอ้ชานยอลมากกว่านี้เหรอ?” 

     

                “ไม่ใช่ครับ  ผมไม่อยากให้คุณเศร้าทุกครั้งเวลาคุยกับเพื่อน  เพื่อนมันหายากนะครับ...ผมยังอยากมีเพื่อนเลย  ถ้าเสียเพื่อนไปเพราะอะไรบางอย่าง...มองหน้ากันไม่ติดมันไม่เห็นดีสักนิด”

     

                ตอนเรียนแบคฮยอนเชื่อมั่นเสมอว่าจะมีเพื่อนรักและเข้าใจเขาหลังจากเสียทั้งพ่อแม่ไปในเวลาเดียวกัน   คนในห้องต่างพากันมองเข้าแปลกไป...เขาไม่เคยทำร้ายใครเขารักเพื่อนทุกคนแต่แล้วสิ่งตอบแทนก็คือฉายาใหม่  แบคฮยอนไม่มีพ่อไม่มีแม่  กว่าจะทนเรียนจนจบมัธยมหกได้มันทรมานเจียนตาย  ดีที่คุณป้าก็มาเยี่ยมบ่อยๆ 

     

                เหงาแค่ไหนย่อมรู้ดี

     

                “เฮ้อ  เด็กน้อย  ทำไมพูดเองเออเองแล้วน้ำตาไหลเองวะ”  ลู่หานเอื้อมมือหนาของตัวเองไปโยกหัวกลมๆที่เกาะเขาแน่ขึ้นไม่ปล่อย

     

                “ฮื่ออออ  ทำไมคุณนิสัยไม่ดีเลย  ชอบทำให้ผมเป็นคนมีหลายอารมณ์ไปหมดแล้วเนี่ย  ก่อนหน้าทะเลาะกันแล้วดีกันแล้วก็ร้องไห้  ฮึก  คนบ้า”

     

                “เอ้า  ครอบครัวก็ต้องมีสีสันหน่อยดิวะ  จะมีโหมดเดียวได้ไงฮะ”  เกลี่ยน้ำตาที่หยดอาบแก้มออกช้าๆ  ร่างสูงเงยหน้าจนศีรษะชิดพนักเก้าอี้  พอดีกับที่แบคฮยอนเองก้มหน้ามา  สองสายตาก็สะท้อนภาพใครอีกคนในดวงตา...

     

                คนตัวโตเลื่อนสายตาไล่ลงมาจากจมูกเชิดรั้นราวกับเด็กดื้อเรื่อยๆจนจดจ้องอยู่ที่ริมฝีปากบาง...

     

                “นี่...คุณจะอยู่กับผมอีกนานใช่มั้ย”  แบคฮยอนเอ่ยถาม

     

                ตัวเขาเองเคยหักห้ามใจแล้วว่าจะไม่ให้ถลำลึกกับความรู้สึกมากนัก  จะมีเพียงแค่ผู้อาศัยกับเจ้าของบ้าน  หากแต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะว่าหัวใจคนเราไม่สามารถสั่งห้ามได้  ยิ่งใกล้ก็ยิ่งต้องการอยากเห็นหน้า  อยากได้ยินเสียง...จนกลายเป็นว่าเขาขาดไม่ได้  มันคงจะเหงาถ้าต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง

     

                กับคำพูดที่ว่าก่อนหน้าก็อยู่ได้  ไม่จำเป็นต้องง้อ  เขาจะขีดฆ่าทิ้ง  มันทำไม่ได้เมื่อชีวิตมีช่องโหวงว่างเปล่าอยู่

     

                แต่ก็ทำใจไว้แล้วล่ะสักวันมันก็มาถึงเองเนอะ  แต่ก็อยากจะรู้

     

                “ทำไม...แบคฮยอน”  เสียงแหบห้าวแผ่วเบา

     

                “เปล่า”

     

                “โกหกอีกแล้ว  เด็กดื้อ” 

     

                “ฮะๆ  ไปละแต่งนิยายต่อถึงจะไม่สนุกก็เถอะ!  เขินจนต้องขอตัวออกมาก่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องกระแทกคำหลังใส่คนอายุมาก

     

                แต่ลู่หานไวกว่าคว้าข้อมือเล็กไว้ทันแล้วพลิกให้คนดื้อหันใบหน้าหวานมาสบตาคุยด้วยด้วย

     

                “ไม่ฟังเหรอว่าจะอยู่นานเท่าไร...”  เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่นานเท่าไรในตอนแรก...

     

                “หื้อ  แล้วแต่คุณดิ  อยู่นานผมก็ได้ตังมีกินมีใช้อิ่มท้อง  ยังไงก็ได้”  บอกสิคุณ...ผมอยากรู้

     

                “อาฮะ  งั้นนายก็คงมีกินมีใช้  หลอกกินตังฉันไปอีกนาน”

     

                เหอะ  หลอกกินอะไร 

     

                “อื้อรู้แล้ว  ปล่อยดิคุณ” เบี่ยงหน้าหนีเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองแดงเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

                ให้ตายเถอะ!  อยู่กับลู่หานที่ไรหลากหลายอารมณ์ปรับตัวไม่ถูก  เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

     

                “แล้วก็นะ  ผู้ชายเขาไม่คิดมากเรื่องแค่นี้หรอกเว้ย  ฉันไม่ได้เกลียดไอ้ชานยอล  แค่เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด”

     

                “ไม่จริงอ่ะ  คุณชักสีหน้าใส่ผมด้วยนะตอนกลางวัน”  ท้วงขึ้นมาทันทีเพราะมันคาใจ







     

                “อื้อ  หวงอะไม่อย่างให้ใครทำตัวสนิทกับนายเลยว่ะ  แบคฮยอน”



     

                !!









     

                “คะ  คุณพูด...พูดบ้าอะไรเนี่ย!  ตีหน้าค้อนวงใหญ่  แห้วเสียงใส่คนพูดอะไรทำให้หวั่น!

     

                “พูดจริง...”  เขารู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่  ลู่หานแย้มยิ้มกว้างกึ่งดึงกึ่งลากให้เข้ามาใกล้ๆตัวจนร่างเล็กต้องจำนนตามแรงดึงเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นๆ

     

                “เมาไอติมอ่อคุณ!  ไม่วายยังส่งเสียงและสายตาเชิงดุใส่  แม้ว่าจะถูกรั้งหัวกลมๆให้มุดซบไหล่กว้างไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วแท้ๆ  คนมันเขิน...ไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อนแต่ไม่รู้ทำไมในหัวมีแต่ประโยคชวนเสี่ยว



     

                “มากอดคนอื่นก่อนแล้วไม่รับผิดชอบ  คืนนี้มานอนให้กอดเลยเนะเว้ย”

     

     




     

                ห๊ะ?

     

                บ้านหลังสีขาวที่เงียบเหงาก็มีเสียงกร่นดาปนเหวี่ยงก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะสลับกันไปตลอดทั้งคืน...บ้านหลังสีขาวแสนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความหวานหอม...กับคนสองคนที่จับมือกันไปตลอดทั้งคืนจนเช้า...
     

              “จับมือทำไมเนี่ย!

              “อยากจับ...เฮ้ยลืมแปรงฟัน  แบคฮยอนลุกไปแปรงฟันกันเร็ว”

              “งื้อ  ง่วงแล้วอ่ะ...”

              “ลุก!  ทำไมซกมกจังวะ”

     

              แล้วทำไมคุณลู่หานถึงดูวุ่นวายจังครับวันนี้   ฮึ่ย  เขินไปหมดแล้วเนี่ย  นับวันยิ่งเปลืองตัว!

     

     

    100%
     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    จับมือเธอท่องไปตาม
    "ความฝัน"

    เอ้ยอะไรกัน  นับวันยิ่งเปลืองตัว





    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy

     

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×