คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : - take me home : chapters - 011 { 100% }
- Hold 1 Hand -
chapters – 011
แบคฮยอนยืนมองสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีสักเท่าไรนัก ดูจากรูปการแล้วสามคนนี้เป็นเพื่อนกันแล้วก็บังเอิญมากที่คนตัวเล็กเองไปรู้จักกับชานยอลที่เป็นเพื่อนกับลู่หานแล้วคยองซูก็เป็นเพื่อนกับสองคนนี้ ทุกคนมาบ้านแบคฮยอนแบบพอดิบพอดีโดยมิได้นัดหมายแต่อย่างใด
“นี่เหตุผลที่นายปฏิเสธนัดฉันงั้นเหรอชานยอล...ตอบฉันสิ!” อยู่ๆคยองซูที่หนาวสั่นหน้าตาซีดเซียวก็ฟิวขาด ดวงตาโตหวั่นไหวคล้ายแสงเทียนยามโดนลมพัดใกล้ดับกลับกันมันเริ่มมีน้ำคลอขอบตาแสนร้อนผ่าวอีกครั้ง อยากจะอดทนให้มากกว่านี้แต่มันไม่ใช่นิสัยของคยองซูเลยสักนิด
“หยุดนะคยองซู” ร่างสูงกล่าวตักเตือนด้วยเสียงแผ่ว เขาไม่ได้เตรียมการกับเรื่องบังเอญล่วงหน้ามาก่อน วันนี้คิดเพียงว่าจะมาเจอนักเขียนตัวเล็กก็แค่นั้น
“ไม่หยุด! ฮึก นายหลบหน้าฉันทำไมชานยอล จะแกล้งให้ฉันใจขาดตายเลยใช่มั้ย!” หนุ่มน้อยตาโตยังคงตะคอกทั้งน้ำตาอย่างเจ็บปวด
“เฮ้ย ค่อยๆคุยกันใจเย็น” เป็นลู่หานที่เข้าไปห้ามทัพทั้งสองคน เพราะเหมือนชานยอลยังทำได้แค่ขมวดคิ้วเป็นปม เพราะความเป็นเพื่อนมาเนินนาน...จึงรู้ว่าถ้าปาร์คชานยอลเข้าโหมดโหดมันจะเป็นอย่างไร “พวกนายสองคนทะเลาะกันเหรอ” หันมาถามคยองซูที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้
แค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเพื่อนตัวเล็กก็ปวดใจเสียแล้ว
“คยองอย่าร้อง” ลู่หานลูบหัวคนตัวเล็ก
และนั้นเป็นภาพชวนให้แบคฮยอนเจ็บแปลบขึ้นมาแปลกๆ
“แล้วโวยวายอย่างนี้ทำดีแล้วเหรอ ทำไมมีอะไรไม่คุยกันข้างนอก มาโวยวายในบ้านของคนอื่นดีแล้วเหรอคยองซู”
ราวกับกำแพงเขื่อนกั้นน้ำพังทลายลงมา น้ำตาหยดลงไม่ขาดสายดวงตากลมโตแดงก่ำน่ากลัว ปากเจ่อจากการกัดปากกลั้นน้ำตา
“ฮึก ฮือออ พอกันที! ชานยอลใจร้าย” ตั้งสติได้เพื่อนตัวเล็กของทั้งสองก็วิ่งออกไปนอกบ้านอย่างรวกเร็วแม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ได้ใส่ติดไปด้วย มีเพียงร้องเท้าผ้ากับผ้าเช็ดตัวเช็ดผมที่ติดตัวไปแทนร้องเท้าผ้าใบกับร่มกันฝน
ชายหนุ่มร่างสูงสองคนรีบวิ่งตามออกไปตามความเคยชิน ยามที่คยองซูงอแงเอาแต่ใจบ่งบอกว่าเราต้องตามเท่านั้น หากปล่อยไว้ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลง ทำให้บ้านทั้งหลังเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆอยู่ๆก็เงียบผิดปกติทันตา
ทิ้งไว้เพียงเจ้าของบ้านให้ตีสีหน้ายุ่งเหยิงวางตัวและอารมณ์แทบไม่ถูกก่อนหน้านี้ทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาที่อินทีเรียหนุ่มเพิ่งนั่งไป ทอดสายตาเหมอลอยมองไปยังแก้วสองใบที่วางคู่กันอยู่สลับกับสายฝนพร่ำๆเปาะแปะยามกระทบหลังตาสวย
สงสัยจะไม่ได้กินสปาเกตตี้แล้วล่ะมั้ง แถมก่อนหน้านั้นลู่หานชักสีหน้าก่อนออกไปด้วย..นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนแทบจิตตกดิ่งทันที
คุณโอฮาน่า...เหงาจัง
“ฮ่าๆ โอ๊ยนิยายรักห้าอะไรวะ”
หื้ม?
เปลือกตาหนาค่อยๆขยับ แพขนตาหนาเลื่อนขึ้นช้าๆก่อนดวงตาใสแป๋วเปิดออก ภาพแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวแสนธรรมดาแต่อบอุ่น ปรับภาพให้ม่านตาซูมชัดขึ้นก่อนจะนึกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น หลังมือถูกยกขึ้นมาขยี้ตาเบาบาง
เสียงหัวเราะเมื่อครู่...
“ฮ่าๆ เฮ้ยตื่นล่ะเหรอ” เสียงห้าวหันเหความสนใจจากหน้ากระดาษเป็นใบหน้าหวานที่ลืมตาค้างอยู่ข้างๆเขา “แต่ก็เริ่มปวดๆล่ะ ลุกเลยเร็ว”
“ลู่หาน?” เรียกชื่อของเจ้าของเสียงกวนประสาท ก่อนเงยหน้าให้มากกว่านี้ว่าต้นเสียงอยู่ที่ไหน จู่ๆก็สัมผัสได้ว่าหมอนรองหนุนหัวกลมนั้นเป็นตักของร่างสูง แบคฮยอนรีบสะดุ้งตัวโหยงขึ้นมาเกือบเอาหัวโหม่งอินทีเรียหนุ่มที่ถอยหลบอย่างหวุดหวิด “คุณ! กลับมาเมื่อไร”
รู้จักดีใจมากกว่าจะกล่าวขอโทษ
“อะไรวะขอโทษสักคำก็ไม่มี ขอบคุณก็ไม่มี เชี่ยขาชาหมดล่ะมึง” พ้นคำหยาบคายออกมาตามนิสัย หากแต่คราวนี้แบคฮยอนยิ้มตาหยีไม่ได้ตอบโต้กลับแต่อย่างใด จนร่างสูงอดถามไม่ได้ “เป็นอะไร ซาบซึ้งที่ให้นอนตักเหรอ”
“ฮื้อ! ไม่ใช่ ผมคิดว่าคุณจะไม่กลับบ้านแล้วซะอีก” แบคฮยอนเผลอพูดตามใจนึกออกไปอย่างไม่รู้ตัว คนตัวเล็กที่นั่งขัตมาตอยู่กระโจนกอดใส่คนตัวสูงทำให้เสียหลักกันทั้งคู่กลิ้งขลุกขลักอยู่บนโซฟากว้างเพราะปลดพนักพิงออกเป็นที่นอนได้ “ขอบคุณนะคุณ”
คนตัวสูงยังคงงงกับคนตัวเล็กที่ฉวยโอกาสอยู่ เขาไม่ได้ยกแขนกอดตอบแต่อย่างใดปล่อยให้แบคฮยอนโยกตัวเขาไปมาซุกหน้าเล่นๆ
“ไม่กลับบ้านแล้วจะให้ไปไหน” ในที่สุดลู่หานก็พูดออกมาและใจอ่อนเผลอโอบกอดร่างบางต่อ
อุ่น...ตัวแบคฮยอนอุ่นไม่มีสาเหตุ เป็นแบบนี้ทุกครั้งจนผมคิดว่า...ถ้าเป็นทุกวันมันคงดี...
“ไปไหนก็ได้ที่ทิ้งผมไว้ที่บ้าน...” แบคฮยอนโหมดน่ารักปากหวาน? ร่างสูงขมวดคิ้วเป็นปมกับแรงกระชับอ้อมกอดน้อยๆที่น่าจะสุดแรงของคนตัวเล็กแล้ว เขาเลยกอดร่างบางแน่นขึ้นอีก “ฝนตก...ผมกลัวฝนตก”
บ่นงุงงิงก้มหน้าจมกับไหล่ลาดจนคนตัวโตเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ราวกับว่าทุกอย่างที่แบคฮยอนทำแล้วเขายิ้มออกมามันคือมนต์สะกด...มันมาจากใจจริงว่าต้องยิ้ม ร่างสูงกำลังจะเรียนรู้เรื่องราวของครอบครัวเล็กๆของเขาที่มีสมาชิกอยู่สองคนคือคนตัวเล็กกับเขาว่าอีกฝ่ายชอบอะไร เป็นยังไง...เหมือนที่ว่าคนเราอยู่ด้วยกันต้องเรียนรู้กัน
ผมจะเริ่มตอนนี้เลยดีมั้ยนะ?
“อ๋อ ที่มาอ้อนคือกลัวฉันหายไปตอนนายกลัวเหรอ?” แกล้งพูดแหย่ไปอย่างนั้น ไม่ได้น้อยใจอย่างที่บอก
“เหรอ? ไม่นะไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นงั้นเลย อยู่กับคุณแล้วผมไม่กลัวแล้ว...ความมืดแล้วก็ความเงียบ” พักนี้รู้สึกว่าตัวเองฟังเพลงทำลายความเงียบน้อยลง แม้จะตอนดึกแค่ไหนระหว่างที่เขาพิมพ์ นิยายเขาก็จะรู้สึกว่ามีอีกคนปกป้องเขาอยู่...
“ทำไมเด็กน้อยจังวะ” เขิน...อยู่ๆลู่หานก็เขิน
เอ้า! กูมาเขินเด็กกะโปโลนี่ทำไมวะ
เผลอไผลไปจนต้องผลักร่างบางออกห่างแล้วพาลสะดุ้งโหยงกับความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆในใจ มันจะตื่นเต้นก็บอกไม่ถูกแต่มันแค่รู้สึกว่าเลือดไหลเวียนดี หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ...แบคฮยอนหงายหลังยู่ปากแล้วเดินหนีปึงปังไปในครัว สองนิ้วเรียวจับใบหูเล็กที่ร้อนระอุ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินจนอุณหภูมิในร่างกายติดลบ
เมื่อกี้...รู้สึกดีแต่เขิน!
เขียนนิยายรักมากก็มากทำไมไม่เคยรู้สึกว่าตัวละครมีอาการแบบนี้ มันเรียกว่าตกหลุมรัก...ปวดหนึบๆวูบโหวงในใจ
งื้อ...ทำไงดีหรือเราชอบคุณลู่หานจริงจังเสียแล้ว...สาธุอย่าเลื่อนขั้นไปมากกว่านั้นเลยนะ
เพี้ยง!
“มองหน้าทำไม” ลู่หานม้วนเส้นสปาเกตตี้คำโตแล้วใส่ปากตามปกติ จะผิดก็แต่อาการหลังตื่นนอนจนมานั่งทานข้าวด้วยกันของเจ้าของบ้านที่ผู้อาศัยยังแปลกใจไม่หาย อีกทั้งยังจ้องหน้าเขาแล้วทำท่าทางหลายอารมณ์
“คุณ...หื้ม! ไม่มีอะไรๆ ทานเลยอร่อยมั้ย” ว่าที่นักเขียนกำลังพิสูจน์อะไรบางอย่างตามที่จดมาทางอินเตอร์เน็ต ขอแรกขอเดียวไม่ต้องทำข้อต่อไปก็รู้ผมเลย
‘พิสูจน์ความชอบว่าความรู้สึกคุณอยู่ระดับชอบระดับไหน’
อยากเห็นหน้าเช้ากลางวันเย็นไม่อยากละสายตา มองเท่าไรก็ไม่รู้เบื่อ
ระดับMAX คุณชอบเขาระดับแม๊กที่จะแปรความสัมผัสกันให้เป็นรัก
จริงแล้วชอบนานแล้วเพิ่งจะรู้สึกตัว เขียนนิยายมาเยอะเพิ่งเคยเจอกับตัวเองพอเป็นแล้วก็รับมือไม่ทันแฮะ ฮื่อทำไงดีอยากนั่งมองลู่หานทั้งวันเลยครับคุณสติช
ทำไงดีโอฮาน่า...
30%
“รสชาติก็ใช้ได้ แสดงว่าเดี๋ยวนี้ฝีมือพัฒนาขึ้นนะเรา” ลู่หานพูดไปทานไปอย่างเอร็ดอร่อย แม้ปากจะโต้แย่งรสชาติแล้วบอกให้ปรุงรสเพิ่มก็ตาม “จริงด้วย นายมีคดีติดตัว” อยู่ๆก็พูดขึ้นมาหลังจากคำสุดท้ายเข้าปากไป
“คดี?” ร่างบางทำหน้าฉงนปนสงสัยว่าตัวเองไปสร้างเรื่องอะไรเอาไว้ให้ต้องคดี “แต่เมื่อกี้คุณอ่านอะไรอยู่เหรอ เห็นหัวเราะซะดูน่าสนุกนะ”
แบคฮยอนถามขึ้นมาก่อน เผื่อว่าจะได้ขอยืมอ่านสักครั้งเพราะเสียงหัวเราะมีความสุขนั้นเขาเองก็อยากจะรู้
“อ๋อ นิยายนายไง โคตรเหมือนนิยายตลกเลยวะ แต่ภาษาที่ใช้ไม่สวยแล้วก็บทสนทนาแข็งกระด่างเหมือนบทละครนะมันน้ำเน่าแต่ตลกดีตรงที่นายพิมพ์ผิดบ่อยๆจนกลายเป็นอีกความหมายนึงอ่านแล้วฮาชิบหาย ฮ่าๆ” ลู่หานยังพูดต่อ “แล้วก็นะ...โอ๊ย!”
ช้อนตักซุปที่ยังไม่ได้ใช้ลอยกระทบศีรษะคนปากบอนเสียงดังโป๊กดังก้องคั้นบทสนทนาที่แอบหลอกว่ากลายๆ คนถูกกระทำลูบหัวปอยๆผิดกับคนกระทำเจ้าของช้อนกำลังส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจและอาฆาตมายังลู่หานนิ่งงัน ก่อนจะตัดข้าวเข้าปากต่อไปแคร์จะขอโทษ
“เชี่ย เขวี้ยงมาได้ เจ็บนะเว้ย!” ชักสีหน้าตาขว้างราวกับลูกกวางโกรธเพราะลูกหมาเพื่อนกันทรยศ “เฮ้ย แล้วจะไปไหน!”
แบคฮยอนไม่สนใจคนเรียกตามหลังมาติดๆ ร่างบางเดินขึ้นไปชั้นสองหวังอาบน้ำไม่หายลืมด้วยน้ำตา...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองแต่งได้แย่ขนาดไหน ขนาดเขาเองตอนอ่านยังรู้สึกว่าแย่เลยแล้วนับประสาอะไรกับคนที่วันๆเอาแต่พูจาหยาบคายนิสัยแย่! ไม่รู้ถึงผลงานศิลป์ตัวอักษรเลยสักนิด
ใครจะรู้ว่าการเป็นนักเขียนของเขามันต้องรออีกนานแค่ไหน จากตอนที่แต่งฆ่าเวลาเล่นๆตอนประถมหกกลับกลายมาเป็นความชอบจนยากที่จะถอนตัวจากวงการนักเขียน ผ่านการประกวดมานักต่อนักก็ไม่เคยผ่านรอบแรกเลย แม้กระทั่งกิจกรรมนักเขียนน่าใสส่งมันทุกปีจนมันปีที่สิบสองแล้ว...ก็ยังไม่ติดอีกนั้นแหละ ส่งสำนักพิมพ์ไหนก็ตีกลับบอกจุดแก้ไขแต่พอเขาเอามาแก้จุดบอดก็ยังบอกว่าใช้ไม่ได้
เฮ้อ
หลังจากอาบน้ำเสร็จอารมณ์ขุ่นมัวก็ยังไม่จางหายไป...ไม่รู้ว่าป่านนี้คนแก่ปากเสียจะทำอะไรอยู่สำนึกบ้างมั้ยว่าพูดไม่ดี ร่างบางขบคิดอะไรเล่นๆอยู่บนที่นอนก่อนจะหยิบสมุดปากกาที่มีแทบทุกที่ในบ้านหลังนี้ขึ้นมาเปิดหน้ากระดาษหาหน้าว่างถัดไป ดินสอไม้สีดำถูกบรรจงเขียนภาษาเกาหลีลายมือน่ารักเด็กน้อยลงบนบรรทัดเส้นสีฟ้า
“อื้มมม เอาเป็นว่า ‘ตัวละครล่ะกัน’” คิดได้ก็เขียนลงยุกยิกลงไป
แต่ยังไม่ทันจะเขียนต่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาแล้ววางไว้บนโต๊ะหนังสือก็แผดเสียงสั่นลั่นห้องนอน ร่างบางลุกขึ้นจากเตียงนอนที่กลิ้งไปมาจนยับยู่ยี่ นึกสงสัยว่าใครโทรมาหาเขาเวลานี้...ไม่สิเอาจริงๆมีกี่คนเองที่มีเบอร์โทรศัพท์เขา แบคฮยอนเปิดฝาพับขึ้นเผยให้เห็นเบอร์โทรเข้ามา
ชานยอล?
“ฮัลโหลครับ” กดรับสายอย่างงงๆแล้วกรอกเสียงหวานใส่ ทำเอาปลายสายหัวใจเต้นรัวระคนความตื่นเต้น
‘...’
กรรม...เงียบซะอย่างนั้น ปาร์คชานยอลพูดไม่ออก
“เอ่อ...ฮัลโหล ชานยอล” ร่างเล็กยังพยายามทักทายใส่ปลายสาย
‘แบคฮยอน...ขอโทษครับพอดีตื่นเต้นไปหน่อย’
“ตื่นเต้น? ฮะๆอะไรกันโทรหาแล้วเงียบตกใจหมดนึกว่ากดผิด” น้ำเสียงสดใสหัวเราะคลอเบาๆเล่นเอาชีวิตชานยอลสดชื่นหลายเท่า
‘นั้นสิเนอะฮ่าๆ จริงๆจะโทรมาขอโทษเรื่องวันนี้...’
“อ๋อ! โอ๊ยไม่ต้องคิดมากหรอก แล้วคยองซูไม่เป็นอะไรใช่มั้ยเขาดูเหมือนจะไม่สบาย” แบคฮยอนพูดด้วยความเป็นห่วง เมื่อนึกถึงใบหน้าซีดๆนั่น
‘อื้อ ว่าแต่...นายอยู่บ้านหลังเดียวกับลู่หานเหรอ’
“ใช่ๆ เขามาเช่าห้องบ้านฉันอยู่ ตอนแรกตกใจมากเลยนะ...ฮ่าๆๆ”
ลู่หานเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องของคนตัวเล็กอยู่นานแล้วหลังจากงอนขึ้นบ้านมา เห็นเงียบไปสักพักก็หัวเราะร่าขึ้นและเสียงคุยไม่หยุดนั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้กับร่างสูงที่อยากจะเคาะอยากจะรู้อย่างมาก หูแนบกับประตูห้องนอนสีขาว
คุยกับใครทำไมต้องหัวเราะด้วย?
‘ชานยอลจะนอนยัง’
!!
ก๊อก ก๊อก
“แบคฮยอนนอนรึยัง!” คนตัวโตตะโกนลั่นบ้านกลัวคนในสายไม่ได้ยินเสียง รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อชื่อเพื่อนสนิทลอยเข้าหู ทั้งยังไม่ได้เคลียกับคนตัวเล็กว่าไปรู้จักมักจี่กับไอ้คนดังในวงการธุรกิจหลากหลายแขนงอย่างนั้นได้ยังไง นึกประชดเพื่อนในใจเพิ่มความโอเว่อร์เข้าใส่ด้วยความหมั่นไส้ เรื่องจริงคือที่บ้านของชานยอลมีคนลงทุนทำธุรกิจเยอะเพราะเครือญาติชอบอะไรไม่เหมือนกัน อีกทั้งชานยอลคือลูกชายคนแรกของวงตระกูลเลยได้มีสิทธิ์ดูแลงานที่ตัวเองต้องการ พ่อเขาเลยคะยั้นคะยอส่งเสริมกันเข้าไปจนลืมลูกตัวเองอย่างถูกวันนี้ สรุปง่ายๆมันดีทุกอย่างจนลู่หานรู้สึกหงุดหงิด
แถมแบคฮยอนยังชวนมาทานข้าวที่บ้าน ใช่เรื่องมั้ย!
ความคิดเด็กๆของลู่หานถูกพับเก็บไป เมื่อรอสักพักยังนิ่งเงียบลู่หานชักสีหน้าขึ้นมาทันที มือหนายกขึ้นลูบค้างอย่างครุ่นคิดก่อนจะเคาะอีกครั้งพร้อมส่งเสียงดังโวยวายไม่หยุด
ผัวะ!
“ตะโกนหาอะไรนัก!” ตัวเล็กในชุดนอนเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์มสีซีดคิ้วขมวดจ้องใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาเรื่อง กำลังว่าจะปรึกษาเรื่องนิยายตรงบทตัวละครแท้ๆแต่ต้องวางสายไปเสียนี่!
“ทำไม ขัดจังหวะสวีทรึไงห๊ะ เคาะเรียกตั้งนานทำไมไม่เปิด” คนอายุมากกว่าเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มยืนกอดกอดหน้าบึ้งตึง
นักเลงเหรอ?
“ก็เขาจะคุยอะไรก็ไม่ใช่เรื่องคุณป่ะ ทำไมแอบฟังรึไง” แบคฮยอนเองก็ไม่ยอมแพ้กอดยกแล้วทำท่าฮึดฮัดสู้เหมือนกัน ในหน้าหวานเอียงองศาเล็กน้อย
“เออ แอบฟังแล้วจะทำไมวะ มันเรื่องของฉันเหมือนกันเพื่อนฉันนิหว่าโด๊”
“นิสัยไม่ดี! หยาบคาย ยุ่งเรื่องคนอื่น!” ถึงกับอารมณ์โกรธปะทุทันทีด้วยคำพูดยียวนกวนบาทาไม่กี่ประโยค
“ก็อยากยุ่งอ่ะ อะไรนักหนาวะ” อินทีเรียหนุ่มรู้สึกโลกเบี้ยวยากจะควบคุม ขยี้หัวแก้เครียดจนยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาสวยคล้ายกวางป่าจดจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวเล็กสั่นระริกแล้วนึกได้ว่าตัวเองจะมาขอโทษ
“เพื่อนคุณก็เพื่อนผมเหมือนกัน ชานยอลให้กำลังใจผม ความฝันผม ไม่เหมือนคุณหรอกที่ดูถูกผลงานคนอื่น!”
“ฮึ มิน่าล่ะไอ้บก.มันถึงไม่สนใจงานนายเพราะนายมันไม่ยอมรับความจริง!! ทำไมไอ้ชานบอลให้กำลังเลยคิดว่าเขาดีงั้นสิ หื้ม...รู้อะไรมั้ยมิตรแท้เขาเตือนกัน ถ้าฉันไม่หวังดีฉันคงไม่บอกไปตรงๆแบบนั้น” ประโยคหลังเริ่มน้ำเสียงอ่อนฉับพลันเพราะตัวเล็กตรงหน้าน้ำตาเริ่มคลอใกล้พ้นขอบตา...ปากเล็กกระจับสวยคว่ำงอลง หางตาเริ่มตกและ...สูดน้ำมูกฮึบๆ
“ใช่ซี่ ผมมันไม่ได้เรื่องสักอย่าง หนังสือยังเขียนให้คนชอบไม่ได้เลย แล้วผมจะไปมอบความสุขให้คนอ่านได้ยังไง แต่ถึงยังไงผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจกัน หัวศิลป์บ้าบออะไรกัน! คุณมันก็ไม่เอาอ่าวจนพ่อไล่ออกจากบ้านไงล่ะ!” เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ วาจาสุดท้ายเฉือดเฉือนแทงใจดำ
ใช่...มันก็ถูกแต่ใช่เรื่องที่จะมาวกเรื่องเขาเหรอ
“หยุดเดี่ยวนี้นะแบคฮยอน!” เสียงทุ้มฉายแววแน่วแน่
“ไม่!”
“หยุด”
“ไม่หยุด!!”
“นายไม่รู้อะไรก็อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย...” เสียงอ่อนลงทันที ก่อนจะหันไปปะทะหน้ากับคู่อริ “ดีกันเถอะว่ะ เบื่อล่ะมาตะเบ็งเสียงเจ็บคอ...ไปกินไอศกรีมกันมั้ย” คนตัวสูงปรับอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำเอาแบคฮยอนวิ่งตามอารมณ์ไม่ทันแล้ว ดึงแขนเรียวแล้วกึ่งลากกึ่งเดินลงไปชั้นล่าง
เอ๊ะ...เมื่อกี้เราทะเลาะกันอยู่ป่ะครับ? แบคฮยอนงง
60%
เสียงจ๊อบแจ๊บดูดจ๊วบจ๊าบของร่างเล็กที่กำลังเอร็ดอร่อยกับของหวานรสเรนโบว์ในถ้วยโปรด ชอบถึงขนาดเลียช้อนยกถ้วยเอียงซดกันเลยทีเดียว หลังจากผ่านสงครามน้ำลายกันเมามันส์ประจำวันนี้ลู่หานก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจมนุษย์อดยากนามว่าแบคฮยอนแล้วว่าเพียงแค่เอาของกินมาง้อก็หายโกรธเร็วยิ่งกว่าอะไร ตอนนี้เลยกลายเป็นว่านั่งเงียบๆกินของใครของมัน
“ปากเลอะ” คนตัวโตพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่แปะหน้าคนตัวเล็ก “ทำไมต้องให้ดูแลวะ เอ้ามุมปากไง มานี่” ลู่หานเข้าใจว่าแบคฮยอนตอนกินไม่แคร์อะไรเลยสักอย่าง ปากเลอะข้าวกระเด็นยังไงก็ช่าง ซกมกอันดับหนึ่งในลิสคนรู้จักเลย
แขนยาวเอื้อมแตะมุมบนปากเกลี้ยนิ้วหัวแม่มือปาดไอศกรีมออกอย่างเบามือ ก่อนเช็ดลงบนกระดาษทิชชู่ที่แบคฮยอนถืออยู่ในมือ
“ขอบคุณ” คนตัวเล็กตอบสั้นๆ
ยังนะ...ยังไม่หายโกรธ
“นี่ ยังโกรธอีกรึไง ไม่ปวดหัวเจ็บคอรึไงวะฮะ” ลู่หานถามขึ้น ตัวเขาเองไม่ได้คิดมากอะไรเลย ไม่รู้สิ เวลาทะเลาะหรือคุยกับแบคฮยอนมันเหมือนสบายใจขึ้นได้ระบายหรือบอกเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง
“ออมอ! ตัวเองทำเป็นพูด ผมรู้นะคุณไม่ชอบชานยอลใช่มั้ยล่ะและถ้าให้ท้าย...คุณคงไม่ถูกกับเขาอยู่ฝ่ายเดียวใช่ป่ะ” โน้มหน้าเข้าไปพูดด้วยใกล้ๆราวกับว่ามีคนอยู่ด้วยนับร้อยแล้วกระซิบเบาๆ “เกี่ยวกับพ่อคุณด้วยล่ะสิ”
เท่านั้นร่างสูงก็เบิกดวงตาสวยกว้างจดจ้องมองลงไปในดวงตาลึกเข้าไปถึงแววตาใส ปากได้รูปเคี้ยวไอศกรีมคำสุดท้ายคงคอช้าๆ ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่านักเขียนนิยายหวานแหววเช่นนั้นจะสามารถเดาทางชีวิตของตัวเองออก
เอ๊ะ...หรือชีวิตกูน้ำเน่าวะ
“...”
ลู่หานไม่ได้ทำเพียงแค่วางช้อนลงในแก้วใส่ไอศกรีมแล้วหยิบกระดาษมาเช็ดปาก
“จริงดิ” คนตัวเล็กมีท่าทางท่าทีสนอกสนใจมาก หลังจากโชว์พาววิชาที่ชานยอลได้สอนมาเรื่องการเดาทางและการสังเกต ยิ่งได้ใจใหญ่เมื่อร่างสูงทำหน้าตาประมาณว่าใช่แล้วทำไม “ทำไมอ่า ชานยอลไม่ดีเหรอ”
แบคฮยอนเอ่ยถามเมื่อชานยอลคือคนที่ลู่หานไม่ถูกด้วยแต่ผิดกับชานยอลที่แสดงทีท่าว่าดีใจมากตอนบังเอิญเจอกันเหมือนเมื่อสาย
“ดี...แต่คือ เฮ้อ...เคยรู้สึกป่ะว่าเวลาถูกเปรียบเทียบกับใครก็ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วยคนนั้นอ่ะ” ลู่หานอธิบาย เขายังจำมันได้ดีถึงความรู้สึกถูกเอาไปเปรียบเทียบแน่นอนว่าไม่ใช่แค่สองสามครั้ง...
แบคฮยอนช้อนสายตามองคนตัวสูงนั่งนิ่งเงียบ สีหน้าไม่มีแววเล่นมันฉายความจริงจังกับเรื่องนี้ เจ็บปวด...ร่างสูงมองขอบโต๊ะสีขาวไม่กระพริบตา
แบคฮยอนใจหายว้าบเมื่อเห็นภาพความเปล่าเปลี่ยวฉายตรงหน้า...เงาทะมึนสีเทาเข้มค่อยๆทิ้งหน่วงซึมซับลงบนแผนหลังกว้างจนหนักอึ้ง นัยน์ตาน้ำตาลสะท้อนประกายวิบวับหยาดน้ำตาเอาไว้ลึกก้นบึ้งจนก่อตัวเป็นความเบื่อหน่ายเศร้าใจและผิดหวังในคราเดียวกัน หากแต่ลู่หานอาจจะไม่รู้ตัวว่าตนกำลังแบกภูผาสูงไว้จนรู้สึกเหนื่อย จะเป็นอะไรมั้ยหากเขาจะช่วยยกภูเขานั้นออกไป...
บางทีคำว่าเพื่อนผู้ใหญ่อาจจะไม่เข้าใจว่ามันลึกซึ้งและเปราะบาง คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของผู้เป็นพ่อกำลังหล่อหลอมความอิจฉา เกลียดชัง...ทำลายความเป็นเพื่อนที่มีมานาน
แบคฮยอนเข้าใจเพราะผ่านจุดนั้นมาแล้วเช่นกัน...
“คุณ...กอดนะ” ไม่พูดเปล่าคนตัวเล็กเดินอ้อมโต๊ะไม้สีขาวแล้วสวมกอดจากด้านหลังคนตัวโต เป็นกอดที่ไม่ได้รัดแน่น อ้อมกอดแค่เบาๆที่ค่อยๆดูดซึมความทุกข์ใจออกไปจากร่างสูง สีเทาค่อยๆกลายเป็นจังหวะหัวใจที่เต้นรัว “เขาบอกว่า...กอดจะตอบทุกอย่างได้ดีที่สุด แสดงถึงความรักและความห่วงใยมากกว่าคำพูดร้อยแปด ผมไม่รู้ว่าคุณพบเจออะไรมาบ้างแล้วก็ทุกข์ขนาดไหนแต่..ผมจะอยู่ข้างๆคุณเองนะ...จากนี้อย่าเศร้าอีกเลย”
แม้มันจะเป็นคำพูดสดไร้การเรียบเรียงและเข้าใจยาก
“ทำไม...นายกลัวฉันเกลียดไอ้ชานยอลมากกว่านี้เหรอ?”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่อยากให้คุณเศร้าทุกครั้งเวลาคุยกับเพื่อน เพื่อนมันหายากนะครับ...ผมยังอยากมีเพื่อนเลย ถ้าเสียเพื่อนไปเพราะอะไรบางอย่าง...มองหน้ากันไม่ติดมันไม่เห็นดีสักนิด”
ตอนเรียนแบคฮยอนเชื่อมั่นเสมอว่าจะมีเพื่อนรักและเข้าใจเขาหลังจากเสียทั้งพ่อแม่ไปในเวลาเดียวกัน คนในห้องต่างพากันมองเข้าแปลกไป...เขาไม่เคยทำร้ายใครเขารักเพื่อนทุกคนแต่แล้วสิ่งตอบแทนก็คือฉายาใหม่ ‘แบคฮยอนไม่มีพ่อไม่มีแม่’ กว่าจะทนเรียนจนจบมัธยมหกได้มันทรมานเจียนตาย ดีที่คุณป้าก็มาเยี่ยมบ่อยๆ
เหงาแค่ไหนย่อมรู้ดี
“เฮ้อ เด็กน้อย ทำไมพูดเองเออเองแล้วน้ำตาไหลเองวะ” ลู่หานเอื้อมมือหนาของตัวเองไปโยกหัวกลมๆที่เกาะเขาแน่ขึ้นไม่ปล่อย
“ฮื่ออออ ทำไมคุณนิสัยไม่ดีเลย ชอบทำให้ผมเป็นคนมีหลายอารมณ์ไปหมดแล้วเนี่ย ก่อนหน้าทะเลาะกันแล้วดีกันแล้วก็ร้องไห้ ฮึก คนบ้า”
“เอ้า ครอบครัวก็ต้องมีสีสันหน่อยดิวะ จะมีโหมดเดียวได้ไงฮะ” เกลี่ยน้ำตาที่หยดอาบแก้มออกช้าๆ ร่างสูงเงยหน้าจนศีรษะชิดพนักเก้าอี้ พอดีกับที่แบคฮยอนเองก้มหน้ามา สองสายตาก็สะท้อนภาพใครอีกคนในดวงตา...
คนตัวโตเลื่อนสายตาไล่ลงมาจากจมูกเชิดรั้นราวกับเด็กดื้อเรื่อยๆจนจดจ้องอยู่ที่ริมฝีปากบาง...
“นี่...คุณจะอยู่กับผมอีกนานใช่มั้ย” แบคฮยอนเอ่ยถาม
ตัวเขาเองเคยหักห้ามใจแล้วว่าจะไม่ให้ถลำลึกกับความรู้สึกมากนัก จะมีเพียงแค่ผู้อาศัยกับเจ้าของบ้าน หากแต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะว่าหัวใจคนเราไม่สามารถสั่งห้ามได้ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งต้องการอยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง...จนกลายเป็นว่าเขาขาดไม่ได้ มันคงจะเหงาถ้าต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง
กับคำพูดที่ว่าก่อนหน้าก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องง้อ เขาจะขีดฆ่าทิ้ง มันทำไม่ได้เมื่อชีวิตมีช่องโหวงว่างเปล่าอยู่
แต่ก็ทำใจไว้แล้วล่ะสักวันมันก็มาถึงเองเนอะ แต่ก็อยากจะรู้
“ทำไม...แบคฮยอน” เสียงแหบห้าวแผ่วเบา
“เปล่า”
“โกหกอีกแล้ว เด็กดื้อ”
“ฮะๆ ไปละแต่งนิยายต่อถึงจะไม่สนุกก็เถอะ!” เขินจนต้องขอตัวออกมาก่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องกระแทกคำหลังใส่คนอายุมาก
แต่ลู่หานไวกว่าคว้าข้อมือเล็กไว้ทันแล้วพลิกให้คนดื้อหันใบหน้าหวานมาสบตาคุยด้วยด้วย
“ไม่ฟังเหรอว่าจะอยู่นานเท่าไร...” เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่นานเท่าไรในตอนแรก...
“หื้อ แล้วแต่คุณดิ อยู่นานผมก็ได้ตังมีกินมีใช้อิ่มท้อง ยังไงก็ได้” บอกสิคุณ...ผมอยากรู้
“อาฮะ งั้นนายก็คงมีกินมีใช้ หลอกกินตังฉันไปอีกนาน”
เหอะ หลอกกินอะไร
“อื้อรู้แล้ว ปล่อยดิคุณ” เบี่ยงหน้าหนีเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองแดงเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ให้ตายเถอะ! อยู่กับลู่หานที่ไรหลากหลายอารมณ์ปรับตัวไม่ถูก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
“แล้วก็นะ ผู้ชายเขาไม่คิดมากเรื่องแค่นี้หรอกเว้ย ฉันไม่ได้เกลียดไอ้ชานยอล แค่เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด”
“ไม่จริงอ่ะ คุณชักสีหน้าใส่ผมด้วยนะตอนกลางวัน” ท้วงขึ้นมาทันทีเพราะมันคาใจ
“อื้อ หวงอะไม่อย่างให้ใครทำตัวสนิทกับนายเลยว่ะ แบคฮยอน”
!!
“คะ คุณพูด...พูดบ้าอะไรเนี่ย!” ตีหน้าค้อนวงใหญ่ แห้วเสียงใส่คนพูดอะไรทำให้หวั่น!
“พูดจริง...” เขารู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่ ลู่หานแย้มยิ้มกว้างกึ่งดึงกึ่งลากให้เข้ามาใกล้ๆตัวจนร่างเล็กต้องจำนนตามแรงดึงเข้าสู่อ้อมกอดอุ่นๆ
“เมาไอติมอ่อคุณ!” ไม่วายยังส่งเสียงและสายตาเชิงดุใส่ แม้ว่าจะถูกรั้งหัวกลมๆให้มุดซบไหล่กว้างไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแล้วแท้ๆ คนมันเขิน...ไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อนแต่ไม่รู้ทำไมในหัวมีแต่ประโยคชวนเสี่ยว
“มากอดคนอื่นก่อนแล้วไม่รับผิดชอบ คืนนี้มานอนให้กอดเลยเนะเว้ย”
ห๊ะ?
บ้านหลังสีขาวที่เงียบเหงาก็มีเสียงกร่นดาปนเหวี่ยงก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะสลับกันไปตลอดทั้งคืน...บ้านหลังสีขาวแสนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความหวานหอม...กับคนสองคนที่จับมือกันไปตลอดทั้งคืนจนเช้า...
“จับมือทำไมเนี่ย!”
“อยากจับ...เฮ้ยลืมแปรงฟัน แบคฮยอนลุกไปแปรงฟันกันเร็ว”
“งื้อ ง่วงแล้วอ่ะ...”
“ลุก! ทำไมซกมกจังวะ”
แล้วทำไมคุณลู่หานถึงดูวุ่นวายจังครับวันนี้ ฮึ่ย เขินไปหมดแล้วเนี่ย นับวันยิ่งเปลืองตัว!
100%
จับมือเธอท่องไปตาม
"ความฝัน"
เอ้ยอะไรกัน นับวันยิ่งเปลืองตัว
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น