ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #11 : - take me home : chapters - 010 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 7 มิ.ย. 57






     

    - Hello, your friend -


     

    chapters – 010

     
     

     

     

                ครืด

     

                เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องบางกำลังสั่นไม่หยุดหลังจากกดปิดเสียงไปแล้วเมื่อสักครู่  ซึ่งคนที่กดโทรมาถี่ขนาดนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคยองซูเพื่อนตัวเล็กที่แสนเอาแต่ใจจนเคยตัว  พอเห็นเบอร์ก็ได้แต่ถอนหายใจ...เพราะร่างสูงรู้ว่าถ้ารับแล้วคงไม่พ้นจะอ้อนขอนั้นนี่ที่เขาคิดว่ามันเป็นการให้ความหวังหรือการบีบคั้นให้รักกัน

     

                ขอโทษนะคยอง...

     

     

     

     

                ดึ้งดึง...

     

     

                ยังไม่ทันที่จะออกไปหาข้าวกลางวันทานแล้วเลิกสนใจเสียงสั่นน่าปวดหัวนั่น  ข้อความก็เด้งขึ้นมาขัดการเลือกร้านอาหารทาน  นิ้วหยาบจากการเล่นกีตาร์เป็นเวลานานกดเลื่อนหน้าจอเพื่อปลดล็อกก่อนจะฉายข้อความน่าปวดหัวอีกสิบเท่าจนเริ่มไม่อยากทานข้าวแล้ว

                ยอล! ทำไมไม่รับสายเรา  นี่จะตัดขาดกันเลยใช่มั้ย...คำว่าเพื่อนตัดกันง่ายจังนะ

     

              ก็แล้วเขาไปบอกตัดเพื่อนกันตอนไหน...แค่บอกให้กลับไปคิดดีๆแล้วหาความรู้สึกเดิมกลับมาค่อยเจอกัน

     

                มือใหญ่บีบนวดต้นคอด้านหลังของตัวเอง  บีบไล่ไมเกรนให้ออกไปไกลตัวพร้อมกับเสียงท้องร้องดังขึ้นอย่างน่าอายตามมาติดๆกัน  แต่ระหว่างที่กำลังเบื่อๆกับชีวิตที่ขยับไม่สะดวก...สายตาดวงคมก็จดจ้องเข้ากับใครคนหนึ่งที่เดินเฉิดฉายออกมาจากลิฟต์ของบริษัท  มันเป็นลิฟต์ตัวเดียวกับที่เขาพบคนๆนั้นชื่อว่าแบคฮยอน  แล้วเหมือนจะเป็นพรหมลิขิตใช่มั้ย?  เขาถึงได้เจอเดจาวูซ้ำๆเจ้าของร่างเล็กๆแต่งดูแข็งแกร่งกำลังย่างกายเข้ามาในเสื้อผ้าชุดเดิมๆสบายๆด้วยสีหน้าหงุดหงิด  จมูกเชิดรั้น  ตีหน้ายุ่ง  เอ่ยบ่นหงุงหงิงคนเดียว

                มือเหรอที่ร่างสูงจะอยู่เฉยๆ  เพราะอยู่ๆไมเกรนอาการปวดหัวรักษาไม่หายก็มะลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง  ต้องเดินเข้าไปทักทายกันเสียหน่อย...

     

     

     

     

     

     

     

                “แบคฮยอน!  ตะโกนเรียกชื่อพร้อมวิ่งเข้ามาหาสีหน้าตีอกดีใจที่ได้เจอกันอีก

                คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียงพลางหมุนศีรษะไปมาจนเริ่มเวียนหัว  สุดท้ายก็หันหน้ากระทบกับแผงอกของใครบางคนเข้าอย่างจังจนเกิดอาการเซเล็กน้อย  มือเล็กลูบจมูกตัวเองเช็คความสูงของดั้งว่ายังอยู่ดีหรือไม่ก่อนเงยหน้าขึ้นช้าๆ...

                “อ้าวคุณชานยอลนั้นเอง”  ฉีกยิ้มกว้างหวานเชื่อมตามนิสัยเมื่อเจอคนที่แอบอ้างเอาว่าเป็นเพื่อนตัวเองโดยบังเอิญ

                “จำกันได้ด้วยดีจังเลยนะครับ”  ส่งยิ้มกว้างไปให้คนตัวเล็กเช่นเดียวกัน  “ว่าแต่มาทำอะไรที่นี้เหรอ?  สีหน้าดูไม่ดีเลยนะมีปัญหาอะไรรึเปล่า  บอกผมได้นะครับ”  ชานยอลเสนอแนะแนวทางใหม่  เผื่อจะได้มีเรื่องให้ต้องเจอกัน...

     

                “เฮ้อ...คิดแล้วเครียดมากๆเลยครับ  บางทีผมอาจจะ...ต้องถอยหนึ่งก้าว”  ใบหน้าหวานพูดไปยิ้มไปแบบเหนื่อยๆ  กระชับซองเอกสารสี่น้ำตาลขนาดเอสี่ในอ้อมกอดแน่นจนเกิดรอยยับ  ช้อนตามองเพื่อนใหม่ที่โมเมขึ้นมาเองแล้วน้ำตาก็คลอล้นอยู่ขอบตา  ทำเอาร่างสูงถึงกับตกใจรีบเอื้อมมือไปเช็ดปลายหางตาแผ่วเบา

     

                ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...แต่คนตรงหน้ากำลังเศร้า  เขาเลยเศร้าไปด้วย

     

                “ไหนบอกสิครับว่ามีเรื่องอะไร”  เอ่ยถามเสียงเข้มเค้นอยากได้คำตอบ

     

     

                “เขาบอกว่านิยายผมมันไม่มีจิตวิญญาณของตัวละคร  เนื้อเรื่องซ้ำซากจำเจมีแต่ฉากหวานเลี่ยนอ่านแค่หน้าแรกก็ปิดทิ้งแล้ววางลงบนชั้นหนังสือจนสุดท้ายต้องกลายเป็นหนังสือด้านหลังสุดในชั้นที่ไม่มีคนหยิบ...”  เมื่อนึกถึงคำพูดแสนใจร้ายก็ตอกลึกเข้าไปในความทรงจำจนพาลจะร้องไห้ออกมาอีก 

                เนื่องจากว่าวันนี้เขาตัดสินใจว่าจะลองมาส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์นี้อีกครั้ง  ถึงกับแอบโดดทำงานบ้านกันเลยทีเดียว

     

                “ไม่หรอกครับ...กลับกันคนเรามักหยิบเลือกหนังสือที่อยู่ในสุดมากกว่าด้านหน้าเสียอีก  พูดให้กำลังใจอย่างสภาพพร้อมคำพูดแง่คิดถึงหนังสือที่เหมือนเหรียญสองด้านและมีดสองคมในคราเดียวกัน

     

                แบคฮยอนได้แต่จ้องหน้าคนตัวโตอย่างงุนงงด้วยความไม่เข้าใจ  เนื่องจากช่วงนี้เขามักถูกลู่หานคนแก่ขี้บ่นพูดบ่อยๆว่าสมองเต่าจนอาจจะติดมันมาจากตรงนั้น  ตีหน้าฉงนจนอีกคนเผลอหลุดยิ้มออกจนหุบกลับไม่ได้  ลูบหัวทุยกลมของคนตัวเล็กก่อนจะถือวิสาสะกับมือแล้วพาเดินตามตัวเองไปแบบงงๆ

     

                “จะพาผมไปไหนครับ”  ถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกึ่งลากกึ่งดึง

     

                “ผมจะพาไปที่ๆหนึ่งครับ  รับรองว่าต้องได้อะไรเยอะมากแน่ๆ”

    25%

                   

                สถานที่พลุกพล่านผู้คนเดินขวักไขว่สวนทางกันไปมาผ่านดวงตาเรียวรีสวยกำลังจดจ้องไปยังบุคลิกการใช้ชีวิตในแต่ละตัวบุคคลอยู่เงียบๆ  ตรงเก้าอี้สาธารณะหน้าห้างสรรพสินค้าเล็กๆในย่านนี้  มือข้างหนึ่งยกน้ำดื่มในแก้วขึ้นมาดูด  เปิดหูรับฟังสิ่งที่คนข้างๆกำลังอธิบายความน่าจะเป็นในฉบับนักสังเกตการให้ฟัง  นี่คือสิ่งที่ชานยอลอยากจะให้ร่างบางได้รับรู้ถึงมุมกว้างของงานเขียน
     

                “เห็นคนนั้นใช่มั้ยครับ  แบคฮยอนลองอธิบายดูว่าเธอเป็นคนยังไง”  ชานยอลพยักพเยิดใบหน้าเปื้อนยิ้มไปยังสาวสวยคนหนึ่งที่ยืนพิงผนังร้านเสื้อผ้าสีหน้าหงุดหงิด

     

                 เป็นอีกครั้งที่หนุ่มหน้าหวานตีหน้ายุ่งขมวดคิ้วครุ่นคิดกับโจทย์ของร่างสูง  นิ้วเรียวเกลี่ยหยดน้ำข้างแก้วเริ่มเพ่งสมาธิแล้วจ้องมองหญิงสาวผู้เป็นเป้าหมาย  ริมฝีปากบางเริ่มเจื้อยแจ้วถึงสิ่งที่เห็น
     

                 “เธอสวยแล้วก็ดูแต่งตัวจัด”  ตอบคำถามเสร็จก็หันขวับมาดูหน้าคุณครูชั่วคราวว่าตอบถูกมั้ย
     

                 “ไม่ใช่แล้ว”  คนตัวโตจับหัวทุยๆที่เอาคางเกยเข่าโยกไปมา  รู้สึกหมั่นเขี้ยวตอนคนตัวเล็กข้างๆทำหน้ามุ่ยแลยุ่งยาก  “ดูนะครับ  ถ้าเราจะอธิบายใครสักคนหนึ่งเราต้องมองนิสัยเขาออกด้วยอย่างน้อยก็ต้องหกสิบเปอร์เซ็นต์  ทุกคนมีความหลากหลายในตัว  อย่างเช่น...แบคฮยอนต้องจำแนกคำว่าสวยในมุมมองของคุณ  ผู้หญิงคนนั้นกำลังรอคนสำคัญอยู่แน่ๆ  ต้องเป็นแฟนเธอเพราะว่าเสื้อคู่รักลายนั้นกำลังฮิตกันในช่วงนี้  ส่วนตัวเธอเองทำงานเป็นแอร์ที่หาเวลาเจอกันไม่ค่อยได้  เนื่องจากส่วนสูงของเธอแล้วยังท่าทางการเก็บอารมณ์ได้ดีเยี่ยมแม้จะมีคนขอให้ช่วยเก็บของเธอจะทำอย่างสุภาพแล้วก้มศีรษะลงในองศาที่พอเหมาะรอยยิ้มนั้นจริงใจที่สุดจากการผ่านอบรมมาโคเรียแอร์”
     

                 พูดจบก็แย่งแก้วน้ำในมือเล็กไปดื่มไม่ขอสักคำ  ถ้าปกติแบคฮยอนคงตกใจเล็กน้อยแต่เพราะว่ากำลังทึ่งว่าชานยอลรู้ได้ยังไงว่าเขาทำงานอะไรที่ไหนยังไงและกำลังรอใครอยู่

                “คุณ...”  แบคฮยอนเรียกเสียงยานคาง

     

                 “หื้ม?  ทำไมครับอึ้งเหรอ  ผมเก่งใช่มั้ยล่ะ”  คนตัวสูงยังคงเยินยอด้วยเองต่อ

                 “เปล่าครับ  บางทีผมว่าคุณน่าจะไปทำงานเป็นหมอดูรับจ๊อบเสริมหลังเลิกงาน”

                 แล้วบรรยากาศทั้งสองคนก็ผ่านไปเรื่อยๆพูดคุยกันจนลืมเวลาล่ำเวลา  กว่าจะรู้ตัวก็เสียงท้องร้องของแบคฮยอนและชานยอลตีกันไปมาเสียงดังแข่งกัน

                 “ฮ่าๆ  แย่จังเลยผมก็คิดว่าจะออกมาทำธุระแป๊บเดียวเลยไม่ได้กินข้าวเช้ามาเยอะ  คุยกับคุณชานยอลเพลินเลย”  คนตัวเล็กเดินกอดซองสีน้ำตาลต้นฉบับข้างร่างสูง  ตลอดทางก็เงยหน้ามองคนยิ้มสวยอย่างชานยอลไปเรื่อยๆ 

                 “ผมเหมือนกันเลย  จริงด้วยแบคฮยอนเรียกผมว่าชานยอลเฉยๆก็ได้ครับ  มันดูห่างเหินแปลกๆ”  ร่างสูงเสนอความคิดซึ่งถูกใจคนตัวเล็กอย่างมาก  เลยพยักหน้ารัวๆ  “โอเคนะ  สรุปเราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วนับจากนี้แบคฮยอนเพื่อนชานยอลแล้วก็ชานยอลเพื่อนแบคฮยอน  มีอะไรก็ปรึกษาได้เสมอเลยนะ”

     

                ชานยอลถือโอกาสตัดสรรพนามและบทสนทนาแสนสุภาพเหลือแค่คำพูดแบบกันเองแบบเพื่อน  มือก็ขยี้กลุ่มผมนุ่มนิ่มของร่างบางที่ทำหน้าตาน่ารักมาก  แบคฮยอนจะดูน่ารักเสมอไม่ว่าจะทำอะไรยกเว้นร้องไห้...

     

    ประธานหนุ่มมีความสุขที่สุดตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอก  เขาเพิ่งได้พบว่านี่เองที่เรียกว่าสนุกแล้วก็เดินเที่ยวของแท้ 

     

    “ว่าแต่เราเลือกกินร้านไหนกันดีอ่ะ  ฉันหิวแล้วอะชานยอล”  เสียงหวานเอ่ยถามแม้สองมือยังเต็มไปด้วยของกินเล่นก็ตาม  หากแต่มันเทียบกับอาหารหลักไม่ได้เลย

     

    “งั้นกินร้านนั้น” 

     

    คนตัวโตชี้ไปยังร้านที่เล็งไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่ามื้อเที่ยงเขาจะมาทานที่นี่  เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นผสมผสานกับสไตล์ลอฟ (Loft) ด้านนอกและด้านในออกแบบสบายชิลๆ  หรือถ้าจะให้อธิบายก็คือรูปแบบนิยมของสมัยนี้  ส่วนราคาอาหารก็อีกเรื่องหนึ่งที่หรูตามรูปลักษณ์  หากแต่แบคฮยอนกับไม่รู้สึกว่ามันสบายๆด้วยทั้งที่กะจะเลี้ยงขอบคุณที่มาช่วยสอนแนวคิดตั้งนานหลายชั่วโมงกลับต้องเก็บกระเป๋าตังเงียบเมื่อป้ายหน้าร้านเขาพอจ่ายแค่ข้าวเปล่าหนึ่งถ้วย...น้ำไม่ต้อง...

     

    “เป็นไงร้านนี้บรรยากาศด้านในดีมากๆ  อาหารก็อร่อยแบคฮยอนน่าจะชอบนะ”  หันมาถามความคิดเห็นเพราะเขาไม่จำเป็นต้องสนใจราคาอาหารเลยสักนิด  คนเราเกิดมาอยากกินอะไรก็กินในความคิดเขาเป็นแบบนั้น  แต่พอมองหน้าที่ซีดเผือดจึงเริ่มหวั่นใจ  “ไม่ชอบเหรอครับ?”

     

    “หื้อ  เปล่าเลยชอบนะแต่มื้อนี้เราอยากเลี้ยงชานยอลมากกว่า  แต่ราคาไม่สู้....อื้ม  เอางี้มั้ย!  เดี๋ยวเราจะพาไปกินสปาเกตตี้ร้านอร่อย”  เห็นทางสว่างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าแถวนี้เป็นที่ที่ดูในเน็ตเขียนแนะนำว่าอาหารอร่อยซอยแคบ  ราคากันเองให้เยอะอีกด้วยมันผุดขึ้นมาพอดี

     

    “เอาสิ  ถ้าแบคฮยอนแนะนำไปไหนก็ไปกัน”  ตอบตกลงไม่มีอิดออดหรือคิดทบทวน  ตามใจคนตรงหน้าพร้อมเดินตามไปอย่างดี 

     

    ตอนนั้นเองอยู่ๆโทรศัพท์เครื่องเก่ากึกของตัวเล็กก็สั่นครืดในกระเป๋ากางเกง  แบคฮยอนจำใจต้องกดรับสายแม้เห็นรายชื่อแล้วอย่างเขวี้ยงมือถือทิ้งเสียจริงๆ  ยิ่งนึกถึงเมื่อเช้าที่ในคนว่างงานอยู่บ้านมาส่งหน่อยก็ทำเป็นยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง  รีบเอางานออกมาทำทันทีเลยอย่างกับเด็กอนุบาลโดนแม่ดุ!

     

    “อ่า  งั้นแป๊บนะชานยอล”  หันมาบอกเพื่อนใหม่แล้วกดรับสายคนแก่ขี้บ่นนอนอืดอยู่ที่บ้าน  “ฮัลโหล  ว่าไงคุณ”

     

    อะไรห๊ะ  แหมโทรหานี่ทำเสียงไม่พอใจ  ทำไมใครทำอะไรใครว่าอะไรรึไง  ลู่หานกรอกเสียงตามสายมา  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป่านนี้คงนอนเหยียดขาบนโซฟา  เท้าแขนกับพนักพิงแล้วดูบอลแน่ๆเสียงงี้ดังลอดเข้ามา

    น่าหมั่นไส้!

    “เปล่าสักหน่อย  คุณโทรมาทำไมอ่า” 

    นี่ดูนาฬิกาหน่อยสิ  ข้าวเที่ยงไม่ทำนี่อู้มากนะ  ได้ทีก็สวดมายกใหญ่

    “แต่ผมจะกินข้าวข้างนอกนิคุณ   ในตู้เย็นมีกับข้าวเมื่อเช้าเหลืออยู่คุณเอามาทำข้าวยำกินก็ได้นะ”  ร่างบางนึกได้จึงพูดต่อ  “เดี๋ยวกลับไปชดใช้มื้อเย็นแทนนะคุณ”

    เท่านั้นแหละ...คนถูกเมินในปลายสายก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที  เมื่อความสนใจลดน้อยลงส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

    นี่  ยังไงก็ช่างรีบกลับมาทำข้าวเที่ยงเดี๋ยวนี้  ฉันจะเป็นลมถ้าไม่ได้ทานข้าวตรงต่อเวลา  คนที่บ้านยังคงไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ  อีกทั้งจะให้เขาทานของเหลือคลุกๆเหมือนคนตัวเล็กน่ะเหรอ....อย่าหวังซะให้ยาก!

    “ทำไมคุยไม่รู้เรื่องอย่างนี้อ่ะคุณ  ผมก็ต้องมีธุระของตัวเองบ้างป่ะ”  อีกคนที่ยืนกอดอกตบเท้าอย่างลืมตัวว่าชานยอลกำลังยืนมองอยู่ห่างๆด้วยความเอ็นดูยังคงรู้สึกอารมณ์เสียกับปลายสาย

    นายคุยเสร็จแล้วนิ...กลับมาทานข้าวที่บ้านเถอะน้า...  เมื่อไม้แข็งไม่ได้ผล  ลู่หานก็เริ่มเสียงอ่อนลง  อย่าไปเลยนะ...

    อะไร?  ไอ้เสียงเชื่อมๆนี่มันคืออะไร!  ทำไมผมต้องใจเต้นตามด้วย

    “คะ...แค่นี้นะคุณ  ผมวางนะ”  แบคฮยอนกดตัดสายไปทันทีไม่ทันรออีกฝ่ายเคลียร์ให้จบ  แล้วหันมายิ้มแหยๆใส่ร่างโปร่ง  “เอ่อ...คือว่า”

     

    “ไม่เป็นไร  ไว้เราค่อยไปกินข้าวกันวันหลังก็ได้”  ชานยอลเห็นท่าทางไม่สะดวกใจบวกกับสิ่งที่ได้ยินร่างเล็กคุยโดยบังเอิญก็พูดให้สบายขึ้น  ทั้งที่ในใจอยากไปทาทนข้าวด้วยเหลือเกิน

     

    “งื้อ  ขอโทษน้าชานยอล...เอางี้มั้ย  ชานยอลว่างไว้ไหนก็บอกเราได้เลยนะ  เราจะทำอาหารเลี้ยงที่บ้านในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกันแล้ว” 

     

    “ได้สิ  ฉันว่างทุกวันเลยแฮะ”  ชานยอลพูดปด  ความจริงงานยุ่งทุกวันน่าจะเหมาะสมกว่า

     

    “ดีจังพรุ่งนี้เที่ยงนะ  เดี๋ยวเราส่งที่อยู่ให้ทางข้อความนะ  ขอเบอร์หน่อยสิ”  คนตัวเล็กร่าเริงขึ้นทันทีที่แก้ปัญหาได้  รีบส่งโทรศัพท์ยื่นให้คนตัวโตพิมพ์เบอร์  “ไว้เจอกันพรุ่งนี้น้าชานยอล  ขอโทษน้าไปละ”

     

     

     

    อย่างน้อยๆชานยอลก็ยังได้เบอร์โทรไว้ติดต่อกัน...นัดทานข้าวที่บ้านงั้นเหรอ?  บางที...ชานยอลเหมือนเห็นผีเสื้อนับล้านบินวนไปมาในตอนนี้ก็เป็นได้
     

    50%
     

     

    เสียงท้องร้องดังโครกครากของชายหนุ่มสัญชาติจีนยามว่างจากการทำงานที่ตระเตรียมเสนอลูกค้าในวันพรุ่งนี้เรียบร้อย  แล้วนอนเหยียดกายอยู่บนเก้าอี้เบาะหุ้มผ้าแสนนุ่ม  กระดิกเท้าสองสามทีเปลี่ยนท่านั่งพลางนึกหงุดหงิดตัวเองในใจกับบนสนทนาเมื่อครู่

    ทำไมต้องไปง้อไอ้เด็กบ้านั่นด้วย  นี่เสี่ยวลู่!  อาหารแค่นี้ทำเองก็ได้  ใครจะอยากไปกินไอ้กับข้ารสชาติกำลังพัฒนาวะ  โธ่!

    คิดได้แบบนั้นก็ลุกเดินแบกท้องว่างๆในเวลาบ่ายนาฬิกาไปที่ห้องครัว  อากาศหน้าร้อนชวนขี้เกียจถูกสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดี  เปิดตู้เย็นพลางหาเมนูยองวันนี้ไปด้วย  พลันสายตาก็สบเข้ากับบางอย่าง?

     

     

     

     

    แบคฮยอนเดินอยู่ทางซอยเล็กเข้าบ้านหลังสีขาวคุ้นตาร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ประดับด้วยดอกไม้เข้าบรรยากาศ  ภาพมุมมองของบ้านที่แม่เขาชอบมากที่สุด  ยกแขนขึ้นซับเหงื่อที่หยดไหลอาบข้างแก้ม  นึกน้อยใจคนที่อยู่ที่บ้านโทรมาเพราะเรื่องตัวเองไม่คิดจะมารับกันเลยสักนิด  มืออีกข้างที่กระชับถุงวัตถุดิบมาทำข้าวแกงกะหรี่หมูทอดกินกันเย็นนี้ ส่วนอีกถุงก็เป็นกับข้าวสำเร็จรูปไว้ให้คนหน้าบูดกินกันตายไปก่อน

    ขาเรียวที่อินทีเรียหนุ่มมักบอกว่าใหญ่เหมือนหมูเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านก่อนเปิดเข้าไปเงียบๆเพื่อดูว่าคนแก่ขี้บ่นกำลังทำอะไรอยู่  ตายรึยัง  ปรากฏว่าได้ยินแต่เสียงทีวีแต่ไร้คนดูเสียงดังครึม

    "คุณอยู่ไหนอ่ะ"  ส่งเสียงเรียกไประหว่างเก็บร้องเท้าเข้าชั้นแล้วหยิบรองเท้าใสในบ้านมาสวม

    เงียบเชียบ...

    ไปไหนของเขา

     

    หนุ่มหน้าหวานเอียงคอฉงนเดินตรงไปที่ครัวเพื่อจะเก็บของ...แต่ดันได้ยินเสียงเครงเหมือนช้อนกระทบอ่างสแตนเลสใบใหญ่พร้อมกับภาพที่เห็นอยากจะเชื่อสายตาตัวเอง  ลู่หานกำลังกินข้าวในชามกะละมังเหมือนที่เขาบอก  ผัดผักของเหลือๆเมื่อเช้าถูกคลุกเคล้าเข้ากันพร้อมใส่โคจูจังเข้าไปเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมถูกตักเข้าปากไม่ขาดสายอย่างมูมมาม   ไม่ทันได้สังเกตจนแบคฮยอนยืนจ้องนานๆคนตัวโตก็เงยหน้าจากชามแล้วสบตากันพอดี

     

    แค่กๆ  แค่กๆ

    สำลักเลยครับงานนี้...

     

    “น้ำๆ  คุณรอเดี๋ยว”  คนตัวเล็กตกใจจนทิ้งข้าวของแล้ววิ่งไปเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกที่แช่ไว้มาเทใส่แก้วอย่างร้อนลน  แล้วส่งต่อให้ลู่หาน  มือเล็กก็นวดคลึงที่แผ่นหลังให้อาหารย่อย  “เป็นไงเอาน้ำอีกมั้ย”

    “เฮ้อเกือบตายแล้วนะเว้ย”  รอดตายทีก็เปิดปากว่าไม่รอช้า

    “อ่อเหรอ...ก็แล้วใครที่ไหนบอกไม่กินหรอกๆ  แล้วมานั่งกินอย่างกับน้องหมาอย่างนี้ล่ะห๊ะ”  ผละมือออกจากแผ่นหลังกว้างแล้วก้มเก็บของที่ซื้อมาไว้บนเคาเตอร์ครัว  ทิ้งคนที่จิปากขัดใจไว้เงียบๆแล้วอมยิ้ม...

     

     

     

    “อ่ะนี่ผมซื้อมาให้”  แกะข้าวผัดใส่จานให้คนตัวสูงที่นั่งลูบแขนตัวเองอยู่บนโซฟา  สีหน้าขัดใจหงุดหงิดตีกันยุ่งไปหมดจนเผลหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง

    “ไม่กินเว้ย!”  พูดเสร็จลู่หานก็หันหน้าหนีจนแบคฮยอนต้องเข้าไปจับเขายาวๆของตัวขี้งอนมาช่วยลูบแก้อาการอาหารไม่ย่อย  นั่นก็ส่งผลให้คนตัวโตกว่าเลิกทำตัวเป็นเด็กๆแล้วหันกลับมามองใบหน้าหวานนิ่ง  “กินอะไรมารึยัง...นึกว่าจะไม่กลับมากินข้าวบ้านซะอีก”

     

    “คุณจะบ้าเหรอ  ใครบอกว่าจะไม่กลับกัน  นี่รีบออกมาแล้วซื้อข้าวมาให้เลยนะเนี่ย”  ร่างบางพูดไปยิ้มไป  “ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรมากเลยอ่า  งั้นเรามากินข้าวผัดจานนี้กันให้หมด  แล้วเดี๋ยวผมจะทำของโปรดผมให้ทาน”

     

    “อะไร?  นี่อย่าบอกนะว่าซื้อมาแค่กล่องเดียวแล้วแบ่งกันกิน”  ร่างสูงถาม

     

    “ใช่  กินเถอะคุณ  ผมหิวแล้วอ่ะ อิอิเดี๋ยวไปเอาต๊อกก่อนนะรอแป๊บ” พูดเออออตามคนบ้าไป  ก่อนนึกได้ว่ามีอะไรจะบอก  “คุณ...พรุ่งนี้เพื่อนผมจะมาบ้านแหละ”  พูดไปแกะกล่องต๊อกใส่จานแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กมานางคนหน้าหล่อ

    “แล้วไง  มาบอกทำไมวะ” 

    “หยาบคายอีกแล้ว  ก็เนี่ยเพื่อนใหม่ที่เล่าให้ฟัง  เขาจะมากินมื้อเที่ยงที่บ้านอ่า...แล้วแบบ”  คนตัวเล็กอยู่ๆก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆพร้อมสายตาอออดอ้อน

    ลางไม่ดีอีกแล้ว

    “แล้วอะไร  พรุ่งนี้ฉันไม่อยู่บ้าน  ไปเสนองานลูกค้านายก็ไปซื้ออาหารสำเร็จรูปมาแล้วบอกทำเองดิ”

    แบคฮยอนเบ้ปากคลายจะร้องไห้  เขาเบื่อคนรู้ทันที่สุด

    “หื้อ  ได้ไงอ่ามันไม่โอเคอะคุณ”

    “นี่ไอ้เด็กบ้า  ฉันจ้างนายมาทำงานบ้านทำกับข้าวนะเว้ย  ลำดับใหม่ดิ๊ว่าสัญญาอะไรกันไว้  เอ้าเอาไป  ตักแบ่งจานให้แล้วของใครของมันไปเลย”  ลู่หานส่งยืนจานตักแบ่งข้าวผัดพร้อมเอ่ยปฏิเสธที่จะทำอาหารต้อนรับเพื่อนคนใหม่ของแบคฮยอน

     

    ใครมันจะไปอยากทำให้คนที่แย่งตัวเล็กเขาวะ...

     

    เอ๊ะเดี๋ยว  เฮ้ย!!ลู่หานคิดอะไรอยู่  ไม่ๆๆไม่ใช่ล่ะ  ไอ้เด็กนี่ก็แค่หม้อหุงข้าว

     

    “ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร...แต่ไม่เห็นต้องตักข้าวแยกจานเลยนินา!  ร้ายกาจรังเกียจผมอ๋อ”  แบคฮยอนพูดเสร็จก็ตักข้าวเข้าปากรัวๆ  ไม่วายเอื้อมไปตักข้าวผัดในชามลู่หานมาเข้าปากทีแล้วส่งยิ้มซื่อๆส่งมาให้

    ไอ้เด็กบ้า!

     

    “เออ!

     

    ชิ...คนแก่นิสัยไม่ดีหยาบคายแล้วยังขี้งกสำอางเรื่องมาก 

     

    ฮึ่ยไอ้เด็กบ้าน่ารำคาญชิบหาย  สกปรกแล้วยังซกมกอีก

     

    !!
     

     

    ฮึก...ชานยอล  ทำไมไม่รักกันบ้าง?

    พึมพำเบาๆออกมายากจะอดกลั้นความเจ็บปวดราวกับเข็มนับพันพากันพุงตรงมาหาเขาเพียงคนเดียว  แทบไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร...  คยองซูคิดว่าตัวเองคงขาดชานยอลไปไม่ได้แล้วในเวลานี้  แต่ทุกอย่างมืดแปดด้านหลังจากที่เขาสารภาพรักกับชานยอลไปเมื่อครั้งที่แอบหนีไปเรียนด้วยกับร่างสูง  หวังพึงเชื่อมั่นในคำที่ว่าแพ้ใกล้ชิด...แต่เปล่าเลย  ไม่มีครั้งไหนที่คนตัวสูงรักในแบบเดียวกับคนตัวเล็ก 

     

    คยองซูปล่อยน้ำตาหยดสุดท้ายให้แห้งเหือดหายไปข้างแก้มนวลเนียน  ก่อนนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองเศร้าแล้วมีเพื่อนดีๆทั้งสองคนมาปลอบใจ...เวลานี้ในเมื่อชานยอลทำให้เขาเสียใจ  เพื่อนเพียงคนเดียวที่ปลอบใจเขาได้มีคนเดียว

     

    ลู่หาน...

     

     

    60%



    “คุณ...นอนด้วยสิ”  เสียงหวานดังก้องอยู่หน้าห้องพร้อมกำส่ายฝนที่เททิ้งตัวลงมา  คนตัวโตเงยหน้าขึ้นจากกองแพทเทิร์นงานเสนอก่อนเดินไปเปิดประตูห้องนอน 

     

    เด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีฉีกยิ้มกว้างจนปากเป็นสี่เหลี่ยมเอกลักษณ์ประจำตัวที่ลู่หานต้องยอมจำนน  เพราะมันแสนจริงใจ  ร่างบางกอดหมอนใบโปรดสีขาวเดินตรงเข้ามาภายในห้องแสนอุ่น...ห้องนอนลู่หานอุ่นจัง

     

    “นอนก่อนเลยนะ  เดี๋ยวฉันเขียนงานเสร็จแล้วจะนอน”  พูดจบก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หมุนแล้วขมวดคิ้วเป็นปมย่นต่อ  

     

    “อื้อ  นี่คุณ...เครียดอยู่เหรอ”  แบคฮยอนเอ่ยถามเมื่อเห็นแววตาจริงจังจ้องมองอะไรสักอย่างที่ขีดเขียนทับๆกันจนเลอะเทอะไปหมดเพราะรู้สึกว่าเกรงใจคนที่กำลังต้องการสมาธิกับงาน  เขารู้ว่าเวลาลู่หานทำงานจะมีสีหน้าที่เครียดเคร่งตลอดเวลา... “อ้า  สงสัยฝนตกปรอยๆเอง  ผมกลับไปนอนที่ห้องดีกว่าเนอะ”

     

    กลัวจะรบกวนอีกคนจึงหยิบหมอนใบเดิมมากอดแล้วเดินออกไป  แต่แล้วแขนเล็กก็ถูกจับเอาไว้

     

    “ทำไมชอบคิดเองเออเองวะห๊ะ   ไปนอนไป๊  ฉันจะนอนแล้ว”  ร่างสูงปิดไฟที่โต๊ะหนังสือ  เหลือไว้เพียงโคมไฟดีไซน์เก๋ที่แบคฮยอนคิดว่าสวยดีเปิดสว่างอยู่ 

     

    มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นลึกๆอย่างบอกไม่ถูกเวลาอยู่ใกล้คนที่กำลังจูงมือ  แล้วก็ยังหาคำจำกัดความของคำว่าชอบไม่ได้  รู้แค่ว่าชอบคนนี้ๆแล้วล่ะ

     

    “จะยืนอีกนานมั้ย  มานอนได้แล้ว”  ร่างสูงฉงนใจว่าจะมาไม้ไหนอีก

     

    “งื้อ...คุณเต็มใจใช่รึเปล่า  ให้ผมมานอนด้วยไม่ได้ฝืนใจใช่มั้ย?”  แบคฮยอนต้องการคำตอบที่แน่ชัดว่าเขาเต็มใจไม่ใช่สมัครใจที่จะให้นอนชั่วคราวด้วยเพราะฝนตก

     

    ผมกำลังคิดอะไรอยู่บางทีก็สับสน  บางครั้งมันก็ฟูฟ่องพองโต

     

    “อื้อ  คราวนี้นอนได้ยัง”  ร่างเล็กเริงร่าล้มตัวนอนตามเมื่อแสงไฟดับลง

     

    “คุณ...นอนยัง”  ถามขึ้นมาเมื่อความมืดเข้ามาครอบงำพร้อมเสียงฟ้าร้องลั่นครืด

     

    แสงสลัวๆทำให้นัยน์ตาดำมองเห็นแผ่นหลังกว้างคล้ายกำแพงป้องกันทุกข์ขจัดความหนาวเย็น  ไม่รู้เลยคนตัวเล็กจดจ้องอยู่แบบนี้นานเท่าไร...ลู่หานนอนหันหลังให้กับเขาเพื่อนเว้นระยะห่าง  จนกระทั่งเปลือกตาค่อยๆปิดลงสนิทพร้อมลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอ  ยามที่รู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว...




     

    เปรี้ยง!
     

    “ฮื้อ! 

     

    เสียงฟ้าร้องปลุกคนที่ใกล้เคลิ้มหลับให้สะดุ้งโหยงจนตาสว่าง  มือเล็กดึงผ้าห่มขึ้นหวังคลุมโปรง  ด้วยอาการตกใจจึงเผลอเขยิบเข้าใกล้เขตแบ่งระหว่างแดนของเจ้าของห้อง  กำแพงหน้าดูเหมือนเครื่องทำความอุ่น  แบคฮยอนแนบแก้มพวงกลมเข้ากับแผ่นหลังของลู่หานเพื่อหาไออุ่นและกำแพงปกป้องจากสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงอย่างไม่ไยดี






     

    ลู่หานยังไม่หลับ!

     

    บ้าเอ่ย  อุตส่าห์ออกห่างแล้วเชียว...
     

    ร่างสูงรู้สึกพ่ายแพ้จนต้องหันหน้ามาประชันกัน  หากแต่พอเห็นคนหลับลึกอย่างสบายใจแล้วก็อดคว้าตัวมากอดโดยให้หัวกลมดิ๊กหนุนแขนตัวเองแล้วซบที่หน้าอกของเขาแทน  ส่วนฝ่ามือหนาก็เลื่อนมาปิดหูให้คนตัวเล็ก

     

    นอนแบบนี้...ก็อุ่นดีเหมือนกันแฮะ

     

    หอมกลิ่นแป้งเด็ก...

     

    “ฝันดีไอ้เด็กดื้อ”

     

     

     






     

    ฝนยังคงตกอยู่พรำๆและเสียงเม็ดฝนที่ดังเปาะแปะทำให้แบคฮยอนลืมตาขึ้นช้าๆ  เพราะว่าตอนเต็มอิ่มในหัวจึงปลอดโปร่ง  เฉกเช่นเดียวกันกับคนตัวโตข้างกายกำลังงัวเงียขยี้ตาตื่น

     

    “ฮื่อ  คุณ!  เจ็ดโมงแล้วนะ  มีนัดไปเสนองานลูกค้าไม่ใช่เหรอ”  ตกใจจนลืมความเขินไปชั่วครู่ 

     

    “ไม่...ไม่ไปแล้ว”  ร่างสูงกล่าวงัวเงียออกมาด้วยความยากลำบากเพราะต้องตั้งสติก่อน  “นอนต่อเถอะ  ฮื้อ...”  ลู่หานพูดจบก็คว้าตัวร่างบางมากอดราวกับหมอนข้างก็ไม่ปาน  แบคฮยอนอาศัยจังหวะช่องว่างกระทุ้งศอกแหลมใส่เข้าให้

     

    โอ๊ย!

     

    อย่ามาแหยมบยอน!!

     

    “ปล่อยผมมม”  แต่สุดท้ายก็ถูกกอดแน่นเพื่อแก้แค้น

     

    “ไม่!  ดื้อนักเหรอฮะ  นี้เจอดีแน่”  ลู่หานกัดฟันกรอด  จิ้มที่ข้างเอวจนคนตัวเล็กดิ้นไปมาด้วยความจั๊กจี๊  หัวเราะจนต้องโก่งตัวงอไว้บนที่นอนเล่นกันไปมาอยู่สองคนก็สนุกได้

     

     


     

    ออด  ออด

     

    เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นขัดจังหวะสงครามน้ำลายยามเช้าที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนผมเผ้าสภาพยุ่งเหยิง  แบคฮยอนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เพื่อนจะมาหาแต่ไม่คิดว่าจะมาเช้าขนาดนี้  แน่นอนว่านอกจากเพื่อนเขาไม่น่าจะมีใครมาบ้านเขาได้  คิดได้เลยรีบลุกขึ้นปัดผมให้อยู่ทรงในชุดนอนเชิ้ตปกอ่อนไม่ได้อัดผ้ากาวกับกางเกงวอร์มขายาวสีกรม

     

    “ใครมาแต่เช้า” ลู่หานพูดพลางลมตัวนอนเอาหมอนของแบคฮยอนมาปิดหน้าปิดตา

     

    “เพื่อนผมแน่เลย”  พูดเสร็จก็รีบวิ่งไป  ทิ้งคนแก่ว่างงานหลับอุตะต่อ...สักพัก







     

    อ๋อเพื่อน...อื้ม...

     

    ห๊ะ!!  อะไรนะเพื่อนหรอ!




     

    ไม่รอช้ารีบลุกพรวดพราดตามออกทันที  แม้ในความคิดก็ไม่รู้สาเหตุเช่นเดียวกันแต่ที่ร่างกายมันตื่นตูมไปเองคงเพราะ  ใจสั่งมา

     

    เชี่ยกูคิดอะไรออกไปวะ?  ไม่เอาๆ  แล้วไอ้ดื้อไปไหน

     

     






     

    “เข้ามาก่อนเลยครับ  เดี๋ยวผมไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะ”  แบคฮยอนชวนแขกคนหนึ่งเข้ามาในบ้านด้วยสภาพที่เปียกปอนด้วยน้ำฝน   

     

    คนที่มากดกริ่งหน้าบ้านมีดวงตาแดงก่ำตายังฉ่ำเหยิ้มไม่แน่ใจว่าสายฝนหรือร้องไห้กันแน่...  เห็นท่าไม่ดีเลยพามาในบ้าน
     

    “นี่ ทำไรอ่ะ”  ลู่หานที่เดินลงมาถึงข้างล่างก็เห็นหลังคนตัวเล็กวิ่งป๊าดเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาพร้อมผ้าขุนหนู

     

    “มีคนมากดออดหน้าบ้านนะ  หนาวตัวสั่นเลย”  ส่งยิ้มให้เสร็จกำลังจะเดินไปก็ต้องชะงักเพราะฝ่ามือใหญ่มาจับต้นแขนไว้

     

    “แล้วนายก็ให้เขาเข้ามาเนี่ยนะแบคฮยอน!  เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ  “เฮ้อ  จริงๆเลยฉันไปด้วย”

     

     

    “ลู่หาน?”  เสียงเล็กเรียกชื่อคนที่เดินทะเลาะกันมาเคียงข้างกันและกันด้วยรอยยิ้ม

     

    “คยองซู!?  มาอยู่นี่ได้ไง  แล้ว...ทำไมตัวเปียกงี้ล่ะ” 

     

    ลู่หานตกใจมากแทบช็อคเมื่อเห็นเพื่อนรักตัวเองนั่งตัวหนาวสั่นพับๆอยู่บนโซฟา  ปากเล็กซีดเซียวพร้อมเสียงสะอื่นก็แปรเปลี่ยนเป็นปล่อยโฮออกมา  รีบลุกพรวดวิ่งเข้ามากอดร่างสูงแน่นจนแบคฮยอนเหมือนโดนผลักแทบเซ  มือของอินทีเรียหนุ่มดึงผ้าขนหนูผืนเล็กไปคลุมล่างของเพื่อนตัวเล็กไว้

     

    “ฮึก  ระเรา  เราทำยังไงดีฮือ  ช่วยเราด้วยฮึก!  กอดรัดเพื่อนไว้แน่นแล้วระบายความอึดอัดออกมา  จนลืมไปเสียแล้วว่ายังมีคนๆหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง

     

     

     

    “เอ่อ...พวกนายรู้จักกันเหรอ...”  เสียงหวานเอ่ยถามตามระเบียบ  ทำให้สองสองคลายอ้อมกอดออกจากกัน  แล้วเป็นคยองซูเองที่พูดขึ้น

     

    “ใช่ครับ  ขอโทษที่เข้ามาโดยพละการนะครับ” ข่มเสียงสะอื้นไห้ไว้แล้วเบ้ปากต่อ  แบคฮยอนเห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ส่งยิ้มหวานกลับไปให้

     

    ดูเหมือนลู่หาน...จะดูแลคนนี้เป็นพิเศษดีจัง...

     

    ทั้งสองเพื่อนสนิทนั่งปลอบใจกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงอยู่บนโซฟา  โดยคยองซูได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นของลู่หานพร้อมแก้วน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว  หากแต่ว่าคนเศร้าก็ไม่เล่าอะไรให้ร่างสูงฟังอีกเลยนอกจากร้องไห้

     

    ทางด้านแบคฮยอนก็เคี้ยวน้ำสต็อกในการทำสปาเกตตี้แล้วลวกเส้นไว้เรียบร้อยแล้ว  แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้างแต่มันก็ออกมาอร่อยรสชาติดีมั่นใจจนทำเผื่อคยองซูไว้ด้วย  พลิกนาฬิกาก็ใกล้จะถึงเวลานัดเต็มทน

     

    “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ”

     

    “ไม่เป็นไรครับตามสบายเลยๆ  วันนี้เพื่อนผมจะมาเลยทำอาหารไว้เยอะเลย  คุณคยองซูก็ทานข้าวเที่ยงกับพวกเรานะครับ”  เอ่ยปากชวน  แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบ...

     

     

    ออด  ออด

     

    เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังระงมขึ้นมาอีกครั้งของวัน   ลู่หานหันขวับทันทีด้วยลางสังหรณ์บ่งบอกว่าใครคนนั้นกำลังมา...เพื่อนใหม่เจ้าหมาน้อยของเขา  คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อรอดูหน้าคนจะมาเป้นเพื่อนใหม่ร่างบางเสียหน่อย

     

    “เข้ามาเลยๆ  ดูสิเปียดหมดแล้ว”  แบคฮยอนรีบวิ่งเข้าไปหยิบผ้ามาให้คนตัวสูงที่ยังคงยื่นยิ้มแป้นไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนสักนิดในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ

     

     

    “ขอรบกวนหน่อยนะครับ” 

     

    เพล้ง!

     

    เสียงแก้วกระเบื้องหล่นกระทบพื้นไม้อย่างแรงจนแตกเพล้ง  มือไม้คยองซูอ่อนยวบลงทันทีเมื่อเห็นว่าใครคนนั้นที่ปฏิเสธนัดเขาด้วยเหตุผลที่ไม่ว่างมีประชุม...กำลังยืนยิ้มแป้นให้กับเจ้าของบ้านคนนั้น  วินาทีแรกความตกใจของโลกกลม  แต่พอต่อมาก็รู้สึกโกรธจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่...

     

    ทุกคนในบ้านรีบหันมามองกันเป็นจุดเดียวกัน...

     

    ก็คงมีเพียงแบคฮยอนเท่านั้นที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรเลยสักนิด...ราวกับพื้นที่ของตัวเองเริ่มหดเล็กลงเรื่อยๆ

     

     


     

     

    “ชานยอล”
     

    100%

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    ผีเสื้อนับสิบพันตัว
    อยากเชื่อว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวเอง

    โง้ยยน  สนุกมั้ยพวกเธอววว  มีอะไรก็ติชมมาได้ทางช่องทางด้านล่างนี้เลยน้า
    อยากทอร์คจังแต่เดี๋ยวยกยอดไปไว้ตอนหน้าเนอะ อิอิ



    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy

     

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×