ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ exo ] 。 take me home ♡ { lubaek } ending

    ลำดับตอนที่ #13 : - take me home : chapters - 012 { 100% }

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 57






     

    - You -


     

    chapters – 012

     

     

    “นี่...”  เสียงเรียกแหบห้าวจากด้านหลังไม่หยุด  ไหนจะนิ้วเขี่ยแผ่นหลังสะกิดยิกๆนั่นอีก  ทำเอาคนตัวเล็กต้องยอมตื่นแล้วพลิกตัวหันหน้ามาหาคนก่อกวนด้วยความรำคาญ  เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาดิจิตอลหน้าปัดเรืองแสงบนหัวเตียงฝั่งลู่หานก็ต้องเบ้หน้า


     

    ตีสองไอ้...         
                     

     

    “อะไรคุณ...นอนไม่หลับเหรอ...”  แบคฮยอนพยายามลืมตาให้กว้างแล้วจ้องมองคนตัวโตในความมืดให้ชัดเจน  เสียงหวานสั่นพร่าเล็กน้อยเพราะความอ่อนเพลียยามตื่นกลางดึก


     

    “เออดิวะ”  ตอบเต็มเสียงอย่างหัวเสีย  อยู่ดีๆเขาก็นอนไม่หลับเสียอย่างนั้น  ยิ่งคนตัวเล็กหันหลังให้แล้วมันโหวงๆ


     

    “หื้อ?  เหรอ...”  คนตัวเล็กจ้องมองดวงตากวางประกายในความมืดต้องแสงไฟสลัว 


     

    ทั้งคู่ต่างจดจ้องดวงตาของทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรเพิ่ม  สำรวจใบหน้าในความมืดกันเงียบๆราวกับรู้แกวกันแบคฮยอนตาสว่างแล้วตอนนี้แม้จะยังมีอาการปวดหัวอยู่นิดหน่อย  ดวงตาเรียวขมวดย่นเพราะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเงียบ


     

    “อื้อ  นอนเถอะ...”  มือหนาเอื้อมไปแตะลงบนกลุ่มผมนิ่มสีดำสนิทแล้วค่อยๆลูบอย่างอ่อนโยนคล้ายกล่อมให้หลับ 


     

    คนตัวเล็กยิ้มตาหยีก่อนจะพลิกตัวกลับไปนอนแบบเดิม  หากแต่อยู่ๆคนตัวโตก็คว้าต้นแขนหมับดึงให้หันมานอนให้ท่าเมื่อครู่ 


     

    “ทำบ้าไรเนี่ย  ไหนว่าจะให้นอนตกลงจะกวนประสาตกันใช่มั้ย”  แบคฮยอนชักสีหน้าจิปากขัดใจ  ลุกพรวดขึ้นพรึบแล้วกดเปิดสวิตช์ไฟอีกฝั่งที่ตั้งโคมไฟเอาไว้  “งั้นผมไปนอนห้องตัวเองล่ะ”

     

    “เปล่าเว้ย  นอนได้แต่อย่านอนหันหลังได้ป่ะวะ...”  น้ำเสียงโอนเอนก่อนจะดึงรางบางเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น  “นอนแบบนี้อุ่นดี...หนาวแอร์ชิบหาย”



     

    เหรอ?  ทำไมผมเหมือนโดนแต๊ะอั๋ง  เออช่างเถอะ...ง่วงละ



     

    “หอม...ใช้อะไรทำไมหอมหื้ม?”   เสียงกระซิบแหบพร่าข้างหูละมุนอบอุ่นดวงใจน้อยๆของคนตัวเล็ก...ซึมซับจนฝันดี











     

    “ฮื่อ!”  เสียงอื้ออึงในลำคอของว่าที่นักเขียนนิยายรักโรแมนติกดังงุงิอยู่บริเวณหน้าโต๊ะคอมฯ  ร่างบางยกฝ่ามือเล็กของตัวเองปิดใบหน้ากลมสีแดงระเรื่อราวกับแต่งแต้มสีมะเขือเทศไว้สองข้างของแก้มด้วยความเขินอาย


     

                จะไม่ให้เขินได้ยังไงเล่า...ก็นึกแล้วมันเขินนี่นา  จั๊กจี้ที่คอแปลกๆ


     

                พอคิดได้ถึงจุดนี้สัญชาตญาณเลือดนักเขียนก็พุ่งฉีด  เขียนฉากหวานแสนโรแมนติกใส่ลงไปพร้อมทั้งบรรยายตามความรู้สึกแบบลืมตัว...


     

                อ่า  พระเอกจู่จี้ขี้บ่น  แต่ก็ปากร้ายใจดี...งื้อคิดอะไรเนี่ย



     

                นึกแล้วแบคฮยอนก็กลับมาส่ายหน้าไปมาแล้วหุบยิ้มไม่ได้เพราะใบหน้าใครบางคนลอยแว้บเข้ามา  คว่ำหน้าลงแนบแก้มกับโต๊ะไม้แล้วยกนิ้มเรียวยาวสวยขึ้นมาเขี่ยเขียนสะเปะสะปะไปมา  โดยไม่รู้เลยว่ามีใครยืนมองการกระทำบ้าบอของตัวเองอยู่ใกล้ๆ 










     

                “เป็นบ้าอะไรวะ”  เสียงทุ้มดังมาจากทางด้านหลัง  คนตัวเล็กหันขวับก่อนจะหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกคราอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อสายตาพลันสบเข้ากับดวงตากวางทอประกายนั่น  หลบพรึบแล้วไอกระแอม







     

                “ปะ  เปล่า”  ตอบตะกุกตะกักแล้วหันกลับไปกดแป้นพิมพ์มั่วๆต่อ


     

                ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นพลางไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก  เพราะตามปกติทุกวันที่อยู่ด้วยกันแบค ฮยอนก็ทำตัวแปลกประหลาดไม่ซ้ำกันเป็นเดิมทุน  ร่างสูงส่ายหน้าจิปากแล้วเดินไปใส่นั่งสำรวจเอกสารพร้อมกระเป๋าพลาสติกใส่แบบสีดำสนิทหนึ่งใบ  ยกออกมาดูงานว่าจะเสนออะไรบ้างเรียงตามลำดับอย่างเรียบร้อย


     

                แบคฮยอนเห็นอีกคนทำอะไรกุกกักดังมาจากข้างหลังเลยหันไปดู  พบรูปภาพสเก็ตลายเส้นดินสอหยาบๆกับสะอาดสองสามแบบเป็นภายในบ้านห้องต่างๆ  ข้างๆกันมีชาร์ตแถบสีพร้อมเนื้อผ้ากับลายวอลเปเปอร์สีสวยรวมถึงภาพวิวที่ดูเข้ากันอย่างลงด้วยใส่ในมูดบอร์ดแผ่นใหญ่












     

                “มองร่ะ”  น้ำเสียงกวนประสาตถูกส่งมาโดยเจ้าของเสียงไม่คิดจะหันหน้ามามอง  ตั้งใจเก็บของใส่กระเป๋าของเดียว


     

                “เปล่ามอง”  ร่างบางเบ้ปากตีหน้ายุ่งใส่คนอายุมากกว่าก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้ร่างสูงมีนัดกับลูกค้าข้างนอก  “จะไปทำงานแล้วเหรอ”


     

                “อื้อ  เดี๋ยวรีบไป”  คนตัวโตบอกพร้อมลุกขึ้นยืนก่อนหันไปยักคิ้วยิ้มกรุ่มกริ่ม 


     

                “อะไรคุณ  จะหาเรื่องหรอฮะยิ้มแบบนั้นอ่ะ”  คนตัวเล็กถาม


     

                “เปล่า...”  เม้มปากครุ่นคิดระหว่างเดินออกไปใส่รองเท้าโดยมีแบคฮยอนตามมาส่งติดๆ 


     

    ขืนไม่บอกคนตัวเล็กของเขาคงไม่รู้ตัวแน่ๆ...ยิ่งเอ๋ออยู่ 



     

    “ขับรถดีๆน้า  ซื้อขนมฝากด้วย  ผมจะรอกินข้าวเย็น”  มือเล็กถูกส่งขึ้นโบกมือล่ำลาส่งร่างสูงไปทำงาน  แต่แล้วลู่หานก็เงยหน้าขึ้นมาจองใบหน้าหวานแนบรอยยิ้มสดใส


     

    “เอ่อ  บนโต๊ะกินข้าวน่ะเห็นแล้วก็มาให้ตรงเวลาเข้าใจมั้ย  อย่าเบี้ยวล่ะ  ไปไม่ถูกก็โทรมารู้มั้ย”  จู่ๆอินทีเรียหนุ่มก็ฉีกยิ้มกว้าง  พูดจาชวนสับสนก่อนจะยกมือมาลูบหัวกลมๆคล้ายเอ็นดู  “ไปแล้วครับ  บาย”


     

    “ฮะ...”  อะไรนะ?



     

    ทิ้งไว้เพียงความฉงนงุนงงให้กับคนตัวเล็กที่เผลอยกมือลูบผมตัวเองทับรอยเมื่อครู่แล้วรีบวิ่งไปยังโต๊ะกินข้าวให้ครัวทันที  ดวงตาเรียวโฟกัสแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกแก้วน้ำวางทับไว้กันลมพัดปลิว  นิ้วเรียวกรีดกรายไล่อ่านตัวอักษร


     

    สวนสนุกรอบบ่ายโมงถึงเที่ยงคืน

     


    30%



     

    ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เก็บผ้ามาใส่ตะกร้าหลังจากตากกลางแดดไว้จนแห้ง  เหลือพับแล้วก็รีดเสื้อผ้ากองนี้ให้เสร็จแล้วจะไปอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน  สองแขนยกตะกร้าผ้าเดินกระเตงกันมาถึงโซฟาตัวกว้าง  เก็บหัวพนักพิงลงแล้วต่อยาวไว้เทผ้ากองโตมาพับ  จัดการเก็บตัวที่ต้องรีดต่างหากอีกที



     

    ตอนนี้เขาใช้ชีวิตคล้ายพ่อบ้านมาได้สักระยะหนึ่งจนคิดว่ามันกลายเป็นนิสัยไปเสียแหละ  แต่ก่อนเคยมีคนบ้ามายืนจ้ำจี้จ้ำไชก็เปลี่ยนเป็นคิดเองได้ทำเองได้ว่าวันนี้เขาจะทำอะไรเมื่อไร  จากที่นอนดึกโต้รุ่งจากการพิมพ์นิยายทุกคืนก็กลายเป็นบางวันขึ้นไปนอนบนห้องแบบคนปกติเขาทำกัน  ก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันดี  เหนื่อยมากขึ้นแต่ก็มีของกินตลอดเวลาไม่อดยากอะไร  ค่าไฟค่าน้ำค่าเน็ตลู่หานจัดการเองหมดในส่วนนั้น



     

    บางทีก็...รู้สึกว่าแปลกๆเนอะว่ามั้ย?









     

    พับผ้าอะไรเสร็จเรียบร้อยก็อาบน้ำก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กมาที่โต๊ะคอมฯ  เหลือบมองเวลาดูว่ากี่โมงแล้ว


     

    โอเค  ยังทัน


     

    แบคฮยอนจัดการปริ้นข้อมูลที่เซฟหน้าเก็บไว้ออกมาเสร็จแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องครัว  คว้าแม่เหล็กที่ติดแนบตู้เย็นรูปกวางมาแปะทับกระดาษ  ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อยไล่อ่านข้อความแล้วหันไปมองวัสดุบนเค้าเตอร์หยิบวัตถุดิบออกมาทำตามขั้นตอน  ร่างบางไปเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับข้าวกล่องปิคนิคมาว่ามีแบบไหนง่ายๆเหมาะกับเวลาน้อยได้บ้าง  ได้ความว่าคิมบับกับไก่ทอดมะเขือเทศลูกเล็กตกแต่ง  แต่เขาคงเหลือแค่คิมบับกับไข่หวานแทน...


     

    ใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จใส่กล่องลายพื้นสีน้ำตาลกับสีฟ้าคือข้าวเย็น  ถัดมาเป็นกล่องผลไม้สีขาว  เป็นกล่องของมารดาซื้อมาไว้ปิคนิคแบบครอบครัวกันเวลาออกไปนั่งรถเล่นหรือเปลี่ยนบรรยากาศไปทานริมทะเลสาบ  ตอนนี้ลู่หานก็ได้ย่างก่ายเข้ามาเป็นคนในครอบครัวแล้ว...เขาจะทำแบบแม่มั่ง


     

    “หื้อ  เหลืออีกครึ่งชั่วโมง!”  คนตัวเล็กอุทานขึ้นหลังจากมัวแต่ปอกเปลือกลูกสาลี่ด้วยมีดธรรมดาเพราะหามีดปอกผลไม้ไม่เจอ  เสียเลือดไปนิดๆหน่อยไม่เป็นไร...


     

    รีบออกจากบ้านทันทีไม่ลืมหยิบกล่องข้าวใส่ถุงผ้ามาด้วย  สองขาไร้เรี่ยวแรงเมื่อขึ้นรถเมล์มาลงสถานีรถไฟใต้ดินในเมือง   เหนื่อยหอบเสียจนหายใจไม่ทันหากแต่ในใจมันกลับตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้มาสวนสนุกครั้งแรกในชีวิต 













     

    เหมือนอุปสรรควันนี้ไม่ค่อยจะมีเสียเท่าไรเมื่อมาถึงสวนสนุกได้ตรงต่อเวลาพอดี  แบคฮยอนเลือกที่จะยืนรออยู่ด้านนอกแล้วโทรศัพท์หาที่นัดหมายกับลู่หานก่อน  รอสายอยู่นานก็ไม่มีใครรับจนกระทั่งมันตัดสายไป


     

    เอ๋...ติดลูกค้าอยู่ล่ะมั้ง


     

    พอคิดอย่างนั้นก็เลยเดินมานั่งรอตรงเก้าอี้  มองผู้คนเดินผ่านไปมาเข้าไปในตัวสวนสนุกลอตเต้สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย  เงยหน้ามองนาฬิกาสลับกับนาฬิกาข้อมือไปพลาง  คิ้วบางเริ่มขมวดเข้ามากันจำได้ว่าลู่หานเขียนบอกบ่ายสอง...แต่นี่มันจะบ่ายสาม  สงสัยคงจำเวลาผิดล่ะมั้งเรา


     

    และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาสี่โมงเย็น  แบคฮยอนนั่งไม่ติดตั้งแต่ชั่วโมงครึ่งแล้วยิ่งหงุดหงิดโมโหเพราะโทรติดต่อหาร่างสูงไม่ได้  ปากเรียวเม้มเข้าอย่างช่างใจว่าหรือจะเข้าไปแล้วกัน...แต่ก็ไม่เห็นโทรหาเลยนิ  ย้ำหนักว่าห้ามเบี้ยวแท้ๆ...


     

    หวังว่าจะไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยายนะ

     

    ผมไม่ต้องรอคุณอีกใช่มั้ยครับ...ผมรอเก่งนะ  บ้าเอ่ยคิดว่าละครรึไงกัน...คงไม่มั้ง...

     





     

     

    ผ่านไปสองชั่วโมงไร้วี่แววคนที่นัดแนะกันอย่างดี  จนในที่สุดแบคฮยอนก็อดรนทนไม่ไหวรีบไปถามเค้าเตอร์ว่ามีคนแบบในรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ตัวเองผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ย   ผลตอบรับกลับมาคือไม่เห็นเลยหรืออาจจะคาดสายตาเพราะวันนี้คนเยอะมากมีทัวร์มาลงหกโรงเรียนมัธยมยันประถม  สาวพนักงานคนหนึ่งบอกว่าอาจจะเข้าไปข้างในแล้วก็ได้...


     

    ทำให้คนตัวเล็กฉีกบัตรแล้วเดินร้อนรนเข้ามาด้านใน  ใจคอเริ่มรู้สึกไม่ดีกลัวว่าอีกคนจะเกิดอะไรขึ้น  ลู่หานคนใจร้อนบางทีหากงานไม่ผ่านอาจจะเครียดอยู่ก็ได้...


     

    “โอ๊ะ  ขอโทษครับ”  ร่างบางก้มหัวขอโทษเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายคนหนึ่งที่เขาเผลอเดินไปชน   เพราะมัวแต่มองหาคนตัวโตอยู่


     

    “ไม่เป็นไรครับ”  เด็กผู้ชายบอกปัดๆก่อนเดินกอดคอเพื่อนหายลับไปในฝูงชน...



     

    ทำไงดี  คุณลู่หานอยู่ไหนครับ...


     

    ผมควรทำยังไงดี










     

    เดินวนจนทั่วสวนสนุกแต่ก็ไม่พบคนที่คับคล้ายอินทีเรียหนุ่มเลยสักนิด  แบคฮยอนได้แต่เดินวนราวกับคนบ้าไร้สติ  น้ำตาเริ่มพาลจะไหลออกมาเสียดื้อๆ  เขาไม่ชินกับผู้คนมากมายขนาดนี้  เขาไม่ชินกับการอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้...เป็นห่วง  เป็นห่วงจนจุกอกอยู่แล้ว


     

    นิ้วเร็วยังคงกดโทรศัพท์เครื่องมือสื่อสารของตัวเองเป็นระวิง  อาหารที่เตรียมมาเย็นจนชืดคนตัวเล็กกลับไม่สนใจจุดนั้น  แวะพักโทรศัพท์หาแถวร้านอาหารจุดที่เงียบที่สุด...แต่กลับได้คำตอบเดิมๆ



     

    ไม่มีคนรับ


     

    ฮึก  ที่บอกว่ารอเก่งเนี่ย...ผมพูดจริงนะ 


     

                ปากบางเริ่มสั่นระริกอดความกังวลหวาดกลัวจนรู้สึกวูบวาบปวดหนึบในหัว  เดินสะเปะสะปะหาคนหายด้วยใจหวังว่าจะเจอ  ครั้นจะออกไปดูข้างนอกก็ไม่ได้เพราะจะไม่สามารถเข้ามาด้านในได้อีก  ชะเง้อส่องด้านนอกก็แล้วไม่เห็นใครสักคน 



     

    เวลาผ่านไปนานจนท้องฟ้าก็มืดลงจนสวนสนุกส่วนนอกปิดทำการเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงขบวนพาเรดกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  หัวใจสูบฉีดเลือดจนวูบโหวง  มันจี๊ดจนรู้สึกทรมาน...น้ำใสปริ่มขอบตา  มันจุกจนร้องไห้ไม่ออกทำให้ได้เพียงสูดลมหายใจกลั้นสะอื้นลูกโตในลำคอเหนียวหนืด



     

                ทั้งโมโห  ทั้งโกรธ  ทั้งเป็นห่วง  ทั้งเสียใจ  ทั้งสบสนวุ่นวายไปหมดจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว!


     

                 “คุณ...ผมกลับแล้วนะ”  พูดกรอกใส่ระบบฝากข้อความเสียงก่อนจะกดปิดเครื่องแล้วเดินออกมาจากสวนสนุก...



     

                 ร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มแล้วระบายมันออกมาหลายต่อหลายครั้ง  กระพริบตาปริบๆควบคุมน้ำใสให้ระเรื่อ  เดินทอดน่องเหม่อลอยไปตลอดทาง...หนทางที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะจบลงที่ไหน  ขาเพียงแค่อยากเดินไปเรื่อยๆ  แล้วลืมทำใจให้สบาย...





     

                ทุกอย่างมัน...จะดีขึ้นเองใช่มั้ย?


                ใช่มันจะเป็นแบบนั้น...

     


    50%

                ซ่า

     

                ทำไม...ฝนมักตกในเวลาที่เรากำลังเศร้า  ผมหนาวจังคุณพ่อครับคุณแม่ครับ...แบคฮยอนอ่อนแออีกแล้ว...
     















     

    “งั้นลองแบบนี้มั้ยครับ  คือตัวบ้านเป็นทรงมนดังนั้นผมว่าโต๊ะเหลี่ยมตัวที่คุณซูจีต้องการมันสวย  แต่ไม่เข้าพวก  ผมเลยเอาตัวอย่างมาให้ดูครับลองวางดูก่อนว่าจะได้อารมณ์คนละเรื่องกับเมื่อครู่”  เสียงอินทีเรียหนุ่มกำลังใช้วิชาโน้มน้าวลูกค้าเพื่อให้ซื้อโต๊ะกลมสีขาวตัวใหญ่เอาไปไว้กลางห้องอาหาร


     

    ลู่หานเสนองานใกล้เสร็จ  หากหญิงสาวกับชายหนุ่มตรงหน้าตัดสินใจเลือกตามแบบที่วางไว้ก็ถือว่าเป็นอันตกลงจะได้สั่งของมาลงไว้แล้วอาทิตย์หน้าก็นัดกับช่างมาเริ่มทำตั้งแต่ห้องนั่งเล่นยันห้องนอนได้เลย  ดวงตาคมจ้องมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ


     

    อีกครึ่งชั่วโมงก็ทัน  ถ้าเขาไม่โอเคก็คงเลทนิดหน่อยคนตัวเล็กคงไม่ว่ากันเดี๋ยวค่อยโทรบอก

     

    “ผมว่าแบบนี้ก็ดูนะคุณ” ร่างสูงของลูกค้าฝ่ายชายพยักหน้าเห็นด้วย  ส่วนฝ่ายหญิงเองก็เห็นด้วยตามสามีของเธอแล้วเน้นย้ำเรื่องวอลเปเปอร์ห้องครัวอยากได้แบบสว่างหน่อย



     

    “โอเคครับ  งั้นอาทิตย์หน้าได้ของแล้วผมจะเข้ามาอีกครั้งนะครับ”  ลู่หานเก็บแปลนงานลงใส่กระเป๋าก้มมองเวลาก็เห็นว่ามันส่ายไปครึ่งชั่วโมงแล้ว 



     

    ชิบหายยยย!






     

    ร่างสูงวิ่งตรงดิ่งขึ้นรถออดี้สีดำคันงามของตัวเอง  วางของทุกอย่างไว้หลังรถแล้วกดค้นหาเบอร์คนตัวเล็กเพื่อโทรหา  หากแต่จังหวะนั้นก็มีสายเข้ามาแทรกพอดีทำให้ต้องละมือแล้วสไลด์หน้าจอด้วยความรีบโดยไม่ทันดูเบอร์  ยกแนบหูแล้วปลดล็อครถก่อนสตาร์ท...เสียงกุกกักทำให้ร่างสูงฉงนแล้วดูเบอร์


     

    คยองซู...


     

    “ฮัลโหล  คยองได้ยินมั้ย”  พูดเสียงปกติควานหาหูฟังแล้วเสียบเข้ากับตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่



     

    ...



     

    “เฮ้ย  เป็นอะไรนี่หลับแล้วเผลอกดโทรมาเปล่าเนี่ย”  เมื่อปลายสายเงียบเลยเอ่ยแซว



     

    เปล่า...ฮึก  ลู่หาน...ฮื่อออ  ฉันเหมือน...กำลังจะตาย  ฮึก’ 







     

    เอี๊ยด!



     

    เสียงล้อเบียดพื้นถนนจากการเบรกกะทันหัน  ลู่หานชักสีหน้าขึ้นมาทันที


     

    “พูดใหม่สินายเป็นอะไรคยองซู”


     

    ฮึก  มาหาฉันที  ได้โปรด...ฮื่อออ


     

    เท่านั้นแหละ  คำขอของเพื่อนตัวเล็กขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งทันที  ด้วยความเป็นห่วงก็รีบขับรถตามจีพีเอสของเพื่อนตาโตไปยังบ้านที่อยู่อาศัยของคยองซูนั่นเอง  ยอมรับเลยว่าตกใจมากเมื่อคำว่าตายหลุดออกจากปากกระจับแทบจะฝ่าไฟแดงตอนนี้อารมณืขุ่นมัวมาก  เป็นห่วงเพื่อนตัวเล็กมากที่สุด




     

    “อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคยองซู...รอฉันนิดนึง” 


    70%




                “คยองซูล่ะครับ”  ประโยคแรกพูดขึ้นหลังจากอินทีเรียหนุ่มจอดรถแล้ววิ่งพรวดพราดเข้ามาให้บ้านหลังใหญ่



     

    หญิงสาววัยกลางคนรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นย่างกรายเข้ามาให้ห้องรับแขกพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทลูกชาย



     

    “อยู่บนห้องจ้ะ  ลูกคนนี้เมาแล้วอาละวาดนี่คงโทรหาเราแล้วร้องไห้ใส่ใช่มั้ย”  คนถามจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน  และก็เหมือนจะรู้ใจคนสีหน้าคงกังวลไม่คลาย  “ไปหาสิ  อยู่ข้างบนร้องห่มร้องไห้อย่างกับคนอกหัก  ถามอะไรก็ไม่ตอบ”




     

    “ขอรบกวนด้วยนะครับ”  พูดจบก็เดินไปยังห้องนอนของเพื่อนสนิทอย่างคุ้นเคย...












     

     

    ถือว่ายังโชคดีที่ฝนไม่โหมตกกระหน่ำกันลงมาพร้อมสายฟ้าผ่าเปรี๊ยง  แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักพอสมควรหากตากมันนานๆ  ร่างบางวิ่งระหกระเหินเข้าไปหลับในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้กัน  เนื้อตัวเปียกปอนเริ่มสั่นเพราะอากาศข้างนอกหนาวขึ้น  เสื้อยืดแนบลำตัวทำให้อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ  ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกหากจะให้กลับตอนนี้สมองมันก็ตื๊อหัวหนักอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก


     

    “หนาวชิบ...”  บ่นพึมพำแล้วนั่งยองๆกอดถุงผ้าใส่กล่องข้าวที่เย็นชืด  ลูบแขนปอยๆลดความหนาวเย็นไป  ท้องไส้ก็เริ่มร้องเพราะยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เที่ยงบวกกับวิ่งวุ่นทั้งวัน


     

    ถ้าถามว่าแบคฮยอนโกรธมั้ยคงไม่รู้เพราะอารมณ์ก่ำกึ่ง  ร่างบางนั้นอยากจะต่อยปากชกหน้าหงายหรือจะปล่อยโฮร้องไห้จนมันออกมาเป็นสายเลือด...แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเขารู้สึกว่ามันเหนื่อย  มันจุกอกพูดไม่ออก


     

    ครืด  ครืด


     

    เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ในถุงผ้าเรียกให้คนท้องร้องโครกครากหันมาสนใจ  มือเรียวสวยควานหาไปมาสักพักแล้วหยิบขึ้นมาดูเบอร์ที่โทรเข้าหวังเหลือเกินว่าจะเป็นคนที่คิด  แต่เปล่าเลย...


     

    ชานยอล


     

    นิ้วเรียวกดปุ่มรับสายจากเครื่องมือสื่อสารรุ่นเก่า 


     

    “ฮัลโหลชานยอล”  เสียงใสสั่นเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากกระจับสวยเปล่งคำทักทายออกมาด้วยความหนาว


     

    แบคอยู่ไหนครับ  ทำไมเสียงดังจังข้างนอกเหรอ?’  ปลายสายรู้สึกฉงนเพราะเสียงดังแทรกเข้ามาจนแทบไม่ได้ยินเสียงแบคฮยอน


     

    “ใช่เลย  ชานยอลได้ยินเสียงเราชัดมั้ย”


     

    ไม่ชัดเท่าไรแฮะ  ว่าแต่ไปทำอะไรข้างนอกเหรอครับ  ดึกแล้วนะ’  เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ใช่ตามมารยาท 


     

    “อื้อ...ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำไม”  แบคฮยอนถอดมองสายตามองออกไปข้างนอกตู้โทรศัพท์...แล้วจู่ๆ   น้ำตามันก็พาลไหลออกมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว...รู้สึกว่าจุกแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้  ยกหลังมือขึ้นปาดลวกๆ



     

    ฮื้อ  เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า  อยู่คนเดียวเหรอแบคฮยอน’  ชานยอลรู้สึกใจคอไม่ดีเพราะว่าน้ำเสียงสั่นพร่านั่นมันก้องขึ้นมา 


     

    “ใช่เลย...เฮ้อเดี๋ยวฝนหยุดตกเราก็กลับแล้วล่ะ  แล้วชานยอลมีอะไรรึเปล่า”


     

    ฝนตก?  อยู่คนเดียว?  ตอนนี้นายอยู่ไหนอ่ะ’ 


     

    “...”  น้ำเสียงเป็นห่วงจากใจจริงส่งทอดมาถึงคนร่างเล็กที่นั่งกอดถุงผ้าแนบกับอกแน่น  เม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อปิดกลั้นท่อน้ำตาที่ไหล่ออกมาไม่หยุด  ยิ่งชานยอลพูดแบบนี้เขายิ่งอยากร้องไห้อย่างซาบซึ้ง



     

    ให้ไป...รับมั้ย’  ใจไปหาคนตัวเล็กเรียบร้อยแล้วเสียด้วยซ้ำตอนนี้  กลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ...






     

    “ขอบคุณมากชานยอล   เรารบกวนด้วยนะ...”

     

     

    100%

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    เมื่อไรที่คิดถึง
    ฉันก็แค่คิดถึงเธอเท่านั้นเอง
    อย่าสนใจฉันเลยได้โปรด



    ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก  #ฟิคกลับบ้าน
    พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็  @peepanggy


     

     
    thank you:)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×