คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : - take me home : chapters - 012 { 100% }
- You -
chapters – 012
“นี่...” เสียงเรียกแหบห้าวจากด้านหลังไม่หยุด ไหนจะนิ้วเขี่ยแผ่นหลังสะกิดยิกๆนั่นอีก ทำเอาคนตัวเล็กต้องยอมตื่นแล้วพลิกตัวหันหน้ามาหาคนก่อกวนด้วยความรำคาญ เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาดิจิตอลหน้าปัดเรืองแสงบนหัวเตียงฝั่งลู่หานก็ต้องเบ้หน้า
ตีสอง! ไอ้...
“อะไรคุณ...นอนไม่หลับเหรอ...” แบคฮยอนพยายามลืมตาให้กว้างแล้วจ้องมองคนตัวโตในความมืดให้ชัดเจน เสียงหวานสั่นพร่าเล็กน้อยเพราะความอ่อนเพลียยามตื่นกลางดึก
“เออดิวะ” ตอบเต็มเสียงอย่างหัวเสีย อยู่ดีๆเขาก็นอนไม่หลับเสียอย่างนั้น ยิ่งคนตัวเล็กหันหลังให้แล้วมันโหวงๆ
“หื้อ? เหรอ...” คนตัวเล็กจ้องมองดวงตากวางประกายในความมืดต้องแสงไฟสลัว
ทั้งคู่ต่างจดจ้องดวงตาของทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรเพิ่ม สำรวจใบหน้าในความมืดกันเงียบๆราวกับรู้แกวกันแบคฮยอนตาสว่างแล้วตอนนี้แม้จะยังมีอาการปวดหัวอยู่นิดหน่อย ดวงตาเรียวขมวดย่นเพราะหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเงียบ
“อื้อ นอนเถอะ...” มือหนาเอื้อมไปแตะลงบนกลุ่มผมนิ่มสีดำสนิทแล้วค่อยๆลูบอย่างอ่อนโยนคล้ายกล่อมให้หลับ
คนตัวเล็กยิ้มตาหยีก่อนจะพลิกตัวกลับไปนอนแบบเดิม หากแต่อยู่ๆคนตัวโตก็คว้าต้นแขนหมับดึงให้หันมานอนให้ท่าเมื่อครู่
“ทำบ้าไรเนี่ย ไหนว่าจะให้นอนตกลงจะกวนประสาตกันใช่มั้ย” แบคฮยอนชักสีหน้าจิปากขัดใจ ลุกพรวดขึ้นพรึบแล้วกดเปิดสวิตช์ไฟอีกฝั่งที่ตั้งโคมไฟเอาไว้ “งั้นผมไปนอนห้องตัวเองล่ะ”
“เปล่าเว้ย นอนได้แต่อย่านอนหันหลังได้ป่ะวะ...” น้ำเสียงโอนเอนก่อนจะดึงรางบางเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น “นอนแบบนี้อุ่นดี...หนาวแอร์ชิบหาย”
เหรอ? ทำไมผมเหมือนโดนแต๊ะอั๋ง เออช่างเถอะ...ง่วงละ
“หอม...ใช้อะไรทำไมหอมหื้ม?” เสียงกระซิบแหบพร่าข้างหูละมุนอบอุ่นดวงใจน้อยๆของคนตัวเล็ก...ซึมซับจนฝันดี
“ฮื่อ!” เสียงอื้ออึงในลำคอของว่าที่นักเขียนนิยายรักโรแมนติกดังงุงิอยู่บริเวณหน้าโต๊ะคอมฯ ร่างบางยกฝ่ามือเล็กของตัวเองปิดใบหน้ากลมสีแดงระเรื่อราวกับแต่งแต้มสีมะเขือเทศไว้สองข้างของแก้มด้วยความเขินอาย
จะไม่ให้เขินได้ยังไงเล่า...ก็นึกแล้วมันเขินนี่นา จั๊กจี้ที่คอแปลกๆ
พอคิดได้ถึงจุดนี้สัญชาตญาณเลือดนักเขียนก็พุ่งฉีด เขียนฉากหวานแสนโรแมนติกใส่ลงไปพร้อมทั้งบรรยายตามความรู้สึกแบบลืมตัว...
อ่า พระเอกจู่จี้ขี้บ่น แต่ก็ปากร้ายใจดี...งื้อคิดอะไรเนี่ย
นึกแล้วแบคฮยอนก็กลับมาส่ายหน้าไปมาแล้วหุบยิ้มไม่ได้เพราะใบหน้าใครบางคนลอยแว้บเข้ามา คว่ำหน้าลงแนบแก้มกับโต๊ะไม้แล้วยกนิ้มเรียวยาวสวยขึ้นมาเขี่ยเขียนสะเปะสะปะไปมา โดยไม่รู้เลยว่ามีใครยืนมองการกระทำบ้าบอของตัวเองอยู่ใกล้ๆ
“เป็นบ้าอะไรวะ” เสียงทุ้มดังมาจากทางด้านหลัง คนตัวเล็กหันขวับก่อนจะหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกคราอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อสายตาพลันสบเข้ากับดวงตากวางทอประกายนั่น หลบพรึบแล้วไอกระแอม
“ปะ เปล่า” ตอบตะกุกตะกักแล้วหันกลับไปกดแป้นพิมพ์มั่วๆต่อ
ลู่หานเลิกคิ้วขึ้นพลางไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะตามปกติทุกวันที่อยู่ด้วยกันแบค ฮยอนก็ทำตัวแปลกประหลาดไม่ซ้ำกันเป็นเดิมทุน ร่างสูงส่ายหน้าจิปากแล้วเดินไปใส่นั่งสำรวจเอกสารพร้อมกระเป๋าพลาสติกใส่แบบสีดำสนิทหนึ่งใบ ยกออกมาดูงานว่าจะเสนออะไรบ้างเรียงตามลำดับอย่างเรียบร้อย
แบคฮยอนเห็นอีกคนทำอะไรกุกกักดังมาจากข้างหลังเลยหันไปดู พบรูปภาพสเก็ตลายเส้นดินสอหยาบๆกับสะอาดสองสามแบบเป็นภายในบ้านห้องต่างๆ ข้างๆกันมีชาร์ตแถบสีพร้อมเนื้อผ้ากับลายวอลเปเปอร์สีสวยรวมถึงภาพวิวที่ดูเข้ากันอย่างลงด้วยใส่ในมูดบอร์ดแผ่นใหญ่
“มองร่ะ” น้ำเสียงกวนประสาตถูกส่งมาโดยเจ้าของเสียงไม่คิดจะหันหน้ามามอง ตั้งใจเก็บของใส่กระเป๋าของเดียว
“เปล่ามอง” ร่างบางเบ้ปากตีหน้ายุ่งใส่คนอายุมากกว่าก่อนจะนึกได้ว่าวันนี้ร่างสูงมีนัดกับลูกค้าข้างนอก “จะไปทำงานแล้วเหรอ”
“อื้อ เดี๋ยวรีบไป” คนตัวโตบอกพร้อมลุกขึ้นยืนก่อนหันไปยักคิ้วยิ้มกรุ่มกริ่ม
“อะไรคุณ จะหาเรื่องหรอฮะยิ้มแบบนั้นอ่ะ” คนตัวเล็กถาม
“เปล่า...” เม้มปากครุ่นคิดระหว่างเดินออกไปใส่รองเท้าโดยมีแบคฮยอนตามมาส่งติดๆ
ขืนไม่บอกคนตัวเล็กของเขาคงไม่รู้ตัวแน่ๆ...ยิ่งเอ๋ออยู่
“ขับรถดีๆน้า ซื้อขนมฝากด้วย ผมจะรอกินข้าวเย็น” มือเล็กถูกส่งขึ้นโบกมือล่ำลาส่งร่างสูงไปทำงาน แต่แล้วลู่หานก็เงยหน้าขึ้นมาจองใบหน้าหวานแนบรอยยิ้มสดใส
“เอ่อ บนโต๊ะกินข้าวน่ะเห็นแล้วก็มาให้ตรงเวลาเข้าใจมั้ย อย่าเบี้ยวล่ะ ไปไม่ถูกก็โทรมารู้มั้ย” จู่ๆอินทีเรียหนุ่มก็ฉีกยิ้มกว้าง พูดจาชวนสับสนก่อนจะยกมือมาลูบหัวกลมๆคล้ายเอ็นดู “ไปแล้วครับ บาย”
“ฮะ...” อะไรนะ?
ทิ้งไว้เพียงความฉงนงุนงงให้กับคนตัวเล็กที่เผลอยกมือลูบผมตัวเองทับรอยเมื่อครู่แล้วรีบวิ่งไปยังโต๊ะกินข้าวให้ครัวทันที ดวงตาเรียวโฟกัสแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ถูกแก้วน้ำวางทับไว้กันลมพัดปลิว นิ้วเรียวกรีดกรายไล่อ่านตัวอักษร
‘สวนสนุกรอบบ่ายโมงถึงเที่ยงคืน’
30%
ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เก็บผ้ามาใส่ตะกร้าหลังจากตากกลางแดดไว้จนแห้ง เหลือพับแล้วก็รีดเสื้อผ้ากองนี้ให้เสร็จแล้วจะไปอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน สองแขนยกตะกร้าผ้าเดินกระเตงกันมาถึงโซฟาตัวกว้าง เก็บหัวพนักพิงลงแล้วต่อยาวไว้เทผ้ากองโตมาพับ จัดการเก็บตัวที่ต้องรีดต่างหากอีกที
ตอนนี้เขาใช้ชีวิตคล้ายพ่อบ้านมาได้สักระยะหนึ่งจนคิดว่ามันกลายเป็นนิสัยไปเสียแหละ แต่ก่อนเคยมีคนบ้ามายืนจ้ำจี้จ้ำไชก็เปลี่ยนเป็นคิดเองได้ทำเองได้ว่าวันนี้เขาจะทำอะไรเมื่อไร จากที่นอนดึกโต้รุ่งจากการพิมพ์นิยายทุกคืนก็กลายเป็นบางวันขึ้นไปนอนบนห้องแบบคนปกติเขาทำกัน ก็ไม่รู้ว่าอันไหนมันดี เหนื่อยมากขึ้นแต่ก็มีของกินตลอดเวลาไม่อดยากอะไร ค่าไฟค่าน้ำค่าเน็ตลู่หานจัดการเองหมดในส่วนนั้น
บางทีก็...รู้สึกว่าแปลกๆเนอะว่ามั้ย?
พับผ้าอะไรเสร็จเรียบร้อยก็อาบน้ำก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กมาที่โต๊ะคอมฯ เหลือบมองเวลาดูว่ากี่โมงแล้ว
โอเค ยังทัน
แบคฮยอนจัดการปริ้นข้อมูลที่เซฟหน้าเก็บไว้ออกมาเสร็จแล้ววิ่งตรงไปที่ห้องครัว คว้าแม่เหล็กที่ติดแนบตู้เย็นรูปกวางมาแปะทับกระดาษ ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อยไล่อ่านข้อความแล้วหันไปมองวัสดุบนเค้าเตอร์หยิบวัตถุดิบออกมาทำตามขั้นตอน ร่างบางไปเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับข้าวกล่องปิคนิคมาว่ามีแบบไหนง่ายๆเหมาะกับเวลาน้อยได้บ้าง ได้ความว่าคิมบับกับไก่ทอดมะเขือเทศลูกเล็กตกแต่ง แต่เขาคงเหลือแค่คิมบับกับไข่หวานแทน...
ใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จใส่กล่องลายพื้นสีน้ำตาลกับสีฟ้าคือข้าวเย็น ถัดมาเป็นกล่องผลไม้สีขาว เป็นกล่องของมารดาซื้อมาไว้ปิคนิคแบบครอบครัวกันเวลาออกไปนั่งรถเล่นหรือเปลี่ยนบรรยากาศไปทานริมทะเลสาบ ตอนนี้ลู่หานก็ได้ย่างก่ายเข้ามาเป็นคนในครอบครัวแล้ว...เขาจะทำแบบแม่มั่ง
“หื้อ เหลืออีกครึ่งชั่วโมง!” คนตัวเล็กอุทานขึ้นหลังจากมัวแต่ปอกเปลือกลูกสาลี่ด้วยมีดธรรมดาเพราะหามีดปอกผลไม้ไม่เจอ เสียเลือดไปนิดๆหน่อยไม่เป็นไร...
รีบออกจากบ้านทันทีไม่ลืมหยิบกล่องข้าวใส่ถุงผ้ามาด้วย สองขาไร้เรี่ยวแรงเมื่อขึ้นรถเมล์มาลงสถานีรถไฟใต้ดินในเมือง เหนื่อยหอบเสียจนหายใจไม่ทันหากแต่ในใจมันกลับตื่นเต้นมากกว่าที่จะได้มาสวนสนุกครั้งแรกในชีวิต
เหมือนอุปสรรควันนี้ไม่ค่อยจะมีเสียเท่าไรเมื่อมาถึงสวนสนุกได้ตรงต่อเวลาพอดี แบคฮยอนเลือกที่จะยืนรออยู่ด้านนอกแล้วโทรศัพท์หาที่นัดหมายกับลู่หานก่อน รอสายอยู่นานก็ไม่มีใครรับจนกระทั่งมันตัดสายไป
เอ๋...ติดลูกค้าอยู่ล่ะมั้ง
พอคิดอย่างนั้นก็เลยเดินมานั่งรอตรงเก้าอี้ มองผู้คนเดินผ่านไปมาเข้าไปในตัวสวนสนุกลอตเต้สวนสนุกในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เงยหน้ามองนาฬิกาสลับกับนาฬิกาข้อมือไปพลาง คิ้วบางเริ่มขมวดเข้ามากันจำได้ว่าลู่หานเขียนบอกบ่ายสอง...แต่นี่มันจะบ่ายสาม สงสัยคงจำเวลาผิดล่ะมั้งเรา
และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาสี่โมงเย็น แบคฮยอนนั่งไม่ติดตั้งแต่ชั่วโมงครึ่งแล้วยิ่งหงุดหงิดโมโหเพราะโทรติดต่อหาร่างสูงไม่ได้ ปากเรียวเม้มเข้าอย่างช่างใจว่าหรือจะเข้าไปแล้วกัน...แต่ก็ไม่เห็นโทรหาเลยนิ ย้ำหนักว่าห้ามเบี้ยวแท้ๆ...
หวังว่าจะไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยายนะ
ผมไม่ต้องรอคุณอีกใช่มั้ยครับ...ผมรอเก่งนะ บ้าเอ่ยคิดว่าละครรึไงกัน...คงไม่มั้ง...
ผ่านไปสองชั่วโมงไร้วี่แววคนที่นัดแนะกันอย่างดี จนในที่สุดแบคฮยอนก็อดรนทนไม่ไหวรีบไปถามเค้าเตอร์ว่ามีคนแบบในรูปถ่ายสติ๊กเกอร์ตัวเองผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ย ผลตอบรับกลับมาคือไม่เห็นเลยหรืออาจจะคาดสายตาเพราะวันนี้คนเยอะมากมีทัวร์มาลงหกโรงเรียนมัธยมยันประถม สาวพนักงานคนหนึ่งบอกว่าอาจจะเข้าไปข้างในแล้วก็ได้...
ทำให้คนตัวเล็กฉีกบัตรแล้วเดินร้อนรนเข้ามาด้านใน ใจคอเริ่มรู้สึกไม่ดีกลัวว่าอีกคนจะเกิดอะไรขึ้น ลู่หานคนใจร้อนบางทีหากงานไม่ผ่านอาจจะเครียดอยู่ก็ได้...
“โอ๊ะ ขอโทษครับ” ร่างบางก้มหัวขอโทษเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายคนหนึ่งที่เขาเผลอเดินไปชน เพราะมัวแต่มองหาคนตัวโตอยู่
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กผู้ชายบอกปัดๆก่อนเดินกอดคอเพื่อนหายลับไปในฝูงชน...
ทำไงดี คุณลู่หานอยู่ไหนครับ...
ผมควรทำยังไงดี
เดินวนจนทั่วสวนสนุกแต่ก็ไม่พบคนที่คับคล้ายอินทีเรียหนุ่มเลยสักนิด แบคฮยอนได้แต่เดินวนราวกับคนบ้าไร้สติ น้ำตาเริ่มพาลจะไหลออกมาเสียดื้อๆ เขาไม่ชินกับผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาไม่ชินกับการอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้...เป็นห่วง เป็นห่วงจนจุกอกอยู่แล้ว
นิ้วเร็วยังคงกดโทรศัพท์เครื่องมือสื่อสารของตัวเองเป็นระวิง อาหารที่เตรียมมาเย็นจนชืดคนตัวเล็กกลับไม่สนใจจุดนั้น แวะพักโทรศัพท์หาแถวร้านอาหารจุดที่เงียบที่สุด...แต่กลับได้คำตอบเดิมๆ
ไม่มีคนรับ
ฮึก ที่บอกว่ารอเก่งเนี่ย...ผมพูดจริงนะ
ปากบางเริ่มสั่นระริกอดความกังวลหวาดกลัวจนรู้สึกวูบวาบปวดหนึบในหัว เดินสะเปะสะปะหาคนหายด้วยใจหวังว่าจะเจอ ครั้นจะออกไปดูข้างนอกก็ไม่ได้เพราะจะไม่สามารถเข้ามาด้านในได้อีก ชะเง้อส่องด้านนอกก็แล้วไม่เห็นใครสักคน
เวลาผ่านไปนานจนท้องฟ้าก็มืดลงจนสวนสนุกส่วนนอกปิดทำการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงขบวนพาเรดกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หัวใจสูบฉีดเลือดจนวูบโหวง มันจี๊ดจนรู้สึกทรมาน...น้ำใสปริ่มขอบตา มันจุกจนร้องไห้ไม่ออกทำให้ได้เพียงสูดลมหายใจกลั้นสะอื้นลูกโตในลำคอเหนียวหนืด
ทั้งโมโห ทั้งโกรธ ทั้งเป็นห่วง ทั้งเสียใจ ทั้งสบสนวุ่นวายไปหมดจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว!
“คุณ...ผมกลับแล้วนะ” พูดกรอกใส่ระบบฝากข้อความเสียงก่อนจะกดปิดเครื่องแล้วเดินออกมาจากสวนสนุก...
ร่างบางสูดลมหายใจเข้าปอดจนเต็มแล้วระบายมันออกมาหลายต่อหลายครั้ง กระพริบตาปริบๆควบคุมน้ำใสให้ระเรื่อ เดินทอดน่องเหม่อลอยไปตลอดทาง...หนทางที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะจบลงที่ไหน ขาเพียงแค่อยากเดินไปเรื่อยๆ แล้วลืมทำใจให้สบาย...
ทุกอย่างมัน...จะดีขึ้นเองใช่มั้ย?
ใช่มันจะเป็นแบบนั้น...
50%
ซ่า
ทำไม...ฝนมักตกในเวลาที่เรากำลังเศร้า ผมหนาวจังคุณพ่อครับคุณแม่ครับ...แบคฮยอนอ่อนแออีกแล้ว...
“งั้นลองแบบนี้มั้ยครับ คือตัวบ้านเป็นทรงมนดังนั้นผมว่าโต๊ะเหลี่ยมตัวที่คุณซูจีต้องการมันสวย แต่ไม่เข้าพวก ผมเลยเอาตัวอย่างมาให้ดูครับลองวางดูก่อนว่าจะได้อารมณ์คนละเรื่องกับเมื่อครู่” เสียงอินทีเรียหนุ่มกำลังใช้วิชาโน้มน้าวลูกค้าเพื่อให้ซื้อโต๊ะกลมสีขาวตัวใหญ่เอาไปไว้กลางห้องอาหาร
ลู่หานเสนองานใกล้เสร็จ หากหญิงสาวกับชายหนุ่มตรงหน้าตัดสินใจเลือกตามแบบที่วางไว้ก็ถือว่าเป็นอันตกลงจะได้สั่งของมาลงไว้แล้วอาทิตย์หน้าก็นัดกับช่างมาเริ่มทำตั้งแต่ห้องนั่งเล่นยันห้องนอนได้เลย ดวงตาคมจ้องมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ
อีกครึ่งชั่วโมงก็ทัน ถ้าเขาไม่โอเคก็คงเลทนิดหน่อยคนตัวเล็กคงไม่ว่ากันเดี๋ยวค่อยโทรบอก
“ผมว่าแบบนี้ก็ดูนะคุณ” ร่างสูงของลูกค้าฝ่ายชายพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนฝ่ายหญิงเองก็เห็นด้วยตามสามีของเธอแล้วเน้นย้ำเรื่องวอลเปเปอร์ห้องครัวอยากได้แบบสว่างหน่อย
“โอเคครับ งั้นอาทิตย์หน้าได้ของแล้วผมจะเข้ามาอีกครั้งนะครับ” ลู่หานเก็บแปลนงานลงใส่กระเป๋าก้มมองเวลาก็เห็นว่ามันส่ายไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ชิบหายยยย!
ร่างสูงวิ่งตรงดิ่งขึ้นรถออดี้สีดำคันงามของตัวเอง วางของทุกอย่างไว้หลังรถแล้วกดค้นหาเบอร์คนตัวเล็กเพื่อโทรหา หากแต่จังหวะนั้นก็มีสายเข้ามาแทรกพอดีทำให้ต้องละมือแล้วสไลด์หน้าจอด้วยความรีบโดยไม่ทันดูเบอร์ ยกแนบหูแล้วปลดล็อครถก่อนสตาร์ท...เสียงกุกกักทำให้ร่างสูงฉงนแล้วดูเบอร์
คยองซู...
“ฮัลโหล คยองได้ยินมั้ย” พูดเสียงปกติควานหาหูฟังแล้วเสียบเข้ากับตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
‘...’
“เฮ้ย เป็นอะไรนี่หลับแล้วเผลอกดโทรมาเปล่าเนี่ย” เมื่อปลายสายเงียบเลยเอ่ยแซว
‘เปล่า...ฮึก ลู่หาน...ฮื่อออ ฉันเหมือน...กำลังจะตาย ฮึก’
เอี๊ยด!
เสียงล้อเบียดพื้นถนนจากการเบรกกะทันหัน ลู่หานชักสีหน้าขึ้นมาทันที
“พูดใหม่สิ! นายเป็นอะไรคยองซู”
‘ฮึก มาหาฉันที ได้โปรด...ฮื่อออ’
เท่านั้นแหละ คำขอของเพื่อนตัวเล็กขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งทันที ด้วยความเป็นห่วงก็รีบขับรถตามจีพีเอสของเพื่อนตาโตไปยังบ้านที่อยู่อาศัยของคยองซูนั่นเอง ยอมรับเลยว่าตกใจมากเมื่อคำว่าตายหลุดออกจากปากกระจับแทบจะฝ่าไฟแดง! ตอนนี้อารมณืขุ่นมัวมาก เป็นห่วงเพื่อนตัวเล็กมากที่สุด
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะคยองซู...รอฉันนิดนึง”
70%
“คยองซูล่ะครับ” ประโยคแรกพูดขึ้นหลังจากอินทีเรียหนุ่มจอดรถแล้ววิ่งพรวดพราดเข้ามาให้บ้านหลังใหญ่
หญิงสาววัยกลางคนรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นย่างกรายเข้ามาให้ห้องรับแขกพร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนสนิทลูกชาย
“อยู่บนห้องจ้ะ ลูกคนนี้เมาแล้วอาละวาดนี่คงโทรหาเราแล้วร้องไห้ใส่ใช่มั้ย” คนถามจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน และก็เหมือนจะรู้ใจคนสีหน้าคงกังวลไม่คลาย “ไปหาสิ อยู่ข้างบนร้องห่มร้องไห้อย่างกับคนอกหัก ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
“ขอรบกวนด้วยนะครับ” พูดจบก็เดินไปยังห้องนอนของเพื่อนสนิทอย่างคุ้นเคย...
ถือว่ายังโชคดีที่ฝนไม่โหมตกกระหน่ำกันลงมาพร้อมสายฟ้าผ่าเปรี๊ยง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักพอสมควรหากตากมันนานๆ ร่างบางวิ่งระหกระเหินเข้าไปหลับในตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้กัน เนื้อตัวเปียกปอนเริ่มสั่นเพราะอากาศข้างนอกหนาวขึ้น เสื้อยืดแนบลำตัวทำให้อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกหากจะให้กลับตอนนี้สมองมันก็ตื๊อหัวหนักอึ้งจนคิดอะไรไม่ออก
“หนาวชิบ...” บ่นพึมพำแล้วนั่งยองๆกอดถุงผ้าใส่กล่องข้าวที่เย็นชืด ลูบแขนปอยๆลดความหนาวเย็นไป ท้องไส้ก็เริ่มร้องเพราะยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เที่ยงบวกกับวิ่งวุ่นทั้งวัน
ถ้าถามว่าแบคฮยอนโกรธมั้ยคงไม่รู้เพราะอารมณ์ก่ำกึ่ง ร่างบางนั้นอยากจะต่อยปากชกหน้าหงายหรือจะปล่อยโฮร้องไห้จนมันออกมาเป็นสายเลือด...แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเขารู้สึกว่ามันเหนื่อย มันจุกอกพูดไม่ออก
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่ในถุงผ้าเรียกให้คนท้องร้องโครกครากหันมาสนใจ มือเรียวสวยควานหาไปมาสักพักแล้วหยิบขึ้นมาดูเบอร์ที่โทรเข้าหวังเหลือเกินว่าจะเป็นคนที่คิด แต่เปล่าเลย...
‘ชานยอล’
นิ้วเรียวกดปุ่มรับสายจากเครื่องมือสื่อสารรุ่นเก่า
“ฮัลโหลชานยอล” เสียงใสสั่นเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากกระจับสวยเปล่งคำทักทายออกมาด้วยความหนาว
‘แบคอยู่ไหนครับ ทำไมเสียงดังจังข้างนอกเหรอ?’ ปลายสายรู้สึกฉงนเพราะเสียงดังแทรกเข้ามาจนแทบไม่ได้ยินเสียงแบคฮยอน
“ใช่เลย ชานยอลได้ยินเสียงเราชัดมั้ย”
‘ไม่ชัดเท่าไรแฮะ ว่าแต่ไปทำอะไรข้างนอกเหรอครับ ดึกแล้วนะ’ เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ใช่ตามมารยาท
“อื้อ...ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำไม” แบคฮยอนถอดมองสายตามองออกไปข้างนอกตู้โทรศัพท์...แล้วจู่ๆ น้ำตามันก็พาลไหลออกมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว...รู้สึกว่าจุกแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ ยกหลังมือขึ้นปาดลวกๆ
‘ฮื้อ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า อยู่คนเดียวเหรอแบคฮยอน’ ชานยอลรู้สึกใจคอไม่ดีเพราะว่าน้ำเสียงสั่นพร่านั่นมันก้องขึ้นมา
“ใช่เลย...เฮ้อ! เดี๋ยวฝนหยุดตกเราก็กลับแล้วล่ะ แล้วชานยอลมีอะไรรึเปล่า”
‘ฝนตก? อยู่คนเดียว? ตอนนี้นายอยู่ไหนอ่ะ’
“...” น้ำเสียงเป็นห่วงจากใจจริงส่งทอดมาถึงคนร่างเล็กที่นั่งกอดถุงผ้าแนบกับอกแน่น เม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยเพื่อปิดกลั้นท่อน้ำตาที่ไหล่ออกมาไม่หยุด ยิ่งชานยอลพูดแบบนี้เขายิ่งอยากร้องไห้อย่างซาบซึ้ง
‘ให้ไป...รับมั้ย’ ใจไปหาคนตัวเล็กเรียบร้อยแล้วเสียด้วยซ้ำตอนนี้ กลั้นหายใจเพื่อรอคำตอบ...
“ขอบคุณมากชานยอล เรารบกวนด้วยนะ...”
เมื่อไรที่คิดถึง
ฉันก็แค่คิดถึงเธอเท่านั้นเอง
อย่าสนใจฉันเลยได้โปรด
ถ้าชอบก็เม้นและแท๊ก #ฟิคกลับบ้าน
พูดคุยกันนอกจากติดแท๊กก็ @peepanggy
ความคิดเห็น