ลูกศิษย์ที่รัก - ลูกศิษย์ที่รัก นิยาย ลูกศิษย์ที่รัก : Dek-D.com - Writer

    ลูกศิษย์ที่รัก

    หลังจากการแต่งงาน สถานะของเธอและเขาก็คือ ลูกศิษย์ และอาจารย์ อาเขตจะห้ามใจไม่ให้หลงรักอาจารย์ที่พ่วงตำแหน่งภรรยาได้หรือไม่

    ผู้เข้าชมรวม

    2,646

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    2.64K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    5
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ส.ค. 49 / 11:20 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ลูกศิษย์ที่รัก

      แสงไฟสว่างจากหลอดไฟยาวภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลาง โต๊ะทำงานสองชุดตั้งหันหลังใส่กัน แต่ในห้องขณะนี้มีเพียง รวิตา อานาบุรารักษ์ นั่งหลับตาอยู่ที่โต๊ะทำงานฝั่งขวามือ

      อีกสิบนาทีเท่านั้นที่เธอจะต้องไปเผชิญกับสิ่งที่แปลกใหม่ ใจเธอเต้นตุบตับ อย่างกับกลองเพลนตามวัดต่าง ๆ มือเรียวบางดูซีดผิดปกติ แอบหวังไว้ในใจว่าใบหน้าของเธอคงจะไม่ซีดไปด้วย

      ดวงตาโต ลูกตาดำขลับเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอย่างใจระทึก ใจหนึ่งอยากให้เวลาที่รอคอยมาถึงเสียที อีกใจหนึ่งก็อยากให้วันนี้ เวลานี้ เป็นเพียงความฝัน..........

      ภาพนักศึกษาพูดคุยกันเอ๊ะอะ โวยวาย ไม่สนใจในบทเรียนที่เธอกำลังสอน เสียงปามาศว่าเธอยังเด็กเกินกว่าที่พวกเขาจะยอมรับได้ หน้าตานักศึกษาเบื่อหน่าย เซ็ง ไม่เชื่อถือ ผุดขึ้นมาในมโนภาพ ทำให้เธออดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้

      “วิตายังไม่ไปสอนหรือ จวนได้เวลาแล้ว”

      เสียงร้องทักด้วยภาษาอังกฤษจากอาจารย์รุ่นพี่ชาวอเมริกันดังเข้ามาในโสตประสาท ปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาจากห้วงความคิด

      “กำลังจะไปแล้วค่ะ”

      หญิงสาวระล่ำระลักบอก ไม่ทราบว่าว่าอาจารย์รุ่นพี่เข้าห้องมาตั้งแต่เมื่อใด

      “ตื่นเต้นเป็นของธรรมดา ตอนที่ไอมาสอนที่นี่ใหม่ ๆ ก็ตื่นเต้น แต่ก็อย่างว่าวิชาที่คุณสอนก็เป็นเด็กใกล้จะจบแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร”

      หญิงสาวผืนยิ้มให้อาจารย์รุ่นพี่

      “มั่นใจตัวเองเข้าไว้ ไม่มีอะไรง่ายไปเสียทุกเรื่อง”

      หญิงสาวผืนยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าอีกครั้ง แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ คลายมือที่ชื้นด้วยเหงื่อออก แล้วเดินมุ่งหน้าสู่ห้องเรียนที่จะต้องทำการสอน

      รถคันหรูมุ่งทะยานฝ่าแสงแดดจ้าเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย สองข้างทางขนานไปด้วยต้นหูกวางที่กำลังผลัดใบสีน้ำตาลแก่ปลิดปลิวสะเทิ้นสายลมลงมายังพื้นดินดั่งขนนก

      ชายหนุ่มสวมชุดสูทประณีตนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ เหลือบสายตาดูนาฬิกาที่ด้านหน้าแผงคอนโซล 15:20 เวลาเรียนวิชาสุดท้าย และวิชาเดียวของการเรียนมหาวิทยาลัยกำลังจะเริ่มขึ้น เขาไม่อยากพลาดให้ตนเองหมดสิทธิ์สอบอย่างเทอมที่แล้วมา

      กระจกข้างรถฝั่งคนขับถูกเลื่อนลง อาเขต อานาบุรารักษ์ รับบัตรจอดแล้วจัดการจอดรถอย่างรวดเร็ว เขาถอดเสื้อนอก และเสื้อเชิ้ตตัวหรูออก เปลี่ยนเป็นเสื้อนักศึกษาทั่วไป แล้วยกมือขึ้นมายีผมตนเองให้เป็นธรรมชาติ ส่งให้หน้าดูอ่อนเยาว์ลง พลันดับเครื่องยนต์ เอี้ยวตัวไปคว้าหนังสือเล่มใหญ่และหนาทางเบาะหลัง ออกจากรถเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารเรียน

      อาคารเรียนเชื่อมต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมตั้งตระหง่านท้าท้ายแสงแดดยามบ่าย สายลมบางเบาพัดโบกให้ความสดชื่น

      นักศึกษาหลายชั้นปีเดินย้ายห้องเรียนกันขวักไขว่ ทำให้การสัญจรทางเท้าเป็นไปอย่างติดขัด อีกทั้งยังเสียงพูดคุยเจี้ยวจ้าว ชวนหนวกหู

      “พี่เขต เทอมนี้จบยังครับพี่ หลายปีแล้วนะ”

      เสียงหนุ่มน้อยรุ่นน้องแว่วเข้ามาจากบริเวณ Center point (บริเวณที่นัดพบของเหล่านักศึกษา)

      “ตัวสุดท้ายแล้วไอ้พาท ไปก่อนนะ ไม่มีเวลาอบรมเด็ก”

      เขาบอกออกไปเมื่อแหวกว่ายสายตาฝ่านักศึกษามากมายไปเห็นหน้าทะเล้นของรุ่นน้องจอมกวน

      “ไปเถอะครับพี่ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”

      หนุ่มน้อยพูดไล่หลังไป ขณะที่อาเขตรีบร้อนเดินไปห้องเรียน

      วันนี้เรียนห้องใหญ่ เพราะเป็นการฟังบรรยาย หากว่าเขาสายสักหน่อย คงจะต้องตกเป็นเป้าสายตาเมื่อเปิดประตูเดินเข้าห้องเรียนไป

      “จนได้ สายห้านาที”

      ชายหนุ่มรำพึงรำพันกับตนเอง เมื่อมาหยุดที่หน้าประตูห้องเรียน พลันเขาค่อย ๆ ดันประตูห้องเปิดออกเบา ๆ เดินมุ่งหน้าไปแถวกลาง นั่งลงที่เก้าอี้ริมสุดอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเพื่อนร่วมห้องเรียน

      “สวัสดีค่ะ อาจารย์ชื่อรวิตา อ..อานาบุรารักษ์ค่ะ” เสียงภาษาอังกฤษดังกังวาน แต่เมื่อยามที่เอื้อนเอ่ยนามสกุลช่างกรท่อนกระแท่น เพราะเธอยังไม่เคยชินกับนามสกุลที่พึ่งจะได้มาเมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา

      “นี่อีเมลของฉันนะคะ”

      เธอเขียนที่อยู่จดหมายอิเลกทรอนิคบนกระดานไวท์บร์อดขนาดใหญ่อย่างสั่น ๆ ด้วยเรื่องการที่ต้องยืนต่อหน้านักศึกษาเกือบร้อยคน และกังวลว่าสิ่งที่เธอเตรียมการสอนมาทั้งอาทิตย์จะทำให้นักศึกษาเข้าใจในบทเรียนหรือเปล่า

      “เริ่มเรียนกันเลยนะคะ”

      เธอปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ห้วงหนึ่งเธอคิดว่ากำลังมีสายตาคมคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา จึงทำให้เธอต้องกวาดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเกรง ๆ พลันสายตาสะดุดเข้าดวงตาคม ปากาในมือเรียวล่วงหล่นลงสู่พื้น

      เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเขา เพราะทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของเขาเลย นับจากวันแต่งงาน คนรับใช้ในบ้านบอกว่างานของเขายุ่งมาก ทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อน

      สมองของเธอหมุนคว้าง คำถามมากมายผุดขึ้นในสมอง ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมเขายังเรียนอยู่

      ชายหนุ่มแปลกใจที่ภรรยาหมาด ๆ ของเขากลายมาเป็นอาจารย์ของเขาไปแล้ว หญิงสาวหน้าเรียว บวกกับเครื่องหน้าจุ๋มจิ๋มน่ารักที่เขาเคยเห็น บัดนี้มีแว่นตาหนาเตอะบดบังดวงหน้า ร่างบางอ้อนแอ้นถูกคลุมอย่างมิดชิดด้วยสูทสีเทา กระโปรงทรงเอ แต่ทันสมัย ยังดีที่เธอไม่ขมวดผมหยักศก ดำขับ และเงางามให้เป็นมวยด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงจะดูน่าเกลียดดีพิลึก

       นี่เธอเปลี่ยนตัวเองจนเขาเกือบจำไม่ได้ หากมองไม่เห็นแหวนแต่งงานที่เธอสวมอยู่ที่นิ้ว พลันเขาลุกขึ้นเดินตรง ลงบันไดไปหาเธออย่างไม่เก้อเขิน ขณะที่เธอตะลึงตาโตกับการกระทำของเขา จนเขามาหยุดต่อหน้าเธอ ยิ้มน้อย ๆ ระบายบนใบหน้าเข้มห่างจากใบหน้าของเธอไม่ถึงศอก

      “ปากกาหล่นครับอาจารย์รวิตา อานาบุรารักษ์”

      เสียงมั่นคงเปล่งออกมา ทำให้เธอตกตะลึงไปชั่วครู่ มารู้สึกตัวอีกที่เมื่อปากกาที่ร่วงหล่นไปนั้น กลับมาอยู่ในอุ้งมืออีกครั้ง ขณะที่ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่เรียบร้อยแล้ว

      “อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

      เสียงนักศึกษาหญิงชาวเกาหลีที่นั่งแถวหน้าเรียกสติของเธอให้กลับมา

      “เปล่าค่ะ “

      หญิงสาวปฏิเสธ พลันหันหลังเขียนตัวหนังสือไปที่กระดานอีกครั้ง

      วันนี้เธอคงไม่มีสติสอนแน่นอน เอาไว้คาบหน้าค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน วันนี้ขอกลับไปตั้งหลักก่อนดีกว่า เธอบอกตนเองในใจ

      “เขียนชื่อ, รหัสนักศึกษา, เบอร์โทร, อีเมล, และสิ่งที่อยากจะบอกลงในกระดาษนะคะ แล้วส่งต่อ ๆ กันมาให้อาจารย์ ถ้าใครส่งแล้วเชิญได้เลยนะคะ เพียงเท่านี้ในวันนี้”

      อย่าตื่นตะนะวิตา เขาก็แค่ผู้ชายทั่วไป ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่ แข็งใจไว้ เธอเก่ง มั่นใจ

      นักศึกษาเริ่มทยอยเดินออกไปจากห้องเรียน จนทั้งห้องเหลือเพียงสามีหมาด ๆ กับเธอเพียงสองคนเท่านั้น เขากำลังเดินมาหาเธอ ขณะที่เธอกลั้นใจรออย่างใจระทึก แต่ก็ต้องทำทีว่า เขาไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือเธอทั้งสิ้น

      “นี่ครับอาจารย์วิตา”

      ชายหนุ่มส่งแผ่นกระดาษปึกหนึ่งให้เธอ

      “อ้อ ขอบคุณค่ะ พึ่งทราบว่าคุณยังเรียนไม่จบ”

      นั่นไง เธอทำได้ได้ดีกว่าที่คิดเยอะเลยรวิตา

      “ทำไงได้ ไม่ได้เก่ง ฉลาดปราชญ์เปลื่องอย่างคุณนี่ครับจะได้จบปริญญาโทตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด”

      ชายหนุ่มมิวายค่อนเธอ ทั้ง ๆ ที่ใจไม่ได้คิดจะพูดออกไปอย่างนั้น

      “ขอบคุณที่ชมนะคะ ฉันต้องขอตัวก่อน”

      เธอบอกจัดเตรียมเก็บข้าวของ

      “เชิญครับ ผมจะไปรอที่บ้านนะครับ อาจารย์คนสวย ภรรยาที่รัก”

      เขาพูดออกมาพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะไล่หลังเธอ

      “บ้า”

      หญิงสาวไม่วายบ่นอุบอิบ เมื่อพ้นสายตาจากลูกศิษย์ และสามีจอมกวน

      เวรกรรมอะไรที่ต้องทำให้ฉันมาเจอกับคนพรรค์นี้นะ

      โชคยังดีที่ได้เจอแค่อาทิตย์ละครั้ง ถ้ามากไปกว่านี้มีหวังเธอคงจะทำอะไรให้นักศึกษาคนอื่นสงสัย ว่ามีอะไรแปลกแตกต่างออกไประหว่างเขากับเธออย่างแน่นอน

      รวิตาขับรถกลับบ้านอย่างสบายใจ ไม่คาดคิดว่าจะมาพบเจอสามีที่บ้าน เพราะเขามักจะกลับดึก และตื่นเช้าออกจากบ้านก่อนเธอเป็นประจำ อีกทั้งเธอกับเขายังแยกห้องกันนอน ไม่ได้อยู่กันฉันสามี-ภรรยาดั่งครอบครัวทั่วไป

      มิใช่เธอหรอกที่ต้องการแบบนี้ แต่ตั้งแต่เข้ายึดห้องนอน ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเดินเฉียดเข้ามาในรัศมีสามเมตรอีกเลย แต่ก็นั่นล่ะ เธอไม่อยากให้เขาเข้ามาก้าวก่ายชีวิตเธอมากไปกว่านี้เหมือนกัน

      การแต่งงานที่เกิดขึ้นเป็นความเห็นพ้องกันระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย หาใช่เกิดจากความรักระหว่างเขาและเธอไม่

      กลิ่นดอกลีลาวดีสีขาวนวลยามเย็นหอมตลบอบอวล ขับไล่ความเมื่อยล้าออกจากจิตใจ  กว่าเธอจะขับรถเข้าเมือง ฝ่าการจราจรมาได้ ก็เล่นเอาแทบจะหลับคาพวงมาลัย สี่สิบกิโลเมตรจากมหาวิทยาลัยมาถึงบ้านไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว สำหรับคนที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนไกล ๆ อย่างเธอ

      หญิงสาวถอดแว่นตาหนาเตอะที่ไปสั่งทำมาพิเศษเพื่อที่จะทำให้ตนเองดูมีคุณวุฒิมากขึ้นออก ส่งให้เครื่องหน้าสวยงามปรากฏออกมา

      “กลับถึงบ้านแล้วหรือครับอาจารย์รวิตา อานาบุรารักษ์”

      อาเขตส่งเสียงทักทายภรรยา เมื่อเห็นว่าเธอกำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่นที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เสียงนี้มีผลทำให้เธอชะงัก หันมาทำตาเขียวให้ต้นเสียง

      “ผมว่าชุดนี้ไม่เหมาะกับคุณสักนิดเดียว แต่งธรรมดาเถอะครับ อย่าพยายามแก่กว่าอายุเลย”

      เขาบอกพลางมองสำรวจเธอตั่งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

      “ฉันจะแต่งอย่างไรก็เรื่องของฉัน คุณไม่เกี่ยว”

      เธอสะบัดเสียง แล้วเดินขึ้นชั้นบน ไม่วายที่จะได้ยินเสียงค่อนคอดตามหลังมา

      “ไม่เกี่ยวได้ไง ก็คุณเป็นอาจารย์ภรรยาของผมนี่นา”

      ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นเธอไม่พอใจ รู้สึกมีความสุขที่ได้แหย่เธอ ได้ทำให้เธอโกรธ

      นานแล้วสินะที่เขาไม่ได้ยิ้ม หรือหัวเราะมีความสุขอย่างวันนี้

      เขาหุบยิ้มเมื่อเห็นแม่บ้านสูงวัยเดินเข้ามาหา

      “วันนี้ไม่ไปไหนหรือคะคุณเขต”

      แม่มาตรบอกกระเซ้าแกมเหน็บแนมเจ้านายที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก

      “อยากอยู่บ้าน ขี้เกียจออกไปไหน รถติด น่าเบื่อ”

      นายหนุ่มบอกพลางคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านกลบเกลื่อนพิรุธในหน้า

      “ถ้าคุณอาดา คุณผู้หญิงท่านทราบคงตกใจ และดีใจพิลึกที่คุณอยู่ติดบ้าน”

      แม่บ้านบอกด้วยสีหน้าแปลกใจในตัวผู้เป็นนาย

      “แปลกอะไร ไม่เห็นมีอะไรแปลก ผมอยากทำอะไรก็ทำ โตแล้ว ไม่ต้องขออนุญาตใครนี่นา”

      เขาบอกราบเรียบ พยายามไม่แสดงความรู้สึกออกมา

      แม่บ้านหลบหน้าชายหนุ่ม พลางยิ้มในใจอย่างรู้เท่าทัน ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

      เขาเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนไร ขี้เก๊ก ท่ามาก แต่เก็บความรู้สึกไม่เก่งกับคนในครอบครัว หากเป็นเรื่องธุรกิจนั้น กลับทำให้เขาเป็นอีกคนซึ่งตรงกันข้าม

      ห้องทำงานกว้างโอ่โถง เครื่องใช้ทันสมัยครบครัน เครื่องปรับอากาศเย็นช่ำ

      อาเขตกำลังนั่งดูเอกสารอย่างเครียดเคร่ง เขาอยากเพิ่มยอดขาย และผลักดันให้สินค้าติดตลาดมากกว่านี้

      บริษัทนี้ เขาก่อตั้งขึ้นมาเองกับมือ แต่ยังต้องอาศัยเม็ดเงินของพ่อ แม่ และหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ คุณ รมิดา กานนท์ คุณแม่ของรวิตา... ภรรยาของเขาในเวลานี้ ดังนั้นเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้บริษัทนี้คงอยู่ และเพื่อทุกคนที่เห็นค่าของเขาให้เขาได้ทำงานที่ตนเองรัก ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่จบปริญญาตรีเสียด้วยซ้ำ

      ถึงแม้บริษัทที่เขากำลังกุมบังเหียนอยู่ จะเป็นแค่เพียงบริษัทลูกของพ่อกับแม่ แต่เขาก็ตั้งใจจะทำมันให้ดีที่สุด

      ทุกคนคงไว้วางใจเขา เพราะเขาทำงานบริหารมานาน ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีสอง เนื่องจากคุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางเรือ งานที่ได้ทำที่ผ่านมา เป็นเครื่องหมายการันตรีว่าเขามีความสามารถเพียงใดที่บริหารกิจการงานของครอบครัวให้มั่นคงได้

      ด้วยการงานที่รัดตัว ทำให้ไม่มีเวลาไปเรียนมากนัก ลงทะเบียนเรียนแต่ละเทอมไม่เกินสี่วิชา  เพื่อที่จะได้มีเวลาไปทำงาน  เขากระเสือกกระสนที่จะจบปริญญาตรีให้ได้ แต่ก็ทำได้ดีเพียงเท่านี้

      รวิตา.. ชายหนุ่มทวนชื่อของภรรยาในใจ เธอกับเขาแต่งงานกันเพื่อธุรกิจ แต่งเพื่อยืนยันว่าเม็ดเงินที่แม่ของเธอให้มาจะไม่สูญเปล่า แต่งเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายวางแผน เห็นชอบกันให้เป็นอย่างนั้น

      “คุณอาเขตครับ อีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลาเรียนแล้วนะครับ”

      เลขาชายสูงวัยที่ทำงานด้วยกันมานาน ตั้งแต่ที่พ่อเขายังมีชีวิตอยู่

      “วันนี้ผมไม่ไป มีงานเยอะเลย ทั้งบริษัทแม่ และลูก”

      ชายหนุ่มบอก ทั้ง ๆ ที่สายตายังมุ่งมั่นที่เอกสารตรงหน้า

      “เดี๋ยวหมดสิทธิ์สอบนะครับ นี่ก็วิชาสุดท้ายแล้ว ไปเรียนเถอะนะครับ”

      ลุงรันต์  ชื่อที่ชายหนุ่มเรียกติดปากบอกย้ำถึงความเป็นห่วง

      “ขาดได้ตั้งหกครั้ง นี่ผมขาดแค่ครั้งนี้แค่ครั้งเดียวไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวคาบหน้าผมเข้าแน่ เพราะเป็นคาบรายงาน”

      เขาบอก ไม่สนใจคำอ้อนวอน

      “ครับ เอาอย่างนั้นก็ได้”

      ลุงรันต์ เลขาสูงวัยล่าทัพออกไปอย่างกังวล

      แสงไฟเปิดสว่างเรื่อเรืองตลอดทางเดินระหว่างห้องเรียนสองฝาก กลุ่มนักศึกษายืนออเป็นแถวตามหน้าห้องเรียน เพื่อรอจะเข้าเรียนคาบต่อไป

      “กู๊ด อาฟเตอร์นูน มิส”

      เสียงทักทายจากนักศึกษาไทยกลุ่มหนึ่งหน้าห้องเรียน

      “ค่ะ เข้าห้องได้เลยค่ะ จะได้เริ่มเรียนกัน”

      หญิงสาวมุ่งหน้าเข้าห้องเรียนทันที เธอวางกระเป๋า คู่มือการสอนลง เปิดโปรเจคเตอร์ และคอมพิวเตอร์ สอดแผ่นข้อมูลเข้าไป แล้วคลิกหาเนื้อหาที่เธอจะสอน

      ความรู้สึกประหม่า และสั้นเมื่อครั้งที่สอนครั้งแรกลดลง คงเหลือแค่เพียงตื้นเต้นเล็กน้อย

      เมื่อเตรียมทุกสิ่งเรียบร้อย พร้อมกับที่นักศึกษาประจำที่นั่งจนเกือบเต็มห้อง เธอก็อดกวาดสายตาหาสามีทางนิตินัยไม่ได้ แต่เธอก็หาเขาไม่พบ

      “ค่ะ เช็กชื่อกันก่อนเลยนะคะ”

      หญิงสาวเปิดเอกสารรายชื่อ

      “อาเขต”

      ชื่อของเขาอยู่อันดับแรก เพราะเขาเป็นนักศึกษามากชั้นปีกว่าทุกคน

      ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ แสดงว่าเขาไม่มา เธอสมควรจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่ไม่ต้องพบเขาอีก แต่ทำไมใจเธอไม่คิดอย่างนั้น อดรู้สึกเป็นห่วงเขาไม่ได้

      “ณัชมล”

      “เยส”

      เธอสลัดความคิด ขานรายชื่อต่อไปจนครบ

      วันนี้เธอพอใจในการสอนมาก เพราะปฏิกิริยาตอบรับจากนักศึกษาค่อนข้างดี มีการถาม - ตอบกันอยู่บ่อยครั้ง ในบางเนื้อหาที่นักศึกษาไม่เข้าใจ

      “ค่ะ วันนี้เพียงเท่านี้ พบกันคาบหน้านะคะ”

      รวิตากล่าวลานักศึกษา ขณะที่นักศึกษาทยอยกันออกจากห้องเรียน ตามด้วยเธอเป็นคนสุดท้าย

      “ไปทานข้าวกันนะ”

      เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้หูของรวิตา

      “นี่คุณ เมื่อกี้ทำไมไม่มาเรียน แล้วนี่อะไร พอเค้าเรียนกันเสร็จก็มาอย่างนี้ อย่าหวังนะว่าจะให้ฉันเช็กชื่อให้ ไม่มีทาง”

      หญิงสาวใส่ไฟแล็ป เมื่อเห็นอาเขต

      “จะมาได้ยังไง งานยังไม่เลิก”

      เขาบอกไม่เดือดร้อน

      “แล้วตอนนี้ล่ะ มาได้ยังไง”

      เธอจ้องหน้าเขาเอาคำตอบ

      “งานเลิก ก็มาได้” ชายหนุ่มยักคิ้วน้อย ๆ ให้เธอ “ไปกินชาบูกัน”

      “ไปได้ไงน่าเกียจ อาจารย์กับนักศึกษา ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน”

      เธอทอดเสียงเบาในท้ายประโยค พลางกาดสายตามองว่ามีใครสนใจเธอกับเขาไหม

      “ไม่มีใครเห็นหรอก มันอยู่ข้างนอกโน่น แถวโดมฯ หอพักนักศึกษา”

      “ไม่เอา นักศึกษาเต็มไปหมด”

      เธอบอกสีหน้ากังวล

      “ก็ได้ ไปกินที่อื่นนะ”

      “นี่คุณมายุ่งอะไรกับฉันนี่ ต่างคนต่างอยู่สิ”

      เธอบอกเสียงเขียว

      “มีเรื่องจะพูดด้วย ไปเถอะน่า”

      เขาบอกแล้วแย่งคู่มือการสอนของเธอไปถือเสียเอง ไม่สนใจเสียงเขียว ๆ ของเธอ

      “ผมไปรอที่รถนะ จอดอยู่ชั้นสาม รถของคุณให้นายวัยขับกลับไปคนเดียวก็แล้วกัน”

      ชายหนุ่มอ้างถึงคนขับรถ แล้วออกเดินหายไปก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการน่าสงสัย

      ขณะที่หญิงสาวคิ้วขมวดอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกเขาบังคับเอาจนได้

      กว่าครึ่งชั่วโมงที่รวิตาจะเดินไปหาเขา

      ลานจอดรถตอนนี้เงียบเหงา มีรถเพียงสามคันจอดกระจายอยู่ในลานโล่งกว้าง เธอเดินตรงไปหารถสีตะกั่วที่กำลังติดเครื่องยนต์อยู่

      หญิงสาวมองทะลุผ่านกระจกเข้าไปในรถ เห็นเขาปรับเบาะราบนอนอย่างเพลีย ๆ  ดูว่าเขาจะเหนื่อยมากจริง ๆ พลันเธอเคาะกระจกรถเบา ๆ ให้เขาตื่นจากการนิทรา

      ชายหนุ่มลุกขึ้นงัวเงีย ปรับเบาะให้อยู่ในระดับปกติ ขณะที่หญิงสาวเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง

      “โทษที เผลองีบไป”

      เขาบอกพลางตบท้ายทอยตนเองเบา ๆ

      “ไม่เผลอหรอกแบบนี้ เค้าเรียกว่าตั้งใจ แหม คุณแล่นปรับเบาะซะราบ”

      หญิงสาวเหน็บเขาเข้าให้

      “อู้ย... แม่ยอดหญิง ให้โอกาสผมเป็นคนดีบ้างเถอะคร้า..บบ ไม่ใช่อะไรก็ดักผมเรื่อยเชียว ผมก็ไม่ได้ไปฆ่าคนสักหน่อย แค่ไม่มาเรียน กับแอบงีบเท่านั้นเอง”

      เขาบอกแล้วหัวเราะ

      “ขอโทษนะคะ ในสายตาฉันเห็นแต่ด้านแย่ ๆ ของคุณ”

      เธอบอกแล้วสะบัดหน้าหนี แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดเมื่อเขาโน้มตัวมาใกล้ ตาจ้องตาห่างกันแค่นิ้วเดียวเท่านั้น

      “คาดเข็มขัดด้วยนะครับ จะได้ปลอดภัย”

      เขาบอกเสียงนุ่ม ตั้งใจจะหว่านเสน่ห์กับเธอ ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัย พลันเธอก็ผลักเขาออกห่าง แล้วร้อง กรี๊ด ๆ

      “อีตาบ้า ออกไปห่าง ๆ เลยนะ ฉันคาดเองได้”

      “เฮ้อ ! ไม่หลงคารมผมบ้างเลยหรือ”

      เขานั่งเข้าที่ แล้วถอนหายใจหนัก ๆ

      “น่าหลงตายล่ะ”

      เธอบอกหน้าแดง พลันหลบตาเขาไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดแก้เก้อ
      “สักวันเถอะ คุณจะพูดว่า อาเขตขา วิตารักคุณจัง วันนี้อยู่บ้านกับวิตานะคะ อย่าออกไปไหน หรือไม่ก็ อาเขตคะ รักวิตาให้มาก ๆ นะคะ”

      ชายหนุ่มทำเสียงเป็นหญิง ล้อเลียนภรรยา

      “ไม่มีทาง แต่ก็พอจะเป็นไปได้นะ คืนนี้คุณนอนแต่หัวค่ำสิ”

      เธอบอกให้เขาไปนอนฝันหวาน แล้วแกล้งยิ้มหวานให้เขา

      “เร็ว ๆ นี้หละคุณ ไม่นานเกินรอ เสน่ห์ผมนะ มัดใจสาว ๆ มาไม่รู้จักกี่คนแล้ว หล่อก็หล่อ ฐานะก็โอเค ถึงจะไม่เข้าขั้นโฮโซ แต่สาว ๆ นะ พากันวิ่งชนจนผมแทบล้ม”

      เขาพูดแหย่เธอเล่น

      “ออกรถซะทีเถอะ รำคาญจัง แมลงโม้บินกันให้ว่อนรถ”

      “ครับ คุณผู้หญิงของอาเขต เดี๋ยวผมจะขับให้นิ่ม ๆ หลุมเล็ก หลุมใหญ่ จะไม่ให้สะเทือนหัวใจคุณเป็นอันขาด”

      “ฉันไม่ได้บอบบางขนาดนั้นหรอกย่ะ”

      เธอหันหน้าหนีคนยียวนทันทีที่กล่าวจบ

      ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ใบหน้าเปรอะไปด้วยรอยยิ้ม

      เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมานานแล้ว ที่แล้วมานั้น เป็นการผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเสียมาก

      เขาออกรถนุ่มนวล แอบมองหน้าคนข้าง ๆ ที่นั่งเอาศีรษะพิงกับประตูรถรถ ตาของเธอเริ่มคล้อย

      “อะไรคุณ แค่ล้อหมุนคุณก็หลับเลยหรือ”

      “เรื่องของฉัน อย่ามายุ่งได้ไหม”

      หญิงสาวบอกรู้สึกเพลียเหลือเกิน ไม่สนใจคำพูดของเขา ตั้งใจที่จะงีบหลับ

      ชายหนุ่มจอดรถ โน้มตัวเข้าหาหญิงสาวหวังจะปรับเบาะราบ เธอจะได้ไม่เมื่อยตัว

      “เอาอีกแล้วนะ คนลามก วัน ๆ จ้องแต่จะแต๊ะอั๋งคนอื่น”

      เธอยันหน้าอกเขาเอาไว้

      “อะไรกัน แค่จะปรับเบาะให้ อย่างคุณน่าพิสมัยตาย ผมเอาเวลาที่จะทำอย่างที่คุณว่า ไปหาสาว ๆ สวย ๆ มานอนกอดดีกว่า”

      เขาบอกพร้อมกับทำเธออย่างที่ตั้งใจไว้ ขณะที่หญิงสาวตาโต ใจสั่นเมื่อเขาเข้ามาใกล้ขนาดนี้

      ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกสะกด เขาสบตาเธอ จ้องลึกลงไปข้างใน เหมือนกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ขณะที่หญิงสาวกำลังใจสั่น ลุ้นระทึกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

      “แหว่....”

      ชายหนุ่มแยกเขี้ยวให้เธอ แล้วกลับไปนั่งประจำที่ ดับอารมณ์เมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

      เราเป็นนักศึกษานะอาเขต เธอเป็นอาจารย์ อย่าทำให้เธอต้องหม่นหมองไปกว่านี้เลย ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานกันแล้วก็ตาม

      “บ้า คุณนี่ทำแต่เรื่องบ้า ๆ “

      เธอบอกอายหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก

      “เมื่อกี้นะ คุณจ้องตาผม เว้าวอนผ่านสายตาว่า จูบฉันสิคะอาเขต แต่ผมไม่หลงลมคุณง่าย ๆ หรอก ไม่ได้แอ้ม”

      เขาบอกแล้วออกรถ

      เธอไม่พูดอะไรอีก เบื่อคนที่พยายามพูดเข้าข้างตนเองอยู่ล่ำไป

      ร้านอาหารบนพื้นที่ขนาดกลาง เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมาย ชวนให้บรรยากาศยามเย็นร่มรื่น สายลมเอื่อยพัดพาความชื่นใจมาให้คนทั้งคู่

      “ผมว่าเรานั่งตรงนี้เถอะ ใต้ต้นไม้ ร่มรื่นดี”

      อาเขตบอกกับภรรยา พลางเลื่อนเก้าอี้ให้เธออย่างสุภาพ

      “คุณสั่งแล้วกัน ผมทานอะไรก็ได้”

      เขาบอกเมื่อบริกรเดินมารับรายการอาหาร

      หญิงสาวสั่งอาหารง่าย ๆ มาสามอย่าง กับข้าวหนึ่งโถ ความจริงนั้นจะสั่งข้าวแค่สองจาน แต่เห็นว่าสามีทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ก็คิดว่าเขาน่าจะทานอาหารได้มากกว่าปกติ

      “เมื่อไหร่คุณจะเรียนจบคะ”

      เธอถามคำถามที่อยากจะรู้

      “ผมหรอ ก็เหลือวิชาของคุณวิชาเดียวนี่ไง”

      เขาบอกไม่เดือดร้อน

      “ถ้าไม่มาเรียนบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หมดสิทธิ์สอบ”

      เธอบอกเขาด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ

      “เถอะน่า ผมรู้ว่าควรจะทำอย่างไร ยังไงเสียผมก็ต้องจบเทอมนี้ล่ะน่า อย่าห่วงเลย”

      เขาบอกจิบเบียร์เย็น ๆ อย่างสบายใจ

      “ทำสบายใจเข้าไป อย่ามาร้องให้ฉันช่วยนะ ไม่มีทาง”

      “อืม เขาว่าคนสวยใจดำนี่ ท่าจะจริงแหะ ผมเรียนมาได้โดยไม่ต้องมีใครมาช่วย ดังนั้นผมก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ จากคุณ”

      “ฉันจะคอยดู”

      “ถ้าผมจบเทอมนี้ แล้วได้เอวิชานี้ด้วย คุณจะว่าไง”

      ชายหนุ่มจ้องตาเธออย่างเจ้าเล่ห์

      “เอ คุณยังอยากได้เออีกหรือ ถ้าคุณได้เอนะ ฉันจะว่านอนสอนง่ายตามคุณสักสามวันดีไหม”

      หญิงสาวบอก มั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำได้

      “โอ้ย ไม่ต้องถึงสามวันหรอกคร้าบอาจารย์ วันเดียวก็พอ ผมขอจูบคุณสองครั้งเท่านั้น ว่าไงกล้าหรือเปล่า”

      เขายิ้มมั่นใจให้เธอ พลางเหลือบตาลงมองปากอิ่มยั่วยวน

      “ฉันรับคำท้า”

      เธอบอกไม่หวาดหวั่นกับวันข้างหน้า เพราะมั่นใจว่าอย่างเขาไม่มีวันทำได้

      “งั้นก็เชิญทานข้าวปลอบใจตัวเองรอก่อนเลยนะครับ ข้าวมาแล้วครับอาจารย์”

      “อย่าเรียกฉันว่าอาจารย์ได้ไหม มันน่าเกียจ”

      เธอบอกเข่นเขี้ยว

      “ครับภรรยาที่รัก”

      “อย่างนี้ก็ไม่ต้อง โอ้ย! ฉันอยากจะบ้า คุณนี่มันยียวนที่สุด”

      ไม่เคยมีใครทำให้เธอเวียนหัว วุ่นวายได้มากขนาดนี้มาก่อน

      เกือบบ่ายสาม เสียงฟ้าครืนคราง ท้องฟ้าเป็นสีแดงเข้มปะปนกับเมฆสีเทาทะมึนสายลมแรงพัดหวีดวิวอื้ออึง

      รวิตาเดินเร่งร้อนไปที่ห้องทะเบียน หลังจากที่ตีสนิทกับหัวหน้าแผนกมานาน

      หญิงสาวเดินเข้าห้องทะเบียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่สงสัย

      “อาจารย์วิตา สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะถึงมาที่นี่”

      มาริสา หัวหน้าฝ่ายทะเบียนทักทาย

      “นิดหน่อยค่ะ.......”

      หญิงสาวบอกเล่าเรื่องราวที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยไม่ลืมกำชับว่าให้เก็บเรื่องในวันนี้เป็นความลับ ระหว่างเธอและมาริสาเท่านั้น

      “ไม่มีปัญหาค่ะ อาจารย์บางท่านก็เคยมาขอ เพราะบางทีท่านก็ทำประวัติของนักศึกษาที่ตนเองดูแลหายไป”

      มาริสาบอกแล้วกดคอมพิวเตอร์ ปริ้นท์เอกสารสีแดงอ่อนส่งให้รวิตา

      “ขอบคุณนะคะ ต้องขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีสอนค่ะ”

      หญิงสาวขอตัว

      “เชิญค่ะ”

      ในที่สุดเธอก็ได้ประวัติการเรียนของอาเขต

      หญิงสาวเดินกลับห้องพักอาจารย์  เพื่อเตรียมการสอนในคาบต่อไป วันนี้เธออดโล่งใจไม่ได้ที่มันไม่ใช่ชั้นเรียนของอาเขต เพราะอะไรน่ะหรือ.. เพราะเธอไม่อยากให้เขาจับพิรุธสีหน้าเธอได้ล่ะสิ

      หญิงสาวตาค้างเมื่อกวาดสายตามองประวัติการเรียนของเขา มีแต่เกรด เอ กับ บี เท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในกระดาษ

      โอ้ ! คุณพระ นี่เธอไปท้าพนันบ้า ๆ กับเขาทำไมหนอ

      เธอเป็นแค่อาจารย์บรรยาย ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดคะแนน หรือให้คะแนนกับเขาได้เลย เรื่องที่หวังจะแกล้งให้เขาได้เกรดแย่ ๆ คงไม่มีทาง

      แต่ในใจก็ยังแอบหวังว่าเธออาจจะได้มีโอกาสตรวจข้อสอบของเขาก็เป็นได้ สาธุ !

      เถอะน่าบางทีเขาอาจจะพลาดได้เกรดบีก็ได้ เพราะวิชานี้ยากมาก เด็กส่วนมากก็ได้เกรดซีกันทั้งนั้น ที่แย่ ๆ หน่อยก็ได้เอฟไปทานกันเป็นทิวแถว

      “อาจารย์วิตา”

      หญิงสาวสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยร้องทัก เมื่อออกจากห้องพัก

      “คุณนี่ทำตัวเป็นจิ้งจก ชอบร้องทักให้คนอื่นเขาโชคร้าย”

      เธอบอกเข่นเขี้ยวใส่เขา

      “เจอหน้ากันก็ให้พรเลยนะครับ”

      อาเขตหัวเราะ

      “วันนี้ไม่ทำงานหรือ ถึงได้เที่ยวมากวนใจชาวบ้าน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเรียน”

      ชายหนุ่มสวมชุดนักศึกษาเรียบร้อย

      “พรุ่งนี้ไม่ว่าง ก็เลยว่าจะมาขอเรียนก่อนจะได้ไหม”

      เขาบอกพลางแย่งอุปกรณ์การสอนของเธอไปถือไว้กับเอกสารปึกใหญ่ของเขา

      “ผมช่วยนะครับอาจารย์”

      เขาทำตัวธรรมชาติ ไม่ให้เป็นที่สงสัยแก่นักศึกษาคนอื่น ๆ

      “ฉันไม่อนุญาต”

      “กลัวผมจะได้เอสิท่า”

      เขายียวน จี้จุดเธอ

      หญิงสาวพิศมองใบหน้าของเขา ทำสีหน้าครุ่นคิดออก แล้วเดินนำหน้าเขาไปยังห้องเรียนใหญ่

      “ฉันไม่เคยกลัวว่าคุณจะได้เอ ซีแน่นอน ดูจากโหงวเฮ้งคุณแล้วก็รู้ ว่าคุณกำลังดวงตก”

      ชายหนุ่มอมยิ้มมองตามเธอไป แล้วเร่งฝีเท้าตามเธอไปติด ๆ

      “พี่เขต ทำไมวันนี้มาเรียนห้องเดียวกับผมได้ครับนี่”

      เสียงร้องทักจากพาทศกร รุ่นน้องจอมทะเล้นในหมู่นักศึกษากลุ่มหนึ่งที่ยืนรออาจารย์รวิตาเข้าสอน

      “ทำไมไม่เข้าห้อง มายืนออกันอยู่ได้ แกนี่จะจบแล้วนะ ยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ “

      ชายหนุ่มตะโกนแข่งกับเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษา ปล่อยให้รวิตาเดินเข้าห้องไปก่อน

      “โหยพี่ เห็นหน้าก็ด่ากันเลยนะ มามะ ผมช่วย”

      พาศกรกุรีกุจอแย่งของในอุ้งแขนของรุ่นพี่

      “ไม่ต้อง ฉันเอง พวกนายเข้าห้องไปสิ”

      ชายหนุ่มยื้อของเอาไว้

      “ครับพี่”

      หนุ่มจอมทะเล้นรับคำ แล้วร้องเรียกให้เพื่อ ๆ เข้าห้องเรียน

      “อาจารย์ครับของมาแล้วครับ”

      ชายหนุ่มบอกกับภรรยา พร้อมกับนำของไว้วางไว้ที่โต๊ะลักษณะเป็นแท่นยาว ๆ

      “ไปหาที่นั่งได้แล้ว ฉันจะได้เริ่มสอนเสียที”

      เธอบอก พยายามวางสีหน้าให้ดูราบเรียบ

      “ครับผม”

      อาเขตเดินไปนั่งประจำที่ ติดกับพาทศกรและเพื่อน ๆ แล้วหยิบเอาเอกสารทำงานที่ต้องอ่านและเซ็นออกมาดู ไม่สนใจการสอนของอาจารย์สักนิด

      รวิตาสอนไปเรื่อย ๆ ดูว่านักศึกษาตั้งใจฟังกันดี แต่เมื่อเธอกวาดสายตาไปที่สามี ก็เห็นว่าเขากำลังนั่งเปิดเอกสารปึกใหญ่ออกอ่านอย่างตั้งใจ

      นี่! มาเรียนแล้วยังจะเอางานมาทำอีกหรือ ฉันจะแกล้งคุณให้เจ็บแสบเลยทีเดียวคอยดูนะ

      เธอหันเหความสนใจมาจากเขา ตั้งหน้าตั้งตาสอนต่อไปจนเกือบหมดเวลาสอน

      “อาเขต”

      ชายหนุ่มเงยหน้าจากเอกสารมามองหน้าเธอ แล้วแกล้งยิ้มกว้าง

      “พี่เขตตายแน่ ผมเห็นอาจารย์มองพี่อยู่นานแล้ว”

      หนุ่มจอมทะเล้นกระซิบบอกรุ่นพี่อย่างเป็นห่วง

      “ครับ อาจารย์”

      อาเขตขานรับรวิตาอย่างมาดมั่น

      “เธอลองบอกหลักการสำคัญของมาเกตติ้งสิว่าต้องมีปัจจัยพื้นฐานอะไรบ้าง”

      หญิงสาวกระหยิ่มยิ้มย่อง นี่เป็นคำถามง่าย ๆ ที่นักศึกษาต้องตอบได้ แต่ก็มีหลายต่อหลายคนที่ตอบไม่ได้ เพราะมันง่ายจนไม่คิดจะจำ

      “ไพซ์, เพซ, โปรดัก,โปรดักชั่นครับอาจารย์”

      อาเขตตอบอย่างมั่นใจ พร้อมโล่งใจที่เธอไม่ถามถึงบทเรียนในวันนี้ หรือหากถาม ก็อาจจะตอบได้ แต่คงตอบได้อย่างกว้าง ๆ ไม่สามารถชี้เฉพาะเจาะจงได้

      “ถูกค่ะ อีกคำถามนะคะ”

      หญิงสาวยังต้องการจะเอาชนะเขา อยากจะให้เขาย้อนบทเรียนที่เธอพึ่งสอนมาให้เพื่อน ๆ ร่วมห้องได้ฟัง

      คราวนี้นายเสร็จฉันแน่ อาเขต

      “หมดเวลาแล้วครับอาจารย์ ผมต้องรีบกลับบ้านด้วยวันนี้”

      พาทศกรเอ่ยช่วยรุ่นพี่ที่เคารพ

      อาเขตถอนหายใจแรงแอย่างโล่งอก

      “ค่ะ งั้นเชิญเลยค่ะ วันนี้อาจารย์ไม่เช็กชื่อ ให้ฟรีหนึ่งวัน ใครที่เข้าเรียนผิดคาบก็เสียใจด้วยนะคะ พอดีว่าพาทศกรเขารีบกลับบ้าน”

      เธอบอกแล้วยิ้มหวานให้นักเรียนทุกคน แต่จงใจหวานที่สุดให้นักธุรกิจในคาบนักศึกษา ขณะที่อาเขตและพาทศกรหน้าตื่น ที่เสียเหลี่ยมให้เธอเข้า

      ในที่สุดเธอก็แกล้งเขาได้สำเร็จ

      “ผมช่วยได้แค่นี้จริง ๆ ครับพี่เขต”

      หนุ่มรุ่นน้องเสียงอ่อน หน้าแห้ง

      “ฉันรู้โว้ย”

      อาเขตบอก เก็บของลุกขึ้นหวังว่าจะไปคุยกับเธอให้รู้เรื่อง

      “ตืด.... ตืด...”

      แรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงกระทบกับต้นขาของเขาถี่ ๆ

      “ครับแม่”

      ชายหนุ่มรับโทรศัพท์

      รวิตารีบเก็บของแล้วออกจากห้องไปทันที ด้วยเกรงว่าอาเขตจะกลับมาแก้แค้น

      “ว่าไง เขตกับหนูวิตาเข้ากันได้ไหมลูก”

      เสียงนุ่มนวลดังมาตามสาย

      “ครับแม่ ไม่มีปัญหาอะไร น้องเค้าน่ารักดีครับ เราเข้ากันได้ดี”

      ลูกชายคนเดียวปดมารดา

      “แม่ก็กังวลว่ากลัวลูกจะมีปัญหากัน”

      เสียงกังวลของปลายสาย

      “ไม่เลยครับแม่ เราพยายามจะปรับตัวเข้าหากันครับ เมื่อวานก็พึ่งไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกันมา”

      “งั้นก็ดีแล้ว แม่จะได้หมดห่วง งั้นเท่านี้นะจ๊ะ มีปัญหาอะไรก็ใจเย็นนะเขต น้องยังเด็ก ต้องค่อย ๆ สอน”

      “ครับแม่ สวัสดีครับ”

      จบสายสนทนาเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ จะให้เขาสอนลูกสะใภ้ของท่านนะหรือ เฮอ ! เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา และในทางกลับกับ เขาเองที่เป็นฝ่ายมานั่งให้เธอเสียมากกว่า

      นั่นไง ! เธอหนีเขาไปแล้ว

      เสียงโทรศัพท์ดังเบา ๆ

      “ตู๊ด...ด ตู๊ด”

      หญิงสาวพยายามอุ้มหนังสือเล่มหนากับใบรายชื่อนักศึกษาไว้ในมือเดียว อีกมือหนึ่งพยายามจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือ

      “ค่ะแม่”

      ในที่สุดเธอก็ทำได้ หลังจากที่เสียงโทรศัพท์ดังและหยุดไปถึงสองครั้ง

      “เป็นไงบ้าง บายดีหรือเปล่าจ๊ะ”

      “สบายดีค่ะแม่ แม่ละคะสบายดีไหม”

      หญิงสาวพูดคุยอย่างมีความสุข เธอคิดถึงแม่ทุกวัน ความอบอุ่นที่เธอขาดไปหลังจากที่แต่งงาน กลับมาปรากฏอยู่ในหัวใจอีกครั้ง

      “สบายดีจ๊ะ หนูกับพี่เขตเข้ากันได้ดีไหมลูก”

      น้ำเสียงอ่อนโยนทอดออกมาตามสาย

      “ได้ค่ะ เราเข้ากันได้ดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

      “เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว แม่จะได้หมดห่วง”

      “แม่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ไม่มีอะไรที่ต้องทำให้แม่กังวลสักนิดเดียว”

      “จ้า เอาไว้แม่จะแวะไปหานะ”

      “ค่ะแม่ มานอนกับหนูสักวันนะคะ คิดถึงแม่จะแย่”

      เธออ้อนไปตามสาย

      “จ๊ะ”

      “จริงนะคะ วันศุกร์นี้มาเลยนะคะ หนูจะรอที่บ้านนะคะ สวัสดีค่ะแม่”

      เธอบอกแล้วตัดสายสนทนาไปก่อน ด้วยเกรงว่าจะได้ยินคำปฏิเสธของมารดา

      บ้านหลังขนาดกลางภายใต้ต้นไม้น้อยใหญ่ช่างเงียบเหงา

      รวิตานั่งอ่านนิตยสารเล่มหนาไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านี้ แม่ของเธอเลื่อนนัดออกไปเป็นวันนี้ วันอาทิตย์ตอนเย็น

      ส่วนอาเขตนั้นเธอไม่เห็นเขามาหลายวัน ไม่มาเรียน และไม่กลับบ้านด้วยซ้ำไป

      วันหยุดสุดสัปดาห์นี่ช่างน่าเบื่อเกินบรรยาย ไม่เหมือนเวลาที่เธอยืนอยู่ต่อหน้านักเรียนมากมาย ช่วงเวลาเหล่านั้นมันช่างมีความสุข เธอดีใจและปลาบปลื้มที่ได้ถ่ายทอดความรู้ที่มีให้แก่ลูกศิษย์อย่างเต็มความรู้ที่เคยได้ร่ำเรียนมา ยิ่งเวลาที่ทุกคนตั้งใจรับฟังสิ่งที่เธอหยิบยื่นให้ ก็ยิ่งทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส

      “กริ๊ง.... ๆ ”

      เสียงโทรศัพท์บ้านดังอยู่บนโต๊ะเล็กข้างตัวหญิงสาว

      “สวัสดีค่ะ บ้านอานาบุรารักษ์ค่ะ”

      “นี่ผมเองนะ อาเขต”

      ชายหนุ่มบอกไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ว่าเธอต้องจำเสียงของเขาได้

      “ค่ะ”

      เธอกรอกเสียงเนือย ๆ ลงไปใบกระบอกโทรศัพท์

      “ได้ข่าวว่าวันนี้แม่คุณจะมาค้างด้วยหรือ”

      “ค่ะ ถ้าคุณกรุณา ช่วยกลับมานอนที่บ้านสักคืนนะคะ คุณเจ้าของบ้าน”

      น้ำเสียงเนือย ๆไม่วายแขวะเขาออกไป

      “รู้น่า นี่ไงผมถึงโทรมาถาม นี่อย่าลืมนะ ว่าเราต้องทำทีว่ารักกัน ทำเป็นไหมอ้อน ๆ น่ะ”

      “รู้น่า คุณรีบกลับมาเสียทีเถอะ เดี๋ยวคุณแม่จะมาก่อน”

      เธอบอกแล้ววางหู ตัดการสนทนาไปก่อน

      ยามเย็นตะวันคล้อยตัวต่ำลง ท้องฟ้าเป็นสีแดงเข้ม บางส่วนฉาบด้วยสีเทา

      อาเขตถึงบ้านพร้อม ๆ กับแม่ยายที่จอดรถต่อท้ายเขาเพียงเสี้ยวนาที

      “สวัสดีครับคุณแม่”

      ชายหนุ่มเปิดประตูให้แม่ยาย

      “จ๊ะ สบายดีไหมตาเขต”

      “ครับแม่ เชิญข้างในเลยครับ วิตากำลังรออยู่เลย บ่นหาคุณแม่ตลอดเลยครับรายนั้น”

      เขาเริ่มแสดงไปตามบทบาท

      “ยายวิตานี่ทำตัวเป็นเด็กตลอด อย่าถือสาน้องเลยนะลูก”

      “ไม่ถือหรอกครับ ดีเสียอีก น่ารักดีครับ”

      ลูกเขยฉีกยิ้มกกว้าง แต่ฟันกลับขบดังกร๊อด

      ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าบ้านก็ได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างดีใจ

      “คุณแม่ คิดถึงที่สุดเลยค่ะ”

      รวิตาตรงเข้ามากอดมารดาไว้แน่น แถมหอมแก้มอีกฟอดใหญ่

      “แล้วไม่คิดถึงพี่บ้างหรือจ๊ะ”

      หญิงสาวทำตาเขียวใส่สามีในอ้อมอกของมารดา

      “คิดถึงสิคะ ทำงานมาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำก่อนสิคะ เดี๋ยววิตาดูแลคุณแม่เอง”

      เธอบอกเสียงใส แต่หน้าตาเหยเก

      “ไม่เอาไปด้วยกัน พี่ไม่รู้ว่าจะใส่ชุดไหนดี”

      ชายหนุ่มบอกแล้วยื่นมือไปหาหญิงสาว รอให้เธอวางมือมาที่เขา

      “ไปเถอะลูก แม่จะได้นั่งพักผ่อนก่อน”

      รมิดาบอกลูกสาว

      “แหม พี่เขตชอบทำตัวเป็นเด็ก หาของเองไม่ได้”

      เธอบอกหน้าเง้า ขณะที่อาเขตยิ้มร่า

      “ไปเถอะ เป็นหน้าที่ของเรานะวิตา”

      ชายหนุ่มส่งยิ้มขอบคุณแม่ยาย

      “ค่ะ”

      หญิงสาวสะบัดเสียง แล้วออกเดินนำหน้าเขาไป ไม่นำพาต่อมือใหญ่ตรงหน้า

      “อย่าโกรธน้องนะตาเขต”

      แม่ยายบอกลูกเขยเสียงอ่อน

      “ไม่หรอกครับ ดื้อ ๆ ผมชอบ”

      เขายิ้มกว้างให้แม่ยายอย่างจริงใจ เพราะความจริงเขาก็รู้สึกอย่างนั้น

      “ไปอาบน้ำ อาบท่าเถอะ เดี๋ยวแม่จัดการตัวเองเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

      เธอบอกเมื่อเห็นแม่มาตรเดินตรงเข้ามา
      “ครับ”
      ชายหนุ่มเดินขึ้นชั้นบนไปหาภรรยา

      อาเขตเดินเข้าห้องนอน เห็นว่าภรรยานั่งทำหน้าเง้าอยู่บนเตียง

      เกือบสองอาทิตย์ที่เขาไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลย มาบ้างก็ตอนที่เธอไม่อยู่ มาเอาเสื้อผ้า หรือของที่ยังหลงเหลืออยู่

      “ทำไมต้องเล่นขนาดนี้ด้วย นิดหน่อยคุณแม่ก็เชื่อแล้ว”

      เธอบ่นยาว

      “ไม่มีอะไร แค่อยากจะคุยซักซ้อมกันไว้ก่อน”

      “เรื่อง..........”

      เธอรีบขยับตัวหนี เมื่อเขาเดินมานั่งข้าง ๆ

      “ก็บอกว่าคืนนี้ผมต้องมานอนกับคุณด้วยไงเล่า”

      “ว๊าย ! จริงด้วยฉันลืมไปเสียสนิท”

      เธอบอกตกใจ

      “แค่นี้แหละ คุณไปดูคุณแม่เถอะ”

      เขาบอกเรียบง่าย

      “นี่นะหรือ เรื่องแค่นี้ พูดง่าย ๆ ฉันจะมานอนห้องเดียวกับผู้ชายยังไง ฉันเป็นสาวเป็นแซ่นะ”

      เธอบอกคิ้วขมวด เป็นกังวล

      “ลืมไปหรือเปล่า ว่าตัวเองแต่งงานแล้ว”

      เขาพูดเตือนสติในเรื่องที่เธอไม่อยากจำ

      “รู้น่า แต่ว่าระหว่างเราสองคนมันไม่เหมือนคู่อื่น ฉันก็เหมือนเดิม ต่างไปก็แค่คำนำหน้าชื่อ และนามสกุล”

      เธอเบ้ปากไปมาอย่างครุ่นคิด

      “ไม่ต้องคิดมากหรอก ผมไม่พิศวาสคุณแม้แต่นิดเดียว”

      ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ดึงหมอนข้างมาสามใบวางบนเตียง

      “นี่ เอานี่คั่นกลางเตียงเอาไว้ก็ได้ ถ้าไม่ไว้ใจผม”

      เขามองหน้าภรรยาที่มองหน้าเขาสลับกับกองหมอนข้างไปมา

      “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ดูคุณสิอ้วนอย่างกับหมู ก้นเป็นกระด้ง เอวก็หาย ดูน่าเกียจจัง”

      เขาไล่สายตาไปตามทรวดทรงของเธอ

      “จริงหรอ ฉันอ้วนหรอ อะไรเมื่อเช้าฉันชั่งน้ำหนักก็สี่สิบหกเท่าเดิมนี่นา”

      เธอบอกหน้าตื่น รีบวิ่งไปที่หน้ากระจก หมุนซ้ายที ขวาที พยายามสังเกตดูว่ามีพุง หรือเนื้อยุ้ย ๆ เพิ่มมาหรือเปล่า

      ชายหนุ่มกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นภรรยาดูตะนก แล้วเสียงหัวเราะก็เล็ดรอดออกมาจนได้

      หญิงสาวได้สติว่าหลงกลเขาเข้าให้แล้ว หันมายืนเท้าสะเอว ตาคมจ้องเป๋งไปที่เขาอย่างเอาเรื่อง

      ชายหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังจะโดนแก้แค้น จึงวิ่งฉิวผ่านหน้าเธอเข้าห้องน้ำ ลงกลอนอย่างมิดชิด แต่ไม่วายส่งเสียงขบขันออกมาให้หญิงสาวโมโห

      “คุณ ก่อนออกไปจากห้อง หาเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวให้ผมทีสิ ผ้าเช็ดตัวนี่เอามาวางหน้าห้องน้ำเลยนะ”

      “ไม่มีทาง อยากได้ก็ออกมาเอาเองสิ”

      เธอบอกเดินไปทุบประตูห้องน้ำดังปังอย่างต้องการระบายอารมณ์

      “ผมออกไปเองก็ได้ แต่แก้ผ้าออกไปนะ”

      ชายหนุ่มเอาหูแนบประตู ต้องการได้ยินเสียงฮึดฮัดไม่พอใจของเธอ

      “ว้าย ! อีตาบ้า ลามก ทุเรศจริงคุณนี่ ไม่ต้องออกมาแล้วนะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

      เธอเตรียมสิ่งที่เขาต้องการ แล้ววิ่งปรื๋อออกจากห้อง

      อาเขตเดินเข้าห้องอาหารขนาดกลางที่มีภรรยา และแม่ยายใจดีนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

      อาหารสามอย่างถูกจัดตั้งโต๊ะเอาไว้อย่างสวยงาม ขาดก็แต่คนที่จะลงมือทำให้มันพร่องหรือหายไปเท่านั้น

      “ขอโทษครับที่ช้า”

      เขาบอกออกมาอย่างมีมารยาท เมื่อนั่งลงที่หัวโต๊ะ  ท่ามกลางหญิงสองวัย

      คนจอมทะเล้นตอนนี้เปลี่ยนเป็นชายหนุ่มที่สุขุม วางกิริยามารยาทได้อย่างดี ดีจนรวิตายังแปลกใจ

      “ไม่หรอกจ๊ะ ยังไม่ถึงเวลาเสียด้วยซ้ำ”

      แม่ยายบอกอย่างเอ็นดู และชื่นชมในตัวลูกเขย ที่วางตัวได้สุภาพเรียบร้อย

      เธอคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกเขามาเป็นลูกเขย เขาเก่งทั้งเรื่องการงาน และเรื่องวางตัว ที่สำคัญเป็นคนขยัน ธุรกิจอะไรที่หยิบจับมักจะไปได้ดี

      “เชิญเลยครับคุณแม่”

      เขาเชื้อเชิญ

      การพูคุยระหว่างอาหารโดยมากจะเป็นการโต้ตอบระหว่างอาเขตและแม่ยาย ส่วนรวิตาเพียงฟังและคิดตาม มองสามีในแง่บวกมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนมีกึ๋น ชวนให้เคลิบเคลิ้มตามไป อีกทั้งการวางตัวช่างน่ามอง

      เมื่อการทานอาหารเย็นเสร็จสิ้น ทุกคนก็ย้ายกันไปนั่งพูดคุยที่ห้องนั่งเล่น โดยที่รวิตาต้องพยายามยิ้มแย้มหัวเราะไปกับสามี เมื่อเขาหันหน้ามาขอความคิดเห็น

      “คุยเพลินไปหน่อย เราสองคนไปนอนเถอะ เดี๋ยวแม่อยู่คุยกับแม่มาตรแล้วจะขึ้นนอนเหมือนกัน”

      รมิดาบอกกับลูกทั้งสอง

      “ให้วิตาอยู่เป็นเพื่อนนะคะ”

      หญิงสาวรีบเอ่ยออกมา ด้วยไม่อยากอยู่กับสามีตามลำพัง

      “ไม่ต้องจ๊ะ ไปดูแลพี่เขาเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปทำงานกัน”

      “เอ่...อ..”

      “ไปเถอะวิตา คุณแม่ท่านมีธุระกับป้ามาตร”

      ชายหนุ่มโผลงออกมา พร้อมกับคว้าแขนภรรยาเดินมุ่งหน้าไปห้องนอนด้วย

      ห้องนอนยามนี้ดูช่างร้อนอบอ้าว บางครั้งก็หนาวเหน็บสำหรับรวิตา

      “เป็นอะไรหน้าซีด ๆ “

      อาเขตนั่งลงบนเตียงนอนตบหมอนเบา ๆ ให้ฟูฟอง

      “เปล่านี่”

      หญิงสาวยังยืนเก้กังอยู่ที่ปลายเตียง ด้วยรู้สึกกระดากที่ต้องนอนร่วมเตียงกับสามี

      “เครียดไปได้ ก็อย่างที่ผมบอก ไม่นึกพิศวาสคุณแม้แต่นิด”

      เขาบอกแล้วล้มตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่เธอยังยืนคิ้วขมวดอยู่

      “จริงนะ”

      เธอถามเพื่อความแน่ใจ ไม่รู้เลยว่าคำถามนี้น่าขันเพียงไร

      “จริงแท้แน่นอน ร้อยเปอร์เซ็น”
      เขาบอกแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เธอ อดที่จะหัวเราะเธอไม่ได้

      “คุณขำอะไร”

      เธอถามไม่พอใจ เมื่อเห็นตัวสามีสั่นน้อย ๆ

      “ไม่ได้ขำ สะอึกนิดหน่อย”

      เขาบอกไม่มองหน้าเธอ

      “แล้วไป อย่าให้รู้เชียว”

      หญิงสาวตัดสินใจนั่งลงบนเตียง จัดเรียงหมอนข้างที่วางระเกะระกะอยู่ให้ตั้งเป็นชั้นบังเขาเอาไว้

      “คุณเห็นฉันหรือเปล่า”

      เธอถามเมื่อล้มตัวลงนอน

      “โอ้ย ไม่เห็นหรอก กำแพงหมอนข้างสูงขนาดนี้ ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วนะ ผมง่วง”

      เขาบอกแล้วปิดไฟที่หัวเตียง

      หญิงสาวนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดสิบนาที ก็อดระแวงโผล่หน้าไปดูว่าสามีหลับจริงอย่างที่บอกหรือเปล่าไม่ได้

      เมื่อเห็นว่าเขานอนหลับตา หายใจสม่ำเสมอเธอก็โล่งใจ ล้มตัวนอนหลับตามเขาไป

      “ตี๊ด.... ตี๊ด....”

      หญิงสาวเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ที่หัวเตียง

      “สวัสดีค่ะ บ้านอานาบุรารักษ์ค่ะ”

      เธอกรอกเสียงงัวเงียฟังไม่ได้ศัพท์ ตาทั้งสองดวงยังปิดสนิท ขณะที่อาเขตลืมตาฟังเธอรับโทรศัพท์อย่างตั้งใจ อยากจะรู้ว่าเธอมีชู้หรือเปล่า

      “สวัสดีค่ะ”

      หญิงสาวกรอกเสียงไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทางต้นสายเงียบไปนาน

      ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมา แต่มีเสียงหายใจติดขัดปนหอบ พร้อมกับเสียงครวญครางของผู้ชายดังเข้ามาในหู

      เมื่อจับต้นเสียงได้ชัดว่ามันคืออะไร เธอก็ร้องกรี๊ด ๆ ขึ้นมา

      “คุณ เงียบ ! เดี๋ยวคุณแม่ก็ตื่นหรอก”

      ชายหนุ่มถลาเข้ามาปิดปากเธอเอาไว้

      “เป็นอะไร”

      เขาถามหน้าเคร่ง

      หญิงสาวส่งสายตาไปที่กระบอกโทรศัพท์ที่หล่นอยู่ข้างตัว ทั้ง ๆ ที่มือของเขายังปิดปากเธออยู่

      “อย่าร้องอีกนะ”

      เขาปล่อยปากเธอให้เป็นอิสระ  แล้วหยิบกระบอกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

      เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงอะไร เขาก็ส่ายหน้า วางกระบอกโทรศัพท์ที่แป้นของมัน

      ไอ้โรคจิตพวกนี้ ทำความวุ่นวายให้เขาเสียกลางดึก

      “คุณนี่ แน่นอนเลย โห ! เสน่ห์แรงนะ ขนาดไอ้พวกโรคจิตโทรมาหาถึงบ้าน”

      เขาระเบิดเสียงหัวเราะ

      “อึ๋ย ! น่าเกียจอย่างนี้ ยังจะมาหัวเราะอีก ถ้ามันโทรมาอีกคุณต้องรับด้วย”

      เธอบอกแล้วล้มตัวลงนอน ไม่อยากมองหน้าสามีให้เขาเยาะเย้ย

      ยามเช้าแสงแดดอ่อนส่องสว่างผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง

      อาเขตนอนมองดูภรรยาที่กำลังซบหน้าเข้าหาอกกว้างของเขาอย่างน่าเอ็นดู กำแพงหมอนข้างพังทลายลงไปอยู่ที่พื้น

      หน้าตาเธอยามนี้ไร้ซึ่งพยศดั่งแม่ม้าสิ้นฤทธิ์ กลายเป็นเป็นเพียงหญิงสาวที่น่ารัก น่าถะนุถนอมไม่ต่างจากปุยนุ่น ใบหน้าเรียวมีเครื่องหน้างดงามแต่งแต้มอยู่

      เขาอยากจะจุมพิตปากอิ่มนัก หากแต่สถานะระหว่างทั้งสองคน มันมีเส้นของความถูกต้องเข้ามาขวางกั้น อาจารย์และลูกศิษย์

      “คุณ ตื่นได้แล้ว”

      เขาปลุกเธออย่างเสียมิได้

      หญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมา โดยไม่รู้ตัวตัวเองขยับตัวเข้ามาซุกซบอกเขาอย่างนี้

      “ผมเมื่อยนะนี่ มานอนซบอกผมอยู่ได้ ผมเป็นหนุ่มเป็นแน่น แล้วนี่ใครจะรับผิดชอบ”

      เขาแกล้งโวยวายดับความรู้สึกต่อเธอ ที่เพิ่มขึ้นทุกวันจนเขาอดแปลกใจไม่ได้

      “บ้าหรอ ฉันสิเสียหาย ใช่คุณเมื่อไหร่”

      เธอบอกตาสว่าง พลันลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเรียวแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก

      “ก็ดูสิว่าใครข้ามเขตใคร”

      “ฉัน ! แล้วไง มีปัญหาอะไรไหม”

      เธอบอกหาเรื่อง

      “ก็ไม่แล้วไง แค่บอกเอาไว้”

      เขาแกล้งยอมแพ้

      “อืม ผมมีอะไรจะบอก”

      เขาบอกสีหน้าจริงจัง

      “อะไรล่ะ”

      “ผมย้ายไปเรียนภาคค่ำแล้วนะ ผมต้องทำงานไม่มีเวลาไปเรียนเลย แล้วก็ผมจะไม่อยู่บ้าน หากว่าคุณมีปัญหาอะไรก็โทรหาผมแล้วกันนะ”

      “อืม”

      เธอพูดออกมาได้เพียงเท่านี้ อดรู้สึกใจหายไม่ได้ที่จะไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก แสงแดดอ่อนที่เล็ดลอดเข้ามาเริ่มร้อนแรงแผดเผาหัวใจของเธอ

      “งั้นผมขออาบน้ำก่อนนะ มีงานแต่เช้า”

      ชายหนุ่มลงจากเตียง ร่างกายของเขาเหมือนนุ่นที่ไร้น้ำหนัก

      เขาไม่อยากจากเธอไป แต่หากว่ายังอยู่ที่นี่ ได้เห็นเธอทุกวัน คงต้องรักเธอมากกว่านี้เป็นแน่ ที่สำคัญร่างกายของเขามันร้องเรียกหาเธอทุกนาที

      ยามเย็นสวนภายในมหาวิทยาลัยช่างน่าชดชื่น ทุกอณูบริเวณเขียวชอุ่มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ สายลมเบาบางชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย

      แต่รวิตากลับนั่งเหม่อมองออกไปข้างหน้า ไม่ได้รู้สึกซึมซับกับธรรมชาติรอบตัว อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่ รู้สึกเพียงอ่อนล้า ตัวเบาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะขับเคลื่อน

      ต้นหูกวางผลัดใบล่วงสะเทิ้นลงบนพื้นต่อหน้า เธอรู้สึกสะท้านอยู่ในอก ใจของเธอก็ไม่ต่างจากมันมากนัก ที่เคยยืดยัด แต่บัดนี้มันเบาบางเสียจนควบคุมไม่ได้

      การสอบไฟนอนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นักศึกษามามหาวิทยาลัยบางตา มีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่เดินทางมาดูผลสอบในแต่ละวิชาต่าง ๆ

      เวลาห้าเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนรวิตาคิดว่ามันเป็นเวลาห้าปีเสียด้วยซ้ำ ทำไมช่วงเวลาที่เธอไม่มีเขา.... อาเขต มันช่างอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ชีวิตเธอมันเหมือนดั่งต้นไม้ที่ขาดน้ำหล่อเลี้ยงเป็นเวลานาน

      ในสมองของเธอมีคำถามที่เพียรเวียนวนมาให้คิด

      “เธอรักเขาหรือ รักคนที่เขาไม่เคยคิดจะรักเธอ รักคนที่เขาไม่อยากแม้แต่จะอยู่ร่วมบ้านกับเธอ”

      “คุณผู้หญิงครับ กลับบ้านหรือยังครับ”

      นายวัยเข้ามาถามเธอ

      “จ๊ะ กลับเถอะ ฉันมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

      รถคันใหญ่ขับมุ่งทะยานไปข้างหน้า ไปยังบ้านที่ช่างอ้างว้าง อยู่ ๆ น้ำตาหยดเล็ก ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาของหญิงสาว เธอกำลังยืนอยู่บนโลกกว้างใหญ่นี้เพียงลำพัง หันหน้าไปทางใดก็ว่างเปล่า

      “บอกป้ามาตรด้วยนะว่าวันนี้ฉันไม่ทานข้าว”

      เธอบอกนายวัยเมื่อลงจากรถ

      “ครับ”

      หญิงสาวลงจากรถ เดินมุ่งหน้าเข้าไป เก็บตัวอยู่ในห้องนอนอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีไปกว่านี้

      เมื่อยามล้มตัวลงนอน จิตใจก็วนเวียนกลับไปวันที่เขามานอนเคียงคู่ หยอกล้อเธอต่าง ๆ นานา อกกว้างที่เธอเคยแนบชิด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ให้ความรู้สึกสุขลึก ๆ อย่างประหลาด

      เสียงเคาะประตูเบา ๆ เรียกเธอกลับมาจากวังวนภาพเดิมกับวันที่เคยมีเขา

      “เชิญจ๊ะ”

      คงจะเป็นป้ามาตรมาตามเธอไปทานข้าว แต่คนที่เดินเข้ามาในห้องกลับเป็นคนที่เธอคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา

      ดวงตากลมฉายแววดีใจ แต่กลับหมองลงเมื่อคิดได้ว่า อาเขตคงแค่มาเอาอะไรบางอย่าง ไม่ได้มาเพราะคิดถึงเธออย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอยู่ตอนนี้

      หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง สายตาตกอยู่ที่ปลายเท้า ไม่มองดูหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

      “สบายดีไหมคะ”

      เธอถามอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้

      “ครับ สบายดี คุณล่ะ”

      ชายหนุ่มมองสำรวจเห็นใบหน้าเศร้าหมอง ก็อดใจหายไม่ได้ เธอ..คนที่เคยสดใสร่าเริง ตอนนี้ไม่มีเหลือเค้านั้นอยู่เลย

      อาเขตอยากยื่นมือไปสัมผัสเธอให้สมรัก อยากถาม พูดคุย อยากบอกอะไรมากมายที่คั่งค้างอยู่ในใจของเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลายต่อหลายคืนที่เขามองดูดาวด้วยความเหงา บางครั้งอยากถามเอาจากจันทร์ด้วยซ้ำว่า หญิงสาวที่คิดถึงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึง ห่วงหาเขา อย่างที่เขาคิดถึงเธอหรือเปล่า

      “สบายดีค่ะ ไปเรื่อย ๆ แบบเดิม”

      เธอบอกไม่มองหน้าเขา

      “ผมเรียนจบแล้ว”

      เสียงของเขาแผ่ว

      “ยินดีด้วยนะคะ”

      เธอบอกสายตาตกอยู่ที่พื้นห้อง

      ชั่วขณะชายหนุ่มนั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ เพื่อมองใบหน้าเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ในใจก็คิดอยากจะเสี่ยงเอ่ยความในใจออกไปให้เธอรับรู้

      “วิตา.. ผมมาทวงสิ่งที่คุณเคยสัญญากับผมไว้”

      เสียงชายหนุ่มอึกอัก อย่างตัดสินใจไม่ตกว่าจะพูดกับเธออย่างไรดี

      “อะไรล่ะคะ”

      เธอเงยหน้ามองหน้าเขา สบกับดวงตาคม ใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ลมหายใจกางกั้น ดวงตาของเขามีอะไรบางอย่าง พลันเธออดใจหายไม่ได้ ไม่อยากคิดว่าเขาจะมาขอหย่ากับเธอ หากว่าเป็นอย่างที่คิด เธอก็ต้องยอมทำตามที่เขาปารถนา ทั้ง ๆ ที่มันขัดกับใจเธอเหลือเกิน แต่หากว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เธอให้ได้ทุกอย่างเท่าที่เธอมี

      “ผมมาทวงจูบจากคุณ”

      ชายหนุ่มบอกแล้วตัดสินใจจุมพิตเธอเบาบาง และรวดเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน

      ที่ผ่านมาโดยไม่มีเธอ เขาต้องเจ็บปวด และทรมานเหลือเกิน มาวันนี้หากจะผิดหวังอีกครั้ง แผลนั้นก็คงจะไม่ใหญ่เกินไปกว่าแผลเดิมที่มีอยู่

      หญิงสาวหน้าตื่นอย่างคาดไม่ถึงเมื่อเขาจูบเธอเอาดื้อ ๆ ใบหน้าเธอร้อนผ่าว ดั่งมีไฟสุม

      “สองจูบนะจำได้ไหม”

      คราวนี้เขาสะกดเธอให้อยู่ภายใต้มนต์เสน่ห์หา ตาสองคู่จับจ้องถ่ายเทความรู้สึกลึก ๆ ให้แก่กัน จูบครั้งนี้แต่งต่างกว่าครั้งแรกริบลับ มันช่างหอมหวานดั่งดอกไม้แย้มกลีบรับแสงแดดอ่อนยามเช้า

      ร่างกายหญิงสาวร้อนผ่าวไปทั้งตัว อารมณ์พลุ่งพล่านด้วยเขาปลุกมันขึ้นมา

      ชายหนุ่มจุมพิตเธอบางเบาไปทั่วทั้งหน้าอย่างที่โหยหาจากเธอมานาน หญิงสาวไม่รู้ตัวสักนิดว่าเสื้อผ้าหลุดไปจากร่างกายเมื่อใด ด้วยสนใจเพียงแต่คนตรงหน้าเท่านั้น

      ดวงไฟสองดวงลุกโชตหล่อหลอมร่างกาย และหัวใจทั้งสองดวงเข้าด้วยกัน ส่วนที่ขาดหายไปถูกเติมเต็ม ความรู้สึกที่อยากเกินบรรยายท่วมท้นอยู่ในหัวใจทั้งสองดวง

      ยามสายแสงแดดสาดส่องผ่านเข้ามากระทบดวงตาของรวิตาจนเธอต้องหยีตาหลบเลี่ยง มือว่างเปล่ายื่นออกไปควานหาผ้าห่มมาคลุมศีรษะ หากแต่ว่ามือนั้นกลับสัมผัสกับเนื้อแน่น

      หน้าอกผู้ชาย

      หญิงสาวตกใจลุกขึ้นนั่งมองไปที่ข้างตัว พลันเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมา พร้อมกับสายน้ำตาพรั่งพลูหลไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งคู่

      “เป็นอะไรกันคุณ โวยวายแต่เช้า”

      อาเขตบอกแกล้งรำคาญ

      “คุณ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ มาดูว่าคุณทำอะไรลงไป คุณทำอะไรกับฉัน”

      เธอบอกสะอื้น ขณะที่ชายหนุ่มนอนคว่ำหน้าอมยิ้มกับหมอน

      “ทำอะไร เมื่อคืนเราเมคเลิฟกัน ผมจำได้น่า”

      เสียงของเขาราบเรียบ ไม่ตื่นเต้นตกใจ

      “พูดง่าย ๆ ฉันเป็นผู้หญิงนะ ฉันเสียหาย คุณบอกว่าจะจูบแค่สองครั้ง แต่นี่อะไร ฮือ ๆ ”

      เธอบอกยกมือปาดน้ำตา มองดูสภาพเปลือยเปล่าของตัวเองภายใต้ผ้าห่มผืนบางที่ปกปิดอยู่

      “เอาน่า ผมจะรับผิดชอบ”

      เขาหาวนอน กลั้นหัวเราะ

      นี่เธอเป็นเมียเขานะ ยังจะมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากเขาอีก

      “รับผิดชอบหรอ พูดง่าย ๆ ฮื่อ ๆ ”

      สิ้นเสียงชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งมองหน้าเธออย่างเอ็นดู พลางยื่นมือไปคว้ามือเรียวมามากุมเอาไว้

      “ไม่เอา ไปใส่เสื้อก่อนเลยนะ ฮือ ๆ “

      เธอบอกหน้าแดงที่เห็นแผงอกแข็งแรงของเขา แต่ยังไม่วายสะอื้นฮัก แล้วพยายามขืนมือออกจากอุ้งมือใหญ่ของเขา

      “เมื่อคืนคุณนอนซบจนถึงเช้า”

      “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันนี่ ฮือ ๆ ”

      “ผมจะรับผิดชอบคุณด้วยหัวใจ พอหรือเปล่า”

      เขาบอกจุมพิตมือเรียวเบา ๆ อย่างมีความสุข

      “หมายความว่ายังไง”

      เธอถามตาโต

      “ผมรักคุณ”

      เขาจ้องตาเธอ ใส่ความรู้สึกดี ๆ ลงไปในนั้น ให้ส่งผ่านไปถึงเธอ

      “จริงนะ”

      เธอถามไม่ไว้ใจ

      “จริงสิ รักมาก เมื่อวานผมก็แสดงให้คุณรู้ไปแล้วนี่”

      เขาบอกเขยิบเข้าไปโอบกอดร่างบางเอาไว้

      หญิงแหงนหน้ามองตาเขา

      “ฉันก็รักคุณค่ะ”

      ในที่สุดเธอก็เอ่ยออกมา น้ำตาของเธอหลั่งไหลออกมาอีกครั้งด้วยความสุข พลันสวมกอดเขาเอาไว้แน่น

      “หยุดร้องไห้ได้หรือยัง”

      เขาถามมองหน้าเธอ

      “อยากร้องนี่คะ”

      เธอบอกยิ้มให้เขา

      “แต่ผมอยากทำอย่างอื่นนี่น่า”

      เขาส่งสายตาวาว

      “อะไรล่ะคะ”

      เธอแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง

      “ให้คุณเดาดีไหม”

      เขาบอก ขณะที่มือใหญ่เริ่มซุกซนดึงผ้าห่มผืนบางออกจากตัวของเธอ

      “อยากออกไปขับรถเล่นหรอคะ”

      เธอบอกยื้อผ้าห่มกับเขา

      “ได้ แต่ต้องหลังจากที่ผมรักคุณนะ”

      ชายหนุ่มทึ้งผ้าห่มจากตัวเธอจนสำเร็จ สายตาของเขาสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

      หญิงสาวเบียดตัวเข้าหาเขาอย่างอาย ๆ ที่ถูกมองจริงจัง

      “ยังอายอยู่หรอ”

      “ฉันไม่ใช่คุณนี่คะ วันนี้นอนที่ไหนคะ”

      “ไม่ไปที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่กับคุณเท่านั้น”

      “รักคุณจังค่ะ”

      เธอบอก แล้วเออออตามแต่ที่ใจของเธอและเขาปารถนา เพราะเขาก็เป็นที่ปารถนาของเธอเช่นกัน

      หัวใจสองดวงที่เคยร้าว บัดนี้หล่อมหลอมเข้าหากันสนิทด้วยความรัก ทามกลางความวุ่นวายรอบ ๆ ตัว จะมีรักของทั้งคู่ลอยวนเวียนอยู่ทั่วอณู เผื่อวันใดที่ใครท้อแท้ เหนื่อยล้า วันนั้นมีรักเข้าไปทดแทน ดับความรู้สึกทดท้อไปจนหมดสิ้น

      จบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×