นายใจร้าย - นิยาย นายใจร้าย : Dek-D.com - Writer
×

    นายใจร้าย

    เมื่อจำเป็นต้องยายไปอยู่บ้านหลังใหม่ในฐานะผู้อาศัย 'ปอ' ต้องรับมือกับ 'บาส' ลูกชายเจ้าของบ้าน ที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขาเอาซะเลย ภายใต้ความหล่อของเขามันซ่อนความร้ายกาจเอาไว้มากมายเหลือเกิน

    ผู้เข้าชมรวม

    4,136

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    44

    ผู้เข้าชมรวม


    4.13K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    77
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  33 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ม.ค. 65 / 15:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ

    "Devil Inside You"

    ใครจะรู้ว่าผู้ชายหัวเกรียนๆที่มีหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร จะกลายเป็นซาตานที่คอยทำร้ายร่างบางผู้บอบบางได้ถึงเพียงนี้

    บทนำ

     

    สาวใหญ่เศรษฐินีกำลังขับรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน มาถึงทางเปลี่ยวเจ้าหล่อนก็ต้องอารมณ์เสียเพราะจู่  ๆ รถคู่ใจก็มีปัญหาดับกลางทาง แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือสถานที่แห่งนี้มันเปลี่ยวเกินกว่าที่จะมีร้านซ่อมรถ หล่อนจึงโทรเรียกใช้บริการร้านซ่อมประจำ ในระหว่างนั่งรอในรถอย่างหวาดระแวงนั้นมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งเข้ามาเคาะกระจกรถ

                ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

                มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณนาย”

                “เอ่อ รถฉันเสียค่ะแต่กำลังรอช่างมาซ่อม ขอบคุณนะคะแต่ไม่เป็นไรดีกว่า” หล่อนกล่าวอย่างเกรงใจ

                แม้จะเอ่ยด้วยท่าทีเรียบนิ่ง แต่ ฉัตรวลี เองก็รู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะถนนเส้นนี้เปลี่ยวจนแทบไม่มีรถผ่าน ทันใดนั้นหนุ่มคนที่ถามเมื่อครู่ได้เปิดประตูรถของหล่อนออก ทั้งสองต่างดึงประตูรถแต่ไม่มีทางที่หล่อนจะสู้แรงชายหนุ่มได้ประตูรถถูกเปิดออก

                “เอากระเป๋าตังค์มา เอาของมีค่ามาให้หมด ไม่งั้นแกตาย” โจรหนุ่มเอ่ยพร้อมทั้งชักใบมีดออกมา

                หล่อนรู้สึกหวาดกลัวจึงยื่นกระเป๋าสตางค์ให้โดยเร็ว ไม่ได้เสียดายเลยแม้แต่น้อยหากมันจะแลกกับความปลอดภัย โจรหนุ่มได้ยื่นมือไปคว้ากระเป๋า พร้อมกันนั้นสังเกตเห็นแหวนที่หล่อนใส่อยู่จึงเกิดความโลภขึ้นมาอีก เพราะเพชรเม็ดนั้นดูใหญ่โตล่อตาโจรเสียจริง

                “เอาแหวนนั้นมาด้วย”

                “ไม่ได้นะ! อันนี้ฉันขอได้ไหมมันสำคัญกับฉันมาก” หล่อนบอกพร้อมเอามือปิดแหวนไว้เพราะมันเป็นแหวนประจำตระกูลที่แม่หล่อนให้มา

                โจรได้ยื่นมือไปดึงเอาแหวนแต่หล่อนดึงมือไว้ จึงเกิดการยื้อยุดฉุดกระชาก พร้อมกันนั้นฉัตรวลีได้ร้องขอให้คนช่วย

                “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที”

                ระหว่างที่ น้อย และลูกชายกำลังเดินเข็นรถขายข้าวแกงกลับบ้านก็ได้ยินคนร้องให้ช่วย เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นคนกำลังฉุดกระชากกันอยู่ข้างรถ หล่อนและลูกชายจึงได้รีบวิ่งเข้าไปช่วย

                “หยุดนะ! แกจะทำอะไรน่ะ” น้อยตะโกนเสียงดังเพื่อข่มขวัญ แต่เสียงของหล่อนไม่ทำให้โจรสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เพราะแหวนที่ต้องการนั้นทำเงินให้มันได้มากโข เมื่อเห็นอย่างนั้นหล่อนจึงบอกให้ลูกชายไปตามคนมาช่วย ส่วนตัวเองได้เข้าไปช่วยฉัตรวลีดึงแหวนคืนจากเจ้าโจรนั่น

                “ไอ้โจรชั่วแกปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ฉันให้ลูกชายไปตามคนมาช่วยแล้ว ถ้าแกไม่ปล่อยแกโดนจับแน่” หล่อนบอกพร้อมกระชากตัวโจรหนุ่มให้ออกห่างจากรถไปพลาง

                “เสือกดีนัก ถ้างั้นมึงก็ตายก่อนจะมีคนมาช่วยละกัน”

    “ระวังมีดค่ะ!” ฉัตรวลีส่งเสียงเตือนด้วยความตกใจ

    แต่ไม่ทันการแล้วเพราะน้อยโดยมีดจ้วงแทงที่ท้องจนล้มลงนอนกับพื้น เอามือกุมท้องอย่างเจ็บปวดและทรมาน ในขณะนั้นเอง ปอ ลูกชายของหล่อนรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านจำนวนหลายคน เมื่อโจรหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ของฉัตรวลี ส่วนแหวนยังดีที่มันเอาไปไม่ได้

                “คุณทำใจดี ๆ ไว้ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคะ” ฉัตรวลีพยุ่งร่างของน้อยไว้ พร้อมกับโทรเรียกรถพยาบาลอย่างลนลาน

                “แม่!” ปอเปล่งเสียงออกมาด้วยความกลัวว่าผู้เป็นมารดาจะเป็นอะไรไป รีบวิ่งมาประคองไว้

                “ฉันโทรเรียกรถพยาบาลแล้วอีกประเดี๋ยวคงมา ขอโทษที่ทำให้แม่หนูโดนทำร้าย ถ้าไม่มาช่วยฉันคงไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้” ฉัตรวลีกล่าวทั้งที่ยังคงร้องไห้ ยังไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

                “มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ มันเป็นความผิดของไอ้โจรชั่วคนนั้น ผมเกลียดมัน ผมเกลียดมันฮือ ๆ แม่อย่าเป็นอะไรไปนะครับ” ปอกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาโกรธแค้น หลั่งน้ำตาเป็นสายด้วยความเป็นห่วงมารดา

     

                ณ โรงพยาบาล

    รถพยาบาลมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน ตอนนี้น้อยถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียู ส่วนปอและฉัตรวลีต่างก็นั่งรอหน้าห้องพยาบาลอย่างเป็นกังวล

    “ฉัตร เป็นยังไงบ้าง” ฉัตรวลีซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่หน้าห้องไอซียู เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง หล่อนหันไปมองและรีบวิ่งโผเข้าไปกอด ประวิทย์ ผู้เป็นสามี

    “ฉันไม่เป็นไร แต่คนที่มาช่วยฉันโดนมีดแทงค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียูยังไม่ออกมาเลย” หล่อนเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าและรู้สึกผิด

    “ผมเชื่อว่าคนดี ๆ จะต้องไม่เป็นอะไร อย่ากังวลไปเลยนะ” ประวิทย์ปลอบภรรยาพลางลูบศีรษะเบา ๆ

    “ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” คุณหมอเอ่ยถามเมื่อออกมาจากห้องไอซียู

    “ผมครับ แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ” ปอรีบวิ่งไปหาคุณหมออย่างกังวล

    “คุณหมออย่าให้เธอเป็นอะไรนะคะ คุณหมอต้องช่วยเธอให้ปลอดภัยนะคะ”

    “ใจเย็น ๆ นะครับ คือตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่มีดไม่โดนอวัยวะสำคัญ พักฟื้นหนึ่งสัปดาห์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ” คุณหมอกล่าวอย่างใจเย็น

    “ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ แต่ถึงอย่างไรคุณหมอก็ต้องช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาเพราะดิฉันจะรับผิดชอบเอง” ฉัตรวลีกล่าวอย่างรู้สึกโล่งใจ

    “ขอบคุณนะครับคุณหมอ ขอบคุณคุณนายด้วยนะครับที่ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ผม” ปอยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอและฉัตรวลีอย่างนอบน้อม

    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะหนู เป็นฉันเองสิที่ต้องขอบคุณหนูและแม่ที่ช่วยชีวิตไว้ ไม่งั้นฉันเองอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ฉัตรวลีเอ่ยกับเด็กชายตรงหน้าอย่างรู้สึกเอ็นดู

    *-*-*-*-*-*-*

     

    ระหว่างที่น้อยพักฟื้นในโรงพยาบาล ปอได้มาดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดทุกวัน ส่วนฉัตรวลีเองก็ได้มาเยี่ยมน้อยทุกวันหลังเลิกงานเช่นกัน หล่อนรู้สึกรักและเอ็นดูสองคนแม่ลูกอย่างบอกไม่ถูก หลังจากน้อยพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลจนหายดีแล้ว ฉัตรวลีก็มารับทั้งสองกลับบ้านด้วยตัวเอง

    “แล้วบ้านน้อยอยู่แถวไหนละจ๊ะ” ฉัตรวลีถามเมื่อกำลังเดินไปยังลานจอดรถ

    “อยู่ในสลัมใกล้กับจุดที่คุณนายโดนปล้นค่ะ” น้อยบอก

    “อยู่ในบางประชาหรือเปล่า” หล่อนเอ่ยชื่ออย่างรู้ดี เพราะที่นั่นเป็นชุมชนสลัมบนที่ดินของหล่อนเอง แต่ไม่ได้คิดจะทวงคืนนั่นเพราะรู้ว่าชาวบ้านคงไม่มีที่ไป

                “ใช่ค่ะคุณนาย”

    “เรียกฉันคุณฉัตรก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอก น้อยกับลูกมีพระคุณกับฉัน ฉันจะช่วยเหลือน้อยให้ได้มากที่สุดที่ฉันจะทำให้ได้”

    “เอ่อ ฉันไม่ได้หวังอะไรนะคะ ใครที่มาเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นคงช่วยเหมือนฉันทุกคนค่ะ แล้วคุณฉัตรรู้จักบางประชาได้ยังไงคะ” หล่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย

    “เพราะฉันเป็นเจ้าของที่ดินที่นั่นยังไงล่ะ” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

    “จริงเหรอคะ ขอโทษนะคะที่ฉันตาไม่ถึง ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณฉัตรเป็นเจ้าของที่ดินตรงนั้น” หล่อนยกมือไหว้ฉัตรวลีอย่างลุกลี้ลุกลน น้อยเองเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจ้าของที่ดินเป็นเศรษฐีแถวนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาเอาที่ดินคืนเหมือนกัน

    “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันไม่คิดจะเอาที่ดินไปทำอะไรหรอก เพราะฉันอยากให้ชาวบ้านมีที่อยู่ที่ทำกิน ฉันไม่ใจร้ายหรอกน่า” หล่อนกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะขับรถมุ่งหน้าไปยังบางประชา

    บ้านไม้ชั้นเดียวคือสถานที่เรียกว่าบ้านของสองแม่ลูก ถึงบ้านจะดูเก่าและโทรมแต่ปอและน้อยก็ดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี ปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านทำให้ดูน่าอยู่มากขึ้น

    “น้อยอยู่ที่นี่นานหรือยังจ๊ะ บ้านน่าอยู่นะ” ฉัตรวลีถามพร้อมมองไปยังรอบ ๆ บ้านอย่างสนใจ

    “นานแล้วค่ะ ตั้งแต่ปอยังไม่เกิด จริง ๆ แล้วฉันอยากจะเชิญคุณฉัตรเข้าไปข้างในแต่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ ส่งฉันกับลูกแค่นี้ก็ได้ค่ะ”น้อยเอ่ยอย่างเกรงใจ

    “ฉันไม่ได้เป็นคนที่ถือยศถือศักดิ์ขนาดนั้น เข้าไปกันเถอะ ฉันอยากรู้ว่าน้อยกับลูกอยู่กันยังไง”

                ฉัตรวลีกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกับเจ้าบ้านทั้งสองคน เมื่อเข้ามาแล้วน้อยก็นำน้ำดื่มมาให้ตามมารยาท แต่ก็ยังคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจ ทว่าสีหน้าและท่าทางของฉัตรวลีไม่ได้อึดอัดอะไรจึงวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง

                “บ้านน่าอยู่กว่าที่คิดนะ ถึงจะดูเก่าแต่จัดข้าวของเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน”

                “ขอบคุณค่ะคุณฉัตร”

    “เข้าเรื่องเลยละกันนะ ฉันอยากจะชวนน้อยกับลูกไปอยู่ด้วยกัน พอดีแม่บ้านเพิ่งจะลาออกไป ไปอยู่ที่นั่นฉันจะส่งเสียปอให้เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ จะได้มีอนาคตที่ดี น้อยกับปอจะได้ไม่ต้องลำบากไง” ฉัตรวลียื่นข้อเสนออย่างมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลง

    “เอ่อ มันจะดีเหรอคะคุณฉัตร คือ...ฉันขายข้าวแกงทุกวันนี้ก็มีความสุขดี อยู่กับลูกสองคนไม่ได้ลำบากอะไรมาก อีกอย่างพวกเราเองก็ไม่อยากรบกวนคุณฉัตรค่ะ”

    “ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเดิม ๆ แต่น้อยไม่อยากให้ปอได้เรียนสูง ๆ เรียนโรงเรียนดี ๆ เหรอจ๊ะ”

    ได้ยินอย่างนั้นน้อยก็เริ่มคัดหนักมากขึ้น เพราะหล่อนก็อยากให้ลูกชายได้รับโอกาสดี ๆ เหมือนเด็กคนอื่น ตอนนี้ปอเรียนโรงเรียนแถวบ้าน ถึงไม่ได้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่การขายข้าวแกงไปวัน ๆ อย่างนี้คงไม่มีปัญญาส่งเสียให้ลูกชายเรียนสูง ๆ  หากปอได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ มีความรู้เลี้ยงตนเองได้ เป็นเช่นนั้นเธอคงตายตาหลับ หากการย้ายไปอยู่ที่นั่นจะเป็นผลดีต่อปอ หล่อนก็อยากจะทำมัน เพราะในชีวิตนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอนาคตของลูกชายแล้ว

    “ปอคิดยังไง ถ้าเราจะย้ายไปอยู่กับคุณฉัตร” น้อยเอ่ยถามลูกชาย

    “แล้วแต่แม่เลยครับ แม่อยู่ที่ไหนปอก็จะอยู่ที่นั่น เพราะแม่คือความสุขของปอ”

    สองแม่ลูกส่งยิ้มให้กัน สวมกอดกันอย่างแนบแน่น น้อยยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู

    แม้จะรู้สึกหวั่นกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญในสถานที่ใหม่ บ้านหลังใหม่ สังคมใหม่ แต่การมีมารดาอยู่ข้างกายอย่างนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นปอจะไม่มีวันกลัวสิ่งใดอย่างแน่นอน

     

     

     

                           

     

     

     

               

               

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น