นายใจร้าย
เมื่อจำเป็นต้องยายไปอยู่บ้านหลังใหม่ในฐานะผู้อาศัย 'ปอ' ต้องรับมือกับ 'บาส' ลูกชายเจ้าของบ้าน ที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขาเอาซะเลย ภายใต้ความหล่อของเขามันซ่อนความร้ายกาจเอาไว้มากมายเหลือเกิน
ผู้เข้าชมรวม
4,136
ผู้เข้าชมเดือนนี้
44
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทนำ
สาวใหญ่เศรษฐินีกำลังขับรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน มาถึงทางเปลี่ยวเจ้าหล่อนก็ต้องอารมณ์เสียเพราะจู่ ๆ รถคู่ใจก็มีปัญหาดับกลางทาง แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือสถานที่แห่งนี้มันเปลี่ยวเกินกว่าที่จะมีร้านซ่อมรถ
หล่อนจึงโทรเรียกใช้บริการร้านซ่อมประจำ ในระหว่างนั่งรอในรถอย่างหวาดระแวงนั้นมีชายวัยรุ่นคนหนึ่งเข้ามาเคาะกระจกรถ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณนาย”
“เอ่อ รถฉันเสียค่ะแต่กำลังรอช่างมาซ่อม
ขอบคุณนะคะแต่ไม่เป็นไรดีกว่า” หล่อนกล่าวอย่างเกรงใจ
แม้จะเอ่ยด้วยท่าทีเรียบนิ่ง แต่ ‘ฉัตรวลี’ เองก็รู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย
เพราะถนนเส้นนี้เปลี่ยวจนแทบไม่มีรถผ่าน
ทันใดนั้นหนุ่มคนที่ถามเมื่อครู่ได้เปิดประตูรถของหล่อนออก ทั้งสองต่างดึงประตูรถแต่ไม่มีทางที่หล่อนจะสู้แรงชายหนุ่มได้ประตูรถถูกเปิดออก
“เอากระเป๋าตังค์มา
เอาของมีค่ามาให้หมด ไม่งั้นแกตาย” โจรหนุ่มเอ่ยพร้อมทั้งชักใบมีดออกมา
หล่อนรู้สึกหวาดกลัวจึงยื่นกระเป๋าสตางค์ให้โดยเร็ว
ไม่ได้เสียดายเลยแม้แต่น้อยหากมันจะแลกกับความปลอดภัย โจรหนุ่มได้ยื่นมือไปคว้ากระเป๋า
พร้อมกันนั้นสังเกตเห็นแหวนที่หล่อนใส่อยู่จึงเกิดความโลภขึ้นมาอีก เพราะเพชรเม็ดนั้นดูใหญ่โตล่อตาโจรเสียจริง
“เอาแหวนนั้นมาด้วย”
“ไม่ได้นะ! อันนี้ฉันขอได้ไหมมันสำคัญกับฉันมาก” หล่อนบอกพร้อมเอามือปิดแหวนไว้เพราะมันเป็นแหวนประจำตระกูลที่แม่หล่อนให้มา
โจรได้ยื่นมือไปดึงเอาแหวนแต่หล่อนดึงมือไว้
จึงเกิดการยื้อยุดฉุดกระชาก พร้อมกันนั้นฉัตรวลีได้ร้องขอให้คนช่วย
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที”
ระหว่างที่ ‘น้อย’ และลูกชายกำลังเดินเข็นรถขายข้าวแกงกลับบ้านก็ได้ยินคนร้องให้ช่วย เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นคนกำลังฉุดกระชากกันอยู่ข้างรถ
หล่อนและลูกชายจึงได้รีบวิ่งเข้าไปช่วย
“หยุดนะ! แกจะทำอะไรน่ะ” น้อยตะโกนเสียงดังเพื่อข่มขวัญ
แต่เสียงของหล่อนไม่ทำให้โจรสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เพราะแหวนที่ต้องการนั้นทำเงินให้มันได้มากโข
เมื่อเห็นอย่างนั้นหล่อนจึงบอกให้ลูกชายไปตามคนมาช่วย ส่วนตัวเองได้เข้าไปช่วยฉัตรวลีดึงแหวนคืนจากเจ้าโจรนั่น
“ไอ้โจรชั่วแกปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ฉันให้ลูกชายไปตามคนมาช่วยแล้ว
ถ้าแกไม่ปล่อยแกโดนจับแน่” หล่อนบอกพร้อมกระชากตัวโจรหนุ่มให้ออกห่างจากรถไปพลาง
“เสือกดีนัก ถ้างั้นมึงก็ตายก่อนจะมีคนมาช่วยละกัน”
“ระวังมีดค่ะ!”
ฉัตรวลีส่งเสียงเตือนด้วยความตกใจ
แต่ไม่ทันการแล้วเพราะน้อยโดยมีดจ้วงแทงที่ท้องจนล้มลงนอนกับพื้น เอามือกุมท้องอย่างเจ็บปวดและทรมาน
ในขณะนั้นเอง ‘ปอ’ ลูกชายของหล่อนรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านจำนวนหลายคน เมื่อโจรหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ของฉัตรวลี
ส่วนแหวนยังดีที่มันเอาไปไม่ได้
“คุณทำใจดี ๆ ไว้
อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะคะ” ฉัตรวลีพยุ่งร่างของน้อยไว้ พร้อมกับโทรเรียกรถพยาบาลอย่างลนลาน
“แม่!” ปอเปล่งเสียงออกมาด้วยความกลัวว่าผู้เป็นมารดาจะเป็นอะไรไป
รีบวิ่งมาประคองไว้
“ฉันโทรเรียกรถพยาบาลแล้วอีกประเดี๋ยวคงมา
ขอโทษที่ทำให้แม่หนูโดนทำร้าย ถ้าไม่มาช่วยฉันคงไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้” ฉัตรวลีกล่าวทั้งที่ยังคงร้องไห้
ยังไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ
มันเป็นความผิดของไอ้โจรชั่วคนนั้น ผมเกลียดมัน ผมเกลียดมันฮือ ๆ แม่อย่าเป็นอะไรไปนะครับ”
ปอกล่าวด้วยสีหน้าและแววตาโกรธแค้น หลั่งน้ำตาเป็นสายด้วยความเป็นห่วงมารดา
ณ โรงพยาบาล
รถพยาบาลมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน ตอนนี้น้อยถูกส่งตัวเข้าห้องไอซียู
ส่วนปอและฉัตรวลีต่างก็นั่งรอหน้าห้องพยาบาลอย่างเป็นกังวล
“ฉัตร เป็นยังไงบ้าง” ฉัตรวลีซึ่งนั่งก้มหน้าอยู่หน้าห้องไอซียู
เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง หล่อนหันไปมองและรีบวิ่งโผเข้าไปกอด ‘ประวิทย์’ ผู้เป็นสามี
“ฉันไม่เป็นไร แต่คนที่มาช่วยฉันโดนมีดแทงค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียูยังไม่ออกมาเลย”
หล่อนเอ่ยด้วยใบหน้าเศร้าและรู้สึกผิด
“ผมเชื่อว่าคนดี ๆ จะต้องไม่เป็นอะไร อย่ากังวลไปเลยนะ” ประวิทย์ปลอบภรรยาพลางลูบศีรษะเบา
ๆ
“ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” คุณหมอเอ่ยถามเมื่อออกมาจากห้องไอซียู
“ผมครับ แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ” ปอรีบวิ่งไปหาคุณหมออย่างกังวล
“คุณหมออย่าให้เธอเป็นอะไรนะคะ คุณหมอต้องช่วยเธอให้ปลอดภัยนะคะ”
“ใจเย็น ๆ นะครับ คือตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่มีดไม่โดนอวัยวะสำคัญ
พักฟื้นหนึ่งสัปดาห์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ” คุณหมอกล่าวอย่างใจเย็น
“ได้ยินอย่างนี้ค่อยโล่งใจ
แต่ถึงอย่างไรคุณหมอก็ต้องช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาเพราะดิฉันจะรับผิดชอบเอง”
ฉัตรวลีกล่าวอย่างรู้สึกโล่งใจ
“ขอบคุณนะครับคุณหมอ ขอบคุณคุณนายด้วยนะครับที่ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ผม”
ปอยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอและฉัตรวลีอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะหนู
เป็นฉันเองสิที่ต้องขอบคุณหนูและแม่ที่ช่วยชีวิตไว้ ไม่งั้นฉันเองอาจจะตายไปแล้วก็ได้”
ฉัตรวลีเอ่ยกับเด็กชายตรงหน้าอย่างรู้สึกเอ็นดู
*-*-*-*-*-*-*
ระหว่างที่น้อยพักฟื้นในโรงพยาบาล ปอได้มาดูแลมารดาอย่างใกล้ชิดทุกวัน
ส่วนฉัตรวลีเองก็ได้มาเยี่ยมน้อยทุกวันหลังเลิกงานเช่นกัน หล่อนรู้สึกรักและเอ็นดูสองคนแม่ลูกอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากน้อยพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลจนหายดีแล้ว ฉัตรวลีก็มารับทั้งสองกลับบ้านด้วยตัวเอง
“แล้วบ้านน้อยอยู่แถวไหนละจ๊ะ” ฉัตรวลีถามเมื่อกำลังเดินไปยังลานจอดรถ
“อยู่ในสลัมใกล้กับจุดที่คุณนายโดนปล้นค่ะ” น้อยบอก
“อยู่ในบางประชาหรือเปล่า” หล่อนเอ่ยชื่ออย่างรู้ดี เพราะที่นั่นเป็นชุมชนสลัมบนที่ดินของหล่อนเอง
แต่ไม่ได้คิดจะทวงคืนนั่นเพราะรู้ว่าชาวบ้านคงไม่มีที่ไป
“ใช่ค่ะคุณนาย”
“เรียกฉันคุณฉัตรก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณนายหรอก น้อยกับลูกมีพระคุณกับฉัน
ฉันจะช่วยเหลือน้อยให้ได้มากที่สุดที่ฉันจะทำให้ได้”
“เอ่อ ฉันไม่ได้หวังอะไรนะคะ ใครที่มาเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นคงช่วยเหมือนฉันทุกคนค่ะ
แล้วคุณฉัตรรู้จักบางประชาได้ยังไงคะ” หล่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เพราะฉันเป็นเจ้าของที่ดินที่นั่นยังไงล่ะ” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย
ๆ
“จริงเหรอคะ ขอโทษนะคะที่ฉันตาไม่ถึง ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณฉัตรเป็นเจ้าของที่ดินตรงนั้น”
หล่อนยกมือไหว้ฉัตรวลีอย่างลุกลี้ลุกลน น้อยเองเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าเจ้าของที่ดินเป็นเศรษฐีแถวนั้น
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาเอาที่ดินคืนเหมือนกัน
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันไม่คิดจะเอาที่ดินไปทำอะไรหรอก เพราะฉันอยากให้ชาวบ้านมีที่อยู่ที่ทำกิน
ฉันไม่ใจร้ายหรอกน่า” หล่อนกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะขับรถมุ่งหน้าไปยังบางประชา
บ้านไม้ชั้นเดียวคือสถานที่เรียกว่าบ้านของสองแม่ลูก ถึงบ้านจะดูเก่าและโทรมแต่ปอและน้อยก็ดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี
ปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านทำให้ดูน่าอยู่มากขึ้น
“น้อยอยู่ที่นี่นานหรือยังจ๊ะ บ้านน่าอยู่นะ” ฉัตรวลีถามพร้อมมองไปยังรอบ
ๆ บ้านอย่างสนใจ
“นานแล้วค่ะ ตั้งแต่ปอยังไม่เกิด จริง ๆ แล้วฉันอยากจะเชิญคุณฉัตรเข้าไปข้างในแต่คงไม่สะดวกเท่าไหร่
ส่งฉันกับลูกแค่นี้ก็ได้ค่ะ”น้อยเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ฉันไม่ได้เป็นคนที่ถือยศถือศักดิ์ขนาดนั้น เข้าไปกันเถอะ
ฉันอยากรู้ว่าน้อยกับลูกอยู่กันยังไง”
ฉัตรวลีกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกับเจ้าบ้านทั้งสองคน
เมื่อเข้ามาแล้วน้อยก็นำน้ำดื่มมาให้ตามมารยาท แต่ก็ยังคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรังเกียจ
ทว่าสีหน้าและท่าทางของฉัตรวลีไม่ได้อึดอัดอะไรจึงวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง
“บ้านน่าอยู่กว่าที่คิดนะ
ถึงจะดูเก่าแต่จัดข้าวของเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน”
“ขอบคุณค่ะคุณฉัตร”
“เข้าเรื่องเลยละกันนะ ฉันอยากจะชวนน้อยกับลูกไปอยู่ด้วยกัน พอดีแม่บ้านเพิ่งจะลาออกไป
ไปอยู่ที่นั่นฉันจะส่งเสียปอให้เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ จะได้มีอนาคตที่ดี น้อยกับปอจะได้ไม่ต้องลำบากไง”
ฉัตรวลียื่นข้อเสนออย่างมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลง
“เอ่อ มันจะดีเหรอคะคุณฉัตร คือ...ฉันขายข้าวแกงทุกวันนี้ก็มีความสุขดี
อยู่กับลูกสองคนไม่ได้ลำบากอะไรมาก อีกอย่างพวกเราเองก็ไม่อยากรบกวนคุณฉัตรค่ะ”
“ฉันรู้ว่ามันยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเดิม ๆ
แต่น้อยไม่อยากให้ปอได้เรียนสูง ๆ เรียนโรงเรียนดี ๆ เหรอจ๊ะ”
ได้ยินอย่างนั้นน้อยก็เริ่มคัดหนักมากขึ้น
เพราะหล่อนก็อยากให้ลูกชายได้รับโอกาสดี ๆ เหมือนเด็กคนอื่น
ตอนนี้ปอเรียนโรงเรียนแถวบ้าน ถึงไม่ได้เป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
แต่การขายข้าวแกงไปวัน ๆ อย่างนี้คงไม่มีปัญญาส่งเสียให้ลูกชายเรียนสูง ๆ หากปอได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ มีความรู้เลี้ยงตนเองได้
เป็นเช่นนั้นเธอคงตายตาหลับ หากการย้ายไปอยู่ที่นั่นจะเป็นผลดีต่อปอ
หล่อนก็อยากจะทำมัน เพราะในชีวิตนี้คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอนาคตของลูกชายแล้ว
“ปอคิดยังไง ถ้าเราจะย้ายไปอยู่กับคุณฉัตร” น้อยเอ่ยถามลูกชาย
“แล้วแต่แม่เลยครับ แม่อยู่ที่ไหนปอก็จะอยู่ที่นั่น
เพราะแม่คือความสุขของปอ”
สองแม่ลูกส่งยิ้มให้กัน สวมกอดกันอย่างแนบแน่น
น้อยยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
แม้จะรู้สึกหวั่นกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญในสถานที่ใหม่ บ้านหลังใหม่
สังคมใหม่ แต่การมีมารดาอยู่ข้างกายอย่างนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นปอจะไม่มีวันกลัวสิ่งใดอย่างแน่นอน
ผลงานอื่นๆ ของ MILER STORY ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ MILER STORY
ความคิดเห็น