คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1 น้องชายฝาแฝด
ตอนที่1 น้องชายฝาแฝด
Phuphan’s sight
เมื่อเช้ากว่าผมกับไอ้ต้นจะฝ่าการจราจรเมืองหลวงไปถึงสนามบินได้ก็กินเวลาไปถึง 2 ชั่วโมง ใช้เวลานั่งเครื่องบินมาถึงเชียงใหม่อีกราวๆ 1 ชั่วโมง ผมก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ในเวลา 11.15 น. โดยสวัสดิภาพ ว่าแล้วก็โทรหาไอ้น้องชายตัวแสบดีกว่า ผมคิดว่ามันคงมารอผมสักพักแล้วล่ะ เพราะมันตื่นเต้นกับการมาของผมถึงขั้นโทรมาปลุกผมแต่เช้า
“ฮัลโหล มึงอยู่ไหน”
“ทายสิ” ไอ้แสบตอบเสียงทะเล้น
“ไอ้พิงค์กูไม่ตลก กูเหนื่อย อยากกลับไปพัก แล้วมึงจะพูดเสียงเบาทำห่านอะไร กูไม่ค่อยได้ยิน” ผมกรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด ไม่ได้อะไรกับนิสัยขี้เล่นของมันหรอกนะ แต่บางทีมันก็เล่นจนไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“กูก็อยู่ข้างหลังมึงนี่ไง” แต่ผมก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ถูกส่งมาพร้อมกันทั้งในและนอกโทรศัพท์
หมับ!
ในขณะที่ผมกำลังหันหลังไปก็โดนใครบางคนสวมกอดเข้ามาอย่างแรงจนแทบหงายหลัง แต่ถึงจะไม่เห็นหน้าก็เดาไม่ยากนักหรอก
“คิดถึงกูขนาดนั้นเลยรึไง”
“อืม…” ผมนิ่งไปนิดที่มันไม่กวนกลับมาเหมือนเคย แต่กลับก้มหน้าซุกกับไหล่ผม หึ บทจะอ้อนมันก็อ้อนซะผมไปไม่เป็นเลย
“หิวไหม อยากกินไรก่อนหรือเปล่า” พอผละออกจากผม ไอ้น้องชายฝาแฝดก็เอ่ยถามเสียงเจื้อยแจ้ว
“ไม่อ่ะ กลับไปให้คุณนายทำให้กินดีกว่า คิดถึงคุณนายจะแย่แล้ว”
“แล้วกูอ่ะ?” แน่ะ มันยังอ้อนไม่เลิกอีก หันมาทำหน้ามุ่ยเชียว
“กูต้องคิดถึงมึงที่สุดสิ” ผมตอบมันไปยิ้มๆ ไอ้ตัวแสบเลยออกอาการร่าเริงทันที มีมาแย่งกระเป๋าผมไปถือให้ด้วย ดูมัน
“ยิ้มอยู่นั่นแหละ ปากจะฉีกถึงหูแล้วนั่น” ผมพูดแซวมัน และอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มใสเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“กูเจ็บนะ” มันลูบแก้มตัวเองป้อยๆแล้วหันมาทำหน้ามุ่ย
“ตอแหล น่ารักตายแหละมึง ฮ่าๆๆๆ” ผมแกล้งมันไปตลอดทางที่เดินไปขึ้นรถ คนอะไรแกล้งสนุกชะมัด งอนง่ายแล้วยังง้อง่ายอีก นิสัยเหมือนคุณนายเลย
…………………………………………………………………………………………………………………
Phupink’s Sight
ผมขับรถพาพี่ชายตัวดีมาที่ร้านคาเฟ่บรรยากาศร่มรื่นแถวชานเมือง พอประตูรถถูกปลดล็อก ภูพานก็วิ่งหายเข้าไปในห้องครัวแทบจะทันที ผมส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะจัดการล็อกรถให้เรียบร้อยแล้วเดินตามมันเข้าไป
“คุณนายยย คิดถึงเขาไหมมมมม” เสียงดังลอดออกมาจากในครัวก่อนที่ผมจะเดินไปถึงซะอีก
เพี๊ยะ!
“เดี๋ยวเถอะ ไอ้ลูกคนนี้นี่ แม่กำลังทำอะไรอยู่ เห็นไหม เดี๋ยวหน้าเค้กลูกค้าก็เละหมดหรอก”
“อะไรอ่ะ คุณนาย กอดนิดกอดหน่อยก็ไม่ได้ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน เดี๋ยวนี้หวงตัวกับลูกชายแล้วเหรอ”
หมับ!
“โอ๊ยยย คุณนายหยิกพานทำไมอ่ะ” แล้วผมก็ทันเข้ามาเห็นไอ้พานทำหน้าแหย ลูบแขนตัวเองป้อยๆ
“คิคิ” ผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“หัวเราะอะไรของมึง” ไอ้พี่ชายฝาแฝดมันหรี่ตามองผม
“สมน้ำหน้า อยากเข้าไปกวนตอนคุณนายกำลังยุ่งเอง” ผมแลบลิ้นใส่ตบท้ายคำพูด
“ก็กูกลัวคุณนายมัวแต่ทำขนมให้ลูกค้า จนลืมทำขนมไว้ให้ลูกชายน่ะสิ เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว ไม่มีใครสนใจเล้ยยย” ท้ายประโยคมันก็เหล่ไปมองผู้ให้กำเนิดที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าเค้กอยู่
“เข้ามาก็เอาแต่งอแงๆ หัดสังเกตรอบตัวซะบ้างนะคะ คุณลูกชาย!” คุณนายพูดเสียงประชดประชันโดยที่ไม่ได้หันมามอง
เท่านั้นแหละ ภูพานก็เพิ่งจะหันไปเห็นบนโต๊ะข้างๆที่มีเค้กแบล็คฟอเรสท์ขนาด 1 ปอนด์ หน้าเค้กถูกตกแต่งอย่างบรรจง พร้อมลายมือน่ารักเขียนประดับไว้ตรงกลาง ‘Welcome to home my son <3’ โดยรอบที่เค้กก้อนนั้นวางอยู่ยังมี พุดดิ้งช็อกโกแลต ช็อกโกแลตลาวา มาการองช็อกโกแลต บราวนี่ และไดฟุกุไส้ช็อกโกแลต พอผมหันมามองหน้าไอ้พานอีกที มันก็อ้าปากค้างไปแล้วล่ะครับ
“เอ่อ…อ่า… พานขอโทษนะแม่ คือพาน…” แค่อยากแกล้งแม่เฉยๆสินะ
“เฮ้อ ช่างเถอะๆ หิวก็ไปกินอะไรให้เรียบร้อยก่อนไป เดี๋ยวแม่เสร็จงานตรงนี้แล้วจะตามไป”
“……….”
“ไปเถอะน่า เดี๋ยวคุณนายทำงานเสร็จก็ออกไปคุยด้วยเองน่ะแหละ” เมื่อผมเห็นว่ามันยังไม่ยอมขยับ เลยจัดการลากมันออกมาด้านนอกห้องครัวแทน
“เอ้า เหนื่อยก็นั่งพักซะ เดี๋ยวกูไปยกขนมมาให้เอง” ผมกดไหล่มันให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะประจำของเรา และกำลังจะก้าวเท้ากลับเข้าไปในครัวแต่กลับถูกมือนิ่มจับแขนไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวกูไปช่วย”
“ไม่ต้องหรอก มึงอยู่นี่แหละ วันนี้กูจะบริการมึงเอง บริกรหล่อๆอย่างกูไม่ได้มีมาบ่อยๆนะเว้ย” ผมแกะมือมันออกพลางยักคิ้วให้อย่างกวนๆ ความจริงก็แค่….. อยากทำอะไรให้มันบ้างเท่านั้นเอง
“เออๆ เดี๋ยวกูจะรอดูว่าน้องบริกรสุดหล่ออออออเนี่ยจะบริการดีขนาดไหนนะครับ” อื้อหือ ดูมันกัดฟันพูด
ผมเลยยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ แล้วเดินเข้าครัวไปทยอยยกขนมออกมาวางไว้ตรงหน้าพี่ชายฝาแฝด ซึ่งแน่นอนว่าพอก้นจานสัมผัสกับพื้นโต๊ะปุ๊บ มันก็ตั้งหน้าตั้งตาเขมือบแบบไม่รอผมเลยทีเดียว ใช่! คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ‘เขมือบ’ นั่นแหละ ผมใช้คำนี้พอจะเห็นภาพกันใช่ไหม
“กินเลอะเทอะเป็นเด็กๆเลยนะมึง คิคิ” ผมเดินกลับมาพร้อมจานไดฟุกุเป็นเมนูสุดท้าย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าภูพาน
“ก็มันอร่อยนี่หว่า มึงรู้ไหม อยู่กรุงเทพกูไม่เคยซื้อกินเลยนะเว้ย กลัวไม่ถูกปากเหมือนที่คุณนายทำ” ปากบางพูดเจื้อยแจ้วทั้งที่ยังเคี้ยวไม่หมด จนผมกลัวว่ามันจะ………
“แค่กๆๆ” นั่นไง
“เคี้ยวให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดสิวะ เดี๋ยวก็ติดคอตายกันพอดี เอ้านี่น้ำ” ผมหยิบแก้วน้ำเปล่าสีใสส่งไป ก่อนจะใช้ทิชชู่ซับขอบปากให้พลางลูบหลังมันเบาๆ
“เออ…แค่ก…ค่อยยังชั่ว”
อยากจะบอกว่ารัก ฉันรักเธอ อยากจะบอกให้รู้ ให้เข้าใจ
ผมเหลือบมามองมือถือไอ้พานที่ดังขึ้น มันจัดการเช็ดมือลวกๆแล้วกดรับ
“ฮัลโหล ว่าไงดำ………เออ กูอยู่ร้านเนี่ย มึงจะมาก็มา อย่าบ่น……….ถึงแล้วก็เดินเข้ามาเองแล้วกัน กูแดกขนมอยู่ แค่นี้แหละ”
“ใครโทรมาเหรอ” ผมเอ่ยปากถามทันทีที่มันกดวาง
“ไอ้อาร์ต เดี๋ยวมันจะเข้ามาหากูที่นี่”
“อาร์ตไหนวะ”
“ก็ไอ้อาร์ตเพื่อนสนิทตอนมอต้นกูไง เพื่อนกูจะมีซักกี่คนวะพิงค์”
“อ๋อ อาร์ตที่เป็นนักบาสโรงเรียนอ่ะนะ เออ กูก็ลืมไปว่าพี่กูไม่ค่อยมีใครคบ” ผมยิ้มกวนๆตอบ
“ถ้ากูไม่เสียดายเค้กนะ กูเอาโปะหน้ามึงไปแล้วภูพิงค์” มันเอาส้อมที่จิ้มเค้กอยู่มาชี้หน้าขู่ผม
“ลองดูสิ กูจะไปฟ้องคุณนายว่ามึงไม่อยากแดกเค้กฝีมือคุณนายถึงขั้นต้องเอามาโปะหน้ากู” ผมยังลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่กลัวจนถูกมันถลึงตาใส่
เรานั่งคุยเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน กันอยู่สักพัก ผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางคุ้นตาเดินเข้ามาในร้าน หุ่นนักกีฬากับผิวสีแทนสุขภาพดีทำให้คนตรงหน้าดูจะดึงดูดสายตาของลูกค้าสาวๆในร้านได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมที่รับกับผมซอยสั้นกำลังฉีกยิ้มให้ผมอย่างคนคุ้นเคย
ผมจึงสะกิดภูพานให้หันไปมองด้านหลัง
Talk
มาลงเอาตอนเช้าอีกแล้ว 555 ตอนนี้จะให้ดูความสัมพันธ์ของแฝดคู่นี้นะคะ แบบสบายๆ(รึเปล่า) ก็กัดกันไปกัดมานั่นล่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมบ้านนี้ถึงไม่อู้คำเมืองกันทั้งที่อยู่เชียงใหม่ มันมีเหตุผลค่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังนะ
และอีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่มาเปิดตัวท้ายตอน เขาจะมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ตัวเอกของเราเลยล่ะค่ะ ติดตามกันต่อไปนะคะ
สำหรับวันนี้บ๊ายบายจ้า ></
ความคิดเห็น