คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5
Chapter 5
‘มันเป็นแผลต้องคำสาป’
คำอธิบายสั้นๆที่มักจะลอยวนเข้ามาในหัวเขาเสมอเวลาที่เผลอตัวคิดอะไรฟุ้งซ่าน
คำสาป...
ที่ผูกพวกเขาทั้งสองคนเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา
และมินกยูก็ยังไม่เห็นทางไหนที่จะคลายเงื่อนตายนี้ได้เลยสักนิด
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้
ก็คงแค่ทำใจให้ชินกับทุกเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของเขา
หาก...
มันก็ย่อมมี ‘บางเรื่อง’
ที่ยากต่อการทำใจเสียเหลือเกิน
บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นของบ้าน
vanilla twilight ยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่นเฉกเช่นเดิม
ท่ามกลางความเงียบสงบของช่วงเวลาก่อนอาหารเย็น แสงสลัวของพระอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้าทอประกายให้เห็นเลือนลางผ่านผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวไปมาจากสายลมในฤดูร้อน
ทว่าเช่นเคย...
ที่เดิม เวลาเดิม และเด็กหนุ่มคนเดิม
บนโซฟาตัวใหญ่มีมินกยูกำลังนั่งตัวแข็งอยู่
เด็กหนุ่มจับหัวเข่าทั้งสองข้างของตัวเองยึดไว้แน่น
หวังให้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ตอนนี้เตลิดไปที่ไหนก็ไม่รู้แล้ว
เก้าอี้นวมด้านขวาของมินกยูป็นวอนอูที่พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองพร้อมกับจดอะไรบางอย่างลงบนสมุดบันทึก
ในขณะที่ด้านซ้ายเป็นอารอนที่กำลังง่วนกับการเช็ดแอลกอฮอล์ให้กับอุปกรณ์ในมือ
ภาพของอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ใกล้เคียงกับเครื่องมือผ่าตัดที่เคยเห็นในซีรี่ย์และภาพยนตร์มาก่อน
ทำให้คนมองอดไม่ได้ต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
ดูเหมือนว่ามันคงไม่ใช่แค่ให้วอนอูกัดเขาแล้วก็จบแล้วล่ะ
ควรจะรู้สึกโล่งใจดีรึเปล่านะ...?
“เอาล่ะ...”
เสียงของคุณหมอหนุ่มที่ดังขึ้นเรียกให้บุคคลที่เหลือเงยหน้าขึ้นมองโดยพร้อมเพรียงกัน
“เรามาเริ่มกันเถอะ”
มินกยูมองเครื่องมือตรงหน้าคนพูดแล้วหันไปหาคนที่นั่งด้านขวาของเขาด้วยสายตามีคำถาม
“ไม่ต้องห่วง
แค่เตรียมเผื่อเอาไว้น่ะ” หากก็เป็นอารอนที่ตอบแทนเช่นเคย
ส่วนวอนอูแค่ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยคล้ายบ่น
“พี่อารอนกลัวนายเลือดไม่หยุดไหลน่ะ”
“ซึ่งก็มีความเป็นไปได้...”
“ที่น้อยมาก”
“เอ่อ...
โอเคครับ” มินกยูขัดขึ้นมาในที่สุด ก่อนที่จะมีการโต้วาทีกันมากไปกว่านี้
ใบหน้าหล่อเหลายังคงซีดเผือดหากก็แสดงออกชัดเจนว่ายอมรับในชะตากรรมตัวเองแต่โดยดี
ก็มาถึงขนาดนี่แล้วนี่นะ
สมาชิกเก่าแก่ของบ้านมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่อารอนจะหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีใสไว้ขึ้นมาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“อยากฉีดยาชารึเปล่า?”
เด็กหนุ่มหันไปหาวอนอูโดยอัตโนมัติ
“คุณว่าผมควรฉีดรึเปล่า?”
“ไม่
ฉันไม่คิดว่ามันจะช่วยได้”แวมไพร์หนุ่มตอบอย่างรวดเร็ว “และก็น่าจะขมด้วย”
“...”
มินกยูนิ่งคล้ายสติหลุดไปอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขายังจำได้ดีถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งก่อน
แต่เด็กหนุ่มก็เห็นด้วยกับวอนอู
มันไม่น่าจะได้ผล...
“งั้นไม่ต้องก็ได้ครับ”
เขาพึมพำ แว่วๆได้ยินเสียงคุณหมอหนุ่มบ่นอะไรบางอย่าง หากประสาทสัมผัสทุกส่วนของมินกยูดูราวจะทำงานช้าลงทันทีที่วอนอูวางมือลงบนไหล่ของเขาจนทำให้ไม่สามารถประมวลผลคำพูดของอารอนได้
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมาด้วยแววตาจริงจังคู่นั้นดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเด็กหนุ่มเอาไว้เพียงแค่สบตาด้วย
มินกยูไม่แน่ใจว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปยามที่วอนอูชะโงกเข้ามาใกล้
และไม่แน่ใจด้วยเช่นกันว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงตอนไหน
ดวงตาสีแดงเจิดจ้าที่ตรึงให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้ดังโดนมนต์สะกด
โลกของมินกยูหยุดหมุนอีกครั้งหนึ่ง
ชั่วเสี้ยววินาทีที่เด็กหนุ่มรู้สึกราวกำลังจมดิ่งลงไปในแม่น้ำอันเย็นเฉียบที่กัดกินเขาไปทั้งร่าง
ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อคมเขี้ยวของวอนอูสัมผัสกับต้นคอของเขา
ความปวดร้าวแล่นริ้วไปตามไขสันหลัง
หากเสียงร้องของเด็กหนุ่มกลับดังอยู่แค่ภายในลำคอ
ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างปะทุขึ้นมารุนแรงภายในอกข้างซ้ายของมินกยูแข่งกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
และแตกกระจายออกไปทั่วตัวดังเปลวไฟที่ลุกลาม ยามที่เลือดสีสดไหลลงมาตามการขยับตัวของวอนอู
แล้วสติของมินกยูก็หายไปในที่สุด
“จะเป็นไงบ้างนะ”
ถัดออกมาไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวบ้านสีขาวมากนัก
ปรากฏเป็นร่างสองร่างที่ยืนซุบซิบกันอยู่พลางจ้องไปยังหน้าต่างอันเป็นตำแหน่งของนั่งเล่นไปด้วย
แสงไฟกริ่งบนถนนที่เริ่มสว่างขึ้นทีละดวงตัดกับท้องฟ้าในยามย่ำค่ำทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินนัก
ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของเสียงทั้งคู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ณ บริเวณที่แสงไฟจากถนนและจากตัวบ้านส่องไปไม่ถึง
ทำให้เมื่อมองมาจากถนนจะเห็นซูนยองและเวอร์นอนเป็นเงาตะคุ่มเท่านั้น
เหตุเพราะวันนี้เป็นดีเดย์ของคุณแวมไพร์และสมาชิกใหม่ของบ้าน
และด้วยเหตุผลอะไรบาง(ที่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ) ทำให้พื้นที่ส่วนกลางอย่างห้องนั่งเล่นต้องกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติการซะงั้น
เยบินสมัครใจอยู่ในห้อง ส่วนซองยอนยังไม่กลับจากโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาที่เหลือจึงถูกอัปเปหิออกมา
และจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกแล้ว ซึ่งก็คงเป็นช่วงอาหารเย็นเลยนั่นแหละ
“ชักจะนานไปแล้วนะ”
เจ้าของร่างที่ดูผิวเผินเหมือนจะกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบบ่น
หลังจากที่ชะเง้อเข้าไปในบ้านเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน
“พี่ก็ทะลุหน้าต่างเข้าไปดูเลยดิ”
คนอายุน้อยกว่ายุ เรียกดวงตาเรียวชี้ให้เหล่มองมาได้เป็นอย่างดี
“อยากเห็นฉันโดนโยนออกมาเหรอ”
ซูนยองว่าพลางส่ายหน้า “นั่นวอนอูกับพี่อารอนนะ”
“งั้นเราจะยืนอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆจริงๆเหรอครับ”
เวอร์นอนพึมพำ เด็กหนุ่มเอนตัวพิงกับผนังบ้านด้านนอก
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขากับร่างโปร่งใสข้างๆถึงไม่อยู่ในห้องของตัวเองตั้งแต่แรก
“ไป
mocha dawn กันไหม?” ข้อเสนอที่ทำให้ต้องพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
อย่างน้อยๆก็จะได้มีอะไรทำแหละน่า
“เอ่อ...
ขอโทษนะครับ”
หากยังไม่ทันได้ขยับตัว
เสียงของใครบางคนก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน
เรียกให้ทั้งซูนยองและเวอร์นอนหันขวับไปตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
ถัดไปจากรั้วเตี้ยๆสีขาวที่กั้นเพื่อบอกอาณาเขตของบ้านเอาไว้
มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ตู้จดหมายสีแดง
เด็กหนุ่ม...
ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งมากกว่ากำลังยืนมองมาที่พวกเขา
ในมือของเจ้าตัวถือกล่องบางอย่างเอาไว้
ผู้ชายตัวเล็กจนตอนแรกซูนยองเผลอนึกไปว่าคงอายุเท่ากับชาน
โดยเฉพาะเมื่อประกอบกับใบหน้าอ่อนใสนั่น หากเมื่อคุณเป็นวิญญาณ มันจะมีสัญชาตญาณบางอย่างเกี่ยวกับอายุไขของมนุษย์ที่สามารถอ่านหรือคาดเดาได้
ดังนั้นแค่ใช้เวลาอีกเล็กน้อย วิญญาณหนุ่มจึงสามารถประเมินได้ว่าคนตรงหน้าคงอายุมากกว่ามินกยูที่เป็นสมาชิกใหม่ของบ้านแน่นอน
“ขอโทษนะครับ
พวกคุณพักที่ vanilla twilight
รึเปล่า?”
ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองจะใช้เวลานานไปหน่อยในการพิจารณาคนตรงหน้า
เพราะเจ้าตัวเริ่มขยับเข้ามาใกล้และถามซ้ำอีกครั้ง
“ใช่ครับ”
การกระทำที่เรียกให้ซูนยองตอบรับพร้อมกับก้าวออกไปจากเงามืดอย่างไม่ได้ตั้งใจ
โดยมีเวอร์นอนตามมาติดๆ
มีสีหน้าโล่งใจของบุคคลแปลกหน้าเล็กน้อย
“คือเมื่อกี้มีไปรษณีย์มาส่งครับ
แล้วมีพัสดุของ vanilla twilight
ติดมาด้วย” ผู้ชายคนนั้นบอก ก่อนส่งกล่องในมือมาให้
เรียกให้เวอร์นอนยื่นมือไปรับอย่างรวดเร็ว
นับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง
ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการทำข้อตกลงถึงการปรากฏตัวของวิญญาณประจำบ้านเอาไว้ ว่ากันว่าในช่วงเวลากลางคืนร่างโปร่งใสจะยิ่งแยกจากมนุษย์ได้ชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นถ้าชายหนุ่มจะออกจากบ้านจะต้องปรากฏตัวในสภาพที่ใกล้กับมนุษย์ที่สุดเท่านั้น
เพื่อไม่ให้แถวนี้กลายเป็นย่านอันตรายจนไม่มีใครกล้าผ่าน(ดังที่เคยมีปรากฏการณ์มาแล้ว...)
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มผมดำบอกพร้อมกับโค้งลงอย่างมีมารยาท
แม้คนข้างตัวของเวอร์นอนจะมีสภาพที่สามารถจับต้องได้ หากเขาก็ไม่มั่นใจนักว่าเจ้าตัวจะคงสภาพได้มากพอที่จะจับต้องอะไรได้หรือเปล่า
โดยเฉพาะต่อหน้าคนแปลกหน้าแบบนี้
ดังนั้นให้เขาเป็นคนรับของน่าจะปลอดภัยที่สุด
หากดูเหมือนวิญญาณหนุ่มจะไม่ได้คิดแบบนั้น...
“เพิ่งย้ายมาแถวนี้เหรอครับ?” เวอร์นอนเผลอชะงักงันไปชั่วครู่ เมื่อซูนยองเอ่ยปากถามผู้มาใหม่อย่างคนมีอัธยาศัยดีโดยไม่สำนึกถึงสถานะของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ครับ”
ชายหนุ่มร่างเล็กตอบ “ผมเพิ่งย้ายมาที่นี่ครับ”
เจ้าตัวชี้ไปยังบ้านหลังสีน้ำตาลข้างๆ
“mocha dawn?”
คราวนี้ทั้งซูนยองและเวอร์นอนประสานเสียงกันอย่างฉงน
ร้อยวันพันปีคุณอีไม่เคยเปิดบ้านให้มาพัก ซึ่งสาเหตุก็คงไม่พ้นเพราะเพื่อนบ้านอย่างพวกเขานี่แหละ
แล้วนี่อยู่ๆทำไมถึงมีสมาชิกใหม่ล่ะ
ดวงตาสองคู่หันมาสบกันอย่างรวดเร็ว
‘มนุษย์?’ คนอายุน้อยกว่าขยับปากถามอย่างไม่มีเสียง เรียกให้ซูนยองหันไปพินิจผู้มาใหม่ที่ยังคงยืนอย่างงุนงงอยู่อย่างนั้น
ก่อนจะพยักหน้า
ใช่
คนตรงหน้าพวกเขาเป็นมนุษย์แน่ๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว
ผมขอตัวก่อนนะครับ” หลังจากยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบชั่วครู่ ชายหนุ่มแปลกหน้าก็เอ่ยออกมาเบาๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว
“อ่า
ครับ” เวอร์นอนตอบพลางโบกมือ ในขณะที่ซูนยองกลับส่งยิ้มกว้างให้กับเพื่อนบ้านคนใหม่แทน
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณเพื่อนบ้านคนใหม่”
เด็กหนุ่มนึกอยากเขย่าคอเสื้อเพื่อนร่วมบ้านที่ยังคงไม่สำนึกในสภาพของตนเองเหลือเกิน
เพราะวิญญาณหนุ่มยังคงแนะนำตัวต่อไป “ผมชื่อควอน ซูนยอง”
มีสีหน้างุนงงเล็กน้อยบนใบหน้าของเพื่อนบ้านคนใหม่
ยามที่เจ้าตัวตอบกลับมา
“อี
จีฮุน ครับ”
“พี่ทำอะไรลงไปน่ะ”
เวอร์นอนถามเสียงเบาระหว่างที่พวกเขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ดูเหมือนว่าวอนอูจะจัดการ(?)มินกยูเรียบร้อยแล้ว เพราะหลังจากที่เพื่อนบ้านคนใหม่กลับไปไม่นาน
อารอนก็ออกมาเรียกพวกเขาเข้าบ้านเพื่อรับประทานอาหารเย็น
“ก็แค่แนะนำตัว”
วิญญาณหนุ่มที่บัดนี้ร่างกายกลับมาโปร่งใสเหมือนเดิมตอบ
“ผมนึกว่าเราต้องเก็บเรื่องพี่ไว้เป็นความลับซะอีก”
“แค่คนอื่นน่า...
แต่นี่เป็นคนของ mocha dawn นะ
ต้องมีอะไรพิเศษสักอย่างแหละ ไม่อย่างนั้นคุณอีคงไม่ยอมให้มาพักหรอก” ซูนยองว่า
“แต่พี่บอกว่าเขาเป็นมนุษย์นี่”
เด็กหนุ่มถามต่อย่างฉงน
“ก็คงเป็นพวกมีสัมผัสที่
6 แหละ”
บทสนทนาทั้งหมดหยุดลงทันทีที่พวกเขาย่างเท้าเข้าไปยังห้องกินข้าวที่บัดนี้มีสมาชิกกว่าครึ่งของบ้านนั่งอยู่
วิญญาณหนุ่มหันไปสบตากับมินกยูที่นั่งอยู่นิ่งๆเป็นคนแรก ก่อนขยับปากเป็นเชิงถามถึงสภาพของเด็กหนุ่ม
รอยยิ้มซีดเซียวที่ได้กลับมาเป็นคำตอบทำให้ซูนยองทำได้แค่ส่งยิ้มปลอบใจไปให้เท่านั้น
“กลับมาแล้วค่ะ”
น้ำเสียงสดใสของสมาชิกอีกคนดังขึ้น
พร้อมกับที่ร่างของแฟรี่สาวปรากฏขึ้นตรงประตู ก่อนที่ซองยอนจะนั่งลงตรงด้านข้างของมินกยู
“ทำไมกลับเย็นจัง”
อารอนหันมาถามพร้อมกับยกอาหารวางลงบนโต๊ะ
“ไปคุยกับคุณอีมาค่ะ
มีข่าวฝากมาบอกเรานิดหน่อย” เด็กสาวตอบ “เป็นไงกันบ้างคะ”
ประโยคหลังหันมาถามวอนอูโดยที่มองหน้ามินกยูไปด้วย
คำถามที่เรียกความสนใจจากวิญญาณหนุ่มและเวอร์นอนได้เป็นอย่างดี
“ก็เรียบร้อยดี”
แวมไพร์หนุ่มตอบสั้นๆ
“จริงเร้ออออ”
แล้วก็เป็นซูนยองอีกเช่นเคยที่ถามต่อด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
วอนอูขึงตาใส่รูมเมทของตัวเองแทนคำตอบ
“ก็ฉันเป็นห่วง...”
“ซูนยอง”
อารอนส่งเสียงปรามเล็กน้อย ทำให้คนที่กำลังสนุกกับสีหน้าแปลกประหลาดของผู้เป็นเพื่อนต้องเงียบไป
ทว่ายังคงส่งรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจไปให้วอนอูอยู่ดี
“คุณอีมีเรื่องอะไรเหรอ?” เยบินที่นั่งเงียบมาตลอดเป็นฝ่ายถามขึ้นมาบ้าง
“อ๋อ...
คือว่าตอนนี้ที่ mocha dawn
จะมีสมาชิกใหม่มาอยู่ด้วยค่ะ” ซองยอนตอบ
คำตอบที่เรียกให้สองสมาชิกของบ้านที่เพิ่งเจอ
‘สมาชิกใหม่’ มองหน้ากันเล็กน้อย
ก่อนจะพร้อมใจกันเงียบ
“มนุษย์?”
“ใช่ค่ะ
เป็นหลานของคุณอี เห็นว่าจะมาเป็นคุณครูสอนดนตรีที่นี่ค่ะ”
“อ้าวแล้วคุณครูมุนล่ะครับ”
เวอร์นอนถามแทรกขึ้นมาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก็คุณครูสอนเปียโนที่โรงเรียนก็มีอยู่แล้ว
แถมเป็นนักเปียโนระดับประเทศอีกด้วย
“ไม่ได้มาเป็นคุณครูที่ชอนจูน่ะ
เห็นว่าจะมาเป็นครูที่โรงเรียนสอนดนตรีที่นี่ที่เคยปิดไปแล้ว แต่จะเปิดขึ้นมาใหม่”
บรรยากาศในห้องกินข้าวเปลี่ยนไปทันที่เด็กสาวเอ่ยจบ
แม้แต่มินกยูที่กำลังดื่มน้ำอย่างเชื่องช้ายังต้องเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงงกับความตึงเครียดที่อยู่ๆก็เข้ามาปกคลุมรอบโต๊ะอาหารอย่างไม่รู้ตัว
แววตาแปลกใจจากซองยอนและเวอร์นอนที่มองกลับมาทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่กำลังสงสัย
ทว่าสมาชิกรุ่นใหญ่อย่างอารอน
วอนอู เยบิน และซูนยองที่พร้อมใจกันหยุดกินอาหารกลับสบตากันอย่างมีความหมาย
“L'Estate?” เยบินพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“คะ?”
“ชื่อโรงเรียนน่ะ...
ใช่ L'Estate (ลัลเอสตร้า) รึเปล่า?”
“อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
ซองยอนตอบพร้อมกับยิ้มแห้งๆ “มีอะไรกันรึเปล่าคะ”
ไม่มีใครตอบคำถามของเด็กสาว
มีเพียงเสียงพึมพำในลักษณะคุยกันเองจากสมาชิกรุ่นใหญ่เท่านั้น
“โรงเรียนดนตรีแถวนี้ก็มีแค่นี่ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันว่าใช่”
“คุณอีคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“เอ่อ...”
เป็นแฟรี่สาวอีกครั้งที่กระแอมขัดจังหวะขึ้นมา เรียกให้บทสนทนาเฉพาะกลุ่มหยุดลงอีกครั้ง
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะคะว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่ว่ายังมีอย่างหนึ่งที่คุณอีฝากมาค่ะ”
“...”
“คือคุณอีขอร้องมาว่าอยากพวกเราช่วยทำตัวให้ปกติธรรมดาที่สุด
แล้วก็ขอให้พี่ซูนยองช่วยอย่าปรากฏตัวให้คุณจีฮุนเห็นค่ะ”
มีแต่ความเงียบงันหลังจากซองยอนพูดจบ
“เพราะว่าคุณจีฮุนไม่รู้ว่าพวกเราไม่ใช่...
มนุษย์”
“จีฮุน?”
“สมาชิกใหม่...
หลานของคุณอีค่ะ ชื่อ อี จีฮุน”
วิญญาณประจำบ้านหันไปสบตากับเวอร์นอนอีกครั้ง
“หลานของคุณอี?”
“ใช่ค่ะ”
“ห้ามให้เห็นพี่ซูนยอง?”
“ค่ะ”
ดวงตาสีแดงของคนถูกเอ่ยถึงกระพริบปริบๆเล็กน้อย
“อิ๊บอ๋ายแล้ว...”
ซูนยองคราง
TBC.
อี จีฮุน >>
มนุษย์ >>
คุณครูสอนดนตรี |
กลับมาแล้วค่ะ
ในที่สุดก็ได้มีโอกาสอัพนิยายต่อสักที ต้องขอโทษจริงๆนะคะที่หายไปนาน
เหตุเพราะช่วงที่ผ่านมาเราเจอกับมรสุมชีวิตนิดหน่อย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับมาเข้าที่แล้ว
สัญญาว่าจะกลับมาอัพให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
Mianami
ปล.
สามารถมาพูดคุยกันได้ใน #MianamiFanfic หรือ @ Mianami17 นะคะ
ความคิดเห็น