ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Seventeen] Vanilla Twilight #minwon #soonhoon

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 945
      96
      1 มิ.ย. 63

    Matcha
     


    Chapter 6

     

     

                ภายในห้องใต้หลังคาของ vanilla twilight ในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยความเงียบสนิท เมื่อผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข ผ้าม่านสีน้ำตาลอ่อนปลิวไสวยามสายลมแผ่วเบาจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่าน หากใช้เวลาเพียงชั่วขณะ สายลมบางเบานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นลมอันเย็นเยือกอย่างรวดเร็ว

     

                หนาว

     

                ร่างที่กำลังนอนอยู่บนเตียงขดตัวเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงจนหนาวเหน็บ ทว่าความง่วงงุนมีมากเกินกว่าที่จะทำให้เกิดความสงสัย และทำให้เจ้าตัวตัดสินใจนอนต่ออย่างไม่สนใจความผิดปกติที่เกิดขึ้น

     

                หากมีไอเย็นบางอย่างที่อยู่ ๆก็รายล้อมไปทั่วร่างกายจนทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกขนลุกอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อไออันเย็นเยือกนั้นแล่นริ้วไปตามบริเวณใบหน้า สร้างความรู้สึกเย็นเฉียบจนสติต้องกลับมาในที่สุด

     

                มินกยูลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ

     

                กระพริบตาสักพักเพื่อปรับโฟกัสของสายตา ก่อนจะพบว่ามีใครบางคนกำลังจ้องหน้าเขาอยู่ในลักษณะประชิดจนหน้าผากแทบติดกัน

     

                ดวงตาสีแดงคู่นั้นดูคุ้นตา หากรอยยิ้มหวานเฉียบบนใบหน้าโปร่งใสนั่นดูน่าสยดสยองเสียจนหัวใจคนมองแทบหยุดเต้น

     

                “ว๊ากกกกกกกกกกกก” เด็กหนุ่มทะลึ่งพรวดขึ้นมา ก่อนถอยกรูดไปจนติดหัวเตียง ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะรวบรวมสติได้ ในขณะที่ตัวต้นเหตุยังคงนั่งอยู่ที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่นอนของเขา

     

                “เป็นอะไรของนาย” น้ำเสียงของซูนยองมีแววงุนงง

     

                “พี่นั่นแหละ ทำอะไรของพี่” มนุษย์เพียงคนเดียวของบ้านโวยวาย หัวใจที่เต้นโครมครามเริ่มกลับมาสงบลง เช่นเดียวกับอุณหภูมิของห้องที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ  

     

                สงสัยเมื่อกี้ซูนยองพยายามจะปลุกเขาแหงเลย

     

                “ก็นายตื่นยากนี่”

     

                ใช่จริง ๆ ด้วยแฮะ

     

                “ก็ผมเพลียนี่ ผมเพิ่งบริจาคเลือดให้รูมเมทพี่ไปเองนะ” มินกยูครางเบา ๆ นี่เขามีปัญหาอะไรกับสมาชิกห้อง 101 กันนักหนานะ

     

                “น่า ๆ” มือโปร่งใสนั่นเอื้อมมาตบลงบนบ่า ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกโยนลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งอีกครั้ง  “แต่ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?”

     

                มินกยูอดค้อนให้กับดวงตาเรียวรีที่จ้องมายังผ้าก๊อซผืนหน้าที่แปะไว้ที่ต้นคอของเขาไม่ได้

     

                “ก็ไม่เจ็บแล้วครับ” ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “พี่มีอะไรกับผมเหรอ”

     

                ดวงตาสีแดงคู่นั้นมีแววกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย

     

                “จริง ๆ ก็ไม่เชิงหรอกนะ” คำพูดที่ทำให้คนฟังต้องมุ่นหัวคิ้ว “แต่ฉันมีเรื่องจะปรึกษานายหน่อยน่ะ”

     

                “ปรึกษา?”

     

                มีคำว่า ผมเนี่ยนะแปะไว้บนหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน

     

                “และอาจจะขอความช่วยเหลือนิดหน่อยด้วย”

     

                คราวนี้มินกยูเริ่มมองเพื่อนร่วมบ้านอย่างไม่ไว้วางใจ “เกิดอะไรขึ้นครับ?”

     

                “นายจำเรื่องที่คุยกันตอนกินข้าวตอนเย็นได้ใช่มั้ย” ซูนยองว่า “เรื่องหลานชายคุณอีน่ะ”

     

                “คุณอี จีฮุน?”

     

                “ใช่”

     

                “ทำไมเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม “ปกติพี่ก็ไม่ค่อยออกไปไหนอยู่แล้วนี่ ช่วงนี้ก็อยู่แต่ในบ้านตลอดก็พอ”

     

                “ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น...”

     

                “ครับ?”

     

                ดวงตาสีดำสนิทเต็มไปความหวาดระแวงยามมองร่างโปร่งใสตรงหน้าที่กำลังใช้นิ้วชี้จิ้มๆเข้าด้วยกันคล้ายกับมีอะไรบางอย่างในใจกำลังใจบอกเขา

     

                “คืองี้นะมินกยู...” ซูนยองลากเสียงอย่างพยายามยืดเวลา “คือฉันคิดว่า.... ฉันกับคุณอี จีฮุน... เราสองคนรู้จักกันแล้วน่ะสิ”

     

                “...”

     

                มินกยูชะงักไปทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ

     

                “ก็ตอนที่นายกับวอนอูทำพิธีกรรม(?)นั่นอยู่ คุณจีฮุนก็โผล่มาหาอ่ะ เพราะว่ามีพัสดุของที่นี่หลุดไป mocha dawn ฉันก็เลยเผลอแนะนำตัวไปแล้ว...” ซูนยองอธิบายเสริมอย่างรวดเร็ว

     

                “แถมคุณจีฮุนยังคิดว่าฉันเป็นมนุษย์ด้วย”

     

                คนฟังกระพริบตาปริบๆอย่างพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์อยู่

     

    มินกยูเอื้อมไปเปิดไฟหัวเตียง เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองคุยกับซูนยองในความมืดมาตลอด ในขณะที่สมองก็ประมวลผลไปด้วย

     

    นี่เขาควรต้องตกใจมั้ย...?

     

    อืม... ไม่ใช่ว่าไม่ตกใจนะ แต่ที่คุณอีไม่อยากให้คนตรงหน้าเจอกับคุณจี ฮุนก็เป็นเพราะกลัวว่าจะตกใจกลัวไม่ใช่เหรอ?

     

    “คุณจีฮุนคิดว่าพี่เป็นคนเหรอครับ”

     

    “ก็คงงั้นนะ เพราะว่ามันมืดก็คงเห็นฉันไม่ชัด” วิญญาณหนุ่มว่า

     

    “ถ้างั้นก็คงไม่มีปัญหารึเปล่าครับ” มินกยูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “พี่ก็หลบๆอยู่ในบ้านนี่แหละ แล้วให้คนอื่นบอกว่าไปทำงาน ถ้าคุณจีฮุนถามหา”

     

    ใบหน้าโปร่งใสเต็มไปด้วยร่องรอยของการครุ่นคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะถามต่อ

     

    “ถ้างั้นนายจะช่วยฉันได้ไหมล่ะ”

     

    “ครับ?”

     

    “นายช่วยเป็นคนบอกคุณจีฮุนให้ฉันหน่อยสิ ว่าฉันทำงานดึกไม่ค่อยกลับบ้าน” ซูนยองว่า “บอกคุณจีฮุนก่อนที่รายนั้นจะได้มาคุยกับคนที่นี่”

     

    “ทำไมล่ะครับ” เด็กหนุ่มถามอย่างฉงน

     

    “ฉันไม่อยากให้ใครรู้น่ะ ว่าฉันเคยพบคุณจีฮุน”

     

    ทำไม...

     

    คำถามสั้นและเรียบง่ายแต่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของคนฟัง มินกยูยั้งตัวเองได้ทันก่อนที่คำถามนี้จะหลุดออกไปอีกครั้ง

     

    อันที่จริงมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว ดูจากการที่คนตรงหน้าแอบมาคุยกับเขาในเวลานี้ แสดงว่าคงไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้จริง ๆ

     

    ทำไมกัน...

     

    และก็วนกลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้ง

     

    “แล้วเวอร์นอนล่ะครับ” หากมินกยูกลับเลือกที่จะเอ่ยถึงสมาชิกของบ้านอีกคนที่จำได้ว่าอยู่กับซูนยองในช่วงที่เกิดเรื่องแทน

     

    “เด็กนั่นโกหกไม่เก่ง” ซูนยองบอกพร้อมกับส่ายหน้า “แค่ให้เก็บความลับเรื่องนี้ไว้ยังไม่รู้เลยว่าจะรอดรึเปล่า”

     

    มินกยูสบกับดวงตาสีแดงที่ฉายแววขอความช่วยของวิญญาณประจำบ้านด้วยความหนักใจ แล้วอยู่ ๆ ความคิดอะไรบางอย่างก็ลอยเข้ามาในหัว

     

    คุณอีไม่อยากให้สองคนนี้เจอกันเพราะกลัวคุณจีฮุนกลัวจริง ๆน่ะเหรอ...

     

    หากเมื่อมองหน้าโปร่งใสซีดๆนั่นแล้ว เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจว่าค่อยถามทีหลังแล้วกัน

     

    “งั้นก็ได้ครับ” มินกยูตอบตกลง ใบหน้าคมนิ่วเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าพุ่งเข้ามากอดเขาพร้อมกับความเย็นยะเยือกอีกครั้ง “แต่พี่ต้องตอบคำถามผมก่อนนะ”

     

    ซูนยองชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถอยกลับไปนั่งที่เดิมด้วยท่าทีผ่อนคลายยิ่งขึ้น “ถามว่า?”

     

    มนุษย์เพียงคนเดียวของบ้านยืดตัวขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง แล้วจึงเอ่ยคำถามที่สงสัยและติดอยู่ในใจมาตั้งแต่ตอนรับประทานอาหารเย็น

     

    ลัลเอสตร้า...”

     

    “...”

     

    “เป็นโรงเรียนสอนดนตรีแถวนี้เหรอครับ”

     

    “ใช่”  น้ำเสียงของวิญญาณหนุ่มเย็นชาเสียจนคนฟังแอบสะดุ้ง รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าโปร่งใสหายไปชั่วพริบตา เปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉยราวกับรูปสลัก

     

    การเปลี่ยนที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้มินกยูอดไม่ได้ที่แอบกลั้นหายใจ ทว่าความอยากรู้อยากเห็นกลับมีมากกว่า แม้รู้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทก็ตามที

     

    “ที่นั่น... มีอะไรรึเปล่าครับ”

     

    มีแต่ความเงียบงันหลังจากที่คำถามของเขาจบลง มินกยูสบกับดวงตาสีแดงตรงหน้าแล้วจึงรู้ว่าเขาพลาดไปอย่างสนิทใจ

     

    วิญญาณประจำบ้านกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ไร้ชีวิตอย่างแท้จริง

     

    “...”

     

    แล้วก็เป็นคนถามที่ทนไม่ได้เสียเอง “เอ่อ... ถ้าพี่ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ” มินกยูบอกเสียงอุบอิบ แล้วจึงเอ่ยต่ออย่างหงอย ๆ “ผมขอโทษ”

     

    แต่แล้วซูนยองก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ดวงตาสีแดงดูราวกับล่องลอยไปยังที่ไกลแสนไกล

     

    ลัลเอสตร้า...”

     

    “...”

     

    “เป็นสถานที่... ที่ฉันตาย”

     

    คนฟังอ้าปากค้าง

     

    “ที่ที่พี่ตาย?” มินกยูย้อนถามเสียงดัง เรียกดวงตาเรียวชี้ให้ตวัดมองด้วยสายตาคมกรับ

     

    “ทำไม?”

     

    “ผมนึกว่าพี่ตายที่นี่ซะอีก” เด็กหนุ่มว่า

     

    “เปล่า...” ซูนยองส่ายหน้า “ไม่ใช่ที่ vanilla twilight สักหน่อย”

     

    มินกยูยังคงอ้าปากค้างอย่างคนพูดอะไรไม่ออก

     

    โอ้

     

    มาย

     

    ก็อด!!!!!!!!!

     

     






     

     

    ภารกิจลับของมินกยูเริ่มขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่แตะขอบฟ้าดี

     

    แสงสลัวที่เพิ่งเริ่มจับที่ขอบฟ้าทำให้รอบตัวของเด็กหนุ่มยังพอมองเห็นได้บ้างแม้บางส่วนจะยังอยู่ในความมืดก็ตาม สายหมอกจางที่รายล้อมอยู่ทำให้เขาต้องกระชับเสื้อคลุมเข้าหากัน ก่อนมองไปรอบตัวแล้วอดไม่ได้ที่จะยอมรับ อากาศยามเช้าตรู่อันแสนสดใสไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มท่าทางงัวเงียในชุดนอนที่เดินง่วง ๆ พลางบ่นพึมพำอะไรคนเดียวดูน่ากลัวน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว

     

    แต่มินกยูไม่ได้พูดคนเดียวเถอะ

     

    เด็กหนุ่มกำลังบ่น... บ่นกับร่างโปร่งใสที่ในตอนนี้คงไม่มีใครมองเห็นนอกจากเขายามเดินไปยังบ้านข้างๆ

     

    ‘Mocha dawn

     

    หรือ รุ่งอรุณรสมอคค่า

     

    รุ่งอรุณ... เวลาเช้าที่ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงจับขอบฟ้า ซึ่งก็คงหมายถึงเวลานี้นี่แหละ

     

    “พี่รู้ได้ไงว่าเขาตื่นแล้ว?” มินกยูหันไปถามคนข้างตัว แน่ละ... มันคงไม่ใช่เรื่องปกติแน่ ๆที่จะมีคนตื่นเช้าขนาดนี้ในวันหยุด อย่างน้อยก็สำหรับเขาคนหนึ่งแล้วกัน

     

    “ฉันส่องบ้านนั้นอยู่ทั้งคืน” วิญญาณประจำบ้านว่า “พอเห็นคุณจีฮุนออกมาวิ่ง ก็รีบไปปลุกนายเลยไง”

     

    และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้หนึ่งคนหนึ่งวิญญาณต้องมาดักรอชายหนุ่มที่มินกยูไม่เคยเห็นหน้าอยู่ตรงประตูรั้วแห่งนี้

     

    “มันจะเป็นเรื่องใหญ่มากเลยเหรอครับ ถ้าทุกคนรู้ว่าพี่เจอเขาแล้วน่ะ” คนอายุน้อยกว่าถาม

     

    “ไม่รู้สิ” ซูนยองตอบพร้อมกับห่อตัวเล็กน้อย “ฉันแค่มีความรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครรู้”

     

    มินกยูเหลือบมองใบหน้าโปร่งใสที่เห็นได้อย่างลางเลือนเล็กน้อย

     

    “แล้วพี่มากับผมแบบนี้จะดีเหรอ? ถ้าเขาเห็นพี่อีกล่ะ?”

     

    คนฟังส่ายหัว “ไม่มีใครเห็นฉันหรอกถ้าฉันไม่ต้องการ ที่นายเห็นก็เป็นเพราะตอนนี้นายมีซิกซ์เซ้นแล้วไง”

     

    “ผมควรดีใจมั้ย” มินกยูงึมงำ ก่อนที่ทั้งคนมีชีวิตและเคยมีจะชะงักพร้อมกัน เมื่อแสงสว่างที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นทำให้มองเห็นว่าร่างของใครคนหนึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆมาใกล้

     

    “มาแล้วววว” ซูนยองเอ่ยอย่างตื่นเต้น มือโปร่งใสตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มอย่างเผลอตัว“พูดให้ตรงตามที่ฉันเคยบอกนะ”

     

    มินกยูสะดุ้งเล็กน้อยกับความรู้สึกเย็นวาบที่เกิดขึ้น ก่อนรับคำเบา ๆ

     

    ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังคนที่วิ่งเข้ามาใกล้ ปั้นสีหน้าที่คิดว่าเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แล้วจึงส่งรอยยิ้มออกไปเป็นทัพหน้า ยามที่จีฮุนชะลอฝีเท้าลงจนหยุดลงตรงหน้าพวกเขาในที่สุด

     

    เด็กหนุ่มกำลังอ้าปากเพื่อทักทาย เมื่อผู้ชายตัวเล็กคนนั้นเอ่ยทักขึ้นมาซะก่อน

     

    “สวัสดีครับ” มันเป็นคำพูดธรรมดาที่ทำให้คนฟังชะงักงันพร้อมกับอ้าปากค้าง

     

    จะไม่ให้เขาตกใจได้ยังไงล่ะ ก็คนที่จีฮุนเอ่ยทักไม่ใช่เขาไง

     

    มินกยูตัวแข็งทื่อ ในขณะที่เพื่อนร่วมบ้านของเขาก็มีท่าทางไม่ต่างกัน

     

    อี จีฮุน มีสัมผัสที่ 6!

     

    มินกยูได้ยินเสียงตัวเองตะโกนเสียงดังในใจ เด็กหนุ่มเหลือบไปมองคนข้างตัวอย่างรวดเร็ว ซูนยองเองก็กำลังมีสีหน้าแปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน

     

    แต่ดูเหมือนว่าโชคยังเข้าข้างพวกเขาอยู่ เพราะแสงสลัวในยามเช้าทำให้ร่างโปร่งใสของซูนยองดูคล้ายกับมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้าง และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจดึงความสนใจมาที่เขาอย่างรวดเร็ว

     

    “สวัสดีครับ คุณอี จีฮุน” จีฮุนหันกลับมามองเขาแทน จากหางตา มินกยูเห็นว่าซูนยองเปลี่ยนร่างโปร่งใสของตัวเองให้มองดูว่าเป็นมนุษย์แล้ว “ผม... เอ่อ มินกยู คิม มินกยู ครับ ผมอยู่ที่ vanilla twilight

     

    ผู้ชายตัวเล็กยิ้มให้มินกยู “จีฮุน อี จีฮุน ครับ”

     

    มีแต่ความเงียบงันหลังจากเจ้าตัวพูดจบ มินกยูนึกรู้ในทันทีที่ว่าจีฮุนเองคงเป็นคนที่พูดไม่เก่งเช่นเดียวกับเขา และสำหรับในตอนนี้คนที่พูดเก่งอย่างซูนยองก็คงรู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรพูดอะไรออกมา

     

    “มาวิ่งตอนเช้าเหรอครับ”

     

    หรือไม่รู้ตัววะ?

     

    เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อคนข้างตัวเขาเอ่ยเหมือนชวนคุย

     

    “ใช่ครับ พวกคุณก็เหมือนกันเหรอ?” คำถามที่เรียกให้มินกยูเหลือบมองสภาพของตัวเองและซูนยองอย่างรวดเร็ว

     

    “เปล่าครับ... พวกผมแค่ออกมาสูดอากาศเฉย” เขารีบตอบ

     

    มีรอยยิ้มบางจากคนฟัง ทำให้เจ้าตัวยิ่งดูเด็กมากกว่าเดิม

     

    “ที่นี่อากาศดีมากเลยนะครับ” จีฮุนว่า ก่อนเหลือบมองดูนาฬิกาของตัวเอง “ผมต้องไปแล้ว แล้วเจอกันใหม่นะครับ”

     

    ว่าแล้วคนพูดก็เปิดประตูรั้วออกแล้วเดินเข้าไปทันที ก่อนจะหันมาโบกมือให้เล็กน้อย เรียกให้คนที่มองตามต้องโบกมือให้ไปด้วย

     

    มินกยูลดมือลงช้า ๆ ยามที่จีฮุนเดินเข้าไปในบ้านสีน้ำตาลแล้ว

     

     

    เด็กหนุ่มหันไปหาเพื่อนร่วมบ้านอีกครั้ง

     

    “แล้วเรา... จะเอาไงกันต่อดีครับ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างสูงสมส่วนของวอนอูที่เดินเข้ามาในห้องครัวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

     

    มินกยูที่กำลังจิ้มเบคอนอยู่สบกับสายตาแปลกใจของเพื่อนร่วมบ้านแล้วส่งยิ้มที่คิดว่าไม่มีพิรุธไปให้

     

    “ตื่นเช้านะ” คนอายุมากกว่าว่าพลางเดินไปเปิดตู้เย็น

     

    “ผมเอ่อ... ว่าจะติวกับพี่ซูนยองน่ะ”

     

    เด็กหนุ่มไม่ได้โกหก เขาคิดที่จะขอให้ซูนยองติวให้จริง ๆ เว้นแต่ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องไปทำภารกิจลับ(ที่ไม่สำเร็จเลยสักนิด)กันก่อนก็เท่านั้นเอง

     

    คนฟังพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนหันไปสนใจเลือกอาหารตรงหน้าต่อ

     

    “แล้ว... เป็นไงบ้าง”

     

    คำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงเรียบเฉยทำให้มินกยูต้องใช้เวลาเล็กน้อยถึงจะรู้ว่าคนที่อายุมากกว่าหมายถึงอะไร

     

    “ไม่มีปัญหาครับ ผมโอเคแล้ว” มือเรียวยกขึ้นแตะบริเวณต้นคอพร้อมตอบไปด้วย

     

    “ดีแล้ว” วอนอูเอ่ยเบา ๆ

     

    มินกยูจัดการอาหารเช้าของตัวเองพลางเหลือบมองเพื่อนร่วมบ้านไปด้วย

     

    เอาจริง ๆ แล้วตอนแรกเด็กหนุ่มค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันตอนที่รู้ว่าวอนอูเองก็ต้องกินอาหารของมนุษย์ไปด้วย แต่อารอนก็คลายความสงสัยของเขาให้

     

    ความจริงแล้วอาหารของแวมไพร์เป็นได้ทั้งเลือดและอาหารของมนุษย์ เพียงแต่ที่ดีที่สุดก็คือเลือดที่จะช่วยเพิ่มทั้งพลังและเวทมนต์บางอย่างได้

     

    แต่วอนอูก็เหมือนแวมไพร์ส่วนใหญ่ทั่วไปที่ขี้เกียจมีปัญหากับความยุ่งยากต่าง ๆ มากมายที่มักจะตามมา ดังนั้นเจ้าตัวจึงจะใช้เลือดของโดเนอร์เพียงเพื่อรักษาพลังไว้เท่านั้น

     

    “ตื่นแล้ว?” เสียงของวิญญาณประจำบ้านที่บอกว่าจะแวบไปคุยกับเวอร์นอนดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าตัวลอยมาใกล้

     

    วอนอูเพียงแค่พยักหน้าให้ผู้เป็นรูมเมทแทนคำตอบ ก่อนเปรยเบา ๆ “วันนี้ตื่นเช้านะ”

     

    “นอนไม่หลับ” ซูนยองว่า ก่อนทิ้งตัวลงข้างมินกยู

     

    คำตอบที่เรียกให้คนถามเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ถามอะไรต่อ

     

    มินกยูเหลือบมองเสี้ยวหน้าของวิญญาณประจำบ้าน อะไรบางอย่างบอกเขาว่าซูนยองน่าจะอยากปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นกับวอนอู หากแต่ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

     

    เด็กหนุ่มกำลังจะเอ่ยขอตัว เผื่อว่าซูนยองจะได้คุยกับอะไรกับรูมเมทของตัวเองได้สะดวกขึ้น หากเพื่อนร่วมบ้านอีกคนกลับเดินเข้ามาเสียก่อน

     

    “สวัสดีค่ะ” ซองยอนเอ่ยทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงร่าเริงเฉกเช่นทุกครั้ง

     

    มินกยูส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมบ้านแทนกันทักทาย ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมตัวในการติวกับซูนยอง

     

    “ผมไปเตรียมของก่อนนะ”

     

    “เจอกันที่ห้องนั่งเล่น” วิญญาณประจำบ้านตอบ ในขณะที่วอนอูแค่พยักหน้าให้เขาเท่านั้น

     

    ทว่าซองยอนดึงแขนเขาไว้ก่อนที่จะออกจากห้องครัว ทำให้มินกยูต้องหันไปมองเจ้าตัวอย่างงุนงง

     

    “มีอะไรเหรอ?”

     

    “แผลเป็นไงบ้าง” แฟรี่สาวถาม

     

    “ดีขึ้นแล้วล่ะ” เขาตอบ หากอะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้เด็กหนุ่มเอะใจกับอะไรบางอย่าง

     

    “ดีแล้ว” ซองยอนลดมือลงพร้อมส่งยิ้มให้เขา แต่ถึงอย่างนั้นมินกยูก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเมื่อครู่สายตาของเด็กสาวนั้นนอกจากความเป็นห่วงแล้ว ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่เขายังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรปนมาด้วย

     

    จริงสิ ก็ซองยอนเคยเป็นโดเนอร์ของวอนอูมาก่อนนี่...

     

    มินกยูเหลือบมองไปด้านหลังระหว่างที่เดินออกจากห้องครัว จากหากตาเขาเห็นว่าซองยอนกำลังคุยกับวิญญาณประจำบ้าน หากสายตากับจับจ้องไปยังสมาชิกของบ้านอีกคนแทน

     

    หรือซองยอนจะแอบชอบวอนอู..?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

     

     


     

    ปล. The steel rose อัพอีกนิดแล้วนะคะ(เนื้อที่โฆษณา) แต่เหมือนจะไม่ได้แจ้งเตือนค่ะ แล้วก็เช่นเคย นอกจากที่นี่แล้ว สามารถแวะมาคุยกันได้ที่ #MianamiFanfic ค่ะ

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×