ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic WIN] BABY BABY ◤ BJin ◢

    ลำดับตอนที่ #17 : ◤ Chapter 14 ◢

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.7K
      11
      29 มี.ค. 57

    Chapter 14




     

     

    ถึงแม้ว่าตอนนี้บรรยากาศภายในบ้านตระกูลคิมจะดูดีมากแค่ไหน แต่อารมณ์ของลูกชายคนโตในบ้านหลังนี้กลับไม่ได้ดูดีเหมือนๆกับบรรยากาศรอบด้านเลยซักนิด...
     

    หรือว่าเขาไม่ได้กลับมาบ้านนานเกินไป มันก็เลยไม่ชิน ไม่สิ... ปกติเวลาที่อยู่กับครอบครัวเขาก็ไม่เคยเงียบและนิ่งได้ถึงขนาดนี้ แล้วยิ่งนานๆเจอกันทีก็ต้องมีการถามสารทุกข์สุกดิบบ้างไม่มากก็น้อย แต่นี่มันอะไร... คิมฮันบินกลายเป็นคนที่ปิดปากเงียบและไม่ชวนใครคุยเลยตั้งแต่เข้าบ้านมา
     

    บางที... สาเหตุที่ทำให้เขาได้แต่ตักข้าวเข้าปากโดยทำเป็นไม่สนใจอะไรเลยก็อาจจะเป็น... คนที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นล่ะมั้ง
     

    แกล้งทำเป็นไม่สนใจ... แต่จริงๆแล้วตั้งใจฟังอยู่ตลอดว่าคนบนโต๊ะอาหารกำลังคุยอะไรกัน
     

    “โตเป็นหนุ่มแล้วยังน่ารักเหมือนเดิมเลยนะ แต่ทำไมไม่ยอมมาหาป้าบ้างเลย น้อยใจซะดีมั้ยเนี่ย” คุณนายคิมเอ่ยปากขณะที่สามีของเธอทานข้าวเสร็จและกำลังลุกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกพอดี
     

    “แหะๆ... อย่าน้อยใจผมเลยนะครับ ผมมัวแต่เรียนแล้วก็ช่วยงานที่บ้านเลยไม่ค่อยมีเวลาไปไหนเลย...” เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อยพลางส่งสีหน้าอ้อนๆไปทางหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
     

    “อ๋อ ร้านคาเฟ่ใช่มั้ย?” เธอถาม และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบกลับมา “น่ารักจริงๆเลยนะเรา ทั้งตั้งใจเรียนทั้งขยันช่วยแม่ทำงานแบบนี้ มีเวลาหาแฟนกับเค้าบ้างมั้ยเนี่ย”
     

    “อ่า... เรื่องนั้น...”
     

    ยอมรับเลยว่ามาถึงตรงนี้หูของฮันบินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆก็ผึ่งขึ้นมาทันที ก็ไม่ได้อยากจะสนใจอะไรมากหรอกนะ แค่...
     

    “แม่คะ หนูเห็นตั้งแต่จินฮวานเข้ามาในบ้านแม่ก็ชวนคุยไม่หยุดเลย ฮ่าๆๆๆๆ พักบ้างก็ได้น่า” การขัดจังหวะของน้องสาวที่นั่งอยู่ติดกับจินฮวานทำให้ฮันบินอดกรอกตาไปมาอย่างรู้สึกเสียดายไม่ได้
     

    “ก็แม่คิดถึงนี่ ใครจะไปเหมือนเราล่ะ ได้คุยกันบ่อยเลยล่ะสิ”
     

    “คึคึ เพื่อนจะติดต่อกันบ่อยๆมันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่คะ แถมยังเป็นเพื่อนคนสำคัญอีกเนอะ เสียดายที่วันนี้แทฮยอนไม่อยู่ จะได้เรียกมาคุยเรื่องเก่าๆกัน”
     

    สำคัญงั้นหรอ? ทำไมอยู่ๆคิมฮันบินถึงได้รู้สึกเหมือนโดนกระทบที่กลางใจอย่างรุนแรง หรือว่า... ที่ผ่านมาเพราะเขาไม่ใช่คนสำคัญก็เลย... ไม่เคยถูกติดต่อกลับมาบ้าง
     

    “เพื่อนกันแล้วทำไมไม่ตามไปเรียนที่เดียวกันล่ะฮื้ม?” คุณนายคิมวางช้อนลงพลางส่งยิ้มให้กับลูกสาวของตัวเองอย่างเอ็นดู
     

    “ง่า... แม่พูดเรื่องนี้อีกแล้วนะคะ ก็มหาลัยที่จินฮวานสอบได้มันเข้ากันได้ง่ายๆซะที่ไหน บู่วววว~
     

    “ไม่เห็นจะยากเลย ฮันบยอลน่ะไม่ตั้งใจอ่านหนังสือตอนสอบเองมากกว่ามั้ง ฮ่าๆๆ” เสียงของเด็กหนุ่มที่เงียบหายไปเสียนานกลับมาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะมีเสียงหัวเราะอีกครั้ง
     

    แน่ล่ะว่าไม่ใช่สำหรับฮันบิน...
     

    “จะว่าไปที่มาโซลคราวนี้... เห็นฮันบยอลเล่าให้ป้าฟังว่าจะมาหาหออยู่ใกล้ๆกับมหาลัยไม่ใช่หรอ เป็นยังไงบ้างลูก หาได้รึยัง?”
     

    “วันนี้ก็ลองไปดูหลายที่แล้วเหมือนกันครับ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้เลย”
     

    ในเมื่อไม่ได้เรียนกับฮันบยอล... แล้วไปเรียนอยู่ที่ไหนกัน? ชายหนุ่มร่างสูงนั่งคิดอยู่เงียบๆด้วยความสงสัย เพราะถ้าบอกว่ามหาลัยนั้นสอบเข้ายาก บางที... คงจะไม่...
     

    “งั้นป้าว่าไปอยู่กับฮันบินดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องไปเสียค่าเช่าแพงๆ แถมยังใกล้กับมหาลัยอีกต่างหาก”
     

    “ค..ครับ?” เด็กหนุ่มตัวเล็กทำหน้าตาเหรอหราทันที
     

    “จริงด้วยๆ คอนโดพี่ฮันบินก็อยู่ใกล้ๆกันนี่นา” เสียงใสของฮันบยอลดังขึ้นมาสมทบด้วยอีกคน “จินฮวานไปอยู่กับพี่ฮันบินเถอะ นะๆ~
     

    “คือ..ไม่...” เด็กหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธขณะที่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่ชายร่างสูงพอดี
     

    “ก็มาอยู่สิ” เจ้าของเสียงทุ้มเข้มเอ่ยพลางก้มหน้าก้มตากลับไปกินอาหารที่วางอยู่หน้าต่อราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่จริงๆแล้วน่ะหรอ... ก็แอบลุ้นอยู่เหมือนกันแหละว่าเจ้าเด็กตัวเล็กตรงหน้านี่จะว่ายังไง
     

    “ผมเกรงใจ...”
     

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูก คนกันเองทั้งนั้น เดี๋ยวป้าโทรไปคุยกับแม่ให้เอง”
     

    ไม่รู้ว่าฮันบินควรขอบคุณแม่หรือว่ายังไงดี เพราะหลังจากที่เกลี้ยกล่อมไปได้ซักพักแล้วจินฮวานก็ต้องจำใจพยักหน้าตกลงจนได้ อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องที่ต้องทำเหมือนบังคับน้องอย่างนี้ซักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่ว่า... ไม่รู้สินะ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้อยากให้จินฮวานมาอยู่ด้วยกัน เพราะแค่อยากช่วยเหลืองั้นหรอ? หรือเพราะว่าเขากำลังพยายามหาทางเข้าใกล้น้องกันแน่...
     

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรตาม ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการได้กลับไปคุยเล่นกับจินฮวานเหมือนอย่างเมื่อก่อนก็พอ ...เพราะท่าทางที่ดูห่างเหินกันอย่างนั้น มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ






     

     

     


     

     

    พูดอะไรไม่ออกเลยแฮะ...
     

    เด็กหนุ่มตัวเล็กจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถยนต์คันหรูตลอดเวลาตั้งแต่ก้าวขึ้นมานั่งเป็นตุ๊กตาอยู่บนนี้ ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ... คนที่นั่งหมุนพวงมาลัยอยู่ข้างๆดันนิ่งซะจนน่ากลัวขนาดนั้น จินฮวานเลยเกร็งจนไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี แถมเจ้ารถยนต์แอสตันมาร์ตินสุดแพงที่กำลังแล่นอยู่บนถนนนี่มันยังทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวอีกต่างหาก ก็ถ้าขืนไปโดนอะไรแล้วเกิดเป็นรอยขึ้นมา เจ้าของรถอาจจะอารมณ์เสียมากกว่ากว่านี้อีกก็เป็นได้
     

    จะว่าไปรถสีดำทูโทนคันนี้มันก็ดูเหมาะกับพี่ฮันบินดีนะ... เรียบหรูตามไลฟ์สไตล์ของคนทำงาน...ล่ะมั้ง จินฮวานไม่ค่อยรู้เรื่องรถก็เลยไม่รู้ว่ารถคันนี้เป็นรุ่นอะไร แต่แค่เห็นโลโก้ที่แปะหราอยู่หน้ารถก็บ่งบอกราคาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เคยคุยโทรศัพท์กับฮันบยอลอยู่เหมือนกันเรื่องที่พี่ฮันบินออกรถใหม่ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถคันนี้แล้ว
     

    อึดอัดชะมัด เฮ้อ... รู้งี้ขอกลับเองซะก็ดี
     

    “ถอนหายใจทำไม หรือไม่พอใจอะไรพี่?”
     

    “ป..เปล่านะครับ! ผมก็แค่...” นั่นสิ... แค่อะไรล่ะ? เขาไม่ได้ไม่พอใจพี่ฮันบินซะหน่อย แต่มันบอกไม่ถูกจริงๆว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง การที่ไม่ได้เจอกันตั้งนานมันทำให้เขาทำตัวไม่ค่อยถูก ทั้งๆที่จริงแล้วก็ไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้เลยซักนิด...
     

    “หรือว่าไม่อยากให้พี่ไปส่ง” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมา... คือถ้าจินฮวานไม่ได้คิดไปเองเขาก็กำลังรู้สึกเหมือนว่าน้ำเสียงนั้นมันเจือไปด้วยความน้อยใจ
     

    หลังจากที่ร่วมกินอาหารเย็นกับครอบครัวตระกูลคิมเสร็จและกำลังจะขอตัวกลับ คุณป้าก็คะยั้นคะยอให้พี่ฮันบินขับรถไปส่งเขาที่สนามบินจนได้ โดยใช้เหตุผลง่ายๆว่ามันค่ำแล้วก็เลยเป็นห่วง โถ่... เขาเป็นเด็กผู้ชายนะ เรื่องแค่นี้น่ะดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ก็เท่านั้นแหละ... เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถขัดผู้ใหญ่ได้อยู่ดี
     

    “ผมเกรงใจ...”
     

    “เห็นพูดคำนี้มาตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว เกรงใจทำไมนักหนา เห็นพี่เป็นคนอื่นรึไง”
     

    “ม..ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ! ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยจริงๆ!” คนตัวเล็กเริ่มลุกลี้ลุกลนขณะยกมือขึ้นมาปฏิเสธพัลวัน อุตส่าห์ได้คุยกันทั้งที ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้นะ
     

    ฮันบยอลนะฮันบยอล... ทำกับเขาได้ลงคอ ที่จริงแล้ววันนี้เขาแค่จะมายืนยันการเข้าเรียนต่อที่มหาลัยเลยถือโอกาสหาหอพักไปด้วยเท่านั้นเอง แต่ตอนที่ถูกชวนมาที่บ้านทำไมเขาถึงไม่ได้เอะใจเลยซักนิดนะว่าวันนี้พี่ฮันบินจะกลับมาเหมือนกัน
     

    ซักวันนึงก็ต้องได้เจอ... เรื่องนั้นเขารู้ดี... แต่นี่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
     

    “พี่ว่าเรามาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า” อยู่ๆเจ้าของรถก็ขับชะลอก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางเอาซะดื้อๆ ร่างสูงปล่อยมือจากพวงมาลัยเพียงข้างเดียวขณะหันมาจ้องคนที่นั่งเหวออยู่ข้างๆ
     

    “คุย..? คุยเรื่องอะไรครับ...” ดวงตาคู่ใสหันกลับไปมองตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
     

    “นายไม่รู้จริงๆรึไงว่าพี่หมายถึงเรื่องอะไร”
     

    “ค..ครับ”
     

    “เฮ้อ... เรื่องที่นายย้ายไปอยู่กับครอบครัวที่เชจูแล้วไม่ยอมบอกพี่ก็พอเข้าใจ เพราะพี่ก็เคยทำแบบนั้นกับนาย แต่การที่นายเล่นหายตัวไปตั้งหลายปีแถมยังไม่ยอมติดต่อพี่เลยซักนิดพี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่จินฮวาน” ชายหนุ่มพ่นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมาโดยไม่ปิดบัง มันก็แค่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ “ไม่ใช่นายรึไงที่บอกให้พี่รอ แต่พอพี่กลับมาทำไมนายถึงไม่อยู่รอพี่...”
     

    “พี่ฮันบิน...” คนที่ตัวเล็กกว่าเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง เพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ข้างในใจมันทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
     

    ได้แต่มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ถึงแม้จะผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังคงดูดีแทบไม่ต่างไปจากเดิม ริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นตามวัยนั้นก็ไม่ได้ทำให้พี่ฮันบินดูแก่ลงเลยซักนิด แต่ว่า... มันเป็นเพราะเขาหรอ? สีหน้าของพี่ฮันบินถึงได้ดูโกรธมากมายขนาดนี้...
     

    “ถ้านายไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ”
     

    “ผมขอโทษครับ...” ใบหน้าหวานก้มลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตักขณะพูดออกมาอย่างนั้น “ผมขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อพี่เลย”
     

    “...”
     

    “ตอนที่รู้จากฮันบยอลว่าพี่ฮันบินกลับมาเกาหลีแล้วผมดีใจมากจนแทบอยากรีบมาหา”
     

    “แล้วทำไมถึงไม่มา”
     

    “ผมกลัว... ถ้าได้เจอหรือได้คุยกับพี่อีกครั้งผมคงไม่อยากจากลากับพี่อีกแน่ๆ แล้วตอนนั้นผมบอกพี่ไปแล้วว่าผมจะรีบโตขึ้น เพราะงั้นจนกว่าจะได้เจอกันอีก...”
     

    “...”
     

    “ผมคิดว่าผมควรโตขึ้นก่อน แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมโตพอรึยัง...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาลอบสบตาอีกฝ่ายเล็กน้อยราวกับต้องการคำตอบ
     

    ส่วนเจ้าของร่างสูงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาดังพรืด ก่อนจะเอื้อมมืออกมาขยี้หัวคนที่ยังคงเป็นเด็กน้อยในสายตาของเขาอยู่เสมอ
     

    “นายนี่มันแสบจริงๆ”
     

    “ผม... ผมขอโทษ พี่ฮันบินโกรธผมใช่มั้ย” ดวงตาคู่ใสเริ่มเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่ฝ่ามือหนาถูกดึงกลับไป แต่จินฮวานก็รู้ดีว่าการที่เขาโดนโกรธแบบนี้มันสมควรแล้ว... เล่นหายตัวไปโดยไม่ติดต่อกลับมา ใครเค้าจะชอบกันบ้างล่ะ
     

    “เป็นนาย นายจะไม่โกรธรึไง”
     

    “งั้นผมควรทำยังไงดี” คิ้วเรียวเริ่มขมวดจนแทบจะชนกัน “ที่จริง... ผมว่าผมไปหาหออยู่เองดีกว่า ถ้าพี่ยังโกรธผมอยู่อย่างนี้ แล้วขืนผมไปอยู่กับพี่ก็คงมีแต่ทำให้พี่รำคาญซะเปล่าๆ”
     

    “เด็กบ้า พี่บอกให้นายทำอย่างนั้นรึไงห๊ะ?”
     

    “ป..เปล่าครับ”
     

    “งั้นก็ไม่ต้องไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้นแหละ คอนโดพี่มีตั้งสองห้อง พี่ให้นายไปอยู่เหมือนเป็นบ้านตัวเองยังได้” การที่พี่ชายตัวสูงพูดออกมาอย่างนี้มันทำให้จินฮวานรู้สึกหัวใจเต้นแรงยังไงก็ไม่รู้... แม้จะผ่านมาตั้งหลายปี พี่ฮันบินก็ยังใจดีกับเขาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย... แต่เขานี่สิ กลับทำให้พี่ฮันบินต้องไม่พอใจ
     

    “แต่พี่ฮันบินยังโกรธผมอยู่-…
     

    “เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ว่าแต่... ทำไมนายไม่เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนเดิมล่ะ น่ารักดีออก”
     

    หืม... อยู่ๆทำไมพี่ฮันบินจะต้องเปลี่ยนมาคุยเรื่องนี้ด้วยล่ะ แล้วที่บอกว่าน่ารักนั่นมันยังไงกัน... จินฮวานไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าพี่ฮันบินกำลังชมเขาอยู่เลย แถมยังเล่นจ้องกันซะขนาดนั้น เขาจะทำอะไรได้นอกจากรีบหลบตาแล้วแกล้งทำเป็นมองตรงไปที่ถนนด้านหน้า
     

    “น่าอายออก... ผมโตแล้วนะ จะให้เรียกตัวเองด้วยชื่อเหมือนตอนเด็กๆได้ยังไง”
     

    “ก็ใช้เรียกกับพี่แค่คนเดียวสิ”
     

    ร้อนแฮะ... แอร์ก็ไม่ได้เสียนะ แต่ทำไมบนรถนี่ถึงได้ร้อนเหลือเกิน
     

    “อ่า...” จินฮวานไม่เข้าใจเลยว่าพี่ชายตัวโตกล้าพูดออกมาอย่างนั้นด้วยท่าทางปกติได้ยังไง ทั้งๆที่เขาน่ะ... รู้สึกอายจนแทบชอยากมุดตัวหายลงไปในเบาะรถราคาแพงนี่จะแย่อยู่แล้ว
     

    “หรือว่านายเห็นพี่เป็นคนอื่นไปแล้วจริงๆ นายยังไม่ได้ตอบคำถามพี่ข้อนี้เลยนะ...”
     

    “พี่ฮันบินไม่เคยเป็นคนอื่นนะครับ”
     

    “งั้นพี่เป็นอะไรล่ะ?”
     

    “คือว่า...” เจ้าของน้ำเสียงหวานเอาแต่ก้มหน้างุดๆและเล่นมือของตัวเองราวกับพยายามเค้นคำตอบที่อยู่ภายในใจออกมา “พี่ฮันบินก็ยังคงเป็นพี่ฮันบินของจินฮวานเสมอนั่นแหละครับ”
     

    “หึ...” ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆขณะมองเจ้าตัวเล็กที่เริ่มกำสายเบลท์เล่นแก้เขิน เขาระบายยิ้มเล็กน้อยพลางหันหน้ากลับไปสนใจถนนหนทางข้างหน้าก่อนจะเริ่มขับรถไปต่อ จริงๆก็ไม่ได้อยากเสียเวลาจนทำให้น้องตกเครื่องนักหรอก
     

    ถึงตอนนี้จะยังคุยแบบสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ก็ไม่เป็นไร... ฮันบินคิดว่ามันควรค่อยๆเป็นค่อยๆไปมากกว่า ในเมื่อเขารอจินฮวานมาได้ตั้งนานขนาดนี้แล้ว รอต่ออีกซักนิดจะเป็นไรไปล่ะ

     

     

     

     






     

    คงซักราวๆหนึ่งอาทิตย์ได้แล้วนับจากวันที่ฮันบินไปส่งน้องชายตัวเล็กยังสนามบิน ตอนที่ล่ำลากันแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ด้วย คราวนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปแอบดูโทรศัพท์มือถือของน้องสาวตัวเองอีกต่อไป
     

    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... ใช่ว่าได้เบอร์มาแล้วจะกล้าโทรไปคุยงั้นแหละ ฮันบินไม่ใช่คนที่ชอบตามตื้อใครขนาดนั้น สุดท้ายก็เลยได้แต่ปล่อยให้เบอร์ของจินฮวานมีอยู่ในเครื่องอย่างเปล่าประโยชน์ ทั้งๆที่คิดว่าน้องน่าจะโทรมาหาบ้าง น้องกลับไม่โทรมาหาเขาเลยซักครั้งเดียว
     

    ยกเว้นก็แต่... เมื่อวานนี้
     

    ตอนนั้นที่นั่งคุยกันต่อบนรถ จินฮวานบอกกับเขาแล้วล่ะว่าจะย้ายเข้าโซลมาวันไหน ซึ่งเขาก็จำได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งเมื่อวานเจ้าตัวโทรมาถามเขาว่าขอเลื่อนวันเข้ามาได้มั้ย เพราะต้องรีบไปจัดการธุระที่มหาลัยให้เสร็จก่อนเปิดเทอม แน่ล่ะว่าสำหรับเขานั้นย่อมได้
     

    เพราะงั้นตอนนี้ ชายหนุ่มในชุดสบายๆที่ใส่ไปทำงานเป็นประจำจึงกำลังนั่งอยู่บนรถที่กำลังตรงไปยังสนามบิน ปกติแล้วฮันบินมักจะนั่งทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัทจนถึงประมาณสองทุ่ม แต่วันนี้เขากลับขอเลิกงานก่อนเวลาจนเพื่อนที่ทำงานหลายๆคนถึงกับแปลกใจ
     

    ก็นะ... นี่มันเพิ่งจะบ่ายสี่เอง
     

    ร่างสูงใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยไปตามจังหวะเพลงที่เปิดบนรถอย่างอารมณ์ดี ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดต่างๆมากมาย
     

    เย็นนี้จะกินอะไรดีนะ? ควรซื้อของไปทำกับข้าวเองหรือว่าควรพาเจ้าตัวเล็กออกไปกินนอกบ้านดี เพราะฝีมือการทำอาหารของเขาก็ไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ซะด้วยสิ ไม่รู้ว่าจินฮวานจะทำเป็นบ้างหรือเปล่า อืม... แล้วไหนจะเรื่องห้องนอนอีก จินฮวานเล่นโทรมากะทันหันแบบนั้นเขาก็เลยยังไม่ทันได้เก็บห้องให้น้องเลย
     

    จริงๆแล้วห้องนอนเล็กก็ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องดนตรีกับหนังสือและโน๊ตเพลงที่เขาชอบไปสุมๆไว้เท่านั้นเอง เวลาคิดเพลงไม่ออกทีไรก็จะชอบเข้าไปนั่งเล่นนอนเล่นแล้วก็คุ้ยๆหาแรงบันดาลใจจากในห้องนั้นนั่นแหละ
     

    จะว่าไป... มันก็ออกจะรกๆอยู่เหมือนกันแฮะ
     

    ครืดดดดดดด ครืดดดดดดดดด
     

    แรงสั่นจากเครื่องมือสื่อสารทำให้ฮันบินปัดความคิดในหัวออกไปก่อนที่เขาจะเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
     

    “ว่าไง”
     

    [พี่ฮันบินอยู่ไหนแล้วครับ]
     

    “ถึงแล้วล่ะ กำลังจะเลี้ยวเข้าไป”
     

    [ผม..เอ่อ... จินฮวานรออยู่ตรงประตูทางออก xx นะ]
     

    “อาฮะ รอพี่อยู่ตรงนั้นแหละ” เสียงเข้มตอบกลับไปโดยพยายามไม่ขำกับอาการเก้ๆกังๆของคนที่อยู่ปลายสาย ดูเหมือนน้องชายตัวเล็กกำลังพยายามใช้คำพูดกับเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังอายๆอยู่ดี
     

    น่ารัก...
     

    ฮันบินยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีอีกครั้งขณะที่หมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเข้าไปหน้าอาคารผู้โดยสาร อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มบ่อยๆแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน นี่ถ้าเพื่อนร่วมงานรู้เขาต้องโดนสงสัยแน่ๆ แล้วถ้ายิ่งรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะเด็กหนุ่มตัวเล็กที่กำลังยืนชะเง้อคออยู่ตรงหน้านั่น เขาคงได้โดนล้อตายเลย
     

    ร่างสูงเปิดประตูแล้วลงมาจากรถก่อนจะตรงเข้าไปช่วยน้องชายยกกระเป๋า
     

    “ขนอะไรมาบ้างเนี่ย”
     

    “ก็มีแค่เสื้อผ้า ของใช้ กับโน๊ตบุ๊คเครื่องเดียวเองครับ”
     

    “งั้นถ้าขาดอะไรก็บอกพี่แล้วกัน จะได้พาไปซื้อ”
     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ เกรง-...” เสียงหวานนั้นสะดุดก่อนจะหายไปทันทีที่ถูกสายตาคมหันขวับมามอง
     

    “ในเมื่อนายไม่ได้คิดว่าพี่เป็นคนอื่นก็เลิกพูดคำนั้นซะ”
     

    “ครับ... เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดพลางหิ้วประเป๋าเป้ไปวางไว้ที่ท้ายรถ
     

    และหลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จินฮวานก็ได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนรถยนต์คันหรูอีกครั้งก่อนที่เจ้าของรถจะรีบขึ้นตามมาสตาร์ทเครื่องเพื่อออกตัว นี่ขนาดเคยนั่งไปแล้วครั้งนึง แต่จินฮวานก็ยังรู้สึกไม่ค่อยชินอยู่ดี
     

    “วันนี้ไม่ใส่ชุดนักเรียนมาแล้วหรอ” ร่างสูงเอ่ยถามขณะที่ยื่นมือไปหรี่เสียงเพลงบนรถให้เบาลงหน่อย
     

    “ครับ?... อ๋อ วันนั้นผม..อ่า...จินฮวานไปติดต่อที่มหาลัยด้วยก็เลยต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ตอนนี้จินฮวานเป็นนักศึกษาแล้วนะ ชุดนักเรียนคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
     

    “เสียดาย”
     

    “ว่าไงนะครับ?”
     

    “งั้นแสดงว่าพี่ก็ไม่ได้เห็นนายใส่ชุดนักเรียนไฮสคูลเลยน่ะสิ เสียดายแฮะ” พอชายหนุ่มพูดออกไปอย่างนั้น เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆก็เงียบทันที แถมยังแกล้งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่เป็นธรรมชาติอีกต่างหาก
     

    ฮันบินแอบลอบสังเกตแค่นิดเดียวก็รู้แล้วว่าจินฮวานแก้มแดงขนาดไหน ..หรือว่าเขาจะแกล้งน้องเยอะไป?
     

    ไม่หรอกมั้ง ทีน้องยังโหดร้ายกับเขาด้วยการทิ้งกันไปดื้อๆได้เลย เอาคืนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ หลังจากนี้เขาจะลงโทษให้หนักเลยคอยดู ...นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง





    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    #ฟิคฮันบินกินเด็ก พี่ฮันช่วยจัดหนักๆเลยค่ะ ฮ่อลลลล~~~ -..-
    ตกลงย้ายไปอยู่กับพี่ฮันบินจะปลอดภัยแน่หรอคะ 55555555555555555
    รอดูกันต่อไปเนอะ >< ส่วนคู่อื่นๆทั้งบ็อบยุน จุนฮยอก มินัมก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ
    รอติดตามได้ในสเปเชียล แต่อาจจะหลังจากเรื่องนี้จบหรือยังไงเดี๋ยวดูอีกที
    ถ้าเนื้อหามันไปกับเรื่องหลักได้ก็จะเอามาแทรกบ้างอะไรบ้าง อิอิ
    สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนมากเลยที่ติดตามอ่านและคอมเมนต์ให้ รักนะคะ >3<

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×