แสงดาดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของผม ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เพียงพอที่จะทำให้มองเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่ผมรักมากที่สุด มันช่างเป็นเช้าที่อากาศแจ่มใส ตรงข้ามกับจิตใจของผม ที่เต็มไปด้วยความสับสน ราวกับว่ากำลังหลงทางอยู่ในหมอกหนา ผมได้แต่เฝ้ามองคนที่ผมรักจากมุมหนึ่งของเพดานห้อง...
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตักของแนน และสัมผัสจากมืออันอ่อนนุ่มที่บรรจงลูบศีรษะของผมด้วยความรัก น้ำตาของแนนหยดลงบนใบหน้าอันซีดเซียวของผม
“ที่รัก อย่าร้องไห้สิ” ผมพูดพลางใช้แรงเฮือกสุดท้าย เอื้อมมือไปปาดแก้มที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา
“ฮือ... แนนไม่อยากเสียคุณไป” เสียงเล็กๆ เต็มไปด้วยความสั่นเทา
“คุณรู้ตั้งแต่แรกแล้ว... ว่าผม... ผมจะอยู่ได้... อีกไม่นาน..” ผมใกล้หมดแรงเปล่งเสียงเต็มที
“แต่คุณก็ยัง.. อยากแต่งงานกับผม.. ผมรู้.. คุณรักผมด้วยใจจริง”
“ได้โปรด.. อย่าพูดอีกเลยค่ะ”
“ผมมีบางอย่างอยากจะบอก.. ผมขอโทษ.. ผมปิดบังคุณมาตลอด” ผมพูดพลางชี้ไปที่ตู้เซฟสีเงินข้างหัวเตียง
“แนน.. เปิดตู้เซฟทีสิ” ผมบอกรหัสเพื่อให้แนนเปิดตู้เซฟ
“แต่คุณไม่เคยให้แนนยุ่งกับตู้เซฟนี้เลยนี่คะ” แนนถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังค่อยๆ เคลื่อนศีรษะของผมออกจากตักของเธอ เพื่อไปเปิดตู้เซฟ
“นี่มันอะไรกันคะ” แนนสงสัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้เห็นของในตู้เซฟ มันมีทั้งธนบัตรสีเทาจำนวนหลายปึก สร้อยคอราคาแพง ทองคำแท่งอีกมากมาย และด้านข้างยังมีซองสีน้ำตาลอยู่ซองหนึ่ง แนนหันหลับมามองผม สีหน้าเธอบ่งบอกว่า เธอพอจะเดาออกแล้วว่ามีอะไรอยู่ในซองนั้น
“แนน.. ผมขอยกมรดกทั้งหมด.. ให้กับคุณ” สิ้นสุดคำพูดผม แนนหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาเปิดดู เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ ข้างในซองมีเอกสารพินัยกรรมที่ผมเซ็นยกกรรมสิทธิ์ทั้งหมดที่ผมมี ให้เธอแต่เพียงผู้เดียว
“คุณไปเอาเงินมากมายขนาดนี้ มาจากไหนคะ” ความสงสัยส่งผ่านออกทางใบหน้าของแนนอย่างถึงขีดสุด ดวงตาเบิกโพลง อย่างกับว่าได้เจอสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน
ใช่แล้วครับ ความจริงผมเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนักธุรกิจรายใหญ่ ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณพ่อในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ประเมินคร่าวๆ ก็คงไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน ผมใช้ชีวิตแบบลูกคุณหนูมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยรู้จักกับความผิดหวังมาก่อน
แต่ชีวิตผมก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป เมื่อวันหนึ่งผมเกิดได้ข่าวอุบัติเหตุเครื่องบินตกซึ่งไม่พบผู้รอดชีวิต ผมแทบไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง เนื่องจากเครื่องบินลำนั้นเป็นลำที่พ่อแม่ผมโดยสาร เพื่อไปติดต่อธุรกิจกับทางลูกค้าต่างประเทศ ความรู้สึกผมเหมือนตกจากหน้าผาสูงชัน นี่ผมเหลือตัวคนเดียวแล้วหรือ
ด้วยความที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาตลอด ทำให้ผมไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของพ่อต่อไปได้ บริษัทเริ่มเสื่อมความน่าเชื่อถือลง ผมจึงตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดที่มี ผมไม่คิดจะทำงานอีกต่อไปแล้ว ลำพังเงินทองทรัพย์สินที่มีก็เพียงพอที่จะอยู่สบายไปทั้งชาติ ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม เที่ยวเตร่ไปวันๆ ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่แล้วผมก็พบว่า ผมไม่ได้มีความสุขเลย ผู้หญิงที่เข้ามาล้วนต้องการปลอกลอกผมทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนผู้ชายที่ดูเหมือนจะคบผมเพราะผลประโยชน์กันทั้งนั้น
ผมเดินทางมาถึงจุดต่ำสุดของชีวิต เมื่อนายกิตเพื่อนรักของผมตั้งแต่สมัยเด็ก และเป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นแพทย์ประจำตัวของผม ได้แจ้งข่าวร้ายกับผม มันเป็นเหตุการณ์เมื่อประมาณปีที่แล้ว
“ไม่มีทางรักษาเลยเหรอวะ ไอ้กิต” ผมถามเพื่อนรักด้วยใจสั่นเทา สีหน้ากิตเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แต่ก็ยังคงตอบออกมาด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง อันเป็นเอกลักษณ์ของมันมาตั้งแต่เด็ก
“ต่อให้หมอเก่งที่สุดในโลก ก็รักษาไม่ได้ ทำใจเถอะวะเพื่อน ยังมีเวลาอยู่ได้อีกตั้ง 1 ปี คิดดูให้ดีนะว่าอะไรที่อยากทำ ก็รีบๆทำซะ” เพื่อนรักตอบผมอย่างตรงไปตรงมา ให้ตายสิ ดูมันพูด มันไม่คิดจะให้กำลังใจกันบ้างเลยหรือไง
หลังจากผมทราบข่าวร้ายไม่นาน ผมเริ่มหมดอาลัยตายอยาก จนกระทั่งได้มาพบกับแนน หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความน่ารัก ใสซื่อ เธอไม่เคยทราบมาก่อนว่าผมเป็นลูกเศรษฐี ได้รับมรดกมากมาย แน่นอนว่าผมก็ไม่เคยบอกเธอเช่นกัน รวมถึงเรื่องที่ผมป่วย
ตั้งแต่ได้พบกับแนนมา ทุกๆวันช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากสำหรับผม เมื่อเวลาผ่านไป อาการป่วยของผมเริ่มแสดงออกมาชัดเจนขึ้น จนผมไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป แนนได้รับรู้ความจริงว่าผมป่วย แต่เธอรักผมมาก เธอต้องการแต่งงานกับผม แม้ว่าผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ ร่างกายเริ่มอ่อนแรงลง แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายเหมือนว่ากำลังจะนอนหลับ ผมยังได้ยินเสียงร้องไห้ของแนนอยู่ข้างๆ เธอซบหน้าลงบนอกของผม ผมไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว ผมได้อยู่กับคนที่รัก จนถึงวินาทีสุดท้ายของขีวิต
ร่างกายเย็นเชียบ ตัวเบาหวิว ผมกลับมามองเห็นอีกครั้ง นี่ผมตายไปแล้วสินะ ผมถึงได้เห็นร่างไร้วิญญาณของผมนอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้ว มีแสงแดดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายตัวเลย แต่ก็ไม่เท่ากับแสงแดดที่สะท้อนใบหน้าของแนน มันทำให้ผมสับสน ผมตายไปแล้ว ทำไมจู่ๆเธอหยุดร้องไห้ เธอแสยะยิ้มออกมาที่มุมปาก ผมไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ร่างอันโปร่งใสของผมลอยขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเพดานห้อง ผมพยายามมองแนนจากมุมห้องเป็นครั้งสุดท้าย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“ฮัลโหล ที่รักเหรอคะ อืม.. อืม.. เรียบร้อยแล้วค่ะ มันเซ็นยกมรดกให้แนนด้วย เหมือนที่คุณคาดไว้เป๊ะ แต่ก็นะ มันนี่โง่จริงๆ ถ้าไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นก็คงหายไปแล้ว คุณนี่หลอกได้เนียนจริงๆ.. ค่ะ.. ค่ะ.. แล้วเจอกันค่ะกิต”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น