วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ - วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ นิยาย วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ : Dek-D.com - Writer

    วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์

    นิยามความรวยกับความจน จับหัวใจคุณไว้ให้ดีๆก่อนที่จะอ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้แล้วความคิดทัศนคติคุณจะไม่เหมือนเดิม

    ผู้เข้าชมรวม

    626

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    626

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 ก.ค. 57 / 09:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


     

    ประวัติ
    ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
    ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
    ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน 
    ๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
    ๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
    ๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน

    *** ผมเป็นชาวอังกฤษ
    เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐ กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

    *** ปฏิวัติค่านิยมเก่า
    ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

    หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ

    แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

    ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง มี่กี่คัน คุณมีบ้านใหญ่ ขนาดไหน ลูกของคุณเรียนที่ไหน เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

    ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

    *** พ่อแม่และผม
    ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมคิดว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

    แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

    *** ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
    สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้ ๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

    ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทย ก็แปลกดีเหมือนกัน เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ




    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ##########################################################################################################################################################################################################################################

      วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
      นิยามความรวยกับความจน 

      มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ 
      ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ 
      เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน 
      จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้

      คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่?

      ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง 
      ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า 
      ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า...

      ๑) ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ 
      เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก
      ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย
      ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ 
      มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

      ๒) มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว 
      แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ
      เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา 
      ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย 
      เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก 
      เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน 
      ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

      เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ 
      ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน 
      ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี 
      ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น

      เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน 
      ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ 
      ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ 
      ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า

      แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา 
      จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม
      เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
      แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว

      ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ...

      ๑) ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ

      ๒) ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร
      แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน 
      ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า 
      ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา
      และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ
      ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน 
      เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน 
      ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน

      ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์มากที่สุด 
      คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน 
      คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร
      อยากให้ลูกกินอิ่ม ในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร 
      ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน

      เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด 
      ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด
      จ้างเท่าไหร่ก็ไม่อยากให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด

      สำคัญที่สุดคือ เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง 
      เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน
      ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

      คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน 
      เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ
      ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบของใครของมัน บ้านคนละหลัง 
      ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ
      เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

      ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมีสิ่งที่ดีกว่านั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น

      ลูกผมเรียนหนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลางพอดีเลย (หัวเราะ) แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก

      ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ในสังคมอย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิตของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมาก ๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่าเขาคงมีความสุขแน่












      #########################################################################################################################################################################################################################################

      เครดิต : โลกทรรศนะ
      ขอบคุณเจ้าของภาพ 

      ถ้าชอบเรื่องราวดีดีแบบนี้ มาติดตามพวกเรากันได้ตลอดเวลา
      ที่นี่ ---> www.facebook.com/SalaParkJai ยินดีต้อนรับ 

      แฟนเพจท่านใดมี "เรื่องสั้นอยากเล่า เรื่องเราอยากระบาย"
      เชิญส่งมาทาง in box (ข้อความ) เพจได้เลยค่ะ 
      https://www.facebook.com/messages/Salaparkjai




      ร้ท์เตอร์ไปเจอมาจากFacebookค่ะต้องให้เครดิตเขานิดนึง
      ----------> เป็นไงบ้างคะเขาใจหล่อจริงๆเนาะอยากเห็นหน้าลูกกเขาจริงๆ ฮ่าๆ ไม่ใช่อะไรหรอก คนดีๆคิดดีๆอย่างงี้ไร้เตอร์ว่าหายากนะแค่อยากจะให้ผู้อ่านลองเอาเก็บไปคิดว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ความรวย? ความหรูหรา? ความสบาย? การมีชื่อเสียง? ความรัก? หรือความสุข?
      ไร้ท์เตอร์เคยคิดว่าถ้าเราไม่ดิ้นรนที่จะหาความสุขใจชีวิตแล้วเราจะพบกับความสุขได้อย่างไร??
      คำตอบที่ไร้ท์เตอร์พึ่งได้มาคือ ไร้ท์คิดว่าในความสุขเราหาได้จากทุกที่แค่เปิดใจ ไร้ท์ไม่่ได้มีทุกอย่างที่ไร้ท์ต้องการแต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่เสวงหาไปข้างหน้าแต่เราก็ต้องย้อนกลับมาดูเราเองในตอนนี้ว่าเรามีอะไรบ้างแล้วันดีกับเราแค่ไหนน่ะ

      รักเมืองไทยน๊าาาาา



      THE END THE END THE END 

      THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END THE END 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×