ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น - ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น นิยาย ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น : Dek-D.com - Writer

    ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น

    สลักลึกจารรอยจำแห่งฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้นไว้ นานเพียงใดก็ยากนักที่จะลืมเลือน

    ผู้เข้าชมรวม

    406

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    406

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 มี.ค. 48 / 17:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น

          ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อยตามวัฏจักรของกาลเวลา ตามการหมุนรอบของโลก... สายลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดทาบผ่านเส้นขอบฟ้าจากที่ไหนสักแห่งของพื้นพิภพ ใบไม้สีแดง สีอำพัน สีเขียวร่วงหล่นพร่างพรมจากพฤกษาใหญ่หลากต้นหลากสีสัน รอคอยการย่อยสลายตัวคืนสู่แม่พระธรณีถิ่นกำเนิด นึกถึงหิมะที่โปรยปรายในฤดูหนาว เป็นลักษณะวิถีของธรรมชาติต่างกาลเวลาที่ให้ความรู้สึกถึงความแตกต่างแค่เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง

          ภาพใครคนหนึ่งปรากฏแจ่มชัดในทุกก้าวรอยของความคะนึงหา เสียงกีตาร์โปร่งกังวานใสคลอเคล้าเสียงทุ้มต่ำที่เอื้อนเอ่ยฮัมเพลงหวาน ใต้ร่มเงาพฤกษาใหญ่ ใบไม้หลากสีกำลังโปรยปราย เสมือนดุจบรรเลงมนตราให้ต้องสะกดสายตาให้หยุดชะงักนิ่งอยู่กับที่แห่งนั้น ประจักษ์ตระหนักแน่ชัดในหัวใจว่า อาจตกหลุมรักแรกพบเข้าแล้วก็เป็นได้

          เขา... กับกีตาร์โปร่ง ท่ามกลางบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ร่วง ยังจำติดตามิรู้ลืม...



          ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตผม แรกทีผมไม่เคยนึกที่จะยีหระสนใจแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันแห่งโชคชะตาวันหนึ่งที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจ กับสิ่งที่ผมไม่คิดว่า จะเป็นการตัดสินใจของผมเอง แต่แล้ว ผมก็ต้องน้อมยอมรับในวาจาสัตย์ และความรู้สึกของตัวเองว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเปลี่ยนไป...

          ผมมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอน ท้องฟ้าในยามนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ ม่านฟ้าเปิดสว่าง หลีกทางให้อำนาจแสงแห่งตะวันเฉิดฉายสาดส่องได้เต็มที่ ผมเพิ่งอ่านจดหมายของเธอจบไปเมื่อสองถึงสามนาทีที่แล้วเห็นจะได้ จำไม่ได้แล้วว่า เป็นรอบที่เท่าไรที่หยิบจดหมายของเธอขึ้นมาอ่าน แต่ผมก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายกับเนื้อความของมันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามผมกลับรู้สึกดี และแจ่มชัดอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ผมประสบพบเจอเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์มา หรือถ้าผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบข้าง หรือกับอะไรก็ตาม มันก็ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของผมเป็นปรกติได้ในทันที

          ผมเรียกเธอว่า ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ และผมก็รู้สึกว่า ชื่อนี้เข้ากับเธอดี แม้มันจะฟังดูหดหู่ไปหน่อยก็เถอะ แต่หากทุกตัวอักษรที่เธอใช้สื่อความลงในจดหมายที่เธอเขียนถึงผม ก็บ่งบอกถึงความอ่อนไหว ปนอ่อนโยน เสมือนดั่งใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นจากกิ่งก้านสาขา อาจเศร้าโศก โดดเดี่ยว เงียบเหงา แต่ก็อ่อนหวาน จนเผลอทำให้ใครบางคนหลงใหลได้ในขณะเดียวกัน

          ผมได้รับจดหมายฉบับแรกจากเธอ เมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วงของเมื่อสองปีที่แล้ว มันเป็นจดหมายสีฟ้า... สีฟ้าของท้องฟ้า ราวกับเธอรู้มาก่อนว่า สีฟ้าเป็นสีโปรดของผม และชื่อจริงของผมก็ยังมีความหมายว่า ท้องฟ้าด้วย เป็นเรื่องน่าแปลกที่แฝงความขบขันอยู่ในความคิดของผม อันที่จริง ผมยังไม่เคยได้พบเจ้าของผู้ส่งจดหมายฉบับนี้เลย แม้สักครั้งเดียว เป็นไปได้ก็อยากรู้เหมือนกันว่า เธอเป็นใคร รูปร่าง ใบหน้าคร่าตาเป็นแบบไหน ผมรู้แค่เพียงว่า เธอเป็นผู้หญิง และคงเป็นผู้หญิงที่บอบบาง ช่างอ่อนไหวเสียด้วย



      ฤดูใบไม้ร่วง เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1999

          ‘ถึง คุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ
          สวัสดี นี่เป็นจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ ต้องขออภัยที่เรียกคุณเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะฉันไม่ทราบชื่อของคุณ บางทีอาจจะต้องค้นหากันต่อไป คุณคงจะแปลกใจสินะว่า ฉันเป็นใคร เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาทำไม และส่งให้คุณเพื่อจุดประสงค์ใด เป็นเรื่องน่าแปลกเหลือเกินที่ฉันเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถบอกคุณได้คือ ภาพความทรงจำของฉันที่มีต่อคุณ ฉันยังจำได้ดีไม่เคยลืม กับช่วงฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น เสียงบรรเลงกีตาร์ของคุณ ท่ามกลางใบไม้ที่ร่วงโรยโปรยปราย แม้อากาศรอบข้างจะเริ่มเหน็บหนาว แต่ในใจกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ถ้าหากว่ามีสักวัน ได้ฟังเสียงกีตาร์ของคุณอีกครั้ง ก็คงจะดีสินะ
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


          นั่นเป็นจดหมายสีฟ้าฉบับแรกที่ผมได้รับ ผมโยนมันลงยังโต๊ะเล็กๆตรงหน้าอย่างไม่นึกอยากจะแยแสมันอีก ไร้สาระเป็นบ้า สงสัยนักว่า ผู้หญิงสมัยนี้กลับมาใช้วิธีสารภาพรักทางจดหมายกับผู้ชายเหมือนสมัยก่อนอีกแล้วหรือไง ผมเดาว่า บางทีอาจเป็นเพราะการเขียนสามารถพร่ำเพ้อพรรณนาความรู้สึกบ้าบอพวกนั้นได้มากกว่าการพูดก็เป็นได้ ทำเช่นนี้เหมือนจะเรียกร้องความสนใจผมได้นะ แต่ก็เปล่าเลย ผมเบื่อผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงประเภทนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องยอมรับว่า ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน คนคนนี้จงใจไม่ลงชื่อจริงของตัวเอง ไม่ถามคำถามผมซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากมายเหมือนคนอื่นๆที่ผมเคยพบเจอ แม้กระทั่งชื่อของผมเอง ยังไม่จงใจที่จะถาม ราวกับว่า แค่อยากจะบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ผมฟังแค่นั้น

          ...หรือบางที จดหมายฉบับนี้อาจจะส่งมาผิดที่... ผมฉุกคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง จึงหยิบเอาซองจดหมายนั่นมาดูที่อยู่ผู้รับที่ถูกจ่าหน้าซองเอาไว้ เออ มันก็ที่อยู่ของผมเองนี่ ไม่ผิดแน่ ผมหยิบแผ่นกระดาษจดหมายสีฟ้าขึ้นมาไตร่ตรองเนื้อความของมันอีกครั้ง ถ้าผมไม่หลงตัวเองจนเกินไป หรืออะไรก็แล้วแต่ แนวโน้มที่ว่า มันเป็นจดหมายถึงผมมีความเป็นไปได้สูงมากกว่าที่จะเป็นจดหมายที่ถูกส่งผิดที่

          ผมถอนหายใจ และส่ายหน้า โยนจดหมายลงบนโต๊ะตัวเดิม และสลัดความคิดเรื่องมันออกไปไม่ให้ต้องรกสมองในวินาทีนั้น งานพิเศษวันนี้ทำเอาผมปวดเมื่อยล้าไปทั้งตัว อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเลย ดูจะเป็นความคิดที่เข้าท่า

          จดหมายสีฟ้ายังถูกวางทิ้งไว้ที่เดิม ผมปลายตามองมันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไม่ยีหระสนใจมันอีกต่อไป หรือความจริง ลึกๆแล้ว ผมก็ติดใจความหมายของเนื้อความในจดหมายนั่นอยู่เหมือนกัน...


          ‘ถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ
          สวัสดี นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองแล้วที่ฉันเขียนถึงคุณ... คนที่ฉันไม่ทราบชื่อ คุณอาจกำลังตั้งคำถามอยู่ก็ได้สินะว่า แท้จริงแล้ว ฉันเป็นใคร ไม่สิ กลับกัน บางทีคุณคงไม่สนใจเลยมากกว่า การกระทำของฉันอาจดูเป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ได้โปรด อย่าเพิ่งฉีกจดหมายนี้ทิ้งไปอย่างไร้ค่าเลย เพราะแม้คุณจะไม่รู้ว่า ฉันเป็นใคร หรือไม่คิดอยากที่จะรู้ก็ตาม ตัวฉันเอง ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คุณรู้ เพียงเพราะว่า ฉันไม่กล้าพอที่จะบอกให้คุณรู้ว่า แท้จริงแล้ว ฉันคือใคร ไม่กล้า แม้กระทั่งจะเขียนชื่อจริงของตัวเองลงไปในจดหมาย สำหรับฉันแล้ว ขอมีตัวตนแค่เป็นเพียง ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ ก็เพียงพอ ไม่ผิดแปลกเกินไปใช่ไหม ที่ดูเหมือนเป็นคนขี้ขลาด
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


          นั่นเป็นจดหมายสีฟ้าฉบับที่สองที่ผมได้รับในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา... เออ รู้ตัวเหมือนกันนี่ว่า สิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องไร้สาระ หรือจะพูดให้ถูกจริงๆคือ มันยิ่งเสียกว่าไร้สาระอีก มันทั้งเพ้อฝัน งมงายเลยล่ะ จะว่าไปแล้ว ที่เธอบอกก็มีส่วนถูก ผมชักสงสัย และอยากจะรู้ใจจะขาดอยู่แล้วว่า เธอเป็นใคร อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด เพราะคำว่า อยากรู้ของผม คือ อยากรู้ด้วยความรู้สึกรำคาญเสียเต็มประดามากกว่าความรู้สึกดีใจ ฤดูใบไม้ร่วงหรือ? น่าขำสิ้นดี จดหมายจากบุคคลที่ไม่มีตัวตนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หรือท่าทางคนเขียนจดหมายฉบับนี้คงว่างน่าดู และถ้าการคาดการณ์ของผมไม่ผิดพลาด ผมอาจจะต้องได้เห็นไอ้จดหมายสีฟ้านี่ทุกๆสัปดาห์เป็นแน่ ทางที่ดี ผมควรเลือกที่จะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ผมควรจะเขียนจดหมายตอบกลับไปบอกเธอตามที่อยู่ผู้ส่งนี้เสีย ว่าให้เลิกทำอะไรบ้าๆอย่างนี้เสียที ก่อนที่ผมจะรู้สึกสมเพชมากไปกว่านี้

          “ความรัก” สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นในชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย

          ผมจัดการควานหากระดาษเปล่าจากบนโต๊ะที่เต็มรกไปด้วยกองหนังสือ ลงมือเขียนเนื้อความบรรทัดแรกลงในกระดาษพื้นสีขาวสะอาด แต่ยังเขียนได้ไม่ถึงครึ่ง ผมก็หยุดเสียก่อน ขยำกระดาษแผ่นนั้น แล้วโยนมันทิ้งลงถังขยะ

          ผมได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่งด้วยความเหนื่อยหน่าย เอือมระอากับตัวเอง อะไรบางอย่างวูบขึ้นมาในความรู้สึกของผม ราวกับจะทำให้ผมได้ตระหนักรู้สึกผิดต่อการกระทำเมื่อครู่ เกิดรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาหรืออย่างไร ผมไม่จำเป็นต้องสนใจ ต้องใส่ใจไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมกัน? ผมไม่รู้จริงๆว่า อะไรมาสะกิดใจผมเข้า เวลาผ่านไปหลายสิบนาที ผมก็ยังไม่อาจหยั่งรู้ถึงสิ่งนั้น จนกระทั่งท้ายที่สุด ผมได้ตัดสินใจหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาอีกแผ่น ลงมือเขียนจดหมายขึ้นใหม่ ด้วยความรู้สึก และเนื้อความที่ต่างไปจากเดิม ขัดแย้งกับความรู้สึกเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อแรกที



          ‘ถึง คุณฤดูใบไม้ร่วง
          สวัสดีครับ คุณฤดูใบไม้ร่วง... ผมได้รับจดหมายสีฟ้าของคุณสองฉบับแล้ว (คาดว่า จำนวนของมันทั้งหมดที่คุณส่งมาให้ก็คงจะตามนั้น) ผมต้องขอบอกตามตรงว่า การกระทำของคุณเป็นเรื่องงี่เง่า ไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ผมจำไม่ได้ว่า เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า หรือว่าเคยเจอคุณไหม แต่คาดว่า คุณคงต้องเคยเห็นผมเป็นแน่ นั่นสินะ ก็ต้องเคยอยู่แล้ว ถ้าไม่เคยเห็นหน้า จะเขียนมาหาผมอย่างนั้นได้ยังไง... นี่ผมคงจะเกร็งมากไป เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกของผมที่เขียนจดหมายถึงคนที่ผมไม่รู้จัก ที่ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า มีตัวตนหรือเปล่า แต่ผมก็ยังคิดที่จะเขียนถึงคุณ แสดงว่า ผมก็ไร้สาระพอกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณจะยังยืนยันกับผมในจดหมายสีฟ้าฉบับหน้าว่า จะเขียนถึงผมอีก ผมก็จะอ่านแล้วกัน แต่ผมไม่ขอยืนยันกับคุณนะว่า ผมจะตอบกลับ อีกประการหนึ่ง เรื่องชื่อ... คุณฤดูใบไม้ร่วง ผมไม่คิดจะถามชื่อจริงของคุณ เพราะในเมื่อคุณต้องการให้ผมรู้แค่นี้ ผมก็ไม่คิดอยากรู้อะไรอีก ผมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณเช่นนั้น ในเมื่อคุณต้องการเป็นเพียงแค่ ~ฤดูใบไม้ร่วง~ คุณก็รู้จักผมแค่เพียงว่าเป็น ~ท้องฟ้า~ แล้วกัน อย่างไรสะ ผมก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยอะไรให้คุณรู้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
                                      จาก ผม... ท้องฟ้า’


          ฉันเก็บจดหมายฉบับแรกที่ได้รับจากเขาใส่ซองตามเดิม ได้แต่ยิ้มด้วยความรู้สึกชื่นฉ่ำในหัวใจ แม้เนื้อความในจดหมายฉบับนั้น จะทำให้อารมณ์ ความรู้สึกของฉันห่อเหี่ยวลงไปบ้างก็ตาม แต่เขาก็ยังหลงเหลือความอ่อนโยน ความสุภาพไว้ให้ฉันได้พอสัมผัส แม้มันจะเล็กน้อยมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็อบอุ่นเหลือคณา ฉันเดาว่า ภายนอก เขาอาจจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ลึกๆข้างใน คงได้หาเป็นเช่นนั้นไม่

          ตั้งแต่ได้รับที่อยู่ของเขามาจากพี่ชิ่วเหลียน ฉันลังเลอยู่นาน ด้วยเกรงว่า มันจะเป็นการสมควรหรือไม่ ที่จะทำเช่นนี้ แต่ความรู้สึกบางอย่างมันเรียกร้องให้ฉันทำ ฉันคิดว่า การเขียนจดหมายถึงใครสักคนไม่น่าจะใช่เรื่องไม่ดี หลายครั้งที่ฉันเหงา เพราะตัวเองมีเพื่อนน้อยมาก ก็แค่อยากมีเพื่อน อยากมีใครสักคนที่รู้สึกดีด้วย และไม่รู้ทำไม กับเขา ฉันถึงรู้สึกดีด้วย แค่เพียงแรกเห็น

          แค่เห็นหน้าเพียงแค่นั้นเอง...

          “ทำอะไรอยู่ อาเจ็ง ทำไมยังไม่นอนอีก”

          หม่าม้าเข้ามาในห้องฉัน ไม่ทราบว่าเมื่อไร แต่คำพูดของท่านกับน้ำเสียงนั้นดังขึ้น พร้อมกับเสียงประตูห้องนอนของฉันที่ถูกปิดสนิท สีหน้าหม่าม้าดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

          “อ๋อ เปล่าค่ะ เจ็งกำลังจะนอนแล้ว”

          ฉันรีบซ่อนจดหมายฉบับนั้นไว้ในลิ้นชัก ก่อนหม่าม้าจะเห็น และซักไซ้ไล่เลียงถาม ฉันรีบพาร่างกายของตัวเองรุดหน้าล้มตัวลงบนเตียง หม่าม้าเดินเข้ามาห่มผ้าให้อย่างเคย จูบหน้าผากเบาๆก่อนนอนหนึ่งที ย้ำเตือนอีกครั้ง ให้ฉันเข้านอนเสียที

          ฉันได้แต่พยักหน้ารับ และยิ้มให้หม่าม้าครั้งสุดท้าย ก่อนไฟในห้องจะถูกปิด เงาความมืดสนิทครอบคลุมทั่วทั้งห้อง หากเป็นตอนสมัยยังเด็กๆ ฉันคงรีบหลับตาสนิท เพราะเกรงกลัวความมืด เรามองไม่เห็นอะไรเลยในความมืด แม้กระทั่งร่างกายของเราเอง ทั้งที่ความจริง การปิดตาสนิทในช่วงเวลานั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดตาในความมืดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มันคงให้ความรู้สึกที่อุ่นใจมากขึ้นไปอีกว่า เราจะไม่เห็น จะไม่รับรู้ต่อสิ่งใดๆอีกแล้วแน่นอน

          แต่เดี๋ยวนี้ ฉันกลับเลิกทำอย่างนั้นเสียแล้ว ฉันพลิกร่างตัวเองหันไปยังหน้าต่าง แสงจัน ทราสีอำพันนวลทาบรัศมีผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา ห้องไม่ได้มืดสนิท มันเป็นแค่ระยะเวลาอันสั้นในช่วงแรกที่ปิดไฟเท่านั้นที่ห้องมืดสนิท ใช้เวลาไม่นานหรอก เราจะรู้ว่า ความจริงแล้ว มันไม่มืดสนิทเสียทีเดียว แสงแห่งรัตติกาลธรรมชาติส่องประกายเป็นความหวังเสมอ เพียงแต่เราให้โอกาส... ให้โอกาสธรรมชาติ และให้โอกาสตัวเอง

          ความจริง ฉันไม่ได้ชื่อ ‘เจ็ง’ เสียทีเดียว เพียงแต่หม่าม้าชอบเรียกฉันอย่างนั้น เสียงเรียก ‘เจ็ง’ ผันเสียงมาจาก ‘เจิง’ ชื่อเล่นในภาษาจีนของฉัน เพราะครอบครัวของเราเป็นคนจีน แต่เผอิญว่า ช่วงเวลาที่ฉันเกิด ป๊า กับหม่าม้าย้ายถิ่นฐานไปอยู่ประเทศไทยแล้ว ฉันจึงเกิดที่นั่น ตระหนักให้แผ่นดินไทยนั้น เป็นแผ่นดินเกิดของฉัน เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ฉันจะเคารพบูชา... หม่าม้าตั้งชื่อจริงๆให้ฉันว่า ‘เจน’ แต่หม่าม้าจะเรียกฉันว่า ‘อาเจ็ง’ ไม่ทราบว่า คุณรู้สึกงงกับคำอธิบายของฉันหรือเปล่า แต่สรุปง่ายๆสั้นๆก็คือ ฉันชื่อ ‘เจน’ นี่ล่ะ

          ครอบครัวของเราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมืองจีน เมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา เสมือนป๊า กับหม่าม้าได้กลับถิ่นที่อยู่เก่าที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง และฉันก็เพิ่งเป็นนักศึกษาใหม่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของจีนเสียด้วย... ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านในช่วงที่อุณหภูมิต่ำ เนื่องจากสภาพอากาศรอบข้างจะหนาวเหน็บ ความจริง แค่อากาศเริ่มจะเย็น ฉันก็เริ่มจะถูกกักขังแล้ว ฉันเลยไม่ได้ไปมหาลัย ทั้งๆที่เพิ่งเข้าเรียน หม่าม้าเข้าไปคุยกับทางมหาลัยให้ฉันเรียนผ่านอินเตอร์เนตที่บ้าน ฉันไม่ชอบเลยที่ชีวิตของตัวเองดำเนินไปอย่างเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายเช่นนี้ ฉันรู้ดีว่า ร่างกายของตัวเองไม่ค่อยปรกติ มันดูอ่อนแอง่ายในบางครั้งจนน่าตกใจ หวาดระแวงว่า จะต้องเอาแต่นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวภายในวันสองวันนี้หรือเปล่า และนั่นก็เป็นเหตุผล ที่ทำให้ครอบครัวของฉันต้องย้ายอพยพถิ่นฐานมาอยู่ที่เมืองจีน ฉันเดาว่า ที่นี่คงมีหมอดีกระมัง

          เปลือก และหนังตาของฉัน ชักเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกที ระบบการทำงานภายในของร่ายกายเริ่มส่งสัญญาณบอกให้ฉันรู้ว่า ฉันกำลังรู้สึกอ่อนเพลียมากเหลือเกิน ฉันควรจะหลับตา... หลับตาให้แนบสนิท... และปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปในห้วงฝันแห่งนิทรารมณ์เสียที...

          ...ราตรีนี้ ภักดี ในเงาจันทร์        ก่อนเพลา เหมันต์ จะฝันหวาน
      ปล่อยวิญญาณ ข้ามผ่าน แดนพิมาน        แลเห็นแสง ชัชวาล ปานฤทัย
          หลับเสีย หลับตา หลับเถิดหนา        วอนดารา ฟากฟ้า พาหลับใหล
      กล่อมคนดี นิทรา ลาเศร้าไป            ตระกองปอง ยอดดวงใจ เจ้านวลปราง
          จะอิงแอบ เอนแนบ ลงเคียงหมอน    มิร้างห่าง จากจร ก่อนรุ่งสาง
      ข้าสัมผัส ห่มร่าง ของน้องนาง            กายอำพราง หลังเมฆา ยากจะแล
          ข้าจะพัด คันธ์บุหงา มาลาหอม        ดอกพยอมโอนอ่อน ล้อเพ็ญแข
      อุ่นละมุน กรุ่นไอ ในเรือนแพ            คืนผันแปร เปลี่ยนทิวา สุดอาลัย
          ข้าแซ่ซ้อง ร้องเพลง บรรเลงพร้อม    พฤกษาน้อม รับขาน ธารรินไหล
      เห่เซ็งแซ่ แผ่วแผ่ว เบาแว่วไป            ที่สุดขอบ ของฟ้าไกล จักนำพา...



          ราตรีนี้ ช่างแสนยาวนานนักในความรู้สึกของผม ยาวนาน... กว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา

          มือสองข้างของผมยังรองรับอยู่ใต้ศีรษะ สายตาผมจับจ้องอยู่กับพัดลมบนเพดานที่หมุนไปมาอย่างเชื่องช้า เสียงพัดลมดังแกร็กๆ คาดว่าวันหนึ่ง คงหล่นลงมากระแทกหัวผมจนเละคาเตียง แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ผมก็ยังไม่มีความคิดที่จะเอาพัดลมตัวใหม่มาเปลี่ยนอยู่ดี

          ผมนอนไม่หลับ ได้แต่คอยพูดกับตัวเอง จดหมายของผม ป่านนี้เธอคงได้รับแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผมกำลังตื่นเต้น ผมไม่เคยเขียนจดหมายตอบผู้หญิง พูดให้ถูกจริงๆคือ ผมไม่เคยเขียนจดหมายแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ รู้สึกไม่ชินกับความรู้สึกแปลกๆที่ขัดแย้งกับทัศนคติของตัวเองอย่างนี้เลย... ให้ตายสิ บ้าชะมัด ผมจะไปเฝ้าคิดถึงทำไมนะ ผมควรจะหลับได้เสียที


          ค่ำคืนที่ยาวนานของผมผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผ่านไปอย่างยากลำบากเหลือเกิน... ผมไปถึงมหาลัยเช้ากว่าทุกวัน สุดท้ายแล้ว เมื่อคืนนี้ผมก็ไม่ได้หลับ ทั้งๆที่พยายามข่มตานอนแล้ว พลิกตัวกลับไปกลับมาบนเตียงก็หลายรอบ ตัดสินใจใช้วิธีนับแกะที่ผมไม่เคยคิดว่าจะทำ แต่ก็ยังไม่เป็นผลอะไรกับผมอยู่ดี

          “เคน... เคน”

          เสียงเล็กแหลมร้องเรียกผม ซึ่งกำลังจะเดินไปห้องเรียน ต้องหยุดชะงักและหันไปมองทางต้นเสียงนั้น ทันใดนั้นล่ะที่ผมแทบอยากจะหายตัวไปจากที่ตรงนั้นเสียให้พ้นๆ ยัยเด็กนั่นอีกแล้วหรือ... ซ้ำยังมาตามหลอกหลอนผมแต่เช้าตรู่ ตะวันยังฉายแสงไม่เต็มที่ดีเลยด้วยมั้งนี่ จะอะไรกับผมนักหนา

          เด็กนั่นรีบวิ่งเข้ามา แต่ผมเลือกที่จะไม่รอให้เธอถึงตัวผมก่อน จึงทำเป็นไม่สนใจ และเดินหน้าต่อไป

          “รอก่อนสิ เคน”

          เธอเองก็พยายามตามผมไม่เลิกรา และก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พระเจ้าจึงต้องทำให้เธอตามผมได้ทันทุกครั้งไป ผมยิ่งเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วขึ้นเท่าไร เธอก็เร่งตัวเองตาม แม้แทบจะต้องวิ่งเหยาะๆตาม จนกระทั่งที่เธอวิ่งมาขวางตรงหน้าผม

          “อรุณสวัสดิ์ เคน”

          เธอฉีกยิ้มกว้าง ทำหน้าร่าเริงใส่ผมอย่างไร้เดียงสา เฮ้อ คิดแล้วก็หน่าย ไม่รู้หรือไงว่า ผมไม่ได้นึกพิศวาสสีหน้าแบบนั้นเลยสักนิด

          “หลีกไปให้พ้นเลย เหม่เหม”

          ผมเลี่ยงที่จะเดินผ่านเธอไป โดยที่ผมไม่สนด้วยว่า คำพูดนั้นจะทำร้ายจิตใจเด็กคนนั้นหรือไม่ ผมรู้แต่ว่า เวลานี้... ผมสุดทนแล้ว

          “แล้วทำไมต้องไล่ด้วย”

          เหม่เหม ยังตามมาขวางทางไม่ยอมเลิกรา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใสเมื่อครู่ เจื่อนลงไป มีรอยขัดใจน้อยๆขึ้นมาแทนที่

          “ฉันกำลังรีบ”

          ผมตัดรอนเธอ น้ำเสียงของผมห้วนจัด แสดงถึงความรำคาญเสียเต็มประดา...

          ลี เหม่เหม เป็นรุ่นน้องในคณะที่ผมเรียนอยู่ เธอเป็นคนที่ค่อนข้างกล้าพอสมควร ที่ผมพูดเช่นนี้ เพราะมีเธอคนเดียวที่ผมปฏิเสธแล้ว ยังกล้ามาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายผมไม่เลิกรา... เมื่อสามเดือนก่อน เธอสารภาพว่าชอบผม และก็อย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว ผมปฏิเสธ กระนั้นดูเหมือนว่า คำปฏิเสธของผมจะไม่มีผลอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย คล้ายว่าเธอจะไม่ได้สนใจจะฟังเสียด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม กลับมาคอยตามป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายผมบ่อยกว่าเก่า ผมนับถือที่เธอช่างอดทน แต่นั่นทำให้ผมยิ่งไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเธอมากขึ้น ผมไม่ได้ชอบเธอ ยังไงก็ไม่ได้ชอบ ต่อให้นานกว่านี้ หรือเธอดีกับผมแค่ไหน ก็ไม่มีทาง ถ้าความรู้สึกของผมมันบอกว่า ‘ไม่ใช่’ ต่อให้มหาเทพที่ไหนมาบังคับ ผมก็ตอบรับเธอไม่ได้อยู่ดี และก็คงไม่มีวันด้วย

          ผมบอกเธอหลายครั้ง ให้เธอเลิกยุ่งกับผมเสีย แต่เธอก็ไม่เคยฟัง ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชายดีเลิศมาจากไหน ถ้า ‘ไม่’ ผมก็ปฏิเสธ ถ้า ‘รำคาญ’ ผมก็ตัดรอน นั่นเป็นวิถีชีวิตของผม

          “... ‘นี่’ ข้าวกล่องของเธอ”

          เหม่เหม ยื่นกล่องข้าวกลางวันที่เธอทำมาให้ผมเป็นประจำทุกวัน ที่ผ่านมาผมไม่เคยรับ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

          “ไม่เอา”

          ผมกระแทกน้ำเสียงใส่ หวังให้เธอใจเสีย แล้วเดินหนีไปเสีย แต่ผมคงจะประเมินค่าความตั้งใจของเธอต่ำไปก็ได้

          “ทำไมต้องปฏิเสธ”

          ดูเหมือนว่า เหม่เหมเอง ก็คงจะสุดทนกับผมแล้วเช่นกัน จึงเอ่ยปากถามผมด้วยความไม่พอใจเช่นนั้น ผมสังเกตเห็นว่า ริมฝีปากของเธอเม้มแน่น ทั้งยังมีรอยสั่นน้อยๆ นี่คงเป็นโอกาสดีของผม ที่จะทำให้เธอเลิกยุ่งกับผมไปตลอดกาล

          “จะต้องให้พูดอีกกี่รอบกันว่า ‘ฉันไม่ได้ชอบเธอ’ เลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันเสียที รู้หรือเปล่าว่า ยิ่งเธอทำอย่างนี้ มันยิ่งทำให้ฉันทั้งรำคาญ ทั้งสมเพชเธอ มากกว่าจะสงสาร”

          ได้ผล... คำพูดนั้นของผม ทำให้เหม่เหม หน้าเสียไปโดยพลัน เธอกัดริมฝีปากตัวเองจนเกิดเป็นรอยแดงเรื่อ

          “แต่เหม่เหมชอบเคนนี่คะ”

          น้ำเสียงของเธอสั่นเครือจนจับได้ ผมตกใจ ด้วยว่าไม่เคยเห็นท่าทางอย่างนี้ของเธอมาก่อน ผมชักสงสารขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ยังไม่ใจอ่อน อย่างไรเสีย ถึงไม่ใช่ตอนนี้ จะวันไหน เธอก็ต้องทำใจอยู่ดี

          “ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยจริงๆ เหม่เหม ไม่เคยคิด... และไม่มีวันที่จะคิด ตัดใจเสียเถอะ ต่อให้เธอทำไม่ได้ ยังไงเธอก็ต้องทำ”

          คำพูดของผมเป็นเชิงบังคับ ผมรู้ว่าตัวเองไม่ควรพูดทำนองนั้น ใจคนใช่จะบังคับกันได้ ผมเป็นใคร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยสักนิด ที่สำคัญที่สุด ผมไม่ใช่เธอ แต่ในนาทีนั้น นั่นเป็นวิธีเดียว และคำพูดเดียวที่ผมคิดได้

          ผมทำหน้าเฉย ข่มเสียงตัวเองให้เย็นลง ผมรู้ตัวว่า ไม่ควรตวาดใส่เธออีก แค่นี้ก็ขวัญเสียจะแย่แล้ว ท่าทางของเธอตอนนี้แสดงออกชัดเจนว่า เธอกำลังเสียใจ แต่... ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ

          เหม่เหม เริ่มส่งเสียงสะอื้นไห้ เธอยกมือขึ้นขยี้ดวงตาที่แดงก่ำ และผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษ ควรจะยื่นมือเข้าไปปลอบใจเธอ แต่คงไม่ใช่ผมในขณะนั้นแน่ เพราะผมเลือกที่จะหันหลังให้และเดินจากไป ได้ยินเสียงร้องไห้ของเหม่เหมดังลั่นมาตามหลัง นักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้น ต่างเหลียวมองผมด้วยสายตาแสดงถึงคำถาม บ้างที่คอยดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นมองด้วยสายตาชิงชัง แต่ส่วนมากจะเป็นด้วยสายตาอย่างหลังเสียมากกว่า... มนุษย์เราก็อย่างนี้ล่ะ เรื่องของคนอื่น ชอบทำเหมือนเป็นเรื่องของตัวเอง

          ผมนึกขอโทษเหม่เหมในใจ ในขณะที่ยังไม่หยุดก้าวเท้าเดินหน้าต่อไป ไม่หวังให้เธอมาเข้าใจในการกระทำของผม เธอ... คนอื่น... อาจตราหน้าว่า ผมเป็นคนใจร้ายใจดำ ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่สนใจ ไม่มาเป็นผมบ้าง คงไม่มีใครเข้าใจ ผมไม่อาจรั้งเธอไว้กับตัวเองได้ ในเมื่อผมไม่ได้คิดกับเธอเช่นนั้น ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมไม่เป็นการดีกว่าปล่อยให้เธอถลำลึกหรือ? น่าจะเข้าใจนะว่า คนที่เจ็บน่ะ... ไม่ใช่ผมเลย

      ผมกลับมาถึงอพาร์ทเมนต์ด้วยความเหนื่อยล้า และความอึดอัดที่ยังฝังแน่นอยู่ในใจ วันนี้เป็นวันที่ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย เพราอะไรน่ะหรือ? เพราะสายตาของเพื่อนนักศีกษากับเสียงซุบซิบนินทาที่ได้ยินมาตลอดทั้งวันน่ะสิ เล่นเอาผมไม่มีสมาธิเลย ผมเบื่อที่ต้องเจออะไรแบบนี้ไปอีกสองสามวัน เลวร้ายหน่อยอาจเป็นสัปดาห์ คุณก็รู้ว่า ข่าวลือน่ะ ถ้าได้มีการพูดต่อกันไปเรื่อยๆเป็นทอดๆแล้ว มันคงไม่เงียบลงง่ายๆหรอก

      ผมพบจดหมายสีฟ้าที่ตู้รับจดหมายหน้าห้องผม รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด มันบอกไม่ถูก เธอคงได้รับจดหมายจากผมแล้ว
          


          ‘ถึง คุณท้องฟ้า
          ดีใจเหลือเกินที่ได้รับจดหมายจากคุณ มันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของฉัน เป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยได้คาดคิดถึงมาก่อน ฉันเองก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรจากคุณมากไปกว่าแค่ได้อ่านจดหมายของฉันเลย ตามปรกติแล้ว ฉันกะไว้ว่า จะส่งจดหมายฉบับต่อไปให้คุณในอีกสัปดาห์หน้า แต่ดูเหมือนฉันคงจะตื่นเต้นมากเกินไป จึงรอให้ถึงสัปดาห์หน้าไม่ไหว หวังว่า คุณคงจะไม่นึกรำคาญฉันหรอกนะคะ
          อากาศช่วงนี้เหน็บหนาวเหลือเกิน อีกไม่นานก็คงจะผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว อยากให้ฤดูหนาวมาเยือนเร็วไว ฉันชอบนั่งมองหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมา อย่างกับน้ำตาลกรวด แต่ใบไม้ที่ร่วงหล่นจากกิ่งก้านสาขาตรงริมหน้าต่างที่ฉันเฝ้ามองอยู่เป็นประจำ ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่เหลือเกิน เมื่อไรชีวิตหนึ่งจะผ่านช่วงเวลานี้ไปเสียทีนะ
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


          ผมพับจดหมายเก็บเข้าซอง รู้สึกโล่งใจปนหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ความเบื่อหน่าย อึดอัดของผม มลายหายไปราวกับมวลอากาศ ทันทีที่อ่านประโยคแรกของจดหมาย ในขณะเดียวกับที่มีคำถามมากมายเข้ามาแทนที่ ทันทีที่อ่านประโยคสุดท้าย

          เป็นเรื่องน่าแปลกดี ทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้า หรือประสบพบเธอมาก่อน ก็แค่ตัวอักษรที่ร่ายรำบนแผ่นกระดาษ แต่ทำให้ผมสบายใจ เสมือนได้ปลดปล่อยอิสรภาพของตัวเอง แต่ผมไม่รู้ และไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอจึงมองโลกได้เศร้านัก ทำอย่างกับชีวิตตัวเองไม่มีสีสันเสียอย่างนั้น




          ฉันลืมตาขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่ยังมึนๆในหัวไม่หาย กลิ่นของโรงพยาบาลทำเอาฉันแทบจะหัวหมุนติ้วอีกรอบ ไม่ชอบเลยจริงๆ

          พอจำความได้ว่า เมื่อวานตอนที่กำลังอาบน้ำ รู้สึกถึงใบหน้าของตัวเองที่ร้อนผ่าว ร้อนเหมือนถูกน้ำร้อนลวก เหมือนมีไฟมาแผดเผา จากนั้นก็หมดสติไป รู้สึกตัวครั้งแรก ก็เมื่อได้ยินเสียงกรุกกรัก เหลือบตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความอ่อนล้า แต่ฉันก็ฝืนมันไม่ไหว จึงหลับไป โดยที่ไม่รู้สึกตัวอีก

          ฉันมองไปรอบๆห้อง... ห้องพักในโรงพยาบาล เห็นหม่าม้านอนอยู่ที่โซฟา สีหน้าหม่าม้าดูเหนื่อยเหลือเกิน จนฉันกังวล และเหมือนนาทีนั้นหม่าม้าจะรู้เลยว่า ฉันเฝ้ามองอยู่ จึงรู้สึกตัว พอเห็นว่าฉันตื่นแล้ว หม่าม้าก็รีบลุกมาหา

          “เป็นยังไงบ้าง อาเจ็ง” หม่าม้าถาม พลางลูบหัวฉัน

          “ยังเพลียอยู่นิดหน่อยค่ะ”

          บอกหม่าม้าไปอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงฉันรู้สึกว่าตัวเอง ‘เป็น’ มากกว่านั้น ฉันพยายามลุกขึ้นนั่ง หม่าม้าไม่ได้ขัดใจฉัน ทั้งที่คงอยากให้นอนนิ่งๆอยู่เฉยๆมากกว่า

          ฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ส่งจดหมายไปให้เขาเมื่อวันพฤหัส คาดว่าน่าจะถึงมือเขาในวันศุกร์ หรือวันเสาร์ คอยลุ้นว่า เขาจะเขียนตอบกลับฉันอีกไหม

          ประตูห้องถูกเปิดออก คุณนางพยาบาลเอาอาหารมื้อเช้ามาส่งให้ พร้อมยาหลังอาหาร ประมาณสี่ห้าเม็ด ฉันเบื่อร่างกายตัวเองจัง

          คุณนางพยาบาลบอกหม่าม้าว่า คุณหมอที่รักษาฉันเรียกพบ เดาว่า คงเรียกไปคุยเรื่องอาการป่วยของฉันเป็นแน่

          หม่าม้าหันมามองหน้าฉัน สีหน้าท่านดูลำบากใจน้อยๆ “เดี๋ยวหม่าม้ามานะ อยู่คนเดียวได้หรือเปล่า”

          หม่าม้าถามฉัน ฉันพยักหน้ารับ และยิ้มให้ ไม่ให้หม่าม้าต้องเป็นกังวลว่า ฉันจะอยู่คนเดียวไม่ได้ และอาการของฉันก็คงจะไม่กำเริบขึ้นมากะทันหันหรอก

      ท่านยิ้มตอบรับฉันจางๆ รู้ว่าคงไม่ได้วางใจ หายกังวลเสียทีเดียว

          ฉันถอนหายใจ ทันทีที่หม่าม้าออกจากห้องไป ฉันคิดว่า ที่คุณหมอเรียกพบหม่าม้า คงไม่ได้จะบอกว่า อาการไม่ร้ายแรงมากหรอก แต่ตรงกันข้าม คงจะบอกว่า ร่างกายของฉัน กำลังจะทรุดหนักลงเรื่อยๆต่อจากนี้ ฉันพอรู้ตัวดี แต่ไม่รู้ว่า ชีวิตฉันจะเหลือเวลาอีกเท่าไร อยากให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับฉันสักครั้ง ถ้าฉันหายดี ฉันอยากจะพบเขา... อีกสักครั้ง

          ไม่นาน หม่าม้าก็กลับเข้ามาหาฉัน ฉันสังเกตเห็นสีหน้าของท่านดูซีดๆ ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดูซีเรียสกว่าตอนก่อนที่จะออกไปพบคุณหมอเสียอีก ทำให้ฉันแน่ใจว่า สิ่งที่ตัวเองคาดไว้คงไม่ผิดแน่ เพียงแต่ฉันเดาไม่ได้ว่า มันจะร้ายแรงมากแค่ไหน จะมากหรือน้อยกว่าที่ฉันคิดไว้ หม่าม้าไม่ปริปากบอกอะไรฉันสักคำ แค่ต่อว่า ว่าทานข้าวน้อยเกินไป ก็จริง ฉันไม่รู้ว่า ทำไมถึงอิ่มเร็วนัก แต่ฉันรู้สึกไม่อยากกินเลยสักนิด ทั้งที่ฉันเป็นคนชอบทานมากกว่าคนปรกติสองเท่า ฉันไม่ใช่คนอ้วน แต่ก็ไม่ผอม เคยนึกแปลกใจนิดหน่อยที่ตัวเองเป็นคนทานเยอะ แต่ไม่อ้วนตุ๊ต๊ะ ช่วงหลังฉันทานน้อยลงไปมาก สุดท้าย จึงกลายเป็นคนผอมในที่สุด ไม่ชอบเลย


          “มีจดหมายมาถึงลูก”

          หม่าม้ายื่นจดหมายให้ฉัน หลังจากที่ท่านแวะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน ฉันอยู่ในโรงพยาบาลได้สามวันแล้ว และดูท่าว่า คงต้องอยู่ต่อไปอีกนาน

          คุณหมอแนะนำให้ฉันอยู่ที่นี่ เพราะกลัวอาการจะกำเริบ หม่าม้าเห็นด้วย และโทรบอกป๊าทันที ดูเหมือนป๊าจะไม่ว่าอะไรเหมือนกัน ความจริงฉันอยากกลับบ้าน แต่หม่าม้าก็เกลี้ยกล่อมให้ฉันอยู่ที่นี่จนได้ ฉันเข้าใจว่า หม่าม้ากลัวร่างกายของฉันจะทรุดหนักลงเร็วกว่าปรกติ หากอยู่ไกลมือคุณหมอ แต่ฉันว่า ตัวเองจะตายเร็วขึ้นเสียมากกว่า ถ้าต้องอยู่แต่ในกรอบสี่เหลี่ยมนี่ตลอดไป หม่าม้าบอกให้ฉันอดทน ทันทีที่ฉันบ่น ไม่มีทางเลือกให้ฉันมาก หรือความจริง ไม่มีทางเลือกใดให้ฉันเลือกเลย

          ฉันรับจดหมายมาจากหม่าม้า ลายมือที่จ่าหน้าซองถึงฉันคุ้นตา แต่ยังไม่คุ้นเคย จนกระทั่งที่ฉันได้เปิดอ่านเนื้อความข้างในนั่นล่ะ ที่ทำให้ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ


          ‘ถึง คุณฤดูใบไม้ร่วง
          จดหมายฉบับล่าสุดของคุณ เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนถึงคุณอีกครั้ง มีถ้อยคำบางอย่างที่ผมอยากจะกล่าวกับคุณ คุณฤดูใบไม้ร่วง
          ...ผมขอบคุณ...
          คุณคงจะนึกสงสัยสินะว่า ผมขอบคุณคุณ เรื่องอะไร คุณทำสิ่งใดให้ผม ทั้งที่เรายังไม่เคยพบกัน แต่รู้ไว้เถอะว่า คุณได้ทำแล้วจริงๆ...
          วันนี้ผมรู้สึกอึดอัด ทั้งยังเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายสายตาใครๆที่จ้องมองมาที่ผม พวกเขาไม่รู้เรื่อง พวกเขาไม่เข้าใจ เอาแต่ตัดสินทุกอย่างแค่ภายนอกที่เห็น แต่ไม่เคยมองให้ลึกลงไปถึงข้างในเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ โลกนี้ช่างไม่มีความเที่ยงตรง ความยุติธรรมเอาเสียเลย ต้องขอโทษด้วย ที่ผมอาจจะเล่าอะไรที่ไร้สาระให้คุณต้องนึกรำคาญใจ ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตัวเองทำแบบนี้ทำไม แต่คุณรู้ไหมว่า จดหมายของคุณ ทำให้ผมสบายใจอย่างประหลาด ให้ตายสิ ผมไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อนเลย
          ผมว่าคุณเป็นคนแปลกนะ ผมไม่เคยเจอคนแบบคุณมาก่อนเลย คุณไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผม ไม่เรียกร้องอยากจะรู้ชื่อจริง ไม่ขอให้ผมตอบจดหมาย ไม่ขอให้ผมทำอะไรให้ และผมว่า จริงๆแล้ว นอกจากผม กับคนอื่น คุณก็คงจะปฏิบัติตัวเช่นนี้เหมือนกัน ผมรู้สึกเช่นนั้น
          ดูเหมือนว่า จดหมายฉบับนี้ของผม จะยาวเกินไปเสียแล้ว คงต้องขอจบแค่นี้ ผมต้องขอบคุณคุณอีกครั้ง และจะรออ่านจดหมายฉบับต่อไปของคุณ
                                      จาก ผม...ท้องฟ้า’


          ...จะรออ่านจดหมายฉบับต่อไปของคุณ...

      เขายอมรับฉัน... เขายอมรับฉัน... ฉันยิ้มกว้าง แทบจะเก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ จนหม่าม้าต้องร้องทัก

          “ยิ้มอะไรหรือ อาเจ็ง”

          “เปล่าค่ะ”

          ฉันหันไปยิ้มกว้างตอบหม่าม้า ท่านขมวดคิ้วน้อยๆ นึกฉงนกับท่าทางของฉันอยู่กระมัง

          ฉันเก็บจดหมายกลับเข้าซอง ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้

          “หม่าม้าคะ ช่วยอะไรเจ็งหน่อยได้ไหมคะ”



          ‘ถึง คุณท้องฟ้า
          ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ฉันก็รู้สึกดีใจเหลือเกินที่สามารถทำให้คุณสบายใจได้ เป็นอีกครั้งแล้วสินะคะ ที่ฉันขึ้นต้นจดหมาย โดยบอกคุณว่า ฉันรู้สึกดีใจแค่ไหน
      นอกจากให้หม่าม้า กับป๊าของฉันมีความสุขแล้ว ฉันไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไร อ้อ อาจเว้นเสียแต่ปาฏิหาริย์กระมังคะ ที่ฉันหวัง จึงไม่รู้จะเรียกร้องอะไรจากใคร ที่คุณบอกว่า ฉันเป็นคนแปลก ก็คงจะไม่ผิดอะไร เพราะบางครั้งฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองแปลกจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น ไม่บ่อยนักหรอกค่ะ ที่ฉันจะมีโอกาสได้ปฏิบัติตัวเช่นนี้กับใคร เพราะฉันไม่ค่อยได้พบปะผู้คน อย่างน้อยก็ทำได้แค่กับหม่าม้า และป๊าเท่านั้น กับคนอื่นก็มีคุณนี่ล่ะ เป็นคนแรก ไม่รู้เหมือนกันว่า มีอะไรมาดลใจฉันเข้า
          จดหมายฉบับที่สองที่คุณส่งมาให้ ทำให้ฉันรู้สึกกังวลค่ะ ฉันไม่รู้ว่า คุณไปเผชิญกับอะไรมา แต่ฉันคิดว่า ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ ไม่ว่าโลกนี้จะมีความเที่ยงตรง ความยุติธรรมหรือไม่ แต่จำไว้เถอะค่ะว่า โอกาส มีสำหรับคุณเสมอ และไม่ใช่แค่คุณ แต่โอกาส มีให้กับทุกๆคน ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง สักวันพวกเขาจะเข้าใจการกระทำของคุณ ฉันเชื่อเช่นนั้น หรือถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น คุณก็อย่าได้กังวลไปเลย เพราะหากสิ่งที่คุณทำนั้น ไม่ใช่เรื่องผิด คุณก็ควรจะภูมิใจนะคะ ภูมิใจในตัวเอง และบอกกับตัวเองว่า ตัวคุณรู้ว่า คุณได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว โอกาสจะถูกหยิบยื่นให้คุณ เมื่อคุณรู้จักให้โอกาสตัวเองก่อนเสมอ
          หากความเห็นของฉัน เป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณจนเกินไป ฉันต้องขอโทษคุณด้วย แต่ฉันอยากให้คุณรู้ไว้อย่างหนึ่งนะคะว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในโลกสีครามใบนี้ ยังมีสิ่งดีดีรอคุณอยู่อีกมากมาย ขอเพียงคุณอย่าท้อ และมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ฉันจะเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’



          ‘ถึง คุณฤดูใบไม้ร่วง
          ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจ และความห่วงใยที่คุณมอบให้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก...
          คุณพูดถูกว่า ผมควรจะรู้จักหยิบยื่นโอกาสให้ตัวเอง ก่อนคนอื่นจะหยิบยื่นให้ แต่คุณรู้อะไรไหมว่า คุณน่ะ เป็นคนที่หยิบยื่นโอกาสมาให้ผมก่อนตัวผมเองเสียอีก อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมอุ่นใจ และได้รู้ว่า ยังมีคนคนหนึ่งที่เข้าใจผม นอกจากตัวผมเอง แปลกนะ ที่ถึงแม้คุณจะไม่รู้ว่า ผมไปเจอกับอะไรมา แต่คุณก็เหมือนจะเข้าใจว่า อะไรเป็นอะไร อีกอย่าง คุณก็ยังคงไม่ซักไซ้ หรือเรียกร้องให้ผมอธิบายอะไรมากไปกว่านี้เหมือนเดิม
          คุณบอกว่า คุณต้องการปาฏิหาริย์ คุณรู้ไหมว่า ผมไม่เคยเชื่อว่า จะมีคำคำนี้อยู่ในโลก อาจเป็นเพราะผมยังไม่เคยเจอกับตัวเองก็ได้ แต่ผมว่า คุณน่าจะลองให้โอกาสตัวเองดูบ้างเหมือนกันนะ ก่อนที่คุณจะพึ่งปาฏิหาริย์ เหมือนที่คุณบอกผมไง “เราควรจะให้โอกาสตัวเอง” มันอาจจะดีกว่าการรอปาฏิหาริย์ที่ไม่รู้ว่าจะมีจริงหรือเปล่าก็ได้ เพียงแต่ว่า คุณลองทำหรือยัง?
                                      จาก ผม...ท้องฟ้า’



          ‘ถึง คุณท้องฟ้า
          หลายครั้งค่ะ ที่ฉันหยิบยื่นโอกาสให้กับตัวฉันเอง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลหรืออย่างไรไม่ทราบ ดังนั้นปาฏิหาริย์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฉันค่ะ มันเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันมี ตายจริง ฉันเล่าอะไรนี่ ไม่ควรเลย เรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะคะ เดี๋ยวคุณจะเบื่อกับเรื่องไร้สาระของฉันเสียก่อน
          ตอนนี้ที่มหาลัยเป็นอย่างไรบ้างคะ ทุกอย่างโอเคหรือเปล่า ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะคะที่ฉันถามแบบนี้ เพราะฉันเองก็เรียนที่เดียวกับคุณ แต่ฉันเรียนผ่านทางอินเตอร์เนตค่ะ ฉันคงยังไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้คุณทราบสิใช่ไหมคะ
          น่าเสียดายที่ฉันได้มีโอกาสไปมหาลัยแค่ครั้งเดียว (วันที่ได้เห็นคุณครั้งแรกนั่นล่ะค่ะ) ที่นั่นน่าเรียนมากจริงๆ รุ่นพี่ที่พาฉันเที่ยวชมมหาลัย เธอก็เป็นคนใจดี น่ารัก และกรุณาฉันมากค่ะ อยากจะเจออีกสักครั้งเหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาสค่ะ เสียดายจริงๆ
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’



          ผมแปลกใจอยู่ทีเดียวที่รู้ว่า เธอเรียนมหาลัยเดียวกันกับผม ผมเดาว่า สาเหตุที่ทำให้เธอต้องเรียนผ่านอินเตอร์เนต อาจเป็นเพราะว่า บางที บ้านของเธอ อาจจะอยู่ไกลจากที่นี่มาก แต่เธออยากจะเรียนที่นี่มาก จะว่าไป การศึกษาสมัยนี้ก็ช่างสะดวกสบายขึ้นมากจริงๆ ไม่ลำบากเหมือนรุ่นคุณพ่อ คุณแม่เรา ที่ต้องตื่นกันแต่เช้า เพื่อรอรถโรงเรียนมารับกันตั้งแต่ตีสี่ ตีห้า

          อีกเรื่องที่ผมเดาก็คือ เรื่องที่อยู่ของผม เธออาจจะได้มาจากรุ่นพี่ที่พาเธอชมมหาลัยคนนั้นกระมัง บางที ผมว่า เธออาจจะรู้ชื่อจริงของผมด้วย แต่จงใจที่จะลืมมันไป แปลกดี ผมไม่รู้เหตุผล แต่ก็ไม่คิดที่จะถาม ผมไม่อยากถามอะไรจากเธอเลย

          ผมไม่รู้ว่า ทำไมเธอจึงต้องพึ่งปาฏิหาริย์ มันจำเป็นขนาดนั้นเชียวหรือ แต่เธออาจมีเหตุผลส่วนตัวก็เป็นได้ ผมเองก็ไม่ได้ถาม ก็บอกแล้วว่า ผมไม่อยากถามอะไรจากเธอเลย วันหนึ่ง เธอคงจะบอกผมเอง เมื่อเธอเต็มใจ หรือเมื่อเธอพร้อม อยากที่จะบอก

          แล้วเมื่อไหร่ล่ะ?


          ผมกับเธอเขียนถึงกันบ่อยมากขึ้น หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขียนถึงกันเป็นประจำ ผมเคยบอกเธอว่า ผมไม่ยืนยันว่า จะตอบจดหมายเธอ แต่หลังจากจดหมายของเธอที่ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างประหลาดครั้งนั้น ทำให้ผมตอบจดหมายเธอทุกฉบับ กลายเป็นอย่างนั้นไปเสียได้

          มีจดหมายฉบับหนึ่งที่เธอเล่าถึงเมืองไทยให้ผมฟัง เธอเล่าว่า เธอเกิดที่นั่น โตที่นั่น ทำให้ผมเพิ่งรู้ว่า เธอก็เป็นคนไทยเหมือนผม เป็นคนแผ่นดินเดียวกัน อีกประการก็คือ ดีใจที่เธอรู้สึกเหมือนผม รักแผ่นดินเกิด ชื่นชมในความงามของแผ่นดินของเรา เธอดูจะแปลกใจอยู่เหมือนกันที่รู้ว่า ผมเป็นคนไทยเหมือนเธอ จดหมายฉบับต่อๆมาของผมกับเธอจึงเปลี่ยนจากภาษาจีน เป็นภาษาไทยไปแทน

          ผมเริ่มรู้สึกผูกพันกับเธอมากขึ้น หลายครั้งที่ผมเริ่มเล่าปัญหาต่างๆที่ผมประสบพบเจอให้เธอฟัง ซึ่งผมก็จะได้รับความรู้สึกดีๆจากเธอ ตอบกลับมาทุกครั้ง เพียงแต่เธอไม่เคยเล่าปัญหาอะไรเกี่ยวกับตัวเธอให้ผมฟังเลย แม้แต่ปัญหาเดียว เธอเล่าแค่เรื่องครอบครัว กับชีวิตประจำวันให้ผมฟังนิดหน่อย กลายเป็นว่า สุดท้ายแล้ว เธอเป็นคนลึกลับกว่าผมเสียอีก


          ...ผมอยากพบเธอ...

          ใช่ นั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมในเช้าวันหนึ่ง ไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า อะไรมาดลใจผมเข้า แต่ผมได้ตระหนักว่า ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และผมไม่เก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจเพียงลำพัง

          ผมเขียนบอกเธอ... บอกความปรารถนาของผม




          อาการของฉันเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อตอนเย็นของวันอังคาร ขณะที่หม่าม้ากำลังป้อนข้าวให้ฉัน ฉันเกิดสำลัก แล้วอยู่ดีๆก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด วินาทีนั้น ฉันรู้สึกว่า ท้องไส้ตัวเองปั่นป่วน แน่นในหน้าอกเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ หายใจไม่ออก จากนั้นสติของฉันก็ค่อยๆดับวูบไป สิ่งสุดท้ายที่ฉันรับรู้ก่อนหมดสติคือ เสียงกรีดร้องของหม่าม้าที่เรียกชื่อฉัน ด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจ

          อะไรหลายๆอย่างในชีวิตฉันแย่ลงกว่าเก่า นับตั้งแต่อาการของฉันที่กำเริบในวันนั้น รอบตัวฉันมีสายระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด ฉันขยับตัวไปไหนไม่ได้ แค่อยากจะขยับปากพูด ยังไม่ได้เลย เพราะไอ้ที่ครอบปากให้ออกซิเจนนั่นล่ะ

          ฉันได้ยินคุณหมอบอกหม่าม้าว่า ร่างกายของฉันทรุดหนักลงมาก ชีพจรการเต้นของหัวใจก็อ่อนแรงลง และเบามาก บางที... อาจใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องทำใจแล้วกระมัง

          ยังนับเป็นโชคดีของฉันนัก ที่นอนซมอยู่ในห้องไอซียูแค่สองวัน ฉันพยายามทำตัวให้ร่าเริง เพื่อที่ตัวเองจะได้รู้สึกสดชื่น เป็นการเพิ่มกำลังใจให้กับตัวเองอย่างหนึ่ง เพราะหากจิตใจเราห่อเหี่ยว ไม่เพียงแต่เราจะเป็นทุกข์ แต่มันยังส่งผลต่อไปยังร่างกายให้ยิ่งแย่ตามลงไปด้วย ฉันต้องอดทน ยังยอมแพ้ไม่ได้ ฉันต้องอยู่รอปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้นกับฉันก่อน
          

          หลังจากที่ฉันออกจากห้องไอซียูได้ไม่นาน ฉันก็ได้รับจดหมายจากเขา มันเปรียบเสมือนดั่งโอสถชั้นดี... ยาวิเศษ ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก หากทว่าจดหมายครั้งนี้ กลับทำให้ฉันรู้สึกกังวลขึ้นมาทั้งที่ยังรู้สึกดีอยู่เช่นกัน

          เขาบอกว่า อยากเจอฉัน!... เขาปรารถนาที่จะเจอฉัน

          พระเจ้าทรงโปรด ฉันไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี จะอธิบาย บรรยายออกมายังไงให้รู้ว่า ฉันดีใจแค่ไหน แต่ถึงแม้ฉันจะรู้ว่า เขารู้สึกเช่นเดียวกับฉัน แต่ความจริง เราก็ยังพบกันไม่ได้ ฉันคงทนไม่ได้เป็นแน่ ที่จะให้เขามาเห็นฉันในสภาพเช่นนี้ ฉันจำต้องบอกปฏิเสธเขา แต่ฉันสัญญา... สัญญากับตัวเองว่า หากปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับฉันเมื่อไร

          ...เมื่อนั้น เราจะได้พบกันทันที ขอเพียงเขารอฉันอีกสักหน่อย ฉันจะพยายาม... จะพยายาม... ฉันจะอดทน... จะอดทน...




          ผมรู้สึกผิดหวัง ทันทีที่ได้อ่านจดหมายของเธอที่ส่งถึงผมเมื่อบ่ายวันจันทร์

          ตอนแรกผมนึกว่า เธอจะไม่เขียนมาหาผมแล้วเสียอีก เพราะมันล่าช้ากว่าปรกติ ผมกังวลว่า เธอจะโกรธเคืองที่ผมเขียนบอกเธอว่า อยากนัดพบเธอที่ไหนสักแห่ง เธอไม่เคยเขียนหาผมล่าช้าอย่างนี้มาก่อน เข้าใจว่า ทางไปรษณีย์อาจมีเหตุขัดข้อง หรือปัญหาผิดพลาดบางอย่าง เมื่อคิดเช่นนั้น ผมก็รู้สึกไม่พอใจทันที นึกด่าทอที่ทำการไปรษณีย์อยู่ในใจที่ไม่รู้จักทำงานให้ดี แต่ก็ลืมมันไปเสียหมดสิ้น เมื่อจดหมายของเธอมาอยู่ในมือผม

          ดีใจที่เธอไม่โกรธเคืองผม แต่เสียใจที่เธอปฏิเสธการพบกันของเรา

          ...ทำไม?...

          ผมเกิดคำถามขึ้นในใจ หรือเธอนึกรังเกียจผมแล้ว ผมอาจพลาด ที่เล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟัง และบอกความคิดเห็นของตัวเองในเรื่องนั้นๆ แล้วเธอรับไม่ได้ หรือเธอเข้าใจอะไรในตัวผมผิดหรือเปล่า น่าแปลกที่ผมไม่เคยรู้สึกร้อนรนเช่นนี้มาก่อน รู้สึกราวกับกลัวว่า จะสูญเสียใคร หรืออะไรบางอย่างไป เมื่อผมลองไตร่ตรองดูแล้ว ก็พบว่า สิ่งที่พบคาดเดามันไม่น่าจะใช่ มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ถึงความคิดบางอย่างของผมจะฟังดูแล้วงี่เง่า อยู่ในมุมมองทางด้านลบไปหน่อย แต่เธอก็ช่างใจเย็น และประนีประนอมเหลือเกิน เธอไม่เคยด่าว่าผมเลยแม้แต่คำเดียว กลับจะอธิบายอะไรหลายๆอย่างให้ผมได้เข้าใจ นึกเห็นความคิดงี่เง่าของผมเป็นเรื่องตลกให้อารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ เธอไม่เคยนึกถือสาเลย บางครั้ง ผมก็ว่า เธอออกจะขี้เล่นเหมือนเด็กน้อยที่ได้มีโอกาสออกไปสัมผัสโลกกว้างเป็นครั้งแรก

          คำปฏิเสธของเธอ ไม่ได้ทำให้ความรู้สึก ‘อยาก’ ของผมลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับอยากพบเธอมากขึ้นกว่าเดิม อยากรู้ว่า แท้จริงแล้ว เธอเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เส้นผมนั่นจะยาวสลวยน่าสัมผัสลูบไล้หรือไม่ ผิวของเธอจะนุ่มนวลบอบบาง หรือหยาบกร้าน สีแทนหรือสีครีม ในดวงตาคู่นั้นล่ะ สะท้อนประกายเป็นสีดำ หรือสีน้ำตาล หลายครั้งกับจินตนาการที่มีต่อเธอไม่รู้จบ บางครั้งผมคิดว่า เธอน่าจะเป็นคนผอมตัวเล็ก ดวงตากลมโตใส ผิวขาวนวล ดูบอบบาง แต่บางครั้ง ผมก็ว่า เธอคงเป็นคนอ้วน ผิวคล้ำ ใส่แว่นหนาเตอะด้วย ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน่อย และยังอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างที่ผมจะสามารถจินตนาการได้ มีนะที่ผมกำลังนึกอยู่แล้ว ผมก็นึกหัวเราะกับความคิดตัวเองเสียเอง นี่ผมคงต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ แต่ไม่ว่า เธอจะเป็นใคร มีรูปร่างหน้าตายังไงแบบไหนก็ตาม ผมก็อยากจะพบเธออยู่ดี อยากพาเธอไปเดินเล่นในสวนสงบๆ พาเธอไปร้านบะหมี่ร้านประจำของผมที่เธอเคยบอกว่าอยากลองไป นั่งเล่นกีตาร์เพลงที่เธอร้องขอให้เธอฟังใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ถ้าเธออนุญาตผมจะกุมมือเธอเวลาเราเดินข้ามถนนที่มีรถขวักไขว่วิ่งแล่นไปมา ถ้าเผอิญวันนั้นอากาศไม่ดี สายฝนเทกระหน่ำ ผมจะถอดเสื้อแจ๊คเก็ตตัวนอกกำบังละอองฝน

          ผมไม่เคยสนใจว่า เธอจะสวยเหมือนนางฟ้า นางพราย หรือขี้เหร่เหมือนนางแก้วหน้าม้าในวรรณคดี ผมรับได้ทั้งนั้นล่ะ ขอเพียงเราได้พบกัน

          แน่นอน เพราะผมจินตนาการถึงเธอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว

          ยังมีอีกหนึ่งความรู้สึกที่ผมยังไม่ได้บอกเธอ และผมกำลังจะบอกในจดหมายที่ผมกำลังเขียนถึงเธออยู่ มันเกิดขึ้นระหว่างที่ผมรอจดหมายฉบับล่าสุดของเธอ (ก็ฉบับที่ทางไปรษณีย์ส่งมาช้านั่นล่ะ) ไม่รู้ว่า ผมเพิ่งจะมารู้สึกตัวหรือไงว่า จดหมายของเธอสำคัญต่อผมมากเหลือเกิน ต่อให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเธอ ขอแค่ยังมีจดหมายจากเธอส่งให้ผมอยู่อย่างนี้ แม้ผมจะต้องรับและเขียนจดหมายตลอดไป ผมก็ยินดี

          ถ้อยคำนี้... ผมจะจรดถ้อยคำนี้ลงในจดหมายบอกเธอ จดหมายเอ๋ยอาจถึงช้ากว่าความรู้สึกของผมที่เฝ้าวอนสายลมอุ่นในยามรุ่งอรุณ วอนดวงดาราในยามราตรีให้เธอได้รับรู้ถึงถ้อยคำนี้

          ...ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน...



          ‘ถึง คุณท้องฟ้า
          ต้องขอโทษคุณอีกครั้ง ที่ฉันไม่อาจทำตามความต้องการของคุณได้ แต่สักวัน ฉันสัญญานะคะว่า ฉันจะทำตามคำขอร้องของคุณให้ได้ คุณจะช่วยรอจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ไหมคะ
          ขอบคุณค่ะ ที่คุณบอกว่า คุณคิดถึงฉัน ไม่ใช่แค่คุณเพียงคนเดียวหรอกนะคะที่เป็นฝ่ายรอคอย ฉันเองก็รอจดหมายจากคุณอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน มันทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก หลังจากที่ฉันรู้สึกแย่กับชีวิตตัวเองอยู่พักหนึ่ง คุณ... จดหมายของคุณ เป็นกำลังใจที่ดีของฉันนะคะ
          คุณเคยดูหนังเรื่อง Message In The Bottle หรือเปล่าคะ เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ฉันชอบมาก ฉันชอบที่พระเอกเขียนจดหมายใส่ขวด แล้วปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างไปท่ามกลางคลื่นของทะเล เขาเขียนถึงภรรยาของเขาที่ตายไปแล้ว มันทำให้ฉันคิดเหมือนกันนะคะว่า อยากทำแบบนั้นบ้าง เขียนจดหมาย อาจเป็นข้อความสั้นๆ หรืออาจเป็นเรื่องสักเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน ใส่ขวด แล้วปล่อยให้ทะเลซัดสาดลอยออกไปท่ามกลางพื้นน้ำสีครามไม่มีที่สิ้นสุด ฉันรู้สึกเหมือนมันเป็นลายแทงสมบัติน่ะค่ะ ใครบางคนอาจได้พบ ได้อ่านจดหมาย ข้อความของฉัน พวกเขาอาจไม่พบทางไปเกาะมหาสมบัติ หรือดินแดนอันเป็นนิจนิรันดร์ แต่พวกเขาจะได้รู้ถึงความรู้สึกที่สวยงามที่ประทับอยู่บนโลกอันแสนสวยงามใบนี้ ความสุขที่หลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่ง มีค่าเสียยิ่งกว่าสมบัติ เป็นสิ่งดีๆที่ไม่อาจสรรหาถ้อยคำพูดสวยหรูใดๆมาอธิบายได้ และสิ่งดีๆที่ว่านั้นก็ได้เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน คุณเคยบอกฉันว่า คุณไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ แต่สำหรับฉัน ฉันเชื่อนะคะ เพราะปาฏิหาริย์นี่ล่ะค่ะ ที่เป็นความหวังของฉัน
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’



          ทุกอย่างดูจะแย่ลงไปอีกในหลายเดือนต่อมา ทั้งที่ร่างกายของฉันทำท่าจะฟื้นตัวดีขึ้นมาแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ

          หลายครั้งที่ฉันหลับ แล้วฝัน... ฝันเห็นแต่ที่ที่มีแต่สีขาวโพลนเต็มไปหมด ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากสีขาว จิตใจของฉันเหมือนจะสงบในฝันนั้น แต่ความจริงแล้ว กลับรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าเพียงลำพัง ไม่เพียงแค่ฝันธรรมดา แต่ฉันฝันนาน... นานกระทั่งร่างกายไม่ยอมตื่น หลายครั้งเหลือเกินที่ฉันรู้สึกเหมือนวิญญาณลอยล่องออกจากร่างไปแล้ว ไม่กลับมา หม่าม้าต้องปลุกฉันหลายรอบ ทั้งเขย่า ทั้งตะโกนเรียก จนไม่อยากให้ฉันหลับอีก หม่าม้ามีสีหน้าตื่นกลัวทุกครั้งที่มืดค่ำ แต่สีหน้าจะดูโล่งอกทุกครั้งที่ปลุกฉัน แล้วฉันลืมตาตื่น ยังไม่ถึงเวลาที่ปลุกฉันแล้ว ฉันจะไม่ตื่นสินะ

          อาการข้างเคียงอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นไม่มีอีกเลย นอกจากอาการดังกล่าวที่ฉันได้พูดถึงไปแล้ว ซึ่งฉันว่า มันดูเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอาการอึดอัด ทรมานนั่นเสียอีก มันทำให้ฉันกลัว ฉันจะไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ตัวเองจะตายเมื่อไร ถึงอย่างนั้น ทันทีที่ตื่นนอนในตอนเช้า หม่าม้าจะถามว่า ฉันรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง... อึดอัด ทรมาน หรือเจ็บตรงไหนไหม ฉันโกหกว่า ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างปรกติดี อาจจะเป็นเพราะเพลียมากไปหน่อย เนื่องจากทานข้าวน้อย ทั้งที่ความจริง ฉันก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง มันเกินขีดจำกัดความอ่อนเพลียแล้ว




          ‘ถึง คุณฤดูใบไม้ร่วง
          หลายครั้งที่ผมนึกสงสัยว่า ทำไมคุณถึงร้องเรียกปาฏิหาริย์ คุณบอกว่า สำหรับคุณแล้ว ปาฏิหาริย์เป็นความหวัง จะเป็นการเสียมารยาทไหม ถ้าผมจะถามว่า ความหวังของคุณที่ถึงกับต้องพึ่งปาฏิหาริย์คืออะไร ถ้าหากว่า เป็นกำลังของผมแทนล่ะ จะทำให้ความหวังของคุณเป็นจริงขึ้นมาได้ไหม ผมอยากทำอะไรให้คุณบ้าง อย่างน้อยสิ่งหนึ่งก็ยังดี รู้ไหม บางครั้งผมก็อยากให้คุณเรียกร้องอะไรจากผมบ้าง ผมยินดีที่จะช่วยคุณ ผมดีใจจริงๆที่คุณบอกว่า ผมเป็นกำลังใจที่ดีของคุณ ไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะทำให้คนอื่นรู้สึกดีเป็น
          ยังมีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่า คุณกับผมเกิดมาเพื่อกันและกันหรือเปล่า ผมแปลกใจที่ตัวเองรู้สึกอย่างนี้ แต่ผมรู้สึกจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่า แค่จดหมายสีฟ้าฉบับเดียวที่มาถึงผมในวันนั้น จะทำให้หลายสิ่งในชีวิตผมเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ อย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่เคยเขียนจดหมายถึงใครนี่ล่ะ บางที ผมอาจพบปาฏิหาริย์ที่ผมไม่เคยเชื่อเข้าแล้วก็เป็นได้
                                      คิดถึงคุณ
      จาก ผม... ท้องฟ้า’



          ฉันไม่รู้ และตอบไม่ได้ว่าอะไรทำให้เขาคิดเช่นนั้น แต่มันก็ทำให้ฉันน้ำตาร่วงทันทีที่อ่านจดหมายของเขาจบไป หัวใจของฉันพองโต อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะรู้สึกกับฉันถึงเพียงนี้ ฉันเคยคิดว่า ฉันมีตัวตนเป็นเพียงแค่ตัวอักษรในจดหมาย แต่ฉันกลับมีตัวตนจริงๆในความรู้สึกของเขา... เขา กับคนที่ใกล้ตายอย่างฉัน แต่ไม่สิ ไม่ได้! ฉันสัญญากับเขาแล้วนี่ว่า ฉันจะไปพบเขา อีกไม่นาน อีกไม่นาน ฉันจะต้องไม่ยอมแพ้

          ฉันเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างให้สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามา อากาศภายนอกสดชื่นเหลือเกิน แม้มันจะให้ความรู้สึกเย็นจนแทบจะหนาวสั่น แต่ก็อบอุ่นในใจ ฉันสูดเอาลมหายใจแห่งธรรมชาติที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสบ่อยครั้ง เหลือบเห็นใบไม้ที่ร่วงหล่นจนใกล้จะหมดต้นแล้ว อีกไม่นานก็คงใกล้จะผ่านฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ไปอีกปีแล้ว ฉันกำลังจะก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาแห่งความทรมานนี้ไปอีกปี แม้ช่วงหลังฉันจะรู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ แต่ช่วงสองปีของฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้ฉันสุขหัวใจอย่างที่สุด

          ฉันอยากบอกความรู้สึกนี้กับเขาจัง

          และฉันก็กำลังจะบอกกับเขาในจดหมายที่ฉันกำลังลงมือเขียน ลมหนาวทำให้มือของฉันแข็ง และชา แต่ฉันก็ไม่สนใจ เพราะรู้ว่า ภายในใจของฉันยังมีประกายแสงไฟที่ยังไม่ดับอยู่ ฉันอบอุ่นในแบบที่ตัวฉันรู้สึกได้เอง

          จดหมายสีฟ้าถูกปิดผนึกเรียบร้อย พร้อมแล้วที่จะส่งให้ถึงมือเขา ฉับพลัน อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกแน่นในอกขึ้นมา หัวใจเหมือนจะถูกบีบรัด อึดอัดจนจะหายใจไม่ออก ฉันสำลักและไอออกมาเป็นเลือดอีกแล้ว โลกรอบตัวฉันกำลังหมุนติ้ว หนังตาของฉันหนักอึ้ง ร่างกายอ่อนแรงลงอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวของฉันกำลังสั่นสะท้าน เพราะลมหนาวที่ยังพัดเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ฉันจำต้องกอดร่างของตัวเองเอาไว้ ในขณะที่มือพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเอื้อมไปปิดหน้าต่าง แต่ก็ทำไม่ได้ เรี่ยวแรงของฉันหายไปหมดสิ้น ฉันเจ็บที่หน้าอกมากขึ้น ทุกข์ทรมานเหมือนถูกบีบรัดที่หัวใจแน่นขึ้นกว่าทีแรก ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว และวินาทีนั้นเองที่สติของฉัน ก็ดับวูบไป




          วันพุธ หลังเลิกเรียน ผมเจอเหม่เหมอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกว่าหมอนี่จะเป็นนักกีฬาบาสฯของมหาวิทยาลัย ผมสังเกตเห็นสีหน้าเหม่เหมดูสดใส ร่าเริง เหมือนวันแรกที่ผมได้รู้จัก ท่าทางมีความสุขดีเสียจนผมพลอยยิ้มไปกับเธอด้วย

          เหม่เหมคงรู้สึกตัวว่า ถูกผมมองอยู่ เธอมีสีหน้าหม่นลงน้อยๆ ทันทีที่ได้สบตาผม คนข้างกายเธอทำท่าไม่เข้าใจ แต่ไม่นานเธอก็ส่งยิ้ม และโบกมือให้ผม ผมปฏิบัติต่อเธอกลับไปเช่นเดียวกันอย่างไม่ลังเล วินาทีนั้น ผมรู้สึกว่า อะไรหลายๆอย่างเริ่มดีขึ้นอย่างที่ผมหวังจะให้มันเป็น ผมนึกถึงสิ่งที่เธอคนนั้น... ฤดูใบไม้ร่วง บอกผม

          ...มีโอกาสสำหรับชีวิตหนึ่งเสมอ สักวันพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมทำ...

          วันนี้ผมมั่นใจว่า เหม่เหมกำลังเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ของเธอ ผมหวังว่า มันคงจะสดใส และสวยงามกว่าตอนที่เธอรักผม ไม่สิ ผมว่ามันต้องดีกว่าตอนนั้นแน่นอน แปลกดี ความรู้สึกที่เห็นคนอื่นมีความสุข แล้วเราก็มีไปด้วย มันเป็นอย่างนี้เอง

          ผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง และมีคำพูดประโยคหนึ่งในหนังเรื่องนั้นที่ผมประทับใจมาก และจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้

          ‘สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยเรียนรู้คือ มอบความรัก และถูกรักตอบ’

          เหม่เหมพบสิ่งนั้นแล้ว และสำหรับผม ผมก็กำลังจะพบแล้วเช่นกัน...




          ฉันรู้สึกตัว จึงลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังอ่อนแรงอยู่ ความรู้สึกแน่นหน้าอก และเจ็บหัวใจยังหลงเหลืออยู่ แต่สายระโยงระยางมากมายรอบตัวฉัน กับพลาสติกที่คลอบปากคอยให้ออกซิเจน ทำให้ฉันอึดอัดมากขึ้น ฉันรู้สึกถึงระบบภายในของร่างกายกำลังปั่นป่วน ยังมึนๆหัวอยู่นิดหน่อย อาการกำเริบที่ขาดหายไปนานของฉันกลับมาอีกครั้งพร้อมความรุนแรงที่มากขึ้นกว่าเก่า ฉันสังหรณ์ใจว่า นี่คงถึงที่สุดแล้ว

          ร่างกายของฉันไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่เลย!

          ฉันสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากมือของหม่าม้าที่จับมือฉันไว้แน่น คงคอยจับมือฉันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เพราะเม็ดเหงื่อของหม่าม้าที่ผุดพรายขึ้นที่มือชุ่มที่มือฉันไปด้วย ดวงตาของหม่าม้าแดงช้ำเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ ป๊าคอยโอบไหล่ให้กำลังใจหม่าม้า แต่สายตามองมาที่ฉันด้วยความห่วงใย

          “อาเจ๊ง เป็นยังไงบ้างลูก”

          หม่าม้าถามฉัน ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งนัก ท่านบีบมือฉันแน่นขึ้น ฉันได้แต่ยิ้ม และส่ายหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

          เรี่ยวแรงที่อยากจะพูด ยังแทบจะไม่มีเลย!

          “ป๊าออกไปตามหมอนะ”

          สายตาของฉันรั้งป๊าเอาไว้ไม่ให้ทำตามที่พูด ฉันส่ายหน้าในขณะที่ป๊าชะงัก ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้ว ป๊าดูจะเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการจะบอก ความจริง ฉันว่าป๊าคงรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จึงไม่ขัดฉันเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันไม่เคยเห็นป๊ามองฉันด้วยสายตาสงสารเวทนาอย่างนี้มาก่อน อยากรู้จังว่า สภาพฉันตอนนี้เป็นยังไง

          คงจะโทรม จะดูไม่ได้เลยสินะ

          “อยากทานอะไรไหมลูก หรืออยากดื่มอะไรไหม”

          ฉันส่ายหน้าเป็นคำตอบให้แก่คำถามของหม่าม้า รู้ว่าท่านเป็นห่วง ทั้งยังกังวลมากเหลือเกิน ท่านพยายามเอาใจฉัน หากฉันต้องการ คุณหมออาจจะบอกอะไรบางอย่าง หลังจากที่ฉันสลบไป หม่าม้าคงรู้อย่างที่ป๊ารู้ อย่างที่ฉันเองก็รู้ตัวเองดี ไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นกับฉัน

          ฉันบีบมือหม่าม้า ด้วยเรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงน้อยนิด เพื่อให้ท่านรู้ว่า ฉันไม่ต้องการสิ่งใด หรืออะไรเลย นอกจากให้หม่าม้าอยู่ที่นี่ คอยจับมือฉันเอาไว้อย่างนี้ หม่าม้าดูจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันสื่อ น้ำตาของท่านไหลรินในขณะที่เบิกตากว้างมองฉัน

          “มีจดหมายส่งมาถึงลูก”

          หม่าม้าปาดน้ำตา พร้อมๆกับที่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แวบหนึ่งที่ฉันเห็นลายมือคุ้นเคยที่หน้าซอง รู้สึกตกใจว่าเป็นเขาที่ส่งมาให้ เท่าที่ฉันพอจะจำความได้ ฉันยังไม่ได้ส่งจดหมายตอบเขาเลย ความสงสัยบางอย่างเกิดขึ้นในใจฉัน ความอยากรู้ถึงเนื้อความในจดหมายส่งผลให้ร่ายกายฉันสั่น

      เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ เขาจึงรีบเขียนถึงฉัน

          “ให้หม่าม้าอ่านให้ฟังไหม ลูก”

          หม่าม้าคงรู้สึกถึงความปรารถนาดังกล่าวของฉัน จึงพูดอย่างนั้นขึ้นมา ท่านรู้เรื่องจดหมาย แต่ไม่รู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งอย่างนั้น หม่าม้าก็ไม่เคยซักไซ้ไล่เรียงถาม ท่านให้เกียรติฉันเสมอ หากเรื่องใดเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน

          ฉันรู้ตัวดีว่า ตัวเองไม่มีแรง แม้แต่จะจับกระดาษที่ทั้งบาง และเบา ไม่มีแรงที่จะอ่าน ด้วยสายตาที่พร่ามัวเช่นนี้ จึงไม่ปฏิเสธความหวังดีที่หม่าม้ามอบให้


          ‘ถึง คุณฤดูใบไม้ร่วง
          คุณคงจะแปลกใจสินะ ที่ผมเขียนถึงคุณติดต่อกันสองฉบับ ก่อนที่คุณจะเขียนตอบผมก่อน ความจริงไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ผมแค่คิดถึงคุณ และอยากจะบอกเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง
          เมื่อวันก่อน ผมได้เจอรุ่นน้องคนหนึ่ง กับแฟนของเธอ ท่าทางพวกเขาสองคนมีความสุข จนทำให้ผมนึกถึงความแตกต่างเมื่อครั้งที่เธอเคยชอบผม ผมคงทำให้เธอยิ้มอย่างมีความสุขเช่นที่แฟนคนนั้นของเธอทำไม่ได้เป็นแน่ เพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากเกินกว่าน้องคนหนึ่งเลยแม้แต่น้อย เธอยังไม่ใช่ใครคนนั้นของผมที่ผมอยากจะอยู่ด้วย ผมเคยทำให้เธอเสียใจ ทุกอย่างจบลงไม่ดีเลย แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็กลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิม รู้สึกดีใจที่เคยได้ให้โอกาสตัวเอง แต่จริงๆแล้ว เป็นคุณต่างหากนี่นะ ที่ยื่นโอกาสให้กับผม ผมเคยบอกคุณไปแล้วครั้งหนึ่ง
          ‘ฤดูใบไม้ร่วง’ ในความคิดของผม เป็นช่วงหนึ่งของวัฐจักรแห่งกาลเวลาที่ดูจะไม่สดใสเอาเสียเลย ทุกอย่างดูห่อเหี่ยวไปหมด แม้กระทั่งจิตใจของคนเรา เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ธรรมชาติรอบด้านก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจคนเราได้ขนาดนี้ หรือความจริง เพราะใจเราคิดเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า ก็ไม่รู้ เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือ นับตั้งแต่ได้รับจดหมายสีฟ้าของคุณ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงคราวนั้น ผมก็รู้สึกว่า ฤดูใบไม้ร่วง ไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าหดหู่สำหรับผมอีกต่อไป แต่กลายเป็นช่วงเวลาที่แสนสวยงาม น่าจดจำ และมีความหมายที่สุดไปเสียแล้ว มันมีความหมายกับผมมากจริงๆนะ คุณรู้ไหม? คุณ... จดหมายของคุณ มีความหมายกับผมมาก เป็นความหวังของผมตลอดมา
          นี่ผมคงบอกอะไรไม่เข้าท่ากับคุณอีกแล้วใช่ไหมนี่ แต่ผมก็อยากให้คุณได้รู้เอาไว้ และผมก็เชื่อว่า สิ่งสวยงามนั้น เกิดขึ้นระหว่างเราแล้ว
                                      คิดถึงคุณ
                                      จาก ผม... ท้องฟ้า’


          น้ำตาของฉันไหลริน ทันทีที่สิ้นเสียงหม่าม้าอ่านจดหมายจบ นึกถึงปาฏิหาริย์ที่ฉันเฝ้ารอ... ปาฏิหาริย์ที่เป็นความหวังหนึ่งเดียวของฉันตลอดมา บัดนี้ มันเกิดขึ้นกับฉันแล้ว!

      ไม่ใช่ปาฏิหาริย์การต่อชีวิตของฉันให้คงอยู่ แต่เป็นการมอบชีวิตที่มาพร้อมกับแสงสว่างเล็กๆอันอบอุ่นในใจ รู้สึกสงบที่จิตใจ อุ่นหัวใจทั้งที่ร่างกายเหน็บหนาว มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ยากแก่การอธิบาย พรรณนาออกมาเป็นถ้อยคำ เป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งนัก มันทำให้ตระหนักถึงชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมายยิ่งขึ้น แม้จะไม่ได้มีชีวิตอยู่ก็ตาม

      สิ่งเดียวที่อยากจะขอโทษเขาคือ ฉันผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ ฉันคงไปพบเขาไม่ได้แล้ว แต่ฉันมั่นใจ เขาจะอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันจะวนเวียนอยู่ข้างกายเขา คอยเฝ้ามอง ยามสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมาอีกครั้ง ไม่เสียใจเลยสักนิดที่ชะตาชีวิตฉันเป็นแบบนี้ ไม่น้อยใจฟ้าที่ลิขิตให้ฉันต้องตาย ฉันห่วงคนที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า ห่วงหม่าม้า กับป๊า ไม่อยากให้พวกท่านต้องเศร้าโศกเสียใจ ยามฉันไม่ตื่นจากเสียงปลุกเรียกของท่านอีกต่อไป ซึ่งก็คงอีกไม่นานแล้ว

      หม่าม้าปาดน้ำตาที่อาบแก้มให้ฉัน ป๊าดูจะแปลกใจนิดหน่อยกับจดหมาย เพราะท่านไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันมองตาหม่าม้า ราวกับจะบอกท่าน แทนคำพูดที่มิอาจเอื้อนเอ่ย และดูเหมือนว่า หม่าม้าจะเข้าใจ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี หรือเรื่องใด หม่าม้าจะรู้ใจฉันเสมอ ขอบคุณจริงๆค่ะ หม่าม้า ขอบคุณเหลือเกิน

          “มีอะไรอยากให้หม่าม้าช่วยไหม”

          หม่าม้ายิ้ม พลางลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน ฉันยิ้มตอบ และพยักหน้า พยายามยกมือตัวเองชี้ตรงไปยังจดหมายของเขา

          “จดหมายหรือ ลูก”

          หม่าม้าขมวดคิ้วน้อยๆถามฉัน ดูหม่าม้าจะไม่ค่อยเข้าใจที่ฉันพยายามจะบอก ฉันจะสื่อให้หม่าม้าเข้าใจได้อย่างไรดี ฉับพลัน สายตาของฉันก็เหลือบเห็นจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะข้างๆเตียง หม่าม้ามองตามสายตาฉัน คว้าเอาจดหมายฉบับนั้นมาดู

          “จดหมายฉบับนี้ ของลูกใช่ไหม หม่าม้าก็ลืมไป คุณนางพยาบาลเขาเก็บได้ ตอนเข้ามาดูลูกน่ะ”

          หม่าม้ายื่นจดหมายมาใกล้ๆให้ฉันได้เห็นชัดๆ ฉันจับมือหม่าม้าบีบมือท่านแน่นอย่างร้อนใจ ฉันส่งสายตาวิงวอนให้หม่าม้าเข้าใจฉันทีว่า ฉันต้องการอะไร หม่าม้ามองฉัน สลับกับมองจดหมาย ไม่นานก็คลี่ยิ้มออกมาให้ฉัน ฉันว่าแล้วว่าตัวเองต้องไม่ผิดหวัง หม่าม้าต้องเข้าใจแน่

          “จะให้หม่าม้าส่งจดหมายให้ไหม”

          ฉันรีบพยักหน้า ราวกับกลัวว่าหม่าม้าจะเปลี่ยนใจ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า หม่าม้าไม่มีทางทำเช่นนั้น หม่าม้าเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง ดั่งจะปลอบเด็กน้อยที่แสนงอแงให้เงียบลง รู้สึกตัวเองใจเย็นลง ไม่มีอะไรที่ฉันต้องเป็นกังวลอีก และนี่คงเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายแล้วสินะที่ฉันจะได้เขียนถึงเขา รวมถึงจดหมายของเขาที่หม่าม้าอ่านให้ฉันฟัง ก็คงจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันจะได้อ่านเช่นกัน

          อาการเจ็บ แน่นหน้าอก เหมือนถูกบีบรัดหัวใจ เล่นงานฉันอีกครั้ง ฉันได้แต่หลับตาแน่น เพื่อข่มความเจ็บปวดนั่นเอาไว้ จะไม่ยอมแสดงท่าทางทรมาน ทุรนทุรายให้หม่าม้ากับป๊าเห็นเป็นอันขาด ร่างกายของฉันไม่ไหวจริงๆแล้ว หนังตาของฉันหนักอึ้ง และหรี่ลงเต็มที ทั้งยังพร่ามัวจนแทบจะมองภาพตรงหน้าไม่เห็น อยู่ดีๆอาการเจ็บ แน่นก็ทุเลาลง แต่รู้สึกถึงระบบภายในที่กำลังจะหยุดทำงานแทน เรี่ยวแรงสุดท้ายของฉันคือ คอยจับมือหม่าม้าให้แน่นที่สุด ระบบประสาทตาที่ยังพอทำงานได้อยู่แม้น้อยนิด พยายามจับมอง เก็บภาพหม่าม้ากับป๊าสลักไว้จารลงในใจให้มาก และนานที่สุด ฉันได้ยินเสียงสะอื้นของหม่าม้าที่เริ่มร้องไห้อีกครั้ง พอๆกับที่ป๊าพยายามเมินหลบสายตาฉัน ซ่อนรอยบางอย่างเอาไว้ คงรู้ว่า ถึงเวลาแล้วเช่นกัน

          ฉันฝืนยิ้มทั้งที่รู้ว่าไม่ไหว ก่อนเหลือบมองแสงไฟจากเพดานห้องที่สว่างเจิดจ้า จนแสบตา เสียดายเหลือเกินที่จะไม่ได้เห็นช่วงเวลาสุดท้ายแห่งฤดูใบไม้ร่วง และไม่ได้เห็นหิมะขาวแห่งฤดูหนาวที่ฉันชอบอีกต่อไปแล้ว

          ทุกอย่างรอบกายฉันค่อยๆมืดสนิท ก่อนเป็นสีขาวโพลนราวกับที่เคยเห็นในความฝัน ฉันได้ยินเสียงหม่าม้าเรียกฉันแผ่วๆ ก่อนไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ห้วงคำนึงสุดท้ายที่เหลือ นึกถึงภาพวันแรกที่พบเขา จดหมายทุกฉบับ และที่สุด สิ่งสวยงามที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเราที่เขาบอก มีความสุขกับปาฏิหาริย์ที่เขามอบให้ ร่างกายฉันเบาหวิว คล้ายกำลังลอยล่องไปที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ขอให้ที่สุดแล้ว ให้ฉันได้เป็นดวงดาราที่ประดับผืนฟ้า เพื่อจะได้จ้องมองคนที่รักตลอดไป

          ลาก่อนหม่าม้า ลาก่อนป๊า และ...

          ลาก่อน... ท้องฟ้าของฉัน



          ใบไม้สีแดงใบสุดท้ายของต้นไม้ ร่วงหล่นลงจากกิ่งก้าน ช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ร่วงได้จบลงไปแล้ว หากแต่ความรู้สึกหลากหลาย ยังติดตรึงแน่นอยู่ในทุกความทรงจำไม่คลาย ไม่เคยลืม... ฤดูใบไม้ร่วงกลายเป็นฤดูที่ผมเฝ้ารอให้มาถึงที่สุดไปเสียแล้ว เพราะมันทำให้ผมได้รู้จักเธอ ได้รู้จักหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน มันคงจะเป็นสิ่งแรก และสิ่งสุดท้ายที่ผมจะได้รู้สึกกับใครสักคน มันมองดูเป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังยากยิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกครา...


          ‘ถึง คุณท้องฟ้า
          ขอบคุณเหลือเกินสำหรับสิ่งดีๆที่คุณมอบให้ มันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ และรู้สึกไม่กลัวกับโชคชะตา เพราะในใจของฉันจะรู้เสมอว่า จะมีคุณคอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจให้ฉัน แม้เราจะอยู่ห่างไกล ไม่เคยได้พบหน้าคร่าตากันตรงๆ เราก็เฝ้ารอวันหนึ่งที่จะได้พบกัน และอยู่ใกล้ๆกัน
          ฉันไม่เคยชอบฤดูใบไม้ร่วงเลย ไม่ชอบบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงาของมัน แต่สองปีที่เลยผ่าน ทำให้ฉันรู้สึกรัก และปรารถนาเหลือเกินที่จะให้ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงในเร็ววัน เพราะมันทำให้ฉันได้พบกับคุณ ได้พบความสวยงามบนโลกใบนี้... จากวันนั้น ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้ ฉันได้เคยบอกคุณหรือยังคะว่า ฉันมีความสุขมากที่ได้รู้จักคุณ คุณมีความหมายต่อฉัน มากกว่าที่คุณคิดนัก คุณเติมเต็มโลกทั้งใบที่ว่างเปล่าของฉันให้เต็มจนแทบจะเอ่อล้น ตอนนี้ ฉันคิดถึงคุณจังค่ะ
          ลมหนาวพัดเข้ามาอีกแล้ว แต่ฉันกลับรู้สึกอบอุ่น ความหวังอีกอย่างของฉันคือ การได้พบคุณ และคงจะเป็นจริงในสักวัน หวังว่าฟ้าดินคงไม่ใจร้าย ปล่อยให้ยาวนานเกินไป
                                      จาก ฤดูใบไม้ร่วง’


          ผมเพิ่งอ่านจดหมายฉบับล่าสุดที่เธอส่งมาให้ เป็นรอบที่...สิบ... ยี่สิบ เอ หรืออาจจะมากกว่านั้น ผมก็ไม่ทราบ จำไม่ได้ด้วย เพราะไม่ได้นับ รู้แต่ผมอ่านทุกวัน ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ อ่านทุกครั้งที่นึกถึงเธอ จินตนาการถึงใบหน้าของเธอ อ่านโดยไม่นึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด ไม่รู้ว่า จดหมายฉบับนี้ เป็นฉบับสุดท้ายที่เธอส่งให้ผมหรือเปล่า ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด แต่นานแล้วที่ผมไม่ได้รับอีกเลย หรืออาจเป็นไปได้ไหมว่า ที่ทำการไปรษณีย์จะมีปัญหาขัดข้องอีกแล้ว

          ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เคยได้บอกเธอ และผมตั้งใจว่า จะบอกเธอในจดหมายฉบับที่สิบที่ผมจะเขียนถึงเธอ หลังจากจดหมายฉบับล่าสุดนั้นของเธอ... นานแค่ไหนผมก็จะรอ... รอจนกว่าจะถึงวันนั้นที่เธอบอกผม ให้เราได้พบกัน ผมคิดถึงเธอ ปรารถนาที่อยากจะพบเธอไม่เคยลดน้อยลง รู้สึกอายเล็กน้อย แต่ผมก็ขอยืนยันที่จะบอกสิ่งนี้กับเธอ เจ็บใจตัวเองที่น่าจะบอกเธอก่อนหน้าให้เร็วกว่านี้สักสี่ห้าฉบับ มัวแต่อมพะนำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แต่สาบานได้เถอะว่า ผมคงไม่รู้อย่างนี้กับใครอีก ชีวิตผมอยู่กับการรอคอยจดหมายสีฟ้า... มันยาวนาน แต่มันมีความสุขอย่างที่สุด ผมมั่นใจ และแน่ใจแล้ว... ความรู้สึกนี้มันเต็มแน่น อย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน

          ผมรักเธอ! ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นกับผมแล้วจริงๆ


                                                                                                                      จบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×