คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER 15 :: Full Moon in a Snowy Night (100%)
CHAPTER 15
Full Moon in a Snowy Night
เจ้าของสูทอามานี่สีเทาเข้มยืนอยู่หน้ากระจกใสในห้องทำงานบนตึกสูงกำลังหัวเสีย คิมจงอินจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจอย่างไร้ค่าไปแล้วกี่ครั้งตั้งแต่ก้าวขาเข้าบริษัท ชายหนุ่มอยากโทษวันเดือนปีที่วันนี้เป็นวันพระจันทร์ขึ้นเต็มดวง เขาจึงรู้สึกเกรี้ยวกราดและอยากทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่อยากควบคุมอารมณ์
ต้นเหตุแรกคือเรื่องคำทำนายที่ทำให้กังวลจนนอนไม่หลับ จงอินไม่สามารถทำใจให้สบายแล้วปล่อยผ่านไปง่าย ๆ และคิดว่าอย่างไรมันก็คงจบลงได้ด้วยดีเพียงเพราะเขาเป็นจ่าฝูงหมาป่าที่มีพละกำลังมากมายและไม่เคยพ่ายแพ้ใครเลยสักครั้ง ซึ่งหากพูดถึงก่อนหน้านี้ก็คงถูก แต่ศัตรูที่เขาต้องรับมือคือไค แวมไพร์ผู้มีทุกอย่างตรงกับคำทำนายของผู้หยั่งรู้
หากไม่ใช่จ่าฝูงที่ต้องคอยดูแลผู้อื่น เรื่องนี้ก็คงไม่น่าหนักใจสักเท่าไหร่นัก จงอินไม่ได้กลัวตาย แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าหากฆ่าไคไม่ได้ พ่อแม่ น้องชาย และคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเขาก็คงถูกแวมไพร์ฆ่าตายไม่ให้เหลือแม้แต่ซากแน่
เรื่องที่สองคือโอเซฮุน... โอเค ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสองสามอาทิตย์ คิมจงอินก็คงไม่ประหลาดใจนักถ้าหากเลขาช่างพูดคิดจะแข็งข้อ ไม่ทำตามคำสั่งเจ้านาย แต่สองสามวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ เซฮุนก็มีกลิ่นน้อยใจ ผิดหวัง อีกทั้งยังหลบหน้าเขา เลี่ยงที่จะสบตา และพูดน้อยจนดูเหมือนว่าการคุยกันมันไม่จำเป็น
วันนี้เขาเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และถึงมีงานให้ทำอีกมากมาย เขาก็จะโทรตามเบไอรีนมาที่นี่ คิมจงอินเคยฝึกความอดทนมาตลอดชีวิต ซึ่งเขาทำมันได้ดีกว่าหมาป่าตัวอื่น แต่มันดันใช้กับโอเซฮุนไม่ได้
ชายหนุ่มอยากเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกเหล่านั้นที่กระจายลอยเตะจมูกเขามาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา จงอินวางมือลงบนกระจกใส ขมวดคิ้วพลางทอดสายตามองลงไปยังท้องถนนที่หิมะถูกกวาดไปกองอยู่ริมฟุตปาธ
ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปกับความหงุดหงิดอย่างไร้ค่า ใบหน้าคมหลุบมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนขายาวจะก้าวออกจากตรงนั้น มือขวาล้วงกระเป๋ากางเกงและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ซีอีโอหนุ่มเปิดประตูออกและอ้อมเข้าไปยังโต๊ะเลขา พร้อมคว้าแขนอีกคนให้ลุกขึ้นมาสบตากัน
เซฮุนไม่ได้ต่อว่าเขาสักนิด กลับกันแล้วอีกฝ่ายเลือกที่จะหลบสายตาและยืนนิ่ง ๆ โดยไม่ถามว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไมอยู่ ๆ ผู้ชายที่ยอมเสียฟอร์มความเป็นจ่าฝูงเพราะมนุษย์ธรรมดา ๆ อย่างคิมจงอินถึงได้รุนแรงขึ้นมาเสียได้
“ไปกับผม”
“ผมยัง --”
“ที่เหลือไว้ให้ไอรีนมาจัดการต่อ จะไปด้วยกันดี ๆ หรือจะให้ผมโอบเอวคุณ”
“...”
เซฮุนเงียบจนเขาได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง จงอินค่อย ๆ ปล่อยมือออกและดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่เจ้าตัวก็เอาแต่เงียบ เขาจึงเลือกหันหลังเดินนำไปก่อน ซึ่งคนเป็นเลขาก็ตามมา พร้อมกลิ่นความรู้สึกน้อยใจที่มันเด่นชัดขึ้นจนเขารู้สึกผิดที่ทำรุนแรงเมื่อครู่นี้
*
“ไม่ถามหน่อยหรือไงว่าผมจะพาคุณไปไหน”
หลังจากขับรถออกจากโซลมาเกือบชั่วโมง ชายหนุ่มละสายตาจากท้องถนนแล้วหันไปทางคนตัวผอมที่เอาแต่มองออกไปนอกกระจก โดยไม่หันมาเถียงหรือยิ้มให้เขาเหมือนเมื่อหลายวันก่อน
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
“...”
“เผื่อมันจะจบเร็วขึ้น”
เป็นอีกครั้งที่จงอินหักพวงมาลัยเข้าข้างทางเพราะทนอยู่กับบรรยากาศน่าอึดอัดต่อไปไม่ไหว ซีอีโอหนุ่มเคาะปลายนิ้วลงบนหน้าขาตนเองเพื่อสงบสติอารมณ์ พยายามหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อไม่ให้กรงเล็บงอกออกมาเมื่อเข้าใกล้ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตกดินและพร้อมจะให้ดวงจันทร์ขึ้นมาเฉิดฉายแทนที่บนท้องฟ้า
“อะไรที่ว่าจบ”
“...”
“ผมถามว่าอะไรจบ?” ชายหนุ่มผิวแทนหันไปทางอีกคนที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนในทีแรก และกลิ่นความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงเด่นชัดไม่ลดน้อยลงเลยสักนิด
เวลาผ่านไปอาจจะสักสามนาทีที่ชายหนุ่มผิวแทนพยายามใช้ความอดทน เขาไม่แน่ใจนักว่าการต่อปากต่อคำไม่หยุดกับให้ความเงียบเป็นคำตอบ อะไรที่จะทำให้อารมณ์ดุดันในวันพระจันทร์เต็มดวงของคิมจงอินทำงานได้ดีมากกว่ากัน
เซฮุนหันมามองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ ผิดหวัง และเสียความรู้สึก เอาเถอะ คิมจงอินไม่รู้หรอกว่าจะบรรยายภาพที่เห็นและกลิ่นความรู้สึกเหล่านั้นออกมาได้หมดภายในวันนี้หรือเปล่า เพราะตัวเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทำอะไรผิดไป มนุษย์ที่เคยทำตัวน่ารักกับเขาถึงได้เฉยชาใส่อย่างนี้
“เซ --”
“ผมพูดถึงเรื่องของเรา” คนที่กำลังโทสะถึงกับนิ่งไป ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วมองใบหน้าขาวของคนที่นั่งอยู่ข้างตัว ก่อนจะคว้ามือคนเป็นเลขาไว้โดยสัญชาตญาณเมื่ออีกฝ่ายง้างมือขึ้นฟาดเขา
“อะไรของคุณเนี่ย?”
“ปล่อย” เซฮุนขมวดคิ้ว ยื้อข้อมือกลับแต่เจ้านายก็ไม่ยอมปล่อย
จงอินเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เขาพยายามจับกลิ่นความรู้สึกอีกฝ่าย ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมาแล้ว “ถ้าได้ตีผมแล้วจะยอมพูดใช่ไหม?”
“ผมไม่พูดหรอก” เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้คิมจงอินก็ได้เลขาช่างเถียงคืนมาแล้ว และแน่นอนว่ามันดีกว่าคนที่เอาแต่เงียบมาตลอดทางเป็นไหน ๆ
หมาป่าหนุ่มกระตุกข้อมืออีกฝ่ายจนถลาข้ามมาซบอกเขาที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ เซฮุนเบิกตากว้างแล้วทำท่าจะยันตัวกลับไปที่นั่งตนเอง แต่คนเป็นเจ้านายคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น
จงอินถือโอกาสนี้รวบหัวรวบหาง กอดคนตัวผอมที่ยังพยายามยื้อตัวหนีจากอ้อมกอดเขา ต่างจากคืนนั้นที่ทั้งซบทั้งจูบกันเหมือนว่าทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวอีก
“คุณ!”
“ถ้ายังดิ้นอีกผมจะฉีกเสื้อผ้าคุณให้แหลกแล้วจับปล้ำทั้งที่อยู่ในร่างหมาป่า”
“...”
“จะลองก็ได้นะ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพระจันทร์ก็จะขึ้นเต็มดวงแล้ว”
คนที่เคยดื้อมาตลอดหนึ่งนาทีถึงกับนิ่งไปเพราะได้ยินคำขู่ แววตาของเซฮุนยังไม่ยอมโอนอ่อน แต่ก็ไม่ได้พยายามดิ้นหนีออกจากอ้อมกอดเขาอย่างเช่นทีแรกแล้ว ให้ตายเถอะ ต้องให้เขาทำตัวเป็นไอ้หื่นกามก่อนหรือไงถึงจะยอมฟัง
“จะบอกผมได้หรือยังว่าเป็นอะไร”
“...”
“ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่มีทางรู้ และพอเป็นอย่างนั้นผมก็แก้ไขมันไม่ได้ เข้าใจไหม?” โอเซฮุนจะทำให้จ่าฝูงหมาป่าอย่างเขาเสียฟอร์มไปถึงเมื่อไหร่กัน ที่เคยยอมทั้งหมดก็ทำให้เขาไม่กล้าเล่าให้คยองซูฟังแล้ว ขนาดคนที่ไม่ค่อยหัวเราะอย่างเจ้านั่นยังกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว ที่เห็นว่าพี่ชายสุดทะนงยอมหงอเพราะแคร์ความรู้สึกเลขาที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
“คุณทำอะไรไม่ได้หรอก”
“มีอะไรที่บ้างผมทำไม่ได้”
“จริงจังกับผมไง”
“แล้วที่เป็นอยู่ผมไม่จริงจังตรงไหนกัน?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม นี่เขาต้องประหลาดใจหรือเปล่าว่าอะไรที่ทำให้โอเซฮุนกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาเสียได้
“มันก็แค่ตอนนี้ เดี๋ยวพอผ่านไปสักพักคุณก็จะเบื่อผม”
“ไปดูดวงอะไรมาอีกล่ะ” ชายหนุ่มหลุบสายตามองคนตัวผอมที่ซบอยู่กับแผงอกเขาพร้อมเงยหน้าจ้องจับผิดอย่างจริงจัง
“ไม่ใช่เรื่องดวง แต่มันเป็นเรื่องที่เห็น ๆ กันอยู่”
“เห็นอะไร ไหนลองว่ามา”
“ฮะ... คงจำไม่ได้สินะว่าเคยไปกับผู้หญิงต่อหน้าผมกี่ครั้ง” เซฮุนแค่นหัวเราะ เป็นถึงจ่าฝูงหมาป่าแต่กลับลืมเรื่องที่ตัวเองทำเป็นประจำได้ยังไง
“ที่แท้ก็หึงย้อนหลัง แบบนี้ก็ได้เหรอ? อ๊า!” ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้ว ก่อนจะนิ่วหน้าเจ็บเพราะถูกอีกคนฟาดอกเข้าเต็มแรง “อะไรของคุณเนี่ย?”
“สองสามวันมานี้คุณรู้ไหมว่าผมต้องรับสายผู้หญิงของคุณไปแล้วกี่คน”
“ผมจะรู้เหรอ ก็คุณไม่เคยรายงาน”
“ก็เพราะผมเห็นว่าคุณงานยุ่งไง ไม่อยากให้ปวดหัว พักนี้ก็ชอบทำเหมือนผู้หญิงเป็นรอบเดือน แต่ผมก็พยายามเข้าใจว่าใกล้คืนพระจันทร์เต็มดวงคุณก็เลยของขึ้น แต่ก็ดีแหละ มีสาว ๆ ติดต่อมาไม่ได้ขาด รู้ไหมว่าผมต้องโกหกว่าคุณไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงตามมาถึงบริษัท”
“แสนรู้ เดี๋ยวผมขึ้นเงินเดือนให้นะ” เจ้านายยิ้มร่า ก่อนจะขมวดคิ้วหน้าตึง คว้าข้อมือเขาที่ง้างขึ้นเตรียมฟาดไว้ตามสัญชาตญาณ
“คุณนี่มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ คืนนั้นผมไม่น่าจูบตอบเลยให้ตายเถอะ”
“ไม่ว่าใครก็แก้ไขอดีตไม่ได้ คุณควรรู้เรื่องนี้เอาไว้” ชายหนุ่มผิวแทนกวนประสาทหน้านิ่ง ซึ่งคนที่ถูกความหงุดหงิดน้อยใจเล่นงานมาตลอดหลายวันถึงกับหายใจฮึดฮัด
เขาจะพูดได้อย่างไรว่าไม่ใช่แค่เรื่องผู้หญิง หากโอเซฮุนยกเรื่องที่ไคพูดให้อีกฝ่ายฟัง มีหวังเรื่องคงยาวไม่รู้จบแน่ แต่คนตัวผอมก็ไม่รู้เลยว่าจะจัดการความรู้สึกแบบนี้อย่างไร เขาอยากเชื่อใจเจ้านาย แต่อนาคตมันก็น่ากลัวเหลือเกิน
“เดี๋ยวพอคุณเบื่อผม คุณก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“เหมือนเดิมที่คุณว่ามันเป็นยังไง ผมคิดว่าคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนผมเคยใช้ชีวิตแบบไหน” หากเป็นคนอื่น คิมจงอินคงชักสีหน้าเพื่อข่มให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังดูถูกเขา แต่พอเป็นโอเซฮุน เขาจึงพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ และให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่คิดเพื่อปรับความเข้าใจกัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มผิวแทนไม่เคยทำแบบนี้กับใคร
“คุณเคยสนุกกับการนอนกับผู้หญิง ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไงที่อยู่ดี ๆ ก็สนใจผมขึ้นมา”
“สิ่งที่ผมเป็นก่อนหน้านี้มันอาจทำให้คุณคิดอย่างนั้น แต่ผมไม่คิดว่าการโผล่ไปหาคุณที่บ้านในวันหยุด นอนจ้องหน้าคุณตอนหลับและกลับออกไปทางหน้าต่างก่อนคุณตื่น มันจะเป็นเพราะแค่รู้สึกสนใจ”
“...”
“และการที่ผู้หญิงเหล่านั้นติดต่อมาทางคุณแทนที่จะเป็นโทรศัพท์ส่วนตัวของผม มันไม่ได้หมายความว่าผมตัดขาดจากพวกเธอเพื่อคุณหรอกเหรอเซฮุน?”
ไม่ได้นะเซฮุน ที่นอยด์มาตลอดสามวันจะพังพินาศเพราะคำพูดหวาน ๆ กับแววตาเจ้าชู้แบบนั้นไม่ได้ ทั้งคู่นิ่งไปและปล่อยให้ความเงียบตอนหัวค่ำช่วยปรับความเข้าใจ ก่อนคนเป็นเจ้านายจะเลื่อนใบหน้าลงไปจูบหน้าผากจนคนเป็นเลขาสะดุ้งเล็กน้อยเพราะตั้งหลักไม่ทัน
“ผมไม่อนุญาตให้คุณคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว”
“ก็ช่วยทำตัวให้น่าเชื่อใจก่อนสิ ผมจะได้ไม่ต้องเป็นหมาบ้าแบบนี้” เซฮุนพูดลอดไรฟัน ก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายเพราะถูกเชยคางขึ้น
“คุณซ้อมเป็นหมาตั้งแต่ยังไม่ผูกจิตเป็นคู่แท้กับผมเหรอ น่ารักดีนี่”
“ย่าห์! ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นหรือเปล่า!” คนตัวผอมสะบัดหน้าออกจากมืออีกคนแล้วกลับไปนั่งที่เหมือนเดิม ชายหนุ่มผิวแทนอมยิ้ม พร้อมถอดสูทอาร์มานี่ออกคลุมช่วงอกให้คนเป็นเลขา ที่พยายามปรับสีหน้านิ่งราวกับว่าการทะเลาะกันเมื่อก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“อีกสักพักกว่าจะถึงช็อลลาใต้ คุณจะใช้โอกาสนี้งีบหนีเขินผมก็ได้นะ” พูดจบก็ออกรถเข้าสู่ถนนอีกครั้ง เซฮุนอ้าปากเตรียมจะเถียง แต่คนเป็นเจ้านายกลับหันมาดักเสียก่อน “อ้อ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะกลายร่างทั้งที่ยังบังคับพวงมาลัยอยู่ล่ะ”
เบื่อคนรู้ทัน เซฮุนชำเลืองมองอีกคนด้วยหางตาก่อนจะขยับปากบ่นแบบไม่มีเสียง คนตัวผอมกระชับสูทสีเทาเข้ม แม้จะไม่ได้ดมใกล้ ๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมประจำตัวของเจ้านายที่คิดว่าคงมีคนเดียวในโลก
กลิ่นที่ทำให้โอเซฮุนรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในตัวเจ้านายมากยิ่งขึ้น
50%
“ผมสงสัยเรื่องการผูกจิตเป็นคู่แท้ที่คุณพูดในรถ”
ทันทีที่ถึงบ้านในช็อลลาใต้ เซฮุนก็ยิงความสงสัยไปยังเจ้านายที่สวมเพียงเชิ้ตขาวกับกางเกงขายาวสีเดียวกับสูทตัวนอกที่เขาสวมอยู่ ชายหนุ่มผิวแทนยื่นมือมาด้านหลัง ซึ่งเซฮุนก็เดินไปจับมืออุ่น ๆ นั้นและสอดประสานเรียวนิ้ว ก่อนจะเข้าไปในบ้านด้วยกัน
“มันต่างจากคู่ชีวิตของแวมไพร์หรือเปล่า?”
“ก็ไม่มาก แต่ก็ไม่เหมือน”
ทั้งคู่นั่งลงบนโซฟา คนเป็นเลขาอมยิ้มเล็กน้อยกับการกระทำของเจ้านายที่ไม่คิดว่าจะปฏิบัติต่อเขาอย่างนี้ หมาป่าหนุ่มที่เคยรู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้า ตอนนี้กำลังประคองมือของเขาเอาไว้แล้วพ่นลมอุ่น ๆ ลงไปเพื่อคลายความเหน็บหนาวในค่ำคืนนี้
“คู่ชีวิตของแวมไพร์เกิดจากความเชื่อเรื่องโชคชะตา และทั้งคู่จะอ่านความคิดกันไม่ได้ ซึ่งนั่นคือเสน่ห์ของการเป็นคู่ชีวิต” ชายหนุ่มผิวแทนว่าพร้อมถูมือของเขาจนไม่รู้สึกถึงความเย็นแล้ว
“อะไรที่ทำให้คุณคิดว่านั่นคือเสน่ห์?”
“กับเรื่องบางเรื่อง ถ้ารู้ได้ด้วยการสังเกตอีกฝ่ายหรือลองคาดเดาเอาเองบ้าง แบบนั้นผมว่ามันบ่งบอกถึงความใส่ใจดี”
“คุยกันแบบเปิดอกนะ ผมสัญญาว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง เพราะงั้นคุณต้องตอบตรง ๆ ห้ามโกหกผม” จงอินหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่กำลังฉายแววตาสงสัย และมันถึงเวลาสมควรที่จะอธิบายเรื่องเหนือธรรมชาติให้เซฮุนฟังแล้ว เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่มีข้อแม้ “ที่แวมไพร์อ่านความคิดคนอื่นได้ คุณอิจฉาพวกเขาหรือเปล่า?”
“ตอบแบบไม่โกหกว่าไม่”
“ทำไมล่ะ พวกเขารู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรโดยไม่ต้องถามเลยนะ?”
“ผมก็อ่านกลิ่นความรู้สึกได้ แบบนี้น่าตื่นเต้นกว่าเป็นไหน ๆ” คนไม่ยอมแพ้เรื่องข้อดีของเผ่าพันธุ์เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนเขาสะดุ้งเอนตัวถอยหลัง เจ้านายอมยิ้มหลังจากแกล้งเขาได้สำเร็จ ซึ่งเซฮุนเพียงแค่ขยับปากบ่นแล้วชกแขนแกร่งเบา ๆ
“งั้นเล่าเรื่องผูกจิตเป็นคู่ชีวิตของหมาป่าบ้าง” ผู้ชายสวมเพียงเชิ้ตขาวแต่กลับตัวอุ่นเหมือนผ้านวมกำลังขยับตัวชิดกับขอบโซฟา เพื่อให้เขาเอนตัวลงมาซบอกอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ที่จริงหมาป่ากับแวมไพร์มีอะไรเหมือนกันอยู่หลายอย่าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด อย่างเช่นถ้าผูกจิตเป็นคู่แท้กันแล้ว หากใครคนหนึ่งตาย อีกคนก็จะตายตามไปด้วย ซึ่งแวมไพร์ก็เหมือนกัน”
เซฮุนเงยหน้ามองเจ้านายที่กำลังอธิบายในเรื่องที่เขาเพิ่งได้รู้จากปากไค แม้มันจะแค่ครึ่งเดียว แต่มันก็เป็นความรู้ใหม่อีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่นัก และเซฮุนคิดว่าเขาไม่ควรพูดคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นกับเจ้านายหรือไค
“จุดอ่อนของหมาป่าอยู่ตรงนี้” จงอินทาบนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงที่ซอกคอตนเอง “ถ้าถูกกรงเล็บปาดคอเข้าไปลึก ๆ หรือถูกแวมไพร์ฝังเขี้ยวจนพิษกระจายเข้าถึงหัวใจผมก็ตาย”
“...”
“เผ่าพันธุ์อื่นมักจะมองเห็นว่าตัวเมียที่เป็นผู้ถูกปกป้องคือขยะ ไร้ค่า แต่ความจริงแล้วหมาป่าที่เป็นผู้ถูกปกป้องนั้นซื่อสัตย์และพร้อมจะเสียสละเพื่อคู่ชีวิต โดยการเอาร่างกายตัวเองปกป้องซอกคออีกฝ่าย ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือดูเหมือนว่าตัวเมียกำลังคลอเคลียซอกคอตัวผู้น่ะ” ชายหนุ่มผิวแทนยิ้ม
“งั้นถ้าผมเอามีดแทงตรงนี้คุณก็ตายเลยน่ะสิ”
“ทำลงหรือเปล่า ผมถามแค่นี้” ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง ก่อนคนเป็นเจ้านายจะเชยคางมนขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อมอบจูบอุ่น ๆ ให้ ซึ่งเลขาช่างพูดก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย เผยอปากจูบตอบในวินาทีถนัดมาพร้อมเลื่อนมือขึ้นลูบต้นคอแกร่ง
โอเซฮุนไม่ใช่หมาป่า... แต่เขาก็อยากปกป้องเจ้านายจากภัยอันตรายบ้าง เขาอยากทำอะไรได้มากกว่าการเอาแต่ถามในเรื่องที่คนอื่นรู้กันหมดแล้ว และเป็นตัวปัญหาที่ทำให้เจ้านายลำบากใจ
“วันนี้พี่น้องคุณไม่มาที่นี่เหรอ” ทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกจากกันอ้อยอิ่ง สบตาในระยะใกล้พลางคลอเคลียปลายจมูกเบา ๆ
“หลานผมยังควบคุมตัวเองในคืนพระจันทร์เต็มดวงไม่ได้ พี่ชายผมเลยต้องจับเขาขังเอาไว้จนกว่าจะเช้าน่ะ”
“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”
“พวกเขาก็เหมือนกัน...” ชายหนุ่มผิวแทนกระซิบเสียงพร่า พลางกดจูบริมฝีปากอีกคนเบา ๆ แล้วถอนออกอย่างใคร่รัก
“คยองซูก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เหรอ”
“อืม ตอนนี้เขาคงขังตัวเองอยู่ในห้องใต้ดินเพื่อไม่ให้กลายร่างเป็นหมาป่าออกมาเดินเพ่นพ่านใจกลางกรุงโซล”
ทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบภายในบ้านกลางป่าทึบทำงาน จงอินเกลี่ยปอยผมสีเข้มออกจากดวงหน้าขาวอย่างเบามือ
“คืนนี้จะมีแค่ผมกับคุณ”
“...”
“แค่สองคน”
*
“อ๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“...”
“อะ... อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! กรรรรรรรรรซ์!!!!!”
เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ อี้ชิงยืนนิ่งขณะมองหลานชายเพียงคนเดียวที่ถูกล่ามข้อมือไว้ด้วยโซ่ชั้นดี ดิ้นพล่านไม่หยุดจนได้ยินเสียงโซ่ประสานกับเสียงโอดครวญที่มาจากความทุกข์ทรมาน แม้อากาศด้านนอกจะหนาวเหน็บจนองศาติดลบ แต่บนร่างชายหนุ่มผิวแทนกลับเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อจนเสื้อกล้ามสีดำเปียกชื้น
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! กรรรรซ์!!!!”
โลหะชั้นดีเสียดสีกับข้อมือจนเลือดออก แต่แวมไพร์หนุ่มผิวแทนกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของมันได้ดีเท่ากับบางสิ่งบางอย่างที่มีปฏิกิริยาในร่างกายเขา ซึ่งก็คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของการเป็นหมาป่าที่ไคไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีได้เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง
อี้ชิงคว้าผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นขึ้นมาบิดจนแห้ง ก่อนจะย่อตัวลงเพื่อซับใบหน้าซึ่งเงาไปด้วยเหงื่อของหลานชายที่ตอนนี้มีเขี้ยวเป็นแวมไพร์ แต่สันกรามและคางกลับมีขนดั่งเช่นแวร์วูล์ฟ
มือที่กำลังสั่นเกร็งเริ่มมีเล็บงอกออกมา ไครู้สึกขยะแขยงตัวเองเหลือเกินที่กำลังกลายร่างเป็นหมาป่าที่เขาอยากฆ่าทิ้งให้หมดทั้งเผ่าพันธุ์ แม้จะเคยอดทนผ่านคืนวันร้าย ๆ มาได้นับครั้งไม่ถ้วน แต่ไคก็ไม่เคยอยากคุ้นชินกับมัน ไม่มีวัน
ใช่ ส่วนหนึ่งในร่างกายของไคมีเลือดเนื้อของพ่อผู้เป็นหมาป่าอยู่ แต่ท่านอัลฟอนโซ่ก็ได้ให้ทางเลือกที่ดีกับเขามาตั้งแต่จำความได้ ซึ่งนั่นก็คือการฉีดยากดความเป็นหมาป่าเอาไว้ แต่มันก็ไม่สามารถใช้ได้ผลในค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง
“กำมันเอาไว้”
อี้ชิงยื่นท่อนเหล็กหนาหนักราว ๆ สองกิโลให้หลานชายฝังกรงเล็บจากความเจ็บปวดลงไปแทนที่จะทำร้ายตนเองจากการกำมือ เขาเสยกลุ่มผมที่เปียกไปด้วยเหงื่อของอีกฝ่ายขึ้นอย่างเวทนา มองสภาพหมดสิ้นฤทธิ์อย่างไม่เป็นท่าของคนเป็นหลานซึ่งไม่มีใครเคยเห็นนอกจากเขา
แม้ไคจะมีเลือดเนื้อครึ่งหนึ่งเป็นหมาป่า แต่โดยความจริงที่รู้กันอยู่ว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างมีกรงเล็บและคมเขี้ยวเป็นพิษต่อกันและกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ไคจึงเป็นภัยต่อตนเอง อี้ชิงรู้สึกสงสารหลานชายจับใจ เขาทำได้แค่อยู่ตรงนี้เพื่อรอเวลาให้ดวงอาทิตย์ขึ้น แม้ว่าแวมไพร์จะไม่ชอบแสงแดด แต่วินาทีนี้อะไรล้วนก็ดีกว่าพระจันทร์เต็มดวงทั้งนั้น
ไคยอมทำตามที่น้าชายบอกอย่างว่าง่ายโดยไม่อ้าปากเถียงเฉกเช่นทุกครั้ง ทั้งคู่สบตากัน อี้ชิงมองตาสีฮาเซลคู่นั้นที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสว่าง
สีของดวงตาที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหมาป่าระดับไหน
*
เซฮุนไม่ได้เตรียมชุดมาด้วย อันที่จริง... เขาไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่าง ดังนั้นคืนนี้เขาจึงต้องใส่ชุดนอนของเจ้านาย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่มีส่วนสูงและรูปร่างพอ ๆ กัน เซฮุนโทรไปบอกยายว่าไม่ต้องรอ พร้อมโกหกไปอย่างไม่ตั้งใจว่ามีนัดกับเพื่อนและจะค้างด้วยกัน
เกือบสองชั่วโมงแล้วที่ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ เปิดทีวีไปเรื่อยเปื่อย และเอาแต่มองเข็มนาฬิกาเลื่อนไปข้างหน้าระหว่างรอเจ้านายที่ไปออกล่าและอาบแสงจันทร์ในป่า
ผลพวงจากการนอนดึกตื่นเช้าทำให้ร่างกายโหยหาการพักผ่อน ทีวีที่เคยช่วยฆ่าเวลากำลังกล่อมให้คนดูง่วง แม้ใจยังอยากรอให้เจ้านายกลับมา แต่โอเซฮุนก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะเอาชนะเปลือกตาที่พร้อมจะปิดลงได้
เสียงประตูเปิดออกพร้อมอุ้งเท้าที่ก้าวเข้ามาด้านใน เจ้าของขนปุยสีดำขลับใช้ปลายจมูกดันประตูบ้านให้ปิดลงอย่างเบาเสียง ก่อนจะมองไปยังคนตัวผอมที่หลับอยู่บนโซฟา
ดวงตาสีแดงเข้มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อร่างกายตอบสนองกับดวงจันทร์ตามเวลาสมควรแล้ว หมาป่าหนุ่มสีดำตัวใหญ่ย่างก้าวเข้าหาเจ้าของร่างผอมขาวอย่างใจเย็น ก่อนจะคาบเอารีโมทที่อยู่ในมืออีกคนออกวางไว้บนพื้น
เซฮุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ก่อนจะขมวดคิ้วทันทีที่เห็นว่าหมาป่าตัวใหญ่กำลังยืนจ้องเขาอยู่ คนตัวผอมถอยหลังจนชิดกับพนักวางแขนของโซฟา พอตั้งสติได้จึงเอามือทาบอกอย่างโล่งใจ
“โธ่ กลับมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย”
ไม่มีการเห่าหรือตอบโต้กลับเป็นคำพูดอย่างที่คาดหวัง เจ้าของขนปุยเพียงมองหน้าเขาราวกับอยากให้โอเซฮุนตีความหมายเอาเองว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ คนตัวผอมวางขาลงพลางอมยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกระโดดขึ้นมาบนโซฟาแล้ววางสองขาหน้าลงบนตักเขา
“คุณจะคืนร่างได้ตอนไหนนะ” เซฮุนสบตากับอีกฝ่าย แต่ก็เหมือนเดิม เจ้านายไม่ขานตอบหรือแสดงท่าทีกลับมาเลยสักนิด “ผมจับตัวคุณได้หรือเปล่า”
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นการขออนุญาตที่เจ้านายต้องตอบตกลง เซฮุนเม้มริมฝีปากพลางยกมือขึ้นวางลงบนขนนุ่มสีดำเงา ค่อย ๆ ลูบตั้งแต่ส่วนคอไปจนถึงกลางหลังขณะที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นยังคงไม่ละห่างไปไหน และพอเห็นว่าหมาป่าตัวโตคลอเคลียเขาแทนที่จะเบี่ยงตัวหลบ คนตัวผอมจึงยกยิ้มอย่างพอใจ
“ต่อให้คุณจะไม่ชอบให้ผมเรียกว่าหมา แต่ผมเชื่อว่าคุณต้องชอบให้เกาคางกับพุงแน่ ๆ” คนเป็นเลขาตื่นมาก็พูดจ้ออยู่คนเดียว หมาป่าหนุ่มมองรอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนดวงหน้าขาว ก่อนที่เขาจะยันตัวขึ้นแล้วคร่อมร่างอีกฝ่ายไว้ทั้งที่ยังอยู่ในร่างหมาป่า “เจ้านาย?”
ดวงตาคมกริบมองคนที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับพนักวางมือ ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่ง ก่อนเซฮุนจะหลับตาแน่นเมื่อเจ้าของขนปุยแลบลิ้นเลียแก้มเขา
“อย่าสิ หน้าผมเปียกไปหมดแล้วนะ อ๊า! จั๊กจี้น่า”
คนถูกออดอ้อนเทลงไปนอนงอตัวบนโซฟาก่อนจะถูกหมาป่าตัวโตคร่อมทับในที่สุด เซฮุนยังคงหัวเราะกับลิ้นอุ่น ๆ ที่เอาแต่เลียแก้มเขา พอตั้งหลักได้จึงตวัดแขนกอดหมับเจ้าของร่างหนัก ๆ บนตัว
จนถึงวินาทีนี้โอเซฮุนก็ยังไม่รู้วิธีหยุดยิ้ม คนตัวผอมเอาสองมือโอบใบหน้าซึ่งมีแต่ขนไว้ จับให้โคลงซ้ายทีขวาทีเพิ่มความน่ารักให้เจ้าหมาตัวโตจนหมดคราบความเป็นจ่าฝูง
“นึกถึงวันแรกที่เจอคุณเลย” เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพร้อมจ้องมองดวงตาสีเข้มอย่างมีความหมาย “ตอนนั้นผมกลัวมาก คิดว่าคงตายแน่ ๆ แต่พอเห็นคุณโผล่ออกมา... คำรามขู่จนหมาป่าทั้งสามตัวหนีไป วินาทีนั้นผมก็ยังกลัวอยู่ เพราะไม่รู้ว่าคุณมาช่วยหรือแค่อยากแย่งเหยื่อเท่านั้น”
“...”
“จนกระทั่งคุณกลายร่างเป็นคน”
เซฮุนยังคงลูบขนนุ่มอย่างเอ็นดู เขาไม่รู้หรอกว่าหมาป่าชอบให้ปฏิบัติแบบไหน แต่ถ้าจะให้เข้าไปกอดจูบอย่างก่อนหน้านี้ก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
เจ้านายถูหน้าตนเองกับฝ่ามือของเขา พร้อมโค้มลงเล็กน้อยราวกับจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวยอมละทิ้งความเป็นจ่าฝูงเพื่อให้มนุษย์อย่างโอเซฮุนลูบศีรษะ เขาลองพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดจะตรงกับความต้องการของอีกฝ่ายหรือไม่ และการที่เจ้านายนอนราบลงบนตัวเขาพร้อมมองมาอย่างออดอ้อน ก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคนที่อยู่ใต้ร่างได้กว้างกว่าเดิม
เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้คือสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบระหว่างที่หมาป่าและมนุษย์กำลังสบตากัน เซฮุนยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายขยับเข้ามาเลียแก้มเขาอีกครั้ง ปล่อยให้ขนนุ่ม ๆ คลอเคลียซอกคอก่อนจะตวัดแขนกอดร่างซึ่งเต็มไปด้วยขนเอาไว้
เจ้านายเหมือนตุ๊กตาหมีที่เซฮุนเคยได้เป็นของขวัญตอนเป็นเด็ก คนตัวผอมหลับตาพริ้มรับสัมผัสอบอุ่นจากหมาป่าตัวโต วินาทีนี้เจ้านายเหมือนสัตว์เลี้ยงไม่มีผิด เขาอยากรู้เหลือเกินว่ามีใครเคยเห็นคิมจงอินในมุมนี้บ้างไหม และถ้าเคย คน ๆ นั้นจะเป็นใคร
คนตัวผอมขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เพราะขนของหมาป่าที่กอดอยู่เริ่มหดหายไปก่อนจะรู้สึกได้แต่ผิวเนื้ออุ่น ๆ เข้ามาแทนที่ เซฮุนลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นตอนนี้มันทำให้โลกของเขาแทบหยุดหมุน เมื่อหมาป่าที่เคยออดอ้อนได้เปลี่ยนเป็นมนุษย์ในร่างเปลือยเปล่า อีกทั้งยังคลอเคลียขบเม้มซอกคอของเขาพร้อมผ่อนลมหายใจหนัก ๆ รดลงมาหลังใบหู
“กลายร่างแบบนี้ใช่ไหม?”
CUT
TBC
มโนว่าตัวเองเป็นนายเอกฟิคสิคะ จะแบ่งทีมกันให้เสียเวลาทัมมัย
ขอบคุณทุกคนมากค่าาาาาาา รักหนูก็เมนท์/แท็ก/โหวตเป็นกำลังใจให้หนูด้วยน้า จะได้มีแรงมาเขียนคัท -- เอ๊ย มาเขียนตอนต่อไป เริ้บ
ความคิดเห็น