ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GUESS WHO? #คนไหนแฟนเรา | CHANBAEK & HUNBAEK

    ลำดับตอนที่ #20 : CHAPTER 19 :: ซวยจนต้องกอด (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.71K
      76
      13 พ.ค. 59

    (c) Chess theme

     


    CHAPTER 19

    ซวยจนต้องกอด

     

     


     

    หมอ

     

    เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ขณะมองไปยังจิตแพทย์วัยสามสิบแปดซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่น่าอึดอัดเท่ากับความแคบของมัน กลับกันแล้วมันยังให้ความรู้สึกผ่อนคลายกว่าห้องนอนกว้าง ๆ ของเขาเสียอีก

     

    เสียงลูกตุ้มโมเมนตัมดังก๊อกแก๊กยามเหวี่ยงชนกัน มันเร็วกว่าเสียงเข็มนาฬิกาอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนที่กำลังอยากระบายปัญหาทางความคิด สองมือประสานกันไว้บนตัก มันเย็นเพราะความรู้สึกของตนเองเมื่อต้องพูดเรื่องเดิม ๆ ออกมาอีกครั้ง มากกว่าการเย็นเพราะอุณหภูมิภายในห้องนี้

     

    กล่องทิชชู่ตั้งอยู่ชิดผนัง แต่มันถูกวางมาฝั่งผู้ป่วยอย่างเขามากกว่าที่ชายหนุ่มจะใช้งาน บนใบหน้าจิตแพทย์ชายยังคงมีรอยยิ้มบาง ๆ แต่งแต้มอยู่เหมือนกับทุกครั้ง ซึ่งแบคฮยอนคิดว่านั่นคงเป็นหน้าที่

     

    วันนี้ผมมีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว

     

     
     

     

     
     

    ตั้งแต่จำความได้ บยอนแบคฮยอนสามารถมองเห็นตัวเองได้โดยไม่ต้องส่องกระจก

     

    ทุกอย่างต้องเป็นเลขคู่ ไม่เคยเป็นเศษถ้ากล่าวถึงบยอนแบคฮยอนและบยอนป๋ายเซียน เด็กผู้ชายสองคนถูกปลูกฝังให้รักและดูแลกันตั้งแต่เริ่มพูดได้ คนพี่ต้องเสียสละ คนน้องต้องตั้งใจฟังพี่ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ กับเด็กน้อยที่รู้จักเพียงความเท่าเทียม

     

    ครั้งหนึ่งสองแฝดทะเลาะกันรุนแรงเพราะแย่งของเล่นชิ้นเดียวกัน วันนั้นทั้งคู่ถูกจับแยก และคนที่โดนดุคือพี่ชายอย่างแบคฮยอน

     

    เด็กคนนั้นน้อยใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มันนานมากแค่ไหนแล้วที่ต้องเป็นฝ่ายเสียสละให้ไอ้คนหน้าเหมือนที่ดันเกิดมาพร้อมกัน แต่คนถูกตามใจกลับไม่ใช่เขา เด็กน้อยเคยถามว่าทำไมเขาถึงเป็นพี่ ทั้งที่คลอดป๋ายเซียนออกมาก่อน ซึ่งพ่อก็ให้เหตุผลว่า

     

     

    เพราะแบคฮยอนเลือกอยู่กับความเสี่ยงในท้องแม่ แล้วเสียสละให้น้องออกมาก่อนไงล่ะ

     

     

    พ่อบอกให้รักกันไว้ แบคฮยอนไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนั้นกระทั่งป๋ายเซียนเป็นไข้เลือดออกจนถูกหามส่งโรงพยาบาลกลางดึก และตอนนั้นเด็กน้อยจึงได้รู้ว่าโลกกำลังจะพังลงไปมันเป็นยังไง

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนของเล่นทั้งหมดที่ถูกแย่งไปเป็นแค่ซากขยะที่จะโยนทิ้งไปทางไหนก็ได้ วินาทีนั้นเด็กเจ็ดขวบตัวเล็ก ๆ ร้องไห้ลั่นโรงพยาบาลเพียงเพราะเห็นว่าน้องถูกเจาะเลือด

     

    น่าแปลกที่รู้สึกเจ็บ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของเขาก็แข็งแรงดี แบคฮยอนเลือกเกาะขอบเตียงคนไข้ จ้องมองผิวซึ่งเต็มไปด้วยผดผื่น หน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ของน้องชายมากกว่าการกลับบ้านไปกินของโปรดและนอนดูการ์ตูนคนเดียวเหมือนที่เคยอยากให้เป็น

     

    เด็กน้อยรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากมือเล็ก ๆ ซึ่งมีขนาดเท่ากัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะหลับใหลไม่ได้สติ แต่คนเป็นพี่ก็ไม่ยอมปล่อยไปไหน เขาไม่อยากเป็นลูกคนเดียวแล้ว โลกที่ไม่มีป๋ายเซียน จะเรียกว่าโลกได้ยังไง

     

    นับตั้งแต่วันนั้นแบคฮยอนก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่มีความเอาแต่ใจ ไม่แย่งของเล่น และแบ่งส่วนของตัวเองให้จนน้องประหลาดใจ เด็กแฝดสนิทกันมากขึ้น และนั่นเป็นเรื่องดีสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนัก

     

    เมื่อก่อนบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยนัก ดังนั้นการซื้อไอติมหนึ่งแท่งต้องเป็นแบบคู่ที่มีไม้สองอัน แบคฮยอนหักให้น้องครึ่งหนึ่ง ของตัวเองครึ่งหนึ่ง เท่ากันบ้าง ไม่เท่ากันบ้าง แต่สุดท้ายคนที่ได้เยอะกว่าก็คือป๋ายเซียน

     

    เรายืนกินด้วยกันในสนามเด็กเล่น แต่อยู่ ๆ ของป๋ายเซียนก็ละลาย หักตกลงไปจมลงกับพื้นทราย เด็กน้อยรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งคนเป็นพี่เห็นน้องร้องไห้

     

    เขาเพียงยืนนิ่ง อาจจะสักหนึ่งหรือสองนาทีที่ป๋ายเซียนสะอื้นอยู่ตรงนั้น แต่มันคงนานมากพอที่ไอติมแท่งละลายเปื้อนมือของคนเป็นพี่ชาย

     

    แบคฮยอนยื่นไอติมของตัวเองไปข้างหน้า ซึ่งมันได้ผลเมื่อพบว่าน้องชายฝาแฝดหยุดร้องไห้ไปกับความเสียใจเมื่อถูกความสงสัยเข้ามาแทนที่ คนพี่แค่ยิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้น้องรับไป ซึ่งป๋ายเซียนก็ถือไว้แม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายทำ

     

    ให้เค้าเหรอ

    อื้อ

    แล้วแบคฮยอนล่ะ ถ้าให้เค้าแล้วแบคฮยอนจะกินอะไร

    ไม่กินหรอก เค้าไม่ชอบรสช็อกโกแล็ต

     

     

    และวันนั้น บยอนแบคฮยอนก็ได้เรียนรู้การโกหกเป็นครั้งแรกในชีวิต

     

     

    ป๋ายเซียนปั่นจักรยานล้ม ร้องไห้เพราะเห็นเลือดบนหัวเข่าตนเอง คนเป็นพี่จอดจักรยานที่ปั่นอยู่หน้าบ้านตนเอง ก่อนจะรีบประคองน้องกลับเข้าไปในบ้านให้แม่ช่วยล้างแผลให้ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องไปพร้อมควานหาสิ่งของบางอย่างในกล่องลังกระดาษ

     

    ดวงตากลมโตของป๋ายเซียนยังคงคลอไปด้วยน้ำตา ตอนมองมายังพี่ชายฝาแฝดซึ่งรีบวิ่งลงบันไดมาราวกับไม่กลัวลื่น แบคฮยอนจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นถูกแม่ดุว่ายังไง ที่พาน้องออกไปปั่นจักรยานเล่นโดยไม่มีพ่อคอยตามดู

     

    คนเป็นพี่สนใจแค่น้ำตาของน้องเท่านั้น เขาถลกขากางเกงขึ้นเพื่อโชว์รอยแผลปลอม ๆ ที่ถูกละเลงด้วยสีเทียนเมื่อครู่ เพื่อให้น้องชายรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้เจ็บคนเดียว

     

    แบคฮยอนกระตุกชายเสื้อแม่เพื่อขอให้ช่วยทำแผล ซึ่งเธอคงรู้ความต้องการในใจเด็กชายผู้พี่ จึงส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะแปะผ้าก๊อซลงบนหัวเข่าของเขาเช่นกัน

     

    ไม่รู้ว่าโลกนี้มีความโหดร้ายอะไรบ้าง แต่เขารู้แค่ว่าถ้าอยากได้ความสุข ก็ต้องดูแลสิ่งนั้นไว้ให้ดี แบคฮยอนไม่ได้ต้องการคำชมจากพ่อแม่ แต่เขาต้องการรอยยิ้มที่มาจากความสุขของป๋ายเซียน

     

     

    ใช่ เด็กอย่างเขารู้เพียงเท่านั้น

     

     

    คนน้องเอาแต่ใจน้อยลง และเห็นพี่ชายฝาแฝดเป็นไอดอล ทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นจนช่องว่างระหว่างที่เคยมีค่อย ๆ หายไป แบคฮยอนท้าป๋ายเซียนให้หันมาเรียนแข่งกัน เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายตั้งใจเรียน ซึ่งมันได้ผล เมื่อเกรดของน้องชายเพิ่มขึ้นจนแม่ถึงกับประหลาดใจ

     

    แบคฮยอนไม่ต้องการใคร แต่เราจำเป็นต้องมีเพื่อน จงแดกับอึนจีคือมนุษย์โลกเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่เรื่องมาก และเข้ากับสองแฝดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

    แต่โลกของเราเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่วัยมัธยม ป๋ายเซียนเริ่มมีคนที่ชอบ และนั่นทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ กับหัวใจตัวเอง

     

    แบคฮยอนไม่เคยเข้าใจกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเพื่อลองใจคนที่น้องชอบ ว่าจะแยกบยอนป๋ายเซียนออกจากแบคฮยอนแบคฮยอนได้หรือไม่ และผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง ไม่มีใครเอะใจ และยังแสดงความรักกับเขาได้อย่างหน้าตาเฉย พร้อมบอกว่า ฉันก็ชอบนาย เหมือนที่ชอบป๋ายเซียน

     

    ซึ่งนั่นทำให้น้องชายของเขาหมดศรัทธาในความรัก จนไม่กล้าชอบใครอีก

     

    แบคฮยอนคิดว่าความรู้สึกนั้นคงเป็นเพราะกลัวถูกแย่งความสำคัญ เขาไม่อยากให้ป๋ายเซียนมีใคร และเขาก็จะไม่มีใครเหมือนกัน ความต้องการทางเพศตามมาเมื่อทั้งคู่เริ่มโตเป็นหนุ่ม แต่พ่อแม่ก็สั่งสอนมาอย่างเคร่งครัดเป็นอย่างดีจนคนน้องไม่กล้าลองมีอะไรกับใคร

     

    ยกเว้นแบคฮยอน

     

    วันนั้นเราอาบน้ำด้วยกันเหมือนทุกวัน แต่มันต่างออกไปตรงที่แบคฮยอนเข้าไปยืนซ้อนน้องชายจากข้างหลัง สอดมือเข้าไปผ่านเอวคอดและจับส่วนนั้นจนมันตื่นตัวเต็มมือ ป๋ายเซียนหันมามองเขาตกใจ ทั้งคู่สบตากันเพียงเสี้ยววิก่อนที่พี่ชายนิสัยไม่ดีจะบอกว่า

     

    พี่น้องช่วยกัน มันเป็นเรื่องปกติ

     

    ซึ่งน้องชายที่วิ่งตามเขามาตลอดชีวิตก็หลงเชื่ออย่างง่ายดาย มันไม่มีความปกติอะไรทั้งนั้นเรื่องนี้แบคฮยอนรู้ดีแก่ใจ ทั้งคู่ช่วยกันปลดปล่อยความต้องการจนได้รู้ว่าคนเราจะรู้สึกดีได้ถ้าทำเรื่องแบบนั้น

     

    ซึ่งครั้งแรกจบลงด้วยมือ เขาเลือกเป็นจูบแรกป๋ายเซียน และทำเรื่องแบบนั้นอีกในวันถัดมา

     

    ความสัมพันธ์เริ่มเลยเถิด จากแค่มือก็เปลี่ยนเป็นปาก แบคฮยอนหลับหูหลับตาทำเรื่องบ้า ๆ กับน้องชายมาตลอดจนกระทั่งได้ยินจงแดพูดว่า

     

     

    พวกมึงเป็นแฝดกันนะห่า ทำตัวอย่างกับผัวเมีย

     

     

    และวันนั้น พี่ชายชั่ว ๆ อย่างเขาจึงรู้ตัวว่ามันกำลังจะเลยเถิดเข้าไปทุกทีแล้ว

     

     

    แบคฮยอนไม่สามารถห้ามอีกฝ่ายมีแฟนไปได้ตลอดชีวิต นานเป็นปีเลยทีเดียวที่เขาต้องมองน้องชายฝาแฝดไปกับคนอื่น และฟังอีกฝ่ายเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปถึงขั้นไหน มันทั้งเจ็บหัวใจ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่จะตบตาให้ป๋ายเซียนคิดว่าเขาไม่รู้สึก

     

    คนพี่เลือกเรียนวิศวะเพราะป๋ายเซียนอยากเรียนสถาปัตย์ มันคงดีถ้าเราเรียนจบและทำงานด้วยกันโดยไม่มีใครแยกไปสายอื่น แบคฮยอนชอบที่จะอยู่กับน้องชาย แต่ยิ่งรู้สึกแบบนั้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องบอกตัวเองให้ห่างออกมาเท่านั้น

     

    การออกไปดื่มกับเพื่อนเกือบทุกคืนนั้นเป็นข้ออ้างที่ดี เพราะเขาคงเป็นบ้าตายเข้าสักวันแน่ ๆ ถ้าหากเห็นว่าป๋ายเซียนเลือกมานอนบนเตียงเดียวกับเขา บดเบียดหาความอบอุ่น หัวเราะกับเรื่องโง่ ๆ ที่เป็นหัวข้อสนทยนารายวัน และเราก็จูบกันเพราะคิดว่ามันคือการแสดงความรัก

     

    แบคฮยอนทนอยู่สภาพแบบนั้นไม่ได้... เขากลัวการอาบน้ำพร้อมกัน เพราะร่างกายมันอยากทำอะไรมากกว่ากอดจูบ หรือมองอีกฝ่ายใช้ปากกับส่วนนั้นของเขาอย่างไร้เดียงสา เขาอยากทำให้มันเลยเถิด แต่ก็ทำไม่ได้ ที่ทุกอย่างมันมาไกลถึงขนาดนี้ก็เพราะพี่ชายโง่ ๆ อย่างเขาเป็นคนเริ่มต้นทั้งนั้น

     

    และยิ่งมีเรื่องบุคคลที่สามเข้ามาพัวพัน แบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะพังเพราะเห็นว่าป๋ายเซียนรู้สึกดีกับปาร์คชานยอลมากแค่ไหน และเจ็บปวดมากเท่าไหร่กับการที่ผู้ชายคนนั้นหันหลังให้

     

     

    เขาเกลียดความรู้สึกนั้น

    แต่สุดท้ายบยอนแบคฮยอนก็เลือกกักเก็บความในใจเอาไว้

    แล้วหันไปหยิบยื่นความสุขให้กับน้อง

    เหมือนไอติมแท่งนั้น เมื่อเรายังเป็นเด็ก

     

     

    การพบจิตแพทย์คงเป็นทางออกที่ดี แต่แบคฮยอนไม่มีความกล้าเลยสักนิด ในสังคมปัจจุบันนี้กรณีอย่างเขาคงถูกตราหน้าว่าเป็นโรคจิตได้ไม่ยาก แต่คนตัวเล็กไม่มีทางเลือกแล้ว เขาไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้จองอึนจีหรือคิมจงแดฟังได้ ไม่สามารถเดินเข้าไปหาแม่ในครัว แล้วบอกเรื่องนี้กับเธอ เพื่อรอเห็นแววตาผิดหวังที่ส่งมายังลูกชายคนโตได้

     

    ครั้งแรกที่คุยกับหมอ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนประตูอ่างเก็บน้ำบานใหญ่ถูกเปิดออกจนมันล้นทะลักออกมา แบคฮยอนร้องไห้เหมือนคนเสียสติ กำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว หน้าขาเต็มไปด้วยหยดน้ำตาเป็นต่างดวง

     

     

    เขาทั้งรู้สึกผิด และกลัวตัวเองที่แปลกได้ถึงขนาดนี้

     

     

    จิตแพทย์ไม่ได้มองมาอย่างสมเพชหรือกล่าวว่าเลยสักคำเดียว ผู้ชายคนนั้นเพียงบอกให้เขาระบายออกมาเท่าที่ต้องการพูด หมอไม่ได้บังคับ หรือบีบเค้นให้เล่าความน่าอาย ความผิดประหลาดที่เกิดขึ้น แต่แบคฮยอนรู้ว่าหลายครั้งที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนทางอ้อมด้วยคำสุภาพ และเขาเต็มใจที่จะเล่ามัน

     

    เราคุยกันอยู่นาน... อันที่จริงอาจจะเป็นแบคฮยอนฝ่ายเดียวที่พูด กระทั่งหมอเขียนตารางนัดครั้งต่อไป ซึ่งเขาพร้อมจะมาที่นี่

     

    หมอ

     

     

    พื้นที่เล็ก ๆ ที่ทำให้บยอนแบคฮยอนพูดทุกอย่างที่ฝังอยู่ในใจได้

     

     

    วันนี้ผมก็ยังรู้สึก

     

     

    50%

     

     

      

     

    สองขาหยุดยืนอยู่กับที่หลังเดินออกมาจากประตูตึกประสาทวิทยา มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายไปสักหน่อยที่เห็นโอเซฮุนยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งห่างไปราว ๆ สิบเมตร ใบหน้าของคนตัวผอมยังคงเรียบเฉยเหมือนวันนั้น วันที่แบคฮยอนไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่ได้เจอกันในโรงพยาบาลโดยไม่มีใครเจ็บป่วย

     

    คนตัวเล็กผุดยิ้มพร้อมเลิกคิ้วราวกับประหลาดใจ ซึ่งคงมีแค่คนโง่ที่คิดไม่ได้ว่าเพราะเหตุอะไรโอเซฮุนถึงมาที่นี่ ซากทิชชู่ในมือถูกกำแน่นก่อนจะถูกซ่อนไว้ข้างหลัง เรายืนสบตากันอย่างนั้นอยู่ชั่วอึดใจ กระทั่งคนตัวผอมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

     

    ว่าไงสโตกเกอร์ แอบตามพี่มาอีกแล้วเหรอจ๊ะวันนี้

     

    โอเซฮุนไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะผลักหัวอย่างรำคาญเหมือนอย่างเคยเพราะถูกแซวด้วยน้ำเสียงกวนประสาท ผู้ชายคนนี้เอาแต่จ้องหน้าเขา จ้องราวกับว่ารู้ความลับทุกอย่างแล้ว แม้บยอนแบคฮยอนจะไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ

     

    หิวข้าวไหม?

     

     

    ผิดคาด นี่คือประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากโอเซฮุน

     

     

    กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่ยิ้มคือโอเซฮุน ที่เคยตั้งหลักไว้ว่าจะโกหกยังไงถ้าหากอีกฝ่ายอยากได้คำตอบว่าบยอนแบคฮยอนมาทำอะไรที่โรงพยาบาลอีกแล้ว แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดจนไม่รู้ว่าจะตอบโต้รอยยิ้มอีกฝ่ายกลับยังไง

     

    คนตัวเล็กยิ้มอีกครั้งหลังจากตั้งสติได้ เขายังคงแสดงละครตบตาอีกฝ่ายด้วยความทะเล้นต่อไป ก่อนจะไหวไหล่พร้อมชี้นิ้วไปข้างหน้าเป็นเชิงบอกให้คนตัวผอมเดินนำไปก่อน ซึ่งก็ผิดคาดอีกครั้งเมื่อเซฮุนเลือกที่จะเดินไปข้างหน้า โดยไม่ไถ่ถามเขาสักคำว่ามาทำอะไรที่โรงพยาบาลอีกแล้ว

     

    แบคฮยอนมองแผ่นหลังกว้างระหว่างจมอยู่กับความคิด กระทั่งสองขายาวหยุดฝีเท้าเมื่อเดินออกมาจากจุดเดิมได้เพียงห้าก้าว ชายหนุ่มหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่สบตากัน และกลายเป็นโอเซฮุนอีกแล้วที่เป็นฝ่ายยิ้ม ก่อนเจ้าของร่างผอมสูงจะกลับไปคว้าแขนเขาให้เดินไปด้วยกัน

     

    แม้จะรู้จักกันได้ไม่นานเท่าจงแดกับอึนจี แต่แบคฮยอนคิดว่าเขาพอจะเดานิสัยโอเซฮุนออกบ้าง ไอ้บ้านี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องปกติที่โอเซฮุนจะเดินมาถามเขาว่าหิวข้าวไหม เมื่อที่นี่คือโรงพยาบาล คนตัวผอมควรถามด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนเคย ให้เขาได้โกหกอีกสักหน่อย ก่อนจะจบด้วยคำถามว่าหิวข้าวไหม สิถึงจะถูก

     

    มึงเป็นบ้าอะไร

     

    คนตัวเล็กแกะมืออีกฝ่ายออกแล้วหยุดเดิน มองแผ่นหลังของคนตัวผอมที่ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้ากัน เพื่อถามประโยคนี้กับเขา คำถามนี้มันควรเป็นของโอเซฮุน

     

    ชายหนุ่มหันมาสบตากับคนที่เขาใช้เวลารออยู่ข้างนอกเป็นชั่วโมง เหมือนกับครั้งก่อนที่ตามมาเพราะความอยากรู้ แบคฮยอนกำลังไม่พอใจ ที่เห็นว่าผู้ชายที่เพิ่งปฏิเสธความรักไปกลับมายืนอยู่ตรงนี้

     

    การมารับมึงไปกินข้าว กูต้องเป็นบ้าด้วยหรือไง? คำถามของอีกฝ่ายไม่ได้น่าโมโหเท่ารอยยิ้มบนใบหน้าซึ่งยังไม่จางหายไป เซฮุนยังคงทำเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องปกติ

     

    ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่งโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ไม่มีใครสนใจพยาบาลและญาติคนไข้ที่เดินผ่านไป ทั้งคู่ยังคงให้ความเงียบตั้งคำถามให้กันและกัน เซฮุนไม่ชอบบังคับจิตใจคนอื่นนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ถามหาเหตุผลว่าทำไมแบคฮยอนถึงมาที่นี่อีกครั้ง หลังจากพยายามหาคำตอบกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองมาสักพัก

     

    สิ่งเดียวที่รู้ก็คือ เขาไม่สามารถปล่อยให้คนตัวเล็กผ่านพ้นช่วงเวลานี้ตามลำพังได้ เซฮุนรู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนเข้มแข็ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนประเภทนี้ไม่ต้องการใคร

     

    แม้จะถูกคนเดิม ๆ ปฏิเสธความรักไปแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะทางอ้อมหรือโดยตรง แต่น่าแปลกเหลือเกินที่โอเซฮุนยังคงอยู่ตรงนี้ และไม่คิดอยากไปไหน มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ต้องการมากกว่าคบกัน ซึ่งนั่นก็คือการได้อยู่ข้าง ๆ เป็นเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งในชีวิตของบยอนแบคฮยอน

     

    มึงกำลังทำให้กูอึดอัด

     

    อืม แต่กูคงไม่ขอโทษนะ เพราะตั้งใจ ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ขณะมองดวงตาคู่นั้นที่แดงก่ำ ซึ่งมันคงเป็นผลจากการร้องไห้ และถึงจะอยากรู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่โอเซฮุนก็ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนี้

     

    คำพูดของเขาคงไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น ซึ่งคนที่ทำได้เป็นใคร เรื่องนี้โอเซฮุนก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าให้ปล่อยไปแล้วแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนใจ แบบนั้นชายหนุ่มทำไม่ได้

     

    ทำไมมึงต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะเซฮุน

     

    แบคฮยอนเก็บอาการได้ดีมาตลอด แต่ตอนนี้เขาฝืนมันไม่ได้แล้ว ซึ่งถ้าการได้เจอโอเซฮุนเป็นอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า หรือสามสิบนาทีข้างหน้า เขาคงสามารถยิ้มและแกล้งตีมึนใส่ได้โดยไม่หลุดอาการให้จับผิดแบบนี้ อาจเป็นเพราะเซฮุนผิดปกติ และเขาเองก็ยังรู้สึกคั่งค้างอยู่กับการระบายให้หมออีทึกฟัง ทุกอย่างจึงยังหม่นหมองมาจนถึงตอนนี้

     

    ทั้งที่เคยบอกไปแล้วว่ากูไม่ได้ชอบมึง แต่ทำไมถึงยังไม่ไปไหนอีก

     

    คนตัวเล็กกลืนน้ำลาย หายใจเข้าลึก ๆ ขณะสบตากับคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าเขาต้องพยายามอีกหน่อย ถ้าอยากให้โอเซฮุนเสียความรู้สึกจนเปลี่ยนความชอบเป็นเกลียดภายในเสี้ยววินาที

     

    เป็นคนอื่นคงเลิกยุ่งไปแล้ว มีแต่คนแบบมึงนี่แหละที่ยืนโง่อยู่ตรงนี้

     

    แบคฮยอนแสร้งถอนหายใจอย่างหัวเสีย แสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นว่ารำคาญแค่ไหน แต่พอเห็นว่าคนตัวผอมไม่พูดหรือแสดงท่าทีอะไร เขาจึงเดินผ่านไปแล้วทิ้งความรู้สึกแย่ ๆ ทั้งหมดไว้ตรงนั้น

     

    มันคงดีถ้าหากจบทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง แล้วปล่อยให้โอเซฮุนเข้าใจไปว่าบยอนแบคฮยอนก็แค่คนนิสัยแย่ ๆ ที่ชอบเล่นกับความรู้สึกคนอื่น ให้อีกฝ่ายคิดว่าถูกหลอกใช้ให้ช่วยดูแล อยู่เป็นเพื่อนป๋ายเซียนตอนอกหัก พอหมดประโยชน์ก็ถูกถีบหัวส่ง

     

    แต่โอเซฮุนกลับไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น เมื่อขาของเขามันจำต้องหยุดกับที่ เพราะถูกอีกคนคว้าแขนไว้

     

    ก็เพราะที่มันเหมาะกับคนโง่ กูถึงได้อยู่ตรงนี้

     

    ...

     

    แล้วกูก็เสือกชอบตัวเองตอนเป็นคนโง่เวลาอยู่กับมึงด้วย

     

    มือนั้นยังคงกำซากทิชชู่ไว้แน่น คล้ายกับว่ามันเป็นตัวแทนความรู้สึกของบยอนแบคฮยอนที่ถูกบีบขย้ำจนไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้เราต่างรู้แล้วว่าความรู้สึกของทุกคนนั้นไม่ใช่เรื่องตลกเหมือนเมื่อก่อนอีก และแม้จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงนัก แต่โอเซฮุนก็พร้อมที่จะยอมรับและอยู่กับปัจจุบันให้ได้

     

    กับเรื่องที่อยากรู้ มึงจะไม่ได้ยินอะไรจากปากกูทั้งนั้นคนตัวเล็กยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะสะบัดแขนออกอย่างรำคาญ ราวกับว่าเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งหนีแล้ว

     

    งั้นก็ไม่ต้องพูด

     

    เซฮุนคลายมือออกและแทนด้วยอ้อมกอดที่มาจากทางด้านหลังซึ่งเป็นเรื่องคาดไม่ถึง แบคฮยอนยืนนิ่ง ปล่อยให้ท่อนแขนแกร่งกระชับกอดแน่นขึ้นแต่กลับไม่รู้สึกถึงความน่าอึดอัดใจ คนตัวเล็กเชื่อว่าถ้าหากขยับตัวอีกแค่นิดเดียว... อ้อมกอดของโอเซฮุนอาจทำให้เขาสำลักน้ำตาออกมาอีกครั้งแน่ ๆ

     

    แต่ให้กูอยู่ข้าง ๆ จนกว่ามึงจะดีขึ้น ได้ไหมวะแบคฮยอน

     
     

     

     

     
     

    ป้ายรถเมล์ตอนสองทุ่มครึ่งกับร่างกายพัง ๆ ซึ่งยังมีผู้คนอยู่ตรงนี้แค่นิดหน่อย ป๋ายเซียนกำลังจะกลายเป็นซอมบี้อย่างที่เซฮุนเคยว่าจริง ๆ เมื่อเขาเห็นเงาตัวเองซึ่งไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้

     

    หลังจากช่วยงานกีฬาสีเฟรชชี่ในส่วนของตัวเองเรียบร้อยไปได้ด้วยดี ก็รู้สึกเหมือนผ่อนเวรหมดกรรมไปได้บ้างนิดหน่อย เรียนสถาปัตย์ต้องทำใจและยอมรับชีวิตแบบนี้ให้ได้ แม้จะเป็นหวัดจนต้องพกทิชชู่ซองใหญ่ ก็ห้ามตายคาภารกิจ

     

    ซากซอมบี้ก้าวขึ้นรถเมล์ด้วยสภาพอิดโรย ตรงไปนั่งที่ว่างด้านหลังและวางกระบอกใส่กระดาษเขียนแบบไว้กับเบาะข้างตัว ป๋ายเซียนสูดน้ำมูกพร้อมซบแก้มลงกับกระจก ซึมซับเอาความเย็นเพื่อกลบความร้อนในร่างกาย พลางทอดสายตามองไปยังท้องถนนตอนกลางคืน และนึกไปถึงอาหารมื้อค่ำที่ม๊าทำเตรียมไว้ให้

     

    ขอโทษครับ ช่วยเอาของออกหน่อยได้ไหม?

     

    อ๋อได้ครับ ขอโทษ -- คนตัวเล็กค้างอยู่ในท่าถือกระบอก เมื่อพบว่าผู้มาใหม่คือใครอีกคนที่ไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรงมานาน ภายใต้แววตาคู่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ บยอนป๋ายเซียนไม่สามารถคาดเดาได้

     

    คนตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขาจึงกอดกระบอกเขียนแบบไว้พร้อมมองออกไปนอกกระจกโดยอัตโนมัติ ความอึดอัดก่อตัวขึ้นท่ามกลางสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นความบังเอิญ ป๋ายเซียนไม่สามารถคิดให้เป็นอย่างอื่น ยิ่งพอเป็นเรื่องคิดเข้าข้างตัวเองก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่ตวาดใส่หน้าอย่างชัดเจนว่าไม่อยากเจอกันแล้ว คงไม่มีปาฏิหาริย์หรือการจงใจเกิดขึ้น แต่การที่บนรถเมล์ยังมีที่ว่างอยู่อีกเยอะแยะ แล้วทำไมชานยอลถึงเลือกนั่งลงตรงนี้

     

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือคนข้าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด จากที่เคยนั่งอย่างผ่อนคลาย กลับกลายเป็นตัวเกร็งจนเมื่อยไปหมด ป๋ายเซียนชำเลืองมองโดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่พอเห็นว่าชานยอลก็มองอยู่เหมือนกัน เขาจึงรีบหันเข้าหากระจก

     

    โอ๊ย!”

     

    ข... ขอโทษ

     

    คนตัวเล็กรีบหันมาขอโทษขอโพยหลังจากกระบอกใส่กระดาษเขียนแบบดันไปฟาดหน้าอีกคนเข้า เวรซ้ำกระหน่ำซัด จากที่ควรจะผ่านไปได้ด้วยดีและจบด้วยการแยกย้ายเมื่อถึงป้ายรถเมล์ แต่กลายเป็นว่าเขาจะทำให้ชานยอลรู้สึกแย่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

     

    เกะกะจริง ๆ

     

    คนถูกดุถึงกับคิ้วตก ป๋ายเซียนเห็นว่าคนตัวสูงกำลังหงุดหงิดและอาจจะพ่นคำพูดไม่ดีออกมาให้ใจเสียอีกแน่ ๆ แต่เขาคิดผิด... คนตัวเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ ชานยอลก็แย่งกระบอกใส่กระดาษเขียนแบบไปถือให้ ซึ่งสีหน้าที่แสดงออกมาก็ไม่ได้ต่างจากคำพูดเมื่อครู่เลยสักนิด

     

    เราถือเอง

     

    มันเกะกะ เดี๋ยวก็ฟาดหน้าคนอื่นอีก

     

    แล้วทำไมชานยอลต้องดุเราด้วย ที่ว่างก็มีตั้งเยอะ คนไม่อยากเจอกันที่ไหนถึงมานั่งเบียดตรงนี้อะ ถึงในใจจะยังรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไป แต่ป๋ายเซียนก็ไม่คิดว่าการคุยกันด้วยวิธีนี้มันจะเป็นเรื่องเข้าท่า ชานยอลควรจะนิ่งและทำเหมือนไม่สนใจเขาต่อไปไม่ใช่หรือไงกัน

     

    ใช่ไง ที่มีตั้งเยอะ ตรงนั้นก็ว่าง นั่นก็ว่าง โน่นด้วย นี่ก็ว่าง

     

    ชายหนุ่มชี้ไปรอบรถเมล์จนผู้โดยสารที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ หันมาสนใจเป็นตาเดียวกัน ป๋ายเซียนขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ คนตัวเล็กรู้ว่าอีกฝ่ายจะงี่เง่าแค่ไหนก็ได้เพราะฝ่ายผิดตั้งแต่แรกคือเขา แต่เรื่องมันก็ผ่านมาสักพักแล้ว ชานยอลเพิ่งนึกได้หรือไงว่าควรจะเอาคืนตอนนี้

     

    บนรถไอ้เซฮุนยังว่างเลย

     

    หา?

     

    ป๋ายเซียนอ้าปากหวอกับประโยคที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากคนตัวสูง สบตากับเจ้าของคำพูดซึ่งดูเหมือนว่าจะหัวเสียสุด ๆ พอกล่าวถึงบุคคลที่สาม แทบจะเป็นครั้งแรกที่คนตัวเล็กได้ยินชานยอลสบถคำหยาบออกมาเบา ๆ ราวกับหงุดหงิดเรื่องนี้อยู่เต็มกลืน

     

    ยังจะหาอีก ไหนบอกว่าชอบเราไง?

     

    ก... ก็ชอบ ป๋ายเซียนยังคงทำตัวไม่ถูก แน่ล่ะ อยู่ ๆ ผู้ชายที่ไล่เขาไปให้พ้น ๆ หน้าก็โผล่มาให้เห็นอีกทั้งยังแสดงออกว่าหัวเสียนักหนาพอพูดถึงเซฮุนแบบนี้ เป็นใครจะไม่งง

     

    แล้วชอบมากเท่าโอเซฮุนหรือเปล่าล่ะ มีความสุขมากไหมตอนอยู่กับมัน?

     

    ...

     

    ทำไมถึงทนชอบเราต่ออีกหน่อยไม่ได้ แค่รอเราหายโกรธ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็จะกลับไปง้อป๋ายแล้ว ทำไมวะ

     

    คนตัวเล็กได้แค่ทำตาปริบ ๆ ดึงกระดาษทิชชู่จากซองออกมาเต็มมือพร้อมปิดจมูกตนเองทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากคนขี้โมโห เขาต้องหูฝาดไปแน่ ๆ การเป็นหวัดทำให้ได้ยินเรื่องไม่คาดฝันได้ด้วยเหรอ

     

    อีกแค่ไม่กี่วัน แล้วแบบนี้ของขวัญวันเกิดที่เตรียมไว้ให้มันจะมีค่าอะไรอีก

     

    ของขวัญ ป๋ายเซียนพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างเพราะถูกอีกฝ่ายขว้าแขนขึ้นมา

     

    พูดอะไรบ้างสิ

     

    พูดอะไรอะ

     

    พูดอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่การปล่อยให้เราพูดคนเดียว ทั้งคู่สบตากันในระยะใกล้ เขารู้สึกได้ถึงไอร้อนจากตัวคนตรงหน้า ซึ่งมันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ปาร์คชานยอลทิ้งรถไว้ที่มหาลัย แล้วเลือกขึ้นรถเมล์มาพร้อมป๋ายเซียน พูดว่ายังชอบเราอยู่ พูดมาเดี๋ยวนี้

     

    ชานยอลผีเข้าหรือไง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนไล่เราไปเองแท้ ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็กลับมาพูดเอาแต่ใจแบบนี้ บังคับให้เราพูดอยู่ได้ คิดว่าเราโกรธไม่เป็นเหรอ ป๋ายเซียนมองคาดโทษคนตัวสูงที่เอาแต่แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่พอใจคำพูดของเขาสักประโยคเดียว

     

    ป๋ายก็นิสัยไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ ชอบเราแล้วก็ชอบแค่คนเดียวสิ ทำไมต้องโลเลด้วย

     

    เราไม่ได้โลเลสักหน่อย ทีชานยอลยังสับสนเลยว่าชอบเราหรือแบคฮยอนกันแน่

     

    เราไม่ได้ชอบแบคฮยอน เราชอบป๋าย!!!”

     

    ผู้โดยสารในรถเมล์รวมถึงคนขับต่างหันมาให้ความสนใจนักศึกษาหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่เบาะด้านหลัง ป๋ายเซียนรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนเพราะคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากชานยอลอีก จนเขาต้องให้เวลาสมองประมวลผล สีหน้าของคนตัวสูงยังคงเต็มไปด้วยโทสะ แต่กลับให้ความรู้สึกต่างไปจากเมื่อครู่ตรงที่ตอนนี้มันแฝงความประหม่าไปด้วย

     

    จะกลับมาเอาคืนเหรอ ถ้าทำแบบนั้นชานยอลต่อยเราเลยดีกว่า

     

    ต่อยเหรอ? ต่อยบ้าไรล่ะ!” คนตัวสูงถอนหายใจอย่างหัวเสีย มองคาดโทษอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งห่อไหล่ทำหน้าซื่อราวกับว่าที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่เรื่องจริงจัง

     

    หมดความอดทนแล้ว ชานยอลคว้ามือป๋ายเซียนให้เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูด้วยกัน ซึ่งประจวบเหมาะกับตอนที่รถเทียบจอดป้ายรถเมล์พอดี

     

    ป๋ายเซียนถูกลากลงไปบนฟุตปาธ ท่ามกลางเสียงรถรายามค่ำคืนและความไม่เข้าใจระหว่างเรา ชานยอลหลุบสายตามองคนตัวเล็กที่ป้องปากจาม ท่าทางน่ารักนั่นกำลังทำเขาหัวเสียที่อดคิดไม่ได้ว่าโอเซฮุนคงเห็นมาหมดแล้ว

     

    ให้ตาย! ทั้งที่พยายามไม่คิดแล้วแท้ ๆ แต่การเห็นว่าอีกฝ่ายมีความสุขเวลาอยู่กับไอ้บ้านั่น มันก็ทำให้เขาหงุดหงิดทุกที

     

    วันเกิดไปไหนหรือเปล่า?

     

    ไม่ได้ไป ป๊ากับม๊าไม่อยู่บ้าน

     

    งั้นแสดงว่าอยู่กับแบคฮยอนแค่สองคนน่ะสิ หรือสาม โอเซฮุนอยู่ด้วยหรือเปล่า? เขาขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้นคำตอบ ซึ่งป๋ายเซียนแค่ส่ายหน้า

     

    ไม่รู้ว่าเซฮุนจะมาไหม แต่เรากับแบคฮยอนตกลงกันแล้วว่าวันนั้นจะกินเค้กด้วยกัน

     

    เหรอ แล้วจะไปดื่มหรือเปล่า

     

    แบคฮยอนบอกเราแล้วว่าจะไม่ไป ชายหนุ่มขมวดคิ้ว กับคำตอบที่ดูเหมือนว่าเป็นการถูกขอ มากกว่าความตั้งใจของคนเป็นพี่

     

    บทสนทนานี้มีเพียงชานยอลเท่านั้นที่เป็นฝ่ายมอง แต่ป๋ายเซียนกลับเอาแต่ก้มหน้าราวกับว่าเขาคือตัวอึดอัดที่ไม่อยากมอง

     

    ทั้งที่ซ้อมมาเสียดิบดีว่าควรใช้แค่คำที่มันรื่นหู แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เรื่องโอเซฮุนก็กลับมาปั่นหัวจนพาลมาถึงป๋ายเซียนจนได้ ที่เคยให้แบคฮยอนเคาะกะโหลกมาเป็นเดือน สุดท้ายมันก็เหมือนว่าจะพังลงเพราะคำพูดพล่อย ๆ ของตัวเอง

     

    แล้ววันนั้นพอจะมีเวลาสักห้านาทีไหม

     

    หา...? คนตัวเล็กช้อนตามองอีกฝ่ายที่เบือนหน้าหลบไปอีกทางพร้อมเกาท้ายทอยอย่างขลาดอาย พอหันมาสบตากันซึ่ง ๆ หน้า เขาก็ได้เห็นว่าชานยอลกำลังประหม่า

     

    ห้านาทีได้หรือเปล่า ขอแค่นั้น

     

    ก็... ได้

     

    แล้วถ้ามากกว่านั้นล่ะ ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย มองคนตัวเล็กอย่างคาดหวังคำตอบ ซึ่งถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากเห็นว่าท่ามกลางความมืดนี้ป๋ายเซียนกำลังหน้าแดงหรือไม่ หลังจากเห็นความพยายามโง่ ๆ ของเขามากกว่าห้านาทีได้ไหม

     

    ...

     

    ถ้าเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในวันเกิดป๋าย แบบนั้นจะได้หรือเปล่า

     

    นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เจอกันบนรถเมล์ แต่ตอนนั้นเรากลับไม่รู้สึกประหม่าต่อกันเลยสักนิดเดียว แต่พอเป็นตอนนี้ป๋ายเซียนกลับใจเต้นแรงและตัวร้อนไปหมด เขาคิดว่ามันคงเป็นเพราะพิษไข้ แต่พอเงยหน้าขึ้นสบตากับชานยอลทีไร ก็ดูเหมือนว่าเลือดมันจะสูบฉีดหนักขึ้นจนคล้ายจะระเบิดออกมา

     

     

    แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าป๋ายเซียนไม่ได้ชอบโอเซฮุน

    อยากรู้ก็ถามสิ ทำไมโง่ไม่สิ้นสุดแบบนี้วะชานยอล

    ก็เพราะนายเป็นพี่น้องกันฉันถึงได้ถามก่อน ถ้าให้พรวดพราดเข้าไปถามซึ่ง ๆ หน้า ก็กลัวว่าจะโดนด่าเข้า

    ทีงี้ล่ะกลัวโดนด่า ตอนไล่มันไปไกล ๆ ไม่เห็นรู้สึกผิด ถุย

    อะไรกัน ก็ตอนนั้นฉันโกรธมาก นายก็เคยเป็นไม่ใช่เหรอ ทั้งเป็นฝ่ายที่โกรธ และฝ่ายที่รู้สึกผิด

    แล้วถ้ามันชอบเซฮุนจริง ๆ ล่ะ?

    ฉันไม่ยอมหรอก

    ถ้าไม่ยอมก็ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างได้แล้ว กูเป็นพี่มันนะ ไม่ใช่กามเทพ จะได้ช่วยมึงสองคนได้ทุกเรื่อง ถ้าชอบก็พยายามหน่อยดิวะ แสดงออกให้มันเห็นสิว่ามึงชอบมันมากแค่ไหน พอถึงตอนนั้นตัวกูก็จะได้วางใจด้วย

     

     

    จำได้ว่าตอนนั้นเขาเป็นกังวล และหัวเสียกับเรื่องป๋ายเซียนกับเซฮุนจนไม่เป็นอันทำอะไร แบคฮยอนจึงชวนไปนั่งดื่มกันริมแม่น้ำฮัน เราดื่มเบียร์กันไปหลายขวด เล่าความในใจมากมาย ไปจนถึงการระบายความอัดอั้นที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแค่เขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายพูด

     

     

    ฮึ...

    ขำอะไร

    เปล่า พอนึกไปถึงช่วงที่เราเปิดอกคุยกันแล้วก็ตลกดี

    ...

    ทั้งที่ตอนแรกฉันสับสนแทบแย่ คิดไม่ตกว่าชอบใครกันแน่ ระหว่างนายหรือป๋ายเซียน

    ...

    ตอนนั้นนายถามฉันว่าเพราะอะไรถึงคิดว่าเป็นนาย แล้วฉันก็ตอบไม่ได้ เราเลยหันไปดื่มเบียร์กันต่อ ส่วนฉันก็เงียบไปสักพัก แล้วก็ได้คำตอบว่าชอบคนที่ทำให้ดวงอาทิตย์มีประโยชน์... ฮะ ฉันหมายถึงความสดใสน่ะ มันไม่ง่ายเลยนะที่จะรู้ได้ว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุข แต่ฉันรู้สึกได้ เป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า อ่า โลกนี้มันโหดร้ายก็จริง แต่คน ๆ นี้ก็ทำให้ฉันรู้ว่า เพราะมันกว้างมาก โลกถึงได้มีอะไรหลายอย่างปะปนกันอยู่ ทั้งความโหดร้าย ความสวยงาม เพราะนี่คือโลกและฉันอยากอยู่โลกใบนั้นกับคน ๆ นี้

    จำได้ว่าตอนนั้นกูหลุดพูดไปว่า ละคร

    ใช่ แล้วนายก็บอกอีกว่า นายไม่ใช่คนนั้น

    ...

    นายบอกฉันว่านายเป็นคนแบบนั้นได้ แต่นายต้องฝืน ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่ฉันชอบจริง ๆ ไม่ใช่นาย

    มึงก็แค่ชอบตอนถูกกูล้วงเป้า ชานยอล

    อ๊า! อย่าพูดเรื่องนั้นได้ไหม น่าขายหน้าชะมัด

    นี่ไง แค่นี้ก็ชัดแล้วว่ามึงไม่ได้ชอบกู เพราะถ้ามึงคิดไปถึงเรื่องนั้นสักนิด มึงจะเขิน มากกว่าละอายใจ

    ...

    มั่นใจได้แล้ว กูสองคนอาจจะหน้าตาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอก

    ...

     

     

    เราสองคนเงียบไปอีกครั้ง เพื่อให้ความสนใจกับขวดเบียร์ในมือ แบคฮยอนดื่มไปเยอะกว่าเขานัก แต่คนตัวเล็กกลับไม่มีท่าทีว่าจะเมาเลยสักนิด เขามองเสี้ยวหน้าของคนที่ลังเลมาตลอดว่าชอบหรือไม่ จนกระทั่งได้คำตอบที่ชัดเจน

     

    บยอนแบคฮยอนกับบยอนป๋ายเซียนไม่เหมือนกันอย่างที่ว่าไว้จริง ๆ

     

     

    ฝากด้วยนะ

    ป๋ายเซียนมันอาจจะง้องแง้ง ดูเอาแต่ใจไปบ้าง มึงดุมันได้นะ ถ้ามันงอนก็ไม่ต้องง้อบ่อย ปล่อยให้หายเองบ้าง ตอนมันเป็นฝ่ายแพ้แต่ต้องมาง้อเองน่ะโคตรน่ารัก ถ้าอยากรู้ว่าเป็นยังไงก็ลองดู

    ถ้ามึงช่วยมันทำโมเดล มันจะประทับใจมาก ความรู้สึกเหมือนตอนมึงดูอนิเมะแล้วป๋ายเซียนเข้าไปดูด้วยน่ะ เออ นั่นแหละ

    มันบ้าจี้ตรงซอกคอ ถ้าแกล้งตรงนั้นจะได้ผลดีที่สุด

    ถ้าหงุดหงิดก็ช่วยเก็บอารมณ์หน่อย พยายามพูดกับมันดี ๆ แต่อย่าถึงขั้นตะคอก เพราะบ่อน้ำตามันตื้นมาก

    ป๋ายเซียนมันเป็นคนเพ้อฝัน ถ้าเป็นไปได้ก็ลองหาเรื่องเซอร์ไพรส์มันบ้าง อย่างเช่นพวกเทศกาลสำคัญ วาเลนไทน์อะไรประมาณนั้นน่ะ

    ถ้าจะมีเซ็กส์กัน ก็อย่าทำให้มันติดมากนะ อย่าให้มันโดดเรียนเพราะลุกไม่ไหว แล้วก็ไม่ต้องมาเล่าเรื่องนี้ให้กูฟังล่ะ ขนลุก

    รักมันให้มาก ๆ ถ้าเมื่อไหร่ที่มึงรู้ตัวว่าหมดใจแล้ว ก็ช่วยบอกมันตรง ๆ

    พอถึงตอนนั้น กูจะดูแลมันเอง

     

     

    คำพูดของแบคฮยอนยังคงก้องอยู่ในความคิด การเตือนสติและมิตรภาพที่อีกฝ่ายมอบให้ มันเพิ่มความมั่นใจให้เขากล้าโผล่มาเผชิญหน้ากับป๋ายเซียนอีกครั้ง ปาร์คชานยอลพร้อมแล้วสำหรับความรักครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบของเขา

     

    เรารู้สึกเหมือนจะไข้ขึ้นเลย คนตัวเล็กทาบมือลงกับหน้าผากตัวเอง ก้ม ๆ เงย ๆ สบตากับอีกฝ่ายที่หลุดยิ้มออกมาจนได้หลังจากทำมึนตึงใส่ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถเมล์

     

    ไหน ขอเราดูหน่อย? น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังดูอ่อนโยนชวนให้ใจเต้นแรงกว่าเดิม ป๋ายเซียนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ปล่อยให้อีกคนเปิดผมม้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะอังหลังมือลงมา

     

    มือของชานยอลเย็น และเขากำลังรู้สึกดีจนต้องหลับตาลงเพื่อซึมซับ ป๋ายเซียนยืนนิ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงแจ็คเก็ตตัวโตที่อีกคนถอดออกมาคลุมไหล่ให้ สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปแล้ว มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงตอนนั้นที่เราทั้งคู่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เมื่อครั้งที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข

     

    ตัวร้อนจี๋เลย กินยาไปบ้างหรือยังครับ?

     

    กินไปตั้งแต่บ่าย เดี๋ยวเราจะกินอีกทีหลังอาหาร

     

    กินที่ไหน กับหม่าม๊าเหรอ? ป๋ายเซียนเม้มริมฝีปาก พร้อมพยักหน้าหงึกเป็นคำตอบ หนาวไหม?

     

    ไม่หรอก เรา--

     

    หนาวสินะ

     

    คนตัวเล็กเบิกตากว้าง แนบแก้มลงกับแผงอกแกร่งทันทีที่ถูกรั้งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด มือเล็กกำเชิ้ตขาวของอีกคนไว้หลวม ๆ และฟังเสียงหัวใจซึ่งดูเหมือนว่าจะเต้นแรงไม่แพ้กัน ป๋ายเซียนยืนนิ่งให้กอดอยู่อย่างนั้นนานเป็นนาที มันนานจนเข้าใจแล้วว่าตัวเขานั้นคิดถึงชานยอลมากแค่ไหน

     

    เราว่าเราร้อนแล้วล่ะ... คนตัวเล็กพูดเสียงอู้อี้ นานแค่ไหนแล้วที่ป๋ายเซียนไม่ได้กลิ่นน้ำหอมของชานยอล มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาห่างหายจากอ้อมกอดนี้ไป

     

    เราก็เหมือนกัน

     

    ชายหนุ่มกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น แน่นจนเหมือนว่าบีบรัดร่างของบยอนป๋ายเซียนไม่ให้หนีไปไหน คนตัวเล็กรู้สึกเหมือนพายุกำลังเคลื่อนตัวออกไป และแทนที่ด้วยท้องฟ้าสดใสหลังฝน ป๋ายเซียนซบใช้เวลาไปกับความคิดอยู่นาน กับสองมือที่ยกขึ้นมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะตัดสินใจกอดคนตรงหน้าในที่สุด

     

    คิดถึงจะแย่แล้ว ทำไมปล่อยให้ตัวเองผอมขนาดนี้หื้ม?

     

    ช่วงนี้งานเยอะเลยไม่ค่อยได้กินข้าวอะ แต่เรามีพุงนะ แบคฮยอนบอก

     

    อย่าไปฟังคำพูดหมอนั่นเลย อา คิดถึงจัง ชานยอลกดจูบลงบนศีรษะทุยอย่างใคร่รัก โยกตัวคนในอ้อมกอดไปมา ยิ้มบาง ๆ กับเสียงพูดอู้อี้ที่ไม่ได้ยินมานาน

     

    ชายหนุ่มก้มลงมองคนในอ้อมกอดที่ไม่ขยับตัวเพราะเหนื่อยล้าไปกับพิษไข้ เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เพื่อให้คนป่วยได้พักผ่อนสักหน่อย

     

    คนตัวสูงล้วงเอาสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นบทสนทนาในกล่องข้อความที่เคยตอบโต้กัน เขาพิมพ์และกดส่งไปอีกครั้ง ก่อนจะผละคนตัวเล็กออกจากอ้อมกอดพร้อมเปลี่ยนเป็นแบมือออก ซึ่งป๋ายเซียนก็วางมือลงมาพร้อมรอยยิ้ม

     

    เราทั้งคู่ต่างได้ประสบการณ์จากเรื่องนี้ ว่าไม่ควรเล่นกับความรู้สึกใคร และไม่ควรอคติจนปิดกั้นหัวใจตัวเอง มันเกือบทำให้เขาสูญเสียสิ่งสำคัญไปเพราะทิฐิ ปาร์คชานยอลอาจไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด และบยอนป๋ายเซียนอาจไม่ใช่คนที่น่ารักมากที่สุดในโลก แต่เขาเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน

     

     

    เราทั้งคู่... จะหาความพอดีให้กันและกันได้แน่นอน เขาเชื่ออย่างนั้น

     

     

    คุณกำลังส่งข้อความถึง...

    อาจารย์แบคฮยอน

    [ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำทุกอย่าง ฉันจะดูแลป๋ายเซียนให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ฉันสัญญา ]

     

     

     

     

    TBC

     
     

    เราเห็นหลายคนบอกว่าป๋ายเซียนไม่แคร์แบคฮยอนเลย อันนี้เราจะมาอธิบายมุมมองของป๋ายเซียนนะคะ น้องไม่รู้ค่ะ ว่าพี่แบคคิดมากกว่าพี่ชายน้องชาย น้องเข้าใจมาตลอดว่าที่พี่ออกไปกินเหล้า ก็เพราะติดเพื่อน และมันถูกที่ชานยอลเข้ามาในช่วงเวลาที่ป๋ายเหงา ด้วยความที่ไม่มีใคร ตอนนั้นป๋ายจึงเปิดใจให้ชานยอลเข้ามา แต่กับแบคฮยอนก็ยังเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่น้องยังเข้าใจว่านั่นคือสิ่งที่พี่น้องทำกันเป็นเรื่องปกติ

    ทำไมไม่นึกถึงใจแบคเลย ถามว่าทำไมป๋ายต้องนึกถึงใจแบคคะ ในเมื่อน้องไม่ได้ทำอะไรเลย ที่แบคเจ็บ ก็เพราะแบคชอบน้องมากเกินกว่าขอบเขต ที่ป๋ายไม่ฟังแบค ก็เพราะแบคให้เหตุผลมาแค่ว่า ชานยอลเป็นคนไม่ดี ซึ่งในมุมมองน้อง มันคือความหวังดีของพี่ชายที่ไม่อยากให้น้องชายเสียใจค่ะ ป๋ายไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วแบคฮยอนหึง

    ตอนนี้ชานป๋ายกลับมาเริ่มต้นกันใหม่แล้ว และเราอยากบอกคนอ่านอีกครั้งว่า ชานยอลกับป๋ายเซียนไม่รู้ค่ะ ว่าแบคฮยอนชอบป๋ายเซียน

    ความรักก็แบบนี้ เราเสพในมุมมองคนอ่าน เราเลยเข้าใจตัวละครนั้นได้ดี แต่ในมุมมองของตัวละครนั้น ที่ไม่รู้อะไรนอกจากความรู้สึกของตัวเอง เขาจึงไม่รู้ว่าทำให้ใครเสียใจไปบ้าง

     

     เราเลื่อนอ่านคอมเมนท์ แล้วเจอคนนึงเมนท์แบบนี้
     

     

    ซึ่งเราคิดว่าเป็นการเมนท์ที่เห็นแก่ตัวและไม่ให้เกียรติคนเขียนมากเลยค่ะ อย่าไปทำแบบนี้กับฟิคเรื่องไหนอีกนะคะ ให้มันจบที่ฟิคเราเรื่องเดียวพอ คุณจะแสดงความไม่น่ารักแบบนี้ไม่ได้นะคะ  ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้วว่าคนไหนแฟนเรา มันคือการอ่านฟิคที่เดาความแน่นอนไม่ได้ จนกว่าตัวละครสองคนจะใจตรงกัน เราเขียนไปตามพล็อตที่เราวางไว้ เราไม่ได้เขียนเพื่อเอาใจใคร ทำไมเราต้องมาอธิบายแบบนี้เรื่อย ๆ ก็เพราะเราเจอคนเมนท์ไม่น่ารักกับเราหลายทีแล้ว ถ้าไม่ให้กำลังใจเรา ก็ไม่ต้องมาบั่นทอนเราด้วยความเอาแต่ใจของตัวเองสิคะ



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×