คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : CHAPTER 18 :: ซวยจนโป๊ะ
CHAPTER 18
ซวยจนโป๊ะ
โดคยองซูเคยบอกว่าคนเก็บอาการเก่งน่ะน่ากลัว เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่ว่าจะสุข เศร้า เหงา เสียใจ คนเหล่านั้นจะเก็บอาการไว้ได้ นั่นก็รวมถึงโอเซฮุนด้วยเช่นกัน
แต่สำหรับบางเรื่องใช่ว่าจะเป็นเส้นตรงตายตัว ลู่หานบอกว่าต่อให้คนประเภทนี้แม่งจะเก็บอาการเก่งแค่ไหน แต่สุดท้ายสิ่งที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ ก็มองทะลุปรุโปร่งได้อยู่ดี
ชายหนุ่มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก ใช่ เซฮุนคิดอย่างนั้นจริง ๆ กับอาการอกหักที่เป็นกันเศษหนึ่งส่วนสี่ของโลกเมื่อรวมเขาเข้าไปในนั้นอีกคนหนึ่ง ไอ้ลู่หานถามว่าอยากกินเหล้าย้อมใจหรือเปล่า ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอกหักแล้วต้องเมา และมันก็ให้คำตอบมาว่า
‘เมาเพื่อลืมเธอไง เผลอ ๆ ได้เจอคนใหม่ด้วย’
อยากรู้นักว่าใครเป็นคนคิดตรรกะบ้า ๆ แบบนี้ เพราะนอกจากลืมไม่ได้แล้วยังตื่นมาพบอาการคลื่นไส้ ปวดหัวไปทั้งวันอีก เขายอมเข้ายูทูปดูแฟชั่นโชว์ทั้งวันยังดีกว่าให้ไปทำอะไรอย่างนั้น
เพราะแต่ละคนมีวิธีบรรเทาความเสียใจต่างกัน ซึ่งโอเซฮุนยังจัดอยู่ในจุดที่โอเคกับใจตัวเองอยู่ ถึงแม้ไอ้เตี้ยเบอร์หนึ่งจะชอบคนอื่น แต่อย่างน้อยเราก็ยังคุยกัน และไม่มีใครขอจบความเป็นเพื่อนเพราะไม่ได้คบกัน แต่ถามว่าจะตัดใจไหม?
โอเซฮุนก็คงตอบว่ายังไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว
ตอนนี้เขากับป๋ายเซียนมีอะไรคล้ายกันอยู่หลายอย่าง เช่นการพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ทำเหมือนว่าไม่เจ็บแม้ในหัวจะยังมีแต่เรื่องของใครอีกคน เขาเห็นว่าไอ้เตี้ยเบอร์สองแอบไปส่องหน้าคณะจนบังเอิญป๊ะกันอย่างไม่ตั้งใจ พอถามว่าทำไมต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เจ้าตัวก็บอกว่า
‘กลัวชานยอลเห็นแล้วจะรู้สึกไม่ดี’
น่าหงุดหงิดที่มันเลือกแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง แต่จะว่าป๋ายเซียนก็ไม่ได้ ในเมื่อเขาเองก็เลือกทำแบบนั้นเช่นกัน เขายังคงแคร์ความรู้สึกของแบคฮยอน ถึงได้เลือกที่จะไม่ถามว่าคนที่มันชอบคือใคร
เขาเข้าใจแบคฮยอนแล้วว่าทำไมมันถึงหวงน้องชายนักหนา ก็เพราะซื่อบื้อดูไม่ทันคนจนเขาต้องคอยดูอยู่ห่าง ๆ แบบนี้ จากที่เคยทำเหมือนรำคาญ ก็เปลี่ยนเป็นความเอ็นดู แต่แน่นอนว่าโอเซฮุนไม่ได้แสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ ชายหนุ่มแค่อยากช่วยไอ้พี่ชายบ้าบอนั่นดูแลน้อง อยากเป็นกำลังใจให้ ถึงจะแปลกใจกับวิธีแสดงความรักของสองแฝดอยู่บ้างก็ตาม
เซฮุนคอยจับตามองชานยอลอยู่ห่าง ๆ เขาอยากรู้ว่าไอ้เวรนั่นรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องป๋ายเซียนบ้างหรือไม่ และการไม่เห็นตุ๊กตาหน้ารถคนใหม่ ไม่มีการหลีสาวให้เห็น นั่นก็เป็นเรื่องดี แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับไม่น่าพอใจอย่างที่ควรจะเป็น
เพราะเขาเห็นว่าแบคฮยอนไปกับมัน
โอเซฮุนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย... ใช่ เขาคิดว่างั้นนะ แต่ทุกครั้งที่เห็นทั้งคู่ไปด้วยกัน ในหัวมันก็พาลนึกไปถึงประโยคปฏิเสธวันนั้นที่ยังคงก้องอยู่ในความคิดมาตลอด
‘กูมีคนที่คิดว่าชอบอยู่แล้ว และนั่นคือปัญหาของกูตอนนี้’
และถ้าใช่จริง ๆ มันคงไม่แย่แค่กับใจเขาคนเดียว... แต่คงลามไปถึงใจของป๋ายเซียนด้วย
“ทำตัวเป็นสโตกเกอร์ไปได้ มึงสนิทกันในระดับไหนถึงได้ขับรถสะกดรอยตามเขาต้อย ๆ แบบนี้เนี่ย?” ลู่หานขมวดคิ้ว มองเพื่อนสนิทที่ลุกลี้ลุกลนมองตามคนตัวเล็กที่เพิ่งลงจากรถเมล์และตรงเข้าไปในโรงพยาบาลกังนัม
“กูอยากรู้ว่าแบคฮยอนมันมาโรงพยาบาลทำไม แค่นั้นแหละ”
“เขาอาจจะป่วย หรือไม่ก็มาเยี่ยมคนรู้จักก็ได้”
“เออ กูจะได้รู้วันนี้” พูดจบก็ปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะหันไปตบบ่าเพื่อนสนิทที่ยังคงทำหน้าไม่เข้าใจเขาจนถึงวินาทีนี้ “ฝากเอารถไปจอดที่บ้านด้วย ขอบใจมาก”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ” หนุ่มชาวจีนค้างอยู่ในท่าเอื้อมมือไปข้างหน้า ก่อนที่เสียงประตูจะปิดลงพร้อมร่างผอมสูงของเพื่อนสนิทที่วิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ให้ตายสิวะ เขาไม่เคยเห็นเซฮุนเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน อะไรมันจะร้อนรนเพราะคน ๆ เดียวขนาดนั้น
คนตัวผอมพยายามเดินทิ้งห่างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ซึ่งแบคฮยอนคงให้ความสนใจกับเพลงในหูฟังมากกว่าจะระวังหน้าระวังหลังว่ามีคนเดินตามมาหรือไม่ เจ้าของเสื้อช็อปตัวนั้นตรงเข้าไปด้านใน เดินผ่านตึกอายุกรรมที่เราเจอกันเมื่อคราวที่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับเดินไปตรงทางเดินแคบแทนที่จะเข้าตึก
ทางนี้เชื่อมต่อไปยังตึกประสาทวิทยา รอบข้างมีสวนเล็ก ๆ และม้านั่งอยู่สองตัว ชายหนุ่มหันกลับไปสนใจกับแผ่นหลังของคนตัวเล็กอีกครั้ง จนกระทั่งเข้าไปด้านใน เขาจึงต้องหยุดอยู่ตรงหัวมุม
เซฮุนชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อสังเกตการณ์ เขาเห็นว่าแบคฮยอนหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์แล้วยื่นกระดาษที่ถูกพับหลายทบให้กับพยาบาลวัยกลางคน แล้วเธอก็ยื่นบัตรคิวให้พร้อมผายมือไปทางด้านซ้าย
คนตัวผอมเดินออกมาจากมุมทางเดินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน เขายังคงตามอยู่ห่าง ๆ และไม่ให้แบคฮยอนรู้ตัว กระทั่งเห็นว่าคนตัวเล็กนั่งลงบนเก้าอี้ยาวหน้าแผนก เขาจึงขมวดคิ้วแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
ทีแรกคิดว่าแบคฮยอนอาจจะมาเยี่ยมใครสักคนที่ตึกอายุรกรรม แต่ภาพที่เห็นคงไม่ใช่การขอเข้าเยี่ยมไข้แน่ ถึงจะอยากรู้มากแค่ไหน แต่โอเซฮุนจะโผล่พรวดพราดเข้าไปตอนนี้ไม่ได้
รออยู่สักพักพยาบาลจึงเดินขึ้นมาชั้นบนพร้อมแฟ้มใหญ่ เธอเอาไปยื่นตรงเคาน์เตอร์ตรงส่วนกลางเพื่อให้ทางนี้รับช่วงต่อ ก่อนแฟ้มเหล่านั้นจะถูกนำไปแจกจ่ายในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกัน
“คุณบยอนแบคฮยอนอยู่ไหมคะ? เชิญเข้าพบคุณหมอได้แล้วค่ะ”
พยาบาลสาวที่อยู่เคยอยู่ในห้องนั้นผายมือให้เจ้าของชื่อ ก่อนเธอจะเดินออกมาและให้แบคฮยอนเดินเข้าไป คนตัวเล็กโค้งศีรษะทักทายคนที่อยู่ด้านใน ก่อนจะก้าวขาเข้าไปในวินาทีถัดมา
เซฮุนเดินออกมาจากตรงนั้นทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปไหน ขายาวหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์เมื่อครู่ พร้อมมองไปยังพยาบาลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน และเพียงครู่เดียว เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ นัดคุณหมอไว้หรือเปล่าคะ?”
เซฮุนยังคงคิดไม่ตกเรื่องเมื่อวาน เขาจำได้ว่าแอบรออยู่ละแวกนั้นเป็นชั่วโมงก่อนแบคฮยอนจะเดินออกมาจากตึก สีหน้าคนตัวเล็กนั้นเรียบเฉย ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าตัวจะยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีหลังเดินออกมาจากแผนกจิตเวช สีหน้าอีกฝ่ายในตอนนั้นราวกับว่ามีอะไรอยู่ในใจ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางล่วงรู้ได้
ชายหนุ่มต้องเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ และคิดว่าจะทำยังไงถึงจะรู้คำตอบ ให้ไปถามป๋ายเซียนงั้นเหรอ เผลอ ๆ ไอ้เตี้ยนั่นอาจจะไม่รู้ยิ่งกว่าเขาก็ได้
“เฮ้อ มึงอีกแล้วเหรอวะ”
ชายหนุ่มทั้งสองยืนประจันหน้ากันอย่างไม่สบอารมณ์นัก หลังจากอาจารย์บอกว่างานครั้งนี้ให้จับคู่เดิมเหมือนคราวก่อน จะได้ไม่วุ่นวายและสะดวกต่อการคุยงานเพราะเคยทำร่วมกันมาแล้ว ซึ่งมันคงเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่นับปาร์คชานยอลกับโอเซฮุนรวมเข้าไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้น กูก็ไม่อยากคู่กับมึงเหมือนกัน” สีหน้าโอเซฮุนไม่ได้ต่างไปจากที่พูดเลยสักนิด ไหนจะท่าทางจองหองของมัน เห็นแล้วคันตีนที่สุด
“กูรู้สึกก่อน” ชานยอลถลึงตามอง เชิดหน้าหวังเอาชนะ
“ปัญญาอ่อน”
“มึงก็ปัญญานิ่ม หึ... คำพูดคำจานี่อย่างกับถอดกันมา”
“หมายถึงใคร?” เซฮุนขมวดคิ้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่ทำตาโต ยกไหล่ขึ้นอย่างกวนประสาทแต่ไม่ยอมตอบคำถาม
ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนคนที่เดินผ่านไปต้องหันกลับมามองความหล่อแบบคูณสองที่ฟาดฟันกันอยู่ใต้ตึกคณะ ทั้งคู่จิ๊ปากอย่างหัวเสียแล้วเดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน ระหว่างนั้นก็หันไปมองคนที่เดินตีคู่มาเป็นระยะ ราวกับว่ากำลังส่องกระจกอยู่เมื่ออีกฝ่ายก็มีท่าทีเหมือนกันไม่มีผิด
“เอาเหมือนงานคราวที่แล้วไหมล่ะ ทำของใครของมัน ไม่ต้องมายุ่ง”
“งานนี้ตัดชุดเดียว จะให้คนนึงทำเสื้อ อีกคนทำกางเกงเหรอ อย่าโง่ได้ไหมปาร์คชานยอล”
“แล้วจะให้ทำกับมึงเนี่ยนะ กูยอมผูกคอตายดีกว่า” ชานยอลแค่นหัวเราะ พร้อมเหลือกตาแลบลิ้นขณะทำท่าเอามือบีบคอตนเอง จนถึงตอนนี้คนรอบข้างก็ยังหันมาให้ความสนใจ ว่าครั้งนี้ทั้งคู่จะต่อยกันหรือไม่ หลังจากกัดกันมานานและสุดท้ายก็จบด้วยการเดินหนีเหมือนทุกที
“เดี๋ยวกูไปยืมเชือกลุงยามให้ ผูกตอนนี้เลยไหมล่ะ?”
“ถุ้ย ๆๆ” คนตัวสูงทำท่าประกอบ เซฮุนเพียงถอนหายใจพลางเหล่มองไอ้ควายตัวใหญ่ที่ยังปัญญาอ่อนไม่เลิก คิดว่าเขาอยากดิ้นรนทำงานกับมันมากหรือไงกัน
“รีบมาทำให้มันจบ ๆ จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก ตอนส่งงานก็บอกอาจารย์เลยว่างวดหน้าขอแลกคู่”
“ได้ กูก็ไม่อยากยุ่งกับมึงเหมือนกัน ไอ้สมภารกินไก่วัด” สีหน้าปาร์คชานยอลล่อส้นตีนแค่ไหน คงมีแค่โอเซฮุนเท่านั้นที่สัมผัสได้มากที่สุด ชายหนุ่มตัวผอมขยับปากด่าพ่ออีกฝ่ายแบบไม่มีเสียง ซึ่งคนถูกด่าเพียงแค่ยิ้มอ้อร้อล่อตีนไม่เลิก
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้างานนิทรรศการของคณะศิลปกรรมที่เปิดเป็นวันสุดท้ายก่อนจะถูกแทนที่ด้วยฝั่งคณะวิทยาศาสตร์ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากโจทย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอิสระ ความแหวกแนว ดังนั้นศิลปะก็คงเป็นอีกหนึ่งไอเดียดี ๆ ที่ชานยอลคิดว่าน่าจะให้อะไรเขากับโอเซฮุนได้บ้าง
“ในหัวมึงตอนนี้มีอะไรบ้างไหมวะเซฮุน”
“ว่างเปล่า แล้วมึงล่ะ”
“เหมือนกัน พออยู่ข้าง ๆ มึงแล้วกูเหมือนโดนดูดความฉลาดไปยังไงก็ไม่รู้” พูดจบก็เบ้ปาก ก่อนทั้งคู่จะขยับออกข้างไปหนึ่งก้าวอย่างรังเกียจ
“งั้นแยกกันเดินดู แล้วมาเจอกันตรงนี้”
“Deal”
สองหนุ่มแยกย้ายกันเดินดูงานนิทรรศการ เพื่อหาไอเดียให้กับงานคู่ซึ่งเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่ค่อนข้างเงียบ เพราะผู้คนต่างให้เกียรติสถานที่และเสพผลงานอย่างมีมารยาท ทั้งคู่ก็เช่นกัน พอถึงเวลาจริงจังแล้วปาร์คชานยอลกับโอเซฮุนเป็นต้องพักรบเพื่อช่วยกันไปจนถึงฝั่ง
ขายาวกลับมายืนอยู่ที่นัดหมายพร้อมสไลด์จอมือถือเพื่อแลกกันดูรูปถ่ายที่เข้าตา กับงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ทั้งธรรมชาติ สังคม สัตว์ ผลไม้ และอื่น ๆ
“อันนี้ก็ดี”
“อันนี้ก็โอเค มึงว่าไง”
“ก็ดี แต่ยังไม่เข้าตาเท่าไหร่”
“หรือจะเดินดูอีกรอบ แต่กูหิวแล้ว” ชานยอลขมวดคิ้ว มั่นใจว่าถ้าเป็นงานเดี่ยวคงตัดสินใจง่ายกว่านี้และสามารถเดินไปกินข้าวได้เลยโดยไม่ต้องกังวล แต่พอทำกับไอ้เชี่ยนี่แล้วต้องมีความจำเป็นในการรอความเห็น ซึ่งเขารู้สึกสลดใจเหลือเกินที่อาจารย์ไม่ให้เลือกคู่เอง
“งั้นไว้เลือกตอนกินข้าว”
“หมายความว่ากูต้องนั่งกินกับมึง?” คนตัวสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พร้อมชี้นิ้วไปยังคนตรงหน้า เซฮุนแค่ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ เหมือนตอนเขาไม่ยอมตอบคำถามเมื่อก่อนหน้านี้
“หรือมึงจะนั่งอีกโต๊ะแล้วตะโกนข้ามคุยกันก็ได้ ว่าไงล่ะ กูชิว ๆ นะ” ส้นตีนเถอะ เขาอยากเอาตีนลูบหน้าโอเซฮุน
ชานยอลเบ้ปากอีกครั้ง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเซฮุน ทั้งคู่เดินออกมาด้วยกันโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก แต่การออกไปกินข้าวข้างนอกต้องพึ่งยานพาหนะ และการที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากให้อีกคนขึ้นไปนั่งรถของตน ดังนั้นมื้อเที่ยงจึงจบลงที่แคนทีนตึกนิเทศศาสตร์
“กูอยากให้มันดูแปลกหน่อย ให้ดูมีกิมมิค มีสตอรี่ จะให้ออกแบบผ้าเป็นลายผลไม้ไก่กาอาราเล่ก็จะธรรมดาไป ได้ไม่ถึงเจ็ดคะแนนแน่” ชานยอลยังคงให้ความสนใจสมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะสีขาวมากกว่ามื้อเที่ยงตรงหน้า ซึ่งเซฮุนก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน งานชิ้นนี้ได้คะแนนจากความแปลกใหม่ ดังนั้นการทำอะไรที่มันธรรมดาคงซ้ำกับคนอื่น และไม่ดูพิเศษ
“ลายหนังสัตว์ก็ไม่ถึง เกร่อด้วย”
“หรือจะลองไปดูอย่างอื่น?” ชานยอลเริ่มถอดใจ แต่นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือก็ยังคงซูมเข้าซูมออกภาพวาดที่ถ่ายมาจากนิทรรศการศิลปะ
เซฮุนมองคนตรงหน้าที่ยังพึมพำเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ พอถึงเวลาที่ต้องพัก สมองก็นึกไปถึงเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจเกี่ยวกับแบคฮยอนและป๋ายเซียน ว่าสรุปชานยอลมันคิดยังไงกันแน่ ก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะเฮิร์ท แต่ตอนนี้กลับร่าเริงราวกับว่าแบคฮยอนเป็นน้ำรดต้นไม้เฉา ๆ อย่างมัน
แต่ถ้าจะหลอกถามเรื่องไอ้เตี้ยไปโรงพยาบาลทำไม... จะได้เรื่องหรือเปล่านะ?
“ช่วงนี้กูเห็นมึงไปกับแบคฮยอนอยู่บ่อย ๆ หายโกรธมันแล้วหรือไง?” คนตัวผอมถามเสียงเรียบ ราวกับว่าเรื่องนี้มันปกติและจะพูดถึงเมื่อไหร่ก็ได้ ชานยอลละสายตาจากสมาร์ทโฟน พลางสบตากับเจ้าของคำถามที่อยู่ ๆ ก็หันไปให้ความสนใจกับมื้อเที่ยงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“เห็นเพราะเสือกหรือหวง”
“ไม่ว่าจะตอบยังไงมึงก็คิดว่ากูเสือกอยู่ดี จะเอาคำตอบไปทำซากอ้อยอะไร”
“เอ้า ใครจะรู้ ที่ ‘เห็นไปกับแบคฮยอนอยู่บ่อย ๆ’ ของมึงมันคือความบังเอิญหรือตั้งใจล่ะ?” ชานยอลยิ้ม พลางยักคิ้วให้อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ และไม่มีท่าทีว่าจะเถียง เขาจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม “คนโกรธกันที่ไหนเขาจะไปด้วยกันบ่อย ๆ วะ จริงไหม?”
“...”
“มันมีอะไรมากกว่านั้น กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง”
“ก็อธิบายตามที่มึงรู้สึก”
“รู้สึก?” ชานยอลเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
ไม่มีใครให้ความสนใจกับมื้อเที่ยงอีก ทั้งคู่สบตากันโดยที่โอเซฮุนรู้ดีว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายวิ่งตามเกม ในเมื่อไม่รู้และต้องการคำตอบ เขาจึงต้องทนให้อีกฝ่ายปั่นหัว ซึ่งมันคงไม่แย่เท่ากับการถามแบคฮยอนโดยตรง
“ช่วงนี้มันบอกอะไรมึงหรือเปล่า อย่างเช่นป่วยอยู่ หรืออะไรเทือก ๆ นั้น”
ชานยอลขมวดคิ้วแล้วคิดตาม เขาเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ไม่นี่ ก็ปกติดี”
“เหรอ ไม่พูดอะไรเลยเหรอ?” เซฮุนถามอย่างใคร่รู้ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า และไม่มีท่าทีว่ากำลังโกหกอยู่
“เราคุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น รู้เรื่องของกันและกันมากขึ้น คิดว่างั้นนะ”
“...”
“กูรู้สึกเป็นตัวของตัวเองตอนอยู่กับแบคฮยอน สบายใจเวลาคุยกันอย่างเปิดอก”
เซฮุนไม่รู้ตัวว่าเผลอออกแรงกำช้อนกับตะเกียบไว้แน่นแค่ไหน ขณะจ้องมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่ ชานยอลยังคงพูดในสิ่งที่เขาร้องขอให้พูด แม้ว่าจะไม่ตรงกับที่อยากรู้ แต่ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึก...
หึง
“มึงกับป๋ายเซียนเคยเป็นยังไง ก็ไม่น่าทำแบบนี้ไม่ใช่หรือไง?”
“แล้วมึงล่ะโอเซฮุน ตอนนี้มึงกำลังทำอะไร?”
คราวนี้เป็นชานยอลที่แสดงออกในด้านจริงจังบ้าง ชายหนุ่มมองมองคนตรงหน้าและเขาก็ไม่สามารถตอบได้ ใช่ โอเซฮุนทำอะไร? นอกจากทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดี เป็นห่วงแต่กลับไม่แสดงออก ไม่สิ... เขาทำแบบนั้นไม่ได้ต่างหาก ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้องเจอกับความว่างเปล่า เพราะแบคฮยอนคงตอบปัด ๆ มากกว่าจะอธิบายให้เขารู้
แม้จะสนิทกัน แต่เขาก็ไม่สามารถรู้ทุก ๆ เรื่องของแบคฮยอนได้
ไอ้เตี้ยนั่นยังมีกำแพงสูง ที่ดูเหมือนว่าไม่อยากให้เขาข้ามไป
“ถ้าอยากรู้ก็ลองถามเจ้าตัวดูสิ เขาคงให้คำตอบได้ดีกว่ากู ถึงจะกวนหน่อยน่ะนะ” ชานยอลยิ้มขำ แล้วคว้าสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูอีกครั้ง “พูดถึงแบคฮยอนแล้วกูก็นึกถึงรูปนี้”
“...”
คนตัวสูงหันหน้าจอมาให้ดู ก่อนจะเผยภาพวาดสีน้ำที่เขาเองก็เห็นผ่านตาอยู่เหมือนกัน ชานยอลวางสมาร์ทโฟนไว้ตรงกลางโต๊ะ และหันจอมาเพื่อให้เราทั้งคู่ได้เห็นและวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กัน
“เห็นแบคฮยอนยืนดูนานสองนาน ส่วนกูก็ว่ามันเข้าท่าดี มึงคิดว่าไง?”
เซฮุนไม่เคยรู้สึกพิเศษกับภาพนี้ กระทั่งมีชื่อแบคฮยอนมาเกี่ยวข้อง
“มึงรู้ความหมายของนาร์ซิสซัสไหมเซฮุน?”
ชานยอลพลิกจอให้เป็นแนวนอน ภาพบนจอจึงขยายใหญ่ขึ้นในวินาทีถัดมา ชายหนุ่มตัวผอมนั่งนิ่งไม่ตอบคำถาม ในหัวของเขามันขาวโพลน ก่อนเรื่องราวคาใจมากมายจะเบียดเสียดกันเข้ามาในความคิด
ราวกับว่าจิ๊กซอว์ทุกชิ้นได้ประติดประต่อกันจนเป็นหนึ่งเดียว หัวใจของเขากำลังเต้นแรงจนผิดจังหวะ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ถูกบังคับให้ค้างคืนที่บ้านสองแฝดเพราะอยู่ช่วยป๋ายเซียนทำโมเดลจนดึกดื่น
คืนนั้นป๋ายเซียนปูที่นอนบนพื้นให้ ส่วนทั้งคู่นอนบนเตียงที่อยู่คนละฝั่งผนัง ตกดึกเซฮุนก็รู้สึกแปลก ๆ กับเสียงบางอย่างที่ลอยเข้าหูเป็นระยะ เขาสะลึมสะลือเห็นภาพพร่ามัวของสองแฝดที่นอนอยู่บนเตียงป๋ายเซียน แต่กลับมีใครคนหนึ่งขึ้นคร่อม และกอดกันในแบบที่ลูกชายคนเดียวอย่างเขาไม่เข้าใจ
มันแปลกแต่เซฮุนก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก เพราะสองคนนั้นก็เป็นฝาแฝด ซึ่งอาจเป็นการแสดงความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่การกอดจูบของพี่น้อง... การหวงน้องชายจนแทบบ้า... การไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาล...
และ...
‘กูมีคนที่คิดว่าชอบอยู่แล้ว และนั่นคือปัญหาของกูตอนนี้’
“นาร์ซิสซัสน่ะ ตกหลุมรักเงาของตัวเอง”
TBC
ผ่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
ความคิดเห็น