คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Chapter 20 :: Complicate
Chapter 20
Complicate
‘ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...แค่กอดผมให้แน่น ๆ ก็พอ...’
ประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวและถ้าจะให้เปรียบก็คงเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในตู้วนไปวนมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่นาที กี่วินาที สองคนนั้นถึงได้ยอมผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ทุกอย่างหยุดนิ่ง มีแค่ภาพตรงหน้าที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตากำลังถูกนิ้วหัวแม่มือของผู้ชายอ่อนโยนคนนั้นไล้ออกให้อย่างเบามือ มันคงเป็นวิธีปลอบใจที่ได้ผลแบคฮยอนถึงได้หยุดร้องไห้ในที่สุด
“มึง”
จงอินเรียกคนตรงหน้าในระดับน้ำเสียงที่พอจะให้ได้ยินกันแค่สามคนรวมถึงเซฮุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย แต่คนที่กำลังช็อคกับภาพบาดตากลับไม่ขานตอบสักคำจนน่าเป็นห่วง เซฮุนหันไปมองจงอินพร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ในตอนนี้ลู่หานคงไม่อยากพูดอะไรเขาคิดอย่างนั้น
พอเห็นว่าชานยอลยิ้มออกมาได้แบคฮยอนถึงได้โล่งใจกับสิ่งที่เป็นกังวลอยู่ ปล่อยให้ความเงียบครอบงำได้ไม่นานคนตัวเล็กก็หันไปมองทางด้านข้างเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกมอง ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างเมื่อเห็นใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนั้นสักเท่าไหร่ คนที่เขาไม่คิดว่าจะได้พบเจออีกแล้วในชีวิต...
“...”
“ล...ลู่หาน?” ชานยอลหันไปตามคนตัวเล็กแล้วเขาก็ตกใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นเจ้าของชื่อยืนอยู่กับจงอินและเซฮุน “นั่น...” ริมฝีปากบางค่อย ๆ ยิ้มออกมาจนเป็นฉีกยิ้มกว้าง แบคฮยอนปล่อยมือจากคนตัวสูงแล้วรีบวิ่งเข้าไปกอดลู่หานด้วยความดีใจ
บยอนแบคฮยอนไม่ทันสังเกตถึงสีหน้าเศร้าหมองของคนตรงหน้า ตอนนี้เขารู้เพียงแค่อย่างเดียวว่าลู่หานยืนอยู่ตรงนี้และหัวใจยังเต้นอยู่ ใบหน้าเรียวซุกลงกับบ่าของคนที่ยังยืนนิ่งไม่แม้แต่จะกอดตอบ ลู่หานมองไปยังร่างสูงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มองด้วยความโกรธเคือง ไม่ได้มองเพราะอิจฉา แต่เขามองไปตรงนั้น...เพราะภาพเมื่อครู่ยังคงติดตาอยู่
“นายจริง ๆ ด้วย นายยังไม่ตาย!”
“...”
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?!” แบคฮยอนกระชับกอดแน่นยิ่งขึ้น พอลู่หานเรียกสติกลับมาได้ เขาก็หลุบสายตาลงมองร่างที่กำลังกอดเขาอยู่
ทั้งที่ควรจะดีใจที่ได้รับอ้อมกอดนี้ไม่ใช่เหรอ? ...
“นายรอดมาได้ยังไง แล้วไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งกลับเอาป่านนี้ล่ะ” แบคฮยอนถามเสียงอู้อี้ทั้งที่หน้ายังคงซบอยู่กับบ่าของอีกคน
ตอนนี้เขาควรทำสีหน้ายังไง ควรพูดอะไร และมือของเขาควรวางไว้ตรงไหน?
“ฉันว่าให้ลู่หานไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะแบคฮยอน พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีไหม?” เป็นเซฮุนที่ช่วยหาทางออกให้กับสถานการณ์อึดอัดในตอนนี้ แบคฮยอนผละตัวออกพร้อมกับมองคนตรงหน้า
“ก็ได้ ว่าแต่คืนนี้นายจะนอนห้องไหน” คนตัวเล็กถามก่อนจะหันไปมองชานยอลที่กำลังเดินมาทางนี้ เพราะเห็นว่าเซฮุนย้ายไปอยู่ห้องเดียวกับจงอินมาพักใหญ่แล้วอีกทั้งเขาก็อยู่กับชานยอลด้วย
“ก็ต้องพักห้องเดียวกับคุณสิ” แบคฮยอนลดสีหน้าลงเมื่อได้ยินชานยอลพูดอีกทั้งสีหน้าของร่างสูงยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไหน ๆ ก็นอนคนเดียวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ทุกคนยกเว้นลู่หานต่างชะงักไปกับคำพูดของชานยอล
ทั้งที่มาอยู่เป็นเพื่อนเขาทุกคืน...แต่ทำไมชานยอลถึงพูดแบบนั้นล่ะ
คงมีแค่บยอนแบคฮยอนที่ไม่เข้าใจเหตุผลของร่างสูง ชานยอลวางมือลงบนบ่าลู่หานแล้วตบบ่าปุ ๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
“ดีใจที่คุณกลับมานะ”
“อ...อ้อ” ลู่หานพยักหน้าพลางมองร่างสูงที่หันไปมองคนตัวเล็กอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมจะไปคุยธุระกับอี้ฟานหน่อย ไว้เจอกันนะ”
“...”
“...”
“...”
“...”
ทุกคนนิ่งเงียบพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของชานยอลที่กำลังเดินจากไป ลู่หานไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่ที่รู้ตอนนี้คือแบคฮยอนกำลังมีสีหน้าเศร้าหมองอย่างเก็บไม่อยู่
“ฉันต้องเรียกประชุมเรื่องปลา” จงอินพูดทำลายความเงียบแล้วหันไปมองเซฮุนเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“นั่นสิ คุณต้องไปอธิบายเรื่องนั้นให้ทุกคนฟังนะลู่หาน” เซฮุนเสริม
“เออ...เอาดิ” แม้ว่าจะยังคงเสียศูนย์แต่ลู่หานก็ยังตามน้ำได้ เขาไม่ได้หันไปให้ความสนใจกับแบคฮยอนอย่างที่ควรจะเป็น ตอนนี้เขาอยากจะหนีไปจากตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ จงอินเห็นคนข้าง ๆ ที่เดินมาด้วยกันแล้วก็นึกเป็นห่วง วงแขนแกร่งกอดคอคนเป็นเพื่อนเอาไว้แล้วล็อคเข้ามาใกล้
“มึงไม่ต้องพูด” ลู่หานรีบห้ามก่อนที่คำปลอบใจจะหลุดออกมาจากปากคนข้าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะมาจากความหวังดีก็เถอะ...แต่บางครั้งไอ้สิ่งที่เรียกว่าความหวังดีนั่นแหละที่ทำให้เจ็บซ้ำกว่าเดิม
“อ๋า...ทำไมมันยากแบบนี้นะ!!!” หญิงสาวมุ่ยหน้าแล้วทิ้งเศษซากกระบอกปืนลงบนพื้นซีเมนต์จนคนที่นั่งอยู่บนฝั่งตรงข้ามต้องเอื้อมไปเก็บมาวางไว้ที่เดิม
จองอึนจีหายใจฟึดฟัดแล้วเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม นี่มันกี่ชั่วโมงแล้วล่ะที่เธอพยายามนั่งประกอบไอ้ปืนเส็งเคร็งนี่ มินซอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่มองอีกคนแสดงอาการหงุดหงิด
“ฉันต้องโดนไอ้เจ๊กชิงเต่าฆ่าตายแน่” แค่นึกถึงหน้าหวงจื่อเทาแล้วก็ขอถอนหายใจแรง ๆ ออกมาสักที เพราะไอ้หมอนั่นแท้ ๆ เธอถึงต้องมานั่งทำเรื่องบ้า ๆ แบบนี้
“คุณอี้ฟานไม่เคยสอนให้ฉันแกะชิ้นส่วนประกอบปืนมาก่อน เพราะงั้นฉันคงสอนอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ”
“แต่นายฉลาดกว่าฉัน ตอนเรียนนายก็ได้เกรดดี ๆ ไม่ใช่เหรอ มินซอกอา...นายลองฟังฉันอธิบายแล้วประกอบให้ดูหน่อยดิ นะนะนะ” อึนจีเขย่าแขนคนตรงหน้าแม้ว่าท่าทางที่เป็นอยู่มันจะน่ารำคาญสักแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาจองอึนจีไม่เคยทำตัวง้องแง้งแบบนี้มาก่อนเลยนะ!
“เธออธิบายได้แต่ประกอบไม่ได้ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรเหรอจองอึนจี?” มินซอกถามขณะกำลังจับชิ้นส่วนแต่ละชิ้นมาดูเพื่อทำความเข้าใจ
“โง่” หญิงสาวตอบทั้งที่หน้าบึ้งอยู่ นั่นเรียกรอยยิ้มจากมินซอกได้เป็นอย่างดี
“เธอนี่นะ...รู้ไหมว่าทำให้ฉันเสียเวลา”
“เสียตรงไหน กะอีแค่ให้มานั่งสอนประกอบปืนเองนะ ละสายตาจากบ้านเมืองบ้า ๆ หน่อยจะเป็นไรไป หรือจะบอกว่านายสำรวจทุกอย่างตลอดเวลาที่เข้าเวร?” อึนจีแค่นหัวเราะ
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถ้าลองคิดดู คนเราจะออกเดินทางช่วงไหนถ้าไม่ใช่ช่วงกลางวันแบบนี้ ถ้ามีคนไปเอาข้าวบนเรือตอนที่ฉันนั่งจมปุกอยู่กับเธอตอนนี้จะทำยังไง”
“...”
“ถ้าอยู่เวรกลางคืนก็ว่าไปอย่าง ดูก็ง่ายเพราะกลางคืนมันมืดไปหมด ถ้ามีรถกำลังเดินทางอยู่ก็แค่สังเกตไฟหน้าเอา”
“ทุ่มเทเหลือเกินนะ”
“ทุกคนก็ทุ่มเทกับหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น เหมือนกับที่เธอตั้งใจกระทืบเสื้อผ้าของฉันด้วยเท้าของเธอไง” พูดจบก็เซไปด้านข้างเพราะถูกผลักหัว มินซอกยิ้มขำเมื่อเห็นคนตรงหน้ายิ้มออกมาได้
“ฉันกระทืบด้วยใจเลยนะ <3”
“คลื่นไส้จัง”
“หุบปากแล้วสอนฉันได้แล้วน่า” อึนจีดันซากปืนประกอบไปตรงหน้า มินซอกจับแต่ละชิ้นมาประกอบกันแล้วก็ฟังอีกคนอธิบายไปด้วย อาศัยฟังคำอธิบายแบบงง ๆ ของอึนจีบวกกับความน่าจะเป็นของชิ้นส่วนปืนแต่ละชิ้น ลองผิดลองถูกกันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งประกอบสำเร็จ
“มินซอก!”
“...”
“เย้!”
“ได้แล้วล่ะ” ทั้งคู่ยิ้มพร้อมกับปรบมือกันด้วยความดีใจ
“คราวนี้ไอ้เจ๊กชิงเต่าก็หาเรื่องแกล้งฉันไม่ได้อีกแล้ว! ไอ้หมอนั่นน่ะ...ชอบเอาเรื่องตัวกัดคนมาอ้างเพื่อให้ฉันหัดเรียนยิงปืน ไอ้ยิงมันก็พอยิงได้หรอกนะ แต่ทำไมฉันต้องมาหัดประกอบปืนแบบนี้ด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรสักนิด”
“เขาคงอยากให้เธอรู้ว่าชิ้นส่วนประกอบของมันมีอะไรบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะยิงส่ง ๆ ไปเฉย ๆ ล่ะมั้ง”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ นายช่วยทำให้ฉันดูอีกรอบได้ไหม คราวนี้รอบสุดท้ายจริง ๆ ไหว้ล่ะ” อึนจีประสานมือกันขึ้นเหนือหัวพร้อมกับก้มหน้าให้มินซอก เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ งั้นเธอดูนี่นะ”
“ช้า ๆ ล่ะ”
“เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันบอกแล้วเธอลองทำเองดีกว่าไหม จะได้คุ้นมือ”
“เอางั้นเหรอ?”
“อืม อันดับแรกก็ถอดแม็กกระสุนออกก่อน” มินซอกชี้ไปที่ปืนขณะที่หญิงสาวกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดู
“อย่าหันปืนเข้าหาคนอื่น” มินซอกเอามือดันปืนออกห่างซึ่งอึนจีก็พยักหน้าเข้าใจ เธอดูจริงจังมาก จากสีหน้าที่เป็นอยู่
“มันยิงไม่ออกหรอกน่า ฉันถอดแม็กมันออกแล้วนี่ไง” อึนจีหยิบแม็กกาซีนขึ้นมาให้อีกคนดู
“ต่อให้มีหรือไม่มีก็ห้าม มันเป็นลางนะ”
“นายไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน สเปเชียลฟอร์ส*หรือไง?” อึนจีถามขณะที่กำลังพยายามแงะชิ้นส่วนออก
“เคยดูในหนัง เกมยิงปืนพวกนั้นฉันเคยเล่นแต่เคาน์เตอร์สไตร์ค รู้จักไหม?”
“ไม่รู้หรอก แต่เคยได้ยินพวกผู้ชายคุยกันเรื่องเกมบ่อย ๆ มันสนุกมากเลยเหรอ”
“อืม ก็สนุกนะ ฉันเล่นไม่เก่ง แต่ที่เล่นก็เพราะอยากเล่นกับเพื่อนคนอื่น ๆ แค่นั้นแหละ”
“เออ เพื่อนผู้ชายนี่เขาไม่ค่อยอะไรกันมากเหมือนผู้หญิงอ่ะ น่าคบกว่าตั้งเยอะ”
“ยังไง?”
“จะคุยอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องถูกนินทา สบาย ๆ ‘ไปเตะบอลกันไหม คืนนี้เล่นเกมกันเปล่า สร้างแมพรอเลยฮ่า ๆ’ ” มินซอกหัวเราะเมื่อเห็นอึนจีทำเสียงใหญ่ล้อเลียนเพื่อนผู้ชาย
“อืม ผู้ชายก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ที่สนิทกันจริง ๆ ก็มีน้อย”
“แต่ก็ยังดีกว่าเพื่อนผู้หญิงแหละน่า ถ้าไม่สนิทใจจริง ๆ ก็อยู่กลุ่มนั้นยาก นายก็เห็นอยู่”
“เหมือนอย่างเธอกับคิมฮานาใช่ไหม?”
“เหอะ” อึนจีแค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่รอดตายมาจากเหตุการณ์สงครามเชื้อโรคลิงมาได้อย่างปาฏิหารย์เพราะนางหลับอยู่ในห้องไม่รู้เรื่อง “ยัยนั่นน่าจะตาย ๆ ไปซะ”
“ไม่เอาน่า อย่าพูดแบบนั้นสิ มาประกอบปืนกันต่อดีกว่า คราวนี้ตรวจดูลำกล้องแล้วดันมันกลับเข้าไปนะ อืม ตรงนั้นแหละ”
“แบบนี้เหรอ?”
“ต่อไปก็ดันตัวล็อกออก ใช่ แล้วก็เลื่อนออกมา”
“ได้แล้ว!”
“เห็นไหมล่ะ ถ้าตอนเรียนเธอตั้งใจแบบนี้ก็ไม่สอบตกหรอก”
“เก่งแล้วจะพูดอะไรก็ได้งั้นดิ อะโธ่...” อึนจีจิ๊ปากก่อนจะหันมายิ้มกับซากปืนที่ถอดออกมากองกับพื้นอีกครั้ง
แอ๊ดดด...
ทั้งคู่หันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ประตูพร้อมกับเลิกคิ้วมอง “ครูกาฮีเรียกประชุม อีกห้านาทีเจอกันข้างล่างนะ”
“ประชุมอะไรอีกอ่ะ?! เฮ้ย! บอกก่อนดิ!” อึนจีตะโกนไล่หลังเด็กผู้ชายคนนั้นที่เดินออกไปแล้ว เธอบ่นอุบอิบก่อนจะหันกลับมามองหน้ามินซอกอีกครั้ง
“มินซอก”
“ว่าไง”
“นายคิดว่าฉันจะประกอบปืนได้ภายในห้านาทีไหม”
“คิดว่าไม่น่านะ?”
“แล้วนายคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดฉันเข้าประชุมช้า”
“อาจจะโดนเทารัวภาษาจีนใส่”
“แล้วนายคิดว่าฉันฟังหมอนั่นพูดรู้เรื่องไหม”
“ไม่”
“แล้วนายคิดว่าฉันควรจะรีบลงไปตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือเปล่า”
“ควรที่สุด”
“โอเค แล้วฉันจะเล่าให้นายฟังทีหลังนะว่าวันนี้ประชุมเรื่องอะไรบ้าง เพราะฉะนั้น...” เด็กสาวยิ้มตาปิดก่อนจะดันซากปืนไปตรงหน้า
“อย่า...”
“ฝากด้วยน้า~”
“จองอึนจี! เดี๋ยวสิ!”
มินซอกตะโกนไล่หลังเด็กสาวที่วิ่งออกไปข้างนอกประตูทางออกดาดฟ้าแถมยังมีหน้าโผล่มาโบกมือบ๊ายบายอีก เขาส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาประกอบปืนอีกครั้ง ดูเหมือนว่าช่วงนี้ที่โรงเรียนจะประชุมกันบ่อยขึ้นแฮะ ทุกอย่างมันเริ่มยากขึ้นแล้วสินะ
หลังจากประชุมกันเสร็จและได้รับคำยืนยันจากลู่หานว่าปลากินได้ทุกคนต่างก็ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ นับว่าเป็นข่าวดีเรื่องแรกหลังจากที่เด็ก ๆ ในโรงเรียนพบเจอกับเรื่องราวร้าย ๆ มา
ตอนนี้มีการวางแผนแบ่งกลุ่มกันออกไปหาปลาเพื่อมาประกอบอาหาร มื้อเย็นวันนี้คือปลาทอดที่ทำกันได้ง่าย ๆ พอเห็นทุกคนมีรอยยิ้มที่ได้กินปลา ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาก็ยิ้มตามไปด้วย
ตอนนี้ลู่หานยืนอยู่หน้าหลุมศพตัวเองกับจงอิน ท่ามกลางความมืดมิดของบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้มีเพียงแค่ตะเกียงที่ร่างหนาถือเอาไว้เท่านั้นที่คอยให้แสงสว่าง ทั้งคู่ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน เขาไม่คิดว่าลู่หานจะช็อกขนาดนี้กับเรื่องของแบคฮยอน
“เดี๋ยวกูเอาป้ายหลุมศพออก”
“ไม่ต้องหรอก เอาไว้งั้นแหละ”
“...”
“กูจะเอาไว้เตือนใจตัวเอง เผื่อจะกลัวตายขึ้นมาบ้าง” ลู่หานหัวเราะเบา ๆ
“หลุมพวกนั้นน่ะ” จงอินชี้ไปยังหลุมศพที่เรียงยาวเป็นแถวไปทางด้านขวา “มันเกิดขึ้นในวันที่เราแยกกันออกไปหาอาหาร วันนั้นกูได้เห็ดกับหน่อไม้โง่ ๆ กลับมา ฟังดูปัญญาอ่อนแต่มันคือสองสิ่งที่แดกได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องติดเชื้อ แต่ที่เหี้ยกว่านั้นคือเด็กที่ไปกับกูถูกลิงกัดจนมือแทบขาด”
“ลิงถูกฆ่าตาย เด็กที่ไปกับกูเสือกพามันกลับมาด้วยเพื่อที่จะเอามาย่างแดก ฟังแล้วคันลิ้นชิบหาย แดกกันเข้าไปได้ยังไง”
“นี่พวกมึงแดกเนื้อลิงกันเหรอวะ? อย่าบอกนะว่าตายห่ากันเพราะเรื่องนี้?” ลู่หานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“เปล่า นั่นแค่ส่วนหนึ่ง มันคือเหตุผลที่กูกลัวปลาที่มึงหิ้วมาด้วย”
“...”
“หลังจากที่กูรู้ว่ามึงไม่กลับมา กู ชานยอล เซฮุนก็ออกไปตามหามึง วันเดียวกันนั่นแหละ แต่พอกลับมาทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด นักเรียนต่างวิ่งหนีตายกันออกมาข้างนอกตึก หนึ่งคนถูกกัด สองคนแพร่เชื้อ เป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ”
“...”
“กูไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหน อาจจะเป็นเพราะไอ้เด็กที่ถูกลิงกัด หรืออาจจะมาจากไอ้เด็กที่แอบย่างลิงกิน นักเรียนล้มตายไปเกือบครึ่งรวมครูห้องพยาบาลด้วย”
“...”
“การออกล่าสัตว์ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย พวกเราอยู่กันได้ด้วยอาหารกระป๋องและพืชผักที่เก็บมาได้จากป่า ตอนนี้ทุกอย่างก็ร่อยหลอเข้าไปทุกที ๆ แต่พอมึงมายืนยันเรื่องปลา พิสูจน์ให้เห็นว่ามันกินได้จริง ๆ ทุกคนก็เริ่มมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกครั้ง”
ทั้งคู่ยืนเงียบและปล่อยให้ความมืดยามค่ำคืนครอบงำและตอกย้ำความผิดหวังที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้คิมจงอินไม่เคยหลับสนิท ทุกคืนเขามักจะคิดถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะต้องออกไปที่ไหน ถึงจะได้ของกินกลับมาให้ทุกคน จะต้องทำยังไง ทุกคนถึงจะมีชีวิตรอดไปอีกวัน
“โลกเราจะชิบหายแล้ว” ลู่หานพูดขึ้นมาแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะเบา ๆ
“มันชิบหายตั้งแต่เรื่องเกิดแล้วต่างหาก”
“เออ มึงพูดถูก”
“นอกจากจะต้องหนีพวกกินคนแล้วก็ต้องระวังเรื่องปากท้องอีก”
“แต่ถ้าอยู่เฉย ๆ ก็ต้องอดตาย ชีวิตมันก็ต้องดิ้นรนแบบนี้แหละ” ลู่หานพูดราวกับปลงตกในชีวิต ลำพังเขาคนเดียวเรื่องแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหา เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ใช้ชีวิตอยู่กับการเอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
“กูมีเรื่องจะถามมึงสักหน่อย”
“ว่ามาดิ”
“มึงน่ะ...ชอบแบคฮยอนจริง ๆ ใช่ไหม” ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่ที่ถามแบบนั้นก็เพราะใช้มันเป็นประโยคปลายเปิด ลู่หานเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะขานตอบในลำคอ
“อืม”
“กูไม่ได้อยากพูดอะไรแบบนี้หรอกนะ แม่งดูเป็นคนขี้เสือก แต่คิดว่ามันสมควรแล้วเหรอวะถ้าจะต้องตายเพราะคนที่มึงชอบ”
“กูไม่รู้หรอกว่ามันควรหรือไม่ควร ตอนนั้นในหัวคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้แบคฮยอนรอดก็เท่านั้น”
“...”
“ถ้ามึงอยู่ตรงนั้นกูก็คงทำเหมือนกัน” จงอินหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงมองหลุมศพของตัวเอง สีหน้าลู่หานยังคงเหมือนเดิม ไม่มีรอยยิ้มกวนประสาทเหมือนอย่างที่เคยหยอกล้อกันเหมือนเมื่อก่อน
“ลู่หาน”
“เออ”
“มึงจะเอายังไงต่อ”
“เรื่องแบคฮยอนน่ะเหรอ?”
“เออ แต่กูขอแนะนำให้มึงหยุด”
“...” ลู่หานหันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังมองหน้าเขาอยู่ จงอินลอบถอนหายใจเล็กน้อยกับความลำบากใจในสิ่งที่กำลังจะพูด ระหว่างที่ลู่หานไม่อยู่ที่นี่ เขารู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างแบคฮยอนกับชานยอล
“เจ็บเพราะความรักมันไม่เจ็บเท่าตอนถูกตัวกินคนกัดหรอก”
“...”
“ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ามึงไม่อยากเจ็บปวด ก็อย่ามีความรักดีกว่า”
“...”
“อย่าผูกพันกับใคร เพราะตอนที่เขาจากไปมันจะทำให้มึงเจ็บจนแทบทนอยู่ต่อไปไม่ได้”
“...”
“ยิ่งตอนที่เห็นเขากำลังจะตายต่อหน้าต่อตา...มันยิ่งทำให้มึงเป็นบ้าได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นทางที่ดีคืออย่าผูกพัน อย่ารักใครจะดีที่สุด”
“มึงก็ทำอย่างนั้นอยู่หรือไง”
“...”
“ถ้าไม่รวมกูที่มึงทำเหมือนจะร้องไห้ตอนที่ได้เจอเนี่ย...” ลู่หานหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ “ก็ไม่มีใครอีกแล้วใช่ไหมที่ทำให้มึงเสียใจได้”
“...” ร่างหนาเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ภาพของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมาในหัว คน ๆ นั้นที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาที่รู้สึกแย่ตอนที่นึกถึงการจากไปของลู่หาน คนที่เขาไม่อยากให้อยู่ห่างจากสายตา คนที่เขาอยากหาเรื่องชวนทะเลาะด้วยทุกวัน
“มันดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะว่าแบคฮยอนไม่มีใจให้กู” ลู่หานหันหน้ากลับเข้าหาหลุมศพอีกครั้ง จงอินวางตะเกียงลงบนพื้นแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง
“เปล่า มึงก็รู้ว่าที่กูพูดแบบนั้นเพราะอะไร”
“...”
“กูทำได้แค่เตือน ส่วนจะเอายังไงก็อยู่ที่ตัวมึงแล้ว”
“...”
“มึงจะรักใครก็ได้ แต่อย่าเอาเรื่องนี้ไปเสี่ยงกับความตายก็พอ นี่คือเรื่องเดียวที่กูขอ” จงอินวางมือลงบนไหล่อีกคนทั้งที่ไม่หันไปมองหน้า ทั้งคู่ยืนใช้ความเงียบอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก
“นี่”
แบคฮยอนหันไปมองประตูเมื่อใครคนหนึ่งเปิดมันออกเพียงเล็กน้อยแล้วชะเง้อหน้าเข้ามา คนตัวเล็กเลิกคิ้วมองเมื่อเห็นเซฮุนเดินเข้ามาพร้อมกับซองขนมในมือ
“นั่งรอลู่หานอยู่เหรอ?”
“...”
คำถามนี้ทำให้แบคฮยอนตอบไม่ถูก ใจหนึ่งก็รอให้ลู่หานเข้ามาสักที เพราะจะได้ตัดใจเลิกหวังว่าว่าชานยอลจะเข้ามาหาเขา
เสียใจ...ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
รู้แค่ว่าเสียใจที่ชานยอลทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้น
“กินไหม?”
“นายไปเอามาจากไหน”
“ก็ที่ไปหามาได้ ยังไม่หมดอายุด้วยนะ” เซฮุนยื่นถุงขนมให้คนตัวเล็กกว่า แบคฮยอนมองถุงขนมแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่สบายใจเลย”
“เรื่องอะไรล่ะ” เซฮุนหันหน้าเข้าหาอีกคนที่ทำหน้าคิดไม่ตก แบคฮยอนถอนหายใจแล้วเม้มปากเบา ๆ
“เหมือนชานยอลกำลังหลบหน้าฉันอยู่ เมื่อตอนเย็นก็ไม่ยอมกินข้าว บอกว่ามีเรื่องที่ต้องทำ ดูก็รู้ว่าหลบหน้ากันชัด ๆ ”
“แล้วได้คิดไว้หรือเปล่าว่าทำไมเขาทำแบบนั้น”
“เขาอาจจะรำคาญที่ฉันงี่เง่า แล้วก็...” คนตัวเล็กเว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจก่อนจะหันไปมองหน้าเซฮุน “วันนี้เราออกไปยิงปืนกัน ฉันทำตัวงี่เง่าจนเขาโมโห”
“...”
“แล้วก็เห็นตัวกินคนที่เป็นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวด้วย”
“...”
“เขาเกือบตายเพราะตัวกินคนที่อยู่ในชุดเจ้าสาว ทั้งที่ยิงเจ้าบ่าวกับตัวอื่น ๆ ไปแล้ว แต่เขากลับยิงเธอไม่ลง...ตอนนั้นคงนึกถึงคุณโฮจองอยู่ล่ะมั้ง...” น้ำเสียงประโยคหลังเบาหวิวจนเซฮุนสังเกตได้ถึงความเสียใจของคนตรงหน้า ร่างบางยีหัวแบคฮยอนเบา ๆ พร้อมกับยิ้มให้
“อย่าคิดแทนคนอื่นสิ บางทีเขาอาจจะยุ่งอยู่จริง ๆ ก็ได้...นายก็รู้ว่าคุณชานยอลกับคุณอี้ฟานเขาโตแล้ว ผู้ใหญ่มีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบเยอะแยะ เรื่องที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองก็มี แต่เรื่องที่ต้องขอความเห็นจากคนอื่นก็มีเหมือนกัน ทุกคนรวมทั้งฉันกับนาย เรากำลังพยายามทำให้ที่นี่อยู่กันอย่างปลอดภัยนะ”
“...”
“ลู่หานก็กลับมาแล้ว นายไม่ดีใจเหรอ?”
“ดีใจสิ ดีใจมาก ๆ เลยด้วย” แบคฮยอนรีบตอบทันทีเพราะกลัวถูกเข้าใจผิด ถึงแม้ว่าลู่หานจะไม่รับรู้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนก็ตามทีเถอะ “แต่หมอนั่นก็หลบหน้าฉันเหมือนกัน”
“อ้าว?”
“เมื่อตอนหัวค่ำฉันชวนกินข้าวด้วยกันแต่เขาบอกว่าเก็บไว้ให้คนอื่นที่ยังไม่ได้กินดีกว่าเขาน่ะอิ่มแล้ว ฉันถือถาดข้าวเก้อแล้วสุดท้ายก็เอากลับไปเก็บ”
“อ่า...”
“เขาไม่เหมือนเดิมจริง ๆ นะ ทุกคนอาจจะเกลียดฉันหมดแล้ว” แบคฮยอนดูกระวนกระวายใจจนเซฮุนรู้สึกได้ “ฉันควรจะทำยังไงดีเหรอเซฮุน ฉันเกลียดตัวเองจริง ๆ ”
“นายจะเกลียดตัวเองได้ยังไง”
“...”
“ขนาดตัวนายยังไม่รักตัวเอง แล้วยังหวังให้คนอื่นมารักนายอีกเหรอ?” แบคฮยอนมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มบาง ๆ อยู่
“ฉัน...”
“ไม่ต้องพยายามเอาใจใครทั้งนั้น เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด อย่ากดดันตัวเองมากนักเลย แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้จนไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่นนะ การเป็นตัวของตัวเองคือการเป็นตัวตนของนายที่ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจน่ะ”
“ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจเหรอ...”
“ยกตัวอย่างระหว่างนายกับจงอินก็ได้”
“จงอิน?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นสูง
“อย่างที่รู้ว่าเขาไม่ชอบเวลานายเถียงหัวชนฝาเรื่องที่เขาห้าม ถ้ามันไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้งพอ นายก็ควรที่จะเชื่อฟังเขานะ”
“...”
“เราอยู่กันเหมือนครอบครัว ไม่มีใครตัวคนเดียว ตอนนี้ฉันกับนายเป็นมากกว่าเพื่อน เราคือพี่น้องที่จะไม่ทิ้งกัน เข้าใจไหม?” เซฮุนวางมือลงบนหัวทุย แบคฮยอนนั่งจ้องหน้าอีกคนนิ่งก่อนที่ริมฝีปากจะสั่นเล็กน้อยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“จำไว้แค่ว่า ถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรกับเรา...เราก็อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่น แค่นั้นเอง”
เซฮุนหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นคนตัวเล็กพยักหน้าเร็ว ๆ อย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มช่วยเช็ดน้ำตาออกให้พร้อมกับหยิบขนมไปจ่อปากคนที่ยังน้ำตาไหลอยู่ แบคฮยอนส่ายหน้าพรืดแต่สุดท้ายก็ต้องกินจนได้เพราะเซฮุนไม่ยอมถอยมือออกไปสักที
“คุณดูไม่ค่อยสบายใจ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
พอได้ยินอี้ฟานถาม คนที่กำลังยุ่งอยู่กับการเขียนโน้ตรายระเอียดแผนการทำความสะอาดหอพักหญิงรวมไปถึงเรื่องการออกไปหาเสบียงลงบนสมุดโน๊ตก็ชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
“ครับ?”
“ตั้งแต่เมื่อตอนเย็นผมเห็นคุณหาเรื่องทำให้ไม่ว่างอยู่ตลอด เกิดอะไรขึ้นตอนที่ออกไปเรียนยิงปืนหรือเปล่า?ั”
“...ไม่มีอะไรครับ” ชานยอลยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าเขียนโน้ตต่อ
“แบคฮยอนยังเด็ก เขาเหมือนเป็นน้องเล็กของเรา ผมไม่อยากให้คุณถือสาถ้าเขาทำให้คุณไม่พอใจ” อี้ฟานพูดพร้อมกับนั่งลงบนเตียงฝั่งตรงข้ามชานยอลแล้วเอื้อมมือไปหยิบกล่องกระสุนมาวางไว้ข้าง ๆ เพื่อใส่เข้าไปในแม็กกาซีน
"ครับ” ชานยอลขานรอบรับเพียงแค่นั้น อี้ฟานยังคงเป็นกังวลว่าชานยอลอาจจะยังมีอคติกับแบคฮยอนอยู่ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งคู่จะสนิทกันมากพอสมควร แต่บางครั้งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยคิดว่าลืมมันไปแล้วก็สามารถกลับมารู้สึกได้อีกครั้งถ้าเกิดว่าถูกขุดขึ้นมาอีก
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเมื่อก่อนชานยอลเคยเกลียดขี้หน้าแบคฮยอนมากแค่ไหน...
‘ทำไมล่ะบยอนแบคฮยอน แค่นี้ถึงกับกลัวขึ้นสมองเลยหรือไงหื้ม?’
แต่สิ่งหนึ่งที่อู๋อี้ฟานไม่เคยรู้ก็คือ...ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ปาร์คชานยอลมีต่อบยอนแบคฮยอน ความรู้สึกที่คิดว่ามีให้อีโฮจองแค่คนเดียว ความรู้สึกที่อยากปกป้อง อยากเจอหน้าทุกวัน อยากเห็นรอยยิ้ม อยากอยู่ด้วย...
มันเกิดขึ้นแล้ว...แต่กลายเป็นกับบยอนแบคฮยอน
ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีโฮจองกำลังหลอกหลอนเขาราวกับเป็นความผิดติดตัว ทั้งที่คิดว่ารักเธอมาก แต่ความรู้สึกที่มีต่อแบคฮยอนคืออะไรงั้นเหรอ? ไม่น่า...เขาไม่ได้โง่หรือไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่รู้ว่ากำลังคิดยังไงกับอีกคนอยู่ แต่เพราะว่ารู้ดี...เขาถึงได้ทำแบบนี้เพราะรู้สึกผิดต่ออีโฮจองที่จากไปแล้ว
ผมขอโทษนะ...โฮจอง...
แล้วก็คุณด้วย...แบคฮยอน...
อีกเรื่องที่เขาดูออก...ก็คือความรู้สึกของลู่หานที่มีต่อแบคฮยอน
ใช่...เขารู้ดี...
“คุณวางแผนไว้ว่ายังไงเหรอชานยอล?”
“ผมคิดว่าเราไม่ควรพานักเรียนไปด้วย มันเสี่ยงเกินไปสำหรับการเข้าไปในหอหญิง ยิ่งไปเยอะ อัตตราความเสี่ยงก็ยิ่งเยอะ ผมไม่อยากให้เด็ก ๆ ต้องหวาดผวากับเรื่องความตายของเพื่อนอีก”
“งั้นก็ควรเตรียมอาวุธให้พร้อม พรุ่งนี้เราออกไปหากระสุนปืนเพิ่มกันดีไหม?”
“ดีเลย” ชานยอลตอบรับในทันที เพราะถ้าออกไปข้างนอกเขาจะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างในการหลบหน้าแบคฮยอนอีก
ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วย แต่บางครั้ง...เขาก็ควรหยุดทุกอย่างไว้แค่ตรงนี้ แล้วขีดเส้นคั่นระหว่างเขาสองคนให้เป็นเพียงแค่พี่น้องเท่านั้น
“อีกไม่กี่วันผักของแบคฮยอนก็จะโตเต็มที่แล้ว ผมว่าเด็กหลาย ๆ คนคงดีใจที่จะได้ทานผักชนิดอื่นนอกจากหน่อไม้กับเห็ด แต่คนที่ดีใจที่สุดก็คงเป็นคนพยายามปลูกด้วยมือของเขาเอง” อี้ฟานยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้
“...”
“ภรรยาผมเคยปลูกผักไว้ตรงแปลงหลังบ้าน ผมว่าคุณอาจจะเคยเห็นผ่านตานะ ไอ้ตรงนั้นน่ะ ถัดจากหลุมฝังศพของแบคโฮไปนิดหน่อย”
“อ๋อ...ผมจำได้”
“เธอเป็นคนรักธรรมชาติ ตั้งแต่หย่ากันเธอก็ทิ้งชีวิตในโซลแล้วย้ายไปอยู่ที่นั่น เธอเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยว แม้กระทั่งตอนบอกเลิกผม” อี้ฟานหัวเราะ
“คุณยังรักเธออยู่เหรอครับ?” ร่างสูงถาม มือของเขายังคงถือสมุดโน้ตกับปากกาเอาไว้อยู่อย่างนั้น
“ถ้าตอบว่าไม่ก็คงโกหก ผมเป็นคนถูกบอกเลิกนี่...” เขาหัวเราะ
“อ่า...”
“เธอยังคงอยู่ในความทรงจำผม ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็คิดถึงเธอตลอด สิ่งที่เคยทำร่วมกัน เคยใช้เวลาด้วยกัน ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจความรู้สึกนั้นดีนะ” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ
“...”
“วันแรกผมแทบบ้าตอนที่รู้ว่าเธอกับลูกตายไปแล้ว”
ชานยอลเงยหน้ามองอีกคนที่ลดสีหน้าลงเพียงเพราะนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“ผมนั่งลงตรงหน้าศพเธอแล้วร้องไห้อย่างหนัก ผมไม่เคยร้องไห้ขนาดนั้นมาก่อน เสื้อผ้าและมือของผมเปื้อนเลือดของเธอทั้งคู่ปะปนกันเต็มไปหมด ทั้งเลือดที่มาจากการกัดกิน และเลือดที่ไหลออกมาจากหัวที่ถูกผมเอามีดแทงเข้าที่หัว ผมกอดร่างของทั้งคู่ไว้แนบอก ผมไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว”
“...”
“ผมปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกินนานเป็นชั่วโมง ผมเข้าไปในห้องน้ำ เปิดน้ำอุ่นใส่กะละมัง เตรียมผ้าขนหนูสะอาด มาซับเลือดออกจากใบหน้าและร่างกายของเธอทั้งสองคน” อี้ฟานยิ้มบาง ๆ
“ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เป็นชุดตัวเก่งที่เธอชอบ ผมจูบหน้าผากของภรรยาและลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะออกไปขุดหลุมฝังศพ”
“...”
“ผมจมอยู่กับความเศร้าตรงหน้าหลุมศพเธอสักพักใหญ่ก่อนจะออกไปข้างนอก พอเข้าไปในเมืองก็พบเจอกับความวุ่นวาย ทุกคนต่างหนีเอาชีวิตรอด เกิดอุบัติเหตุและไฟลุกโชน ตำรวจและทหารยิงทั้งพวกกินคนและคนปกติ ยิงมั่วไปหมด”
“...”
“มองไปข้างหน้า ผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังแย่งอาหารกันอยู่ มันคงไม่ดีแน่ถ้าผมไม่มีเสบียงตุนเอาไว้ ถ้าบ้านเมืองกำลังเจอสงครามอยู่แบบนั้น บัตรเครดิตที่เคยใช้รูดกลายเป็นขยะ เมื่อทุกคนไม่คิดจ่ายเงินกับสิ่งของที่หยิบติดมือออกมา ผมหยิบปืนของทหารที่นอนตายอยู่แถวนั้นมาไว้ติดมือเพื่อใช้เป็นอาวุธยามจำเป็น และดูเหมือนว่ามันจะจำเป็นมากเสียด้วยในเวลาแบบนั้น พอผมกลับมาถึงที่บ้าน สิ่งแรกที่ผมเห็นคือความว่างเปล่าและคราบเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่บนพื้น”
“...”
“คำถามแรกคือ ผมจะอยู่ต่อไปทำไม ไม่มีอะไรหลงเหลือให้ผมอีกแล้วนี่? ผมหยิบปืนขึ้นมาจ่อที่ขมับ หลับตาลง รวบรวมความกล้าทั้งที่มือยังสั่นอยู่จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในบ้าน...ซึ่งนั่นก็คือพวกคุณ”
“...”
“ในทีแรกผมไม่เคยเสียดายถ้าจะออกไปเสี่ยงตายกับการหาเสบียง แต่มันน่าตลกตรงไหนรู้ไหม?” อี้ฟานหัวเราะ “มันน่าตลกตรงที่ตอนนี้ผมเกิดกลัวตายขึ้นมาแล้ว”
“...”
“แค่อยากจะบอกว่าที่ผมยังอยากหายใจในวันพรุ่งนี้ก็เพราะพวกคุณทุกคน”
ชานยอลยังคงนั่งมองร่างสูงที่นั่งยิ้มบาง ๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม หลายครั้งที่ทั้งคู่เคยเปิดใจคุยกันแต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่อู๋อี้ฟานจะพูดถึงเรื่องราวในวันเกิดเหตุ
“ผมก็เหมือนกัน” พอได้ยินชานยอลปริปากพูดออกมาร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “สักวันผมจะพูดถึงเรื่องราวในอดีตแล้วยิ้มออกมาได้เหมือนกับคุณใช่ไหมอี้ฟาน?” เจ้าของชื่อยิ้มขณะมองหน้าอีกฝ่าย
“คุณต้องใช้เวลาเรียนรู้กับมัน ประสบการณ์จะสอนให้เราเข้มแข็งขึ้น ชานยอล”
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ทำให้คนที่กำลังจะผล็อยหลับลืมตาขึ้นมา มือเล็กดึงผ้าห่มออกพร้อมกับปรือตาเดินไปจุดเทียนเพื่อดูนาฬิกา นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ไม่วายเป็นยัยอึนจีแน่ ๆ
“มาเอาปืนใช่ไหม” พูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ระดับสายตาตอนนี้คือช่วงอกและลำคอของผู้ชายคนหนึ่ง...พอเงยหน้าขึ้นอีกนิดภาพมัว ๆ ก็เริ่มชัดขึ้น
“...”
“...”
มินซอกยืนนิ่งเมื่อพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือใครอีกคนที่เขาคิดถึงมาตลอด เด็กหนุ่มพูดไม่ออกแล้วปล่อยให้สมองประมวลผลกับทุกสิ่งทุกอย่าง มือเล็กบีบประตูแรง ๆ เพื่อทดสอบว่าตอนนี้ไม่ได้ฝันไป และแล้วมันก็จริงเมื่อเขารู้สึกปวดร้อนขึ้นมา
“เอ่อ...ขอโทษนะ นอนแล้วเหรอ”
“...”
“คือ...พี่แค่อยากแวะมาถามว่ามีคนเอาแว่นมาให้ไหม” ลู่หานยิ้มเก้อ เขารู้สึกหวั่นว่ามินซอกจะปิดประตูใส่หน้าเขาจริง ๆ เชียว
“...”
“แว่นกรอบดำน่ะ...มียี่ห้อด้วยนะ ท่าจะของแพงด้วย...” ลู่หานทำมือไม้ประกอบท่าจับขาแว่น
“...”
“นั่นใช่แว่นของพี่หรือเปล่าน่ะ? ใช่ไหม? ต้องใช่สิ” ลู่หานชะเง้อมองแว่นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก่อนจะหันมาสบตากับคนตัวเล็กที่ยังคงจ้องเขาไม่ละสายตา
“ใส่ได้พอดีหรือเปล่า? มันชัดไหม?”
“...”
“อ่า...”
ดูเหมือนว่ามินซอกจะยังโกรธอยู่และท่าทางจะอยากจบบทสนทนานี้เต็มที ลู่หานยิ้มแห้ง ๆ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าต้องทำหน้ายังไงในขณะที่ยังรู้สึกผิดแบบนี้ ก็แค่อยากมาทักทาย อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าเป็นอยู่ยังไง ก็แค่นั้นเอง...
“มินซอก...” พอเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นรอยยิ้มโง่ ๆ บนใบหน้าของลู่หานก็หายไป ร่างโปร่งทำตัวไม่ถูกได้เพียงแค่ยื่นมือมาข้างหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ จะเข้าไปกอดก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง...
‘ถ้าพี่จะเลือกแบคฮยอน พี่ต้องปล่อยมินซอกนะ เขาน่าสงสารอ่ะ’
“พี่แค่อยากมาดูว่านายเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าไม่สบายใจพี่จะไม่มาให้เห็นอีก...”
“...”
“ตอนนี้ช่วยหยุดร้องไห้ก่อนได้ไหมมินซอก?” ยิ่งได้ยินลู่หานพูดคนตัวเล็กก็ยิ่งร้องไห้หนัก มินซอกก้มหน้าลงแล้วปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงลงพื้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โล่งอก...
ดีจังที่เขายังไม่ตาย...
“มินซอก...”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันพลางหันซ้ายขวาดูว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่าก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูเอาไว้ ร่างโปร่งยืนมองคนตัวเล็กที่ยังคงยืนก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่ตรงนั้นแล้วก็ตัดสินใจรวบตัวเข้ามากอด
“จะเกลียดพี่ก็เกลียดไปเลย แต่ถ้าจะให้ปล่อยตอนนี้พี่ไม่ยอมหรอกนะ”
มินซอกยังคงสะอื้นในอ้อมกอดของลู่หาน อุณหภูมิของร่างกายของคนตรงหน้าทำให้เขารู้สึกได้ว่าลู่หานอยู่ตรงนี้จริง ๆ ความโกรธ ความน้อยใจที่เคยมีหายไปเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่เห็นผู้ชายคนนี้มายืนอยู่ตรงหน้า...
แค่นี้จริง ๆ ...
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...”
“ตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว...อยู่ข้างบนนั้นไม่เห็นหรือไง หรือว่าแอบอู้” ลู่หานกระซิบบอกคนในอ้อมกอดที่ยังคงสะอื้นอยู่อย่างนั้น ตอนนี้กลายเป็นมินซอกที่กอดเขาเอาไว้แน่นทั้งที่ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าแค่จะกอดปลอบแล้วก็ผละออกมารักษาระยะไว้เท่านั้น
“อื้อ ผมอู้”
“ไม่ดีเลยนะ เห็นทีว่าคราวหลังต้องมีคนขึ้นไปคุมความประพฤติซะแล้ว” ลู่หานหัวเราะเบา ๆ
“ต้องมาทุกวันนะ...”
“หืม?”
“ผมเหงาหูตอนคุณไม่อยู่”
ลู่หานผละอ้อมกอดออกพร้อมกับเลิกคิ้วมองคนที่กำลังใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้มินซอกคนเดิมจะกลับมาแล้ว
“เออ เดี๋ยวจะทำให้รำคาญจนไล่หนีแทบไม่ทันเลย คราวนี้ไล่แค่ไหนก็ไม่ไปแล้วนะ บอกก่อน”
“อื้อ” มินซอกยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงลงมาอีกครั้ง ลู่หานหัวเราะก่อนจะช่วยซับน้ำตาออกให้แม้ว่าคนตัวเล็กจะปัดมือเขาออกสักแค่ไหน
“เฮ้ย อย่าดื้อดิ”
“เช็ดเองได้น่า อย่ามายุ่งได้ไหม”
“จะยุ่ง เอามือออกเลยนะเปาจื่อ”
“...”
มินซอกยืนนิ่งให้คนตรงหน้ายืนซับน้ำตาออกให้แต่โดยดี จนถึงตอนนี้ความเศร้าโศกหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่ความรู้สึกหน่วงตรงหัวใจกลับขึ้นมาแทนที่เพียงแค่นึกถึงบยอนแบคฮยอน
“ไปเจอแบคฮยอนมาแล้วใช่ไหม?”
“อ้อ...อื้ม” ลู่หานลดสีหน้าลงแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แต่นับว่าเป็นโชคของลู่หานที่มินซอกหลุบสายตาลงไปเลยไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้
“เป็นยังไงบ้าง”
“หมายความว่าไง ที่ถามว่าเป็นไงบ้าง?”
“เขาคงดีใจมากเลยสิ ที่ได้เจอคุณ”
“อืม ทุกคนก็ดีใจหมดแหละที่พี่ยังไม่ตาย นี่บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกคุณ ให้เรียกว่าพี่ลู่หาน” ร่างโปร่งมองคนตรงหน้าที่หยุดร้องไห้แล้ว
“ก็คงอย่างนั้น เพราะตอนที่คุณไม่อยู่ แบคฮยอนก็ขึ้นมาเพ้อถึงทุกวี่ทุกวัน” มินซอกเดินไปนั่งบนเก้าอี้ พอได้ยินอย่างนั้นลู่หานก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่ก็รู้สึกไม่ดีในคราเดียวกัน
“แล้วเปาจื่อล่ะ ดีใจหรือเปล่าที่พี่กลับมา?” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองใครอีกคนที่นั่งลงบนโต๊ะทำงานพร้อมกับมองหน้าเขา ลู่หานหยิบแว่นขึ้นมาสวมให้คนตัวเล็กแล้วยิ้มขำ “กะแล้วว่าต้องเหมาะ”
“...”
“ว่าแต่ไม่คิดถึงพี่จริง ๆ เหรอ?”
“...”
“ว่าไงเปาจื่อ”
“อย่าให้ผมพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกตัวเองเลยนะ”
ประโยคนี้ทำเอาลู่หานชะงักไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางหายก่อนจะหลุบสายตาลงมองคนตัวเล็กที่ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
“...”
“อย่าทำให้ผมสมเพชตัวเองมากไปกว่านี้เลย”
“ยังโกรธเรื่องจูบอยู่เหรอ?” สุดท้ายเขาก็ถามคำถามต้องห้ามออกไป ทั้งที่คิดว่ามันเป็นคำถามโง่ ๆ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้
“เปล่า” มินซอกหันมามองหน้าลู่หานอีกครั้ง
“...”
“คุณจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าพูดเหมือนว่ามีใจให้ผม...แค่นั้นพอ”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนสบตากับอีกฝ่าย สองมือเล็กวางลงบนลาดไหล่กว้างพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าไปจูบคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ลู่หานไม่ได้จูบตอบ ทั้งคู่แค่ริมฝีปากแตะกันเท่านั้น ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นอีกครั้งและตอนนี้เขารู้สึกอยากขอโทษมินซอกจริง ๆ ขอโทษที่ถามอะไรโง่ ๆ แบบนั้น ขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดีเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา ขอโทษที่มองข้ามความรู้สึก ขอโทษ...ขอโทษ...
ขอโทษนะ...มินซอก
TBC
หมายเหตุ: เปเชียลฟอร์ส คือเกมยิงปืนออนไลน์นะคะ // พี่ลู่เปลี่ยนไปเยอะ ซึมไปเลย น่าสงสาร
แต่อะไรหลายอย่างที่ทำให้พี่ลู่คิดได้เยอะขึ้น และไม่กล้าทำร้ายมินซอกหลังจากนึกถึงคำเตือนของซูโฮ ดูเหมือนว่ารักสี่เส้าจะยังคงหน่วงต่อไป มินซอกก็ดูอ่อนลง ลดความซึนลงไปบ้างหลังจากที่พี่ลู่กลับมา แบคก็ยังเด็กแยกแยะความรู้สึกไม่ออก นี่แหละน๊า คนไม่เคยมีความรัก ทั้งที่อายุเท่ากับเซฮุน แต่คนเราถูกเลี้ยงมาไม่เหมือนกัน เคยเจอเรื่องต่าง ๆ มาไม่เหมือนกัน ทั้งที่พี่ชานยอลที่ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกลู่หานอีกทั้งยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อแบคฮยอน ไหนจะรู้สึกผิดต่อโฮจองที่เพิ่งเสียไปไม่นานนี้อีก น่าสงสารพี่ชาร์ล พี่คริสก็ประวัติน่าเศร้า ส่วนไคฮุนคู่หลัก เค้าขอเทไปให้ตอนหน้าเลยแล้วกันนะคะ อิอิ
^
^
เดี๋ยวนะ ข้างบนนี้คือเม้นฟิคตัวเองเหรอ บ้ามาก
ทิ้งห่างไปหลายวัน ลืมฟิคเรื่องนี้กันรึยังคะ พอดีว่างานยุ่งมาก กลับดึกทุกวันเลย มีแต่เวลางานกับนอนเท่านั้น (นอนยังไม่อยากจะพอ) TT_TT
#ficzombie
ความคิดเห็น