คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Chapter 19 :: Heart Attack
Chapter 19
Heart Attack
และแล้วผลการทดลองระเบิดขวดของชานยอลก็เป็นผลสำเร็จ ทั้งสามคนดูพอใจกับอาวุธชิ้นใหม่ที่อาจจะได้เอาไว้ใช้งานในอนาคต รถทั้งสองคันขับเข้ามาในโรงเรียน ทันทีที่เครื่องดับลงเด็กที่อยู่ในระแวกนั้นต่างมองมาที่ท้ายกระบะเป็นตาเดียวกัน
ชานยอลตรงดิ่งไปหาเจ้าหมาแล้วแก้มัดเชือกที่ผูกกับท้ายรถเพื่อจูงมันลงมาข้างล่าง นักเรียนจับกลุ่มซุบซิบกันอย่างตื่นตระหนก ทุกคนต่างมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมพวกเขาถึงได้พาหมาเข้ามาในโรงเรียนทั้งที่เพิ่งมีเรื่องร้าย ๆ ผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ จงอินกับเซฮุนยืนมองการกระทำของผู้ชายรักสัตว์แล้วก็ได้แต่ทำหน้าเนือย
“ผมจะพามันไปผูกไว้ในลานอเนกประสงค์เอง”
“เออไปเหอะ” มาถึงขั้นนี้แล้วใครจะไปแตะต้องหมาของมันได้ จงอินพยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะหันไปเห็นแบคฮยอนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจไม่แพ้เด็กคนอื่น ๆ
“นั่นอะไรน่ะครับ?”
“หมาไง”
“ผมรู้แล้วน่า แต่ที่ถามก็เพราะสงสัยว่าทำไมคุณชานยอลถึงได้พามันเข้ามาในโรงเรียนแบบนั้น” แบคฮยอนถามทั้งที่ยังมองตามแผ่นหลังของร่างสูง
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่หมาธรรมดา ๆ ทั่วไปแหละ เพราะชานยอลยื่นแขนไปให้แดกถึงที่แล้วแต่มันเสือกเมิน สงสัยจะเป็นหมามังสวิรัติ”
“หรือว่ามันจะไม่ได้ติดเชื้อ?”
“ตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ วันดีคืนดีจะกัดใครเข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังไงก็ต้องรอดูอาการไปก่อน” จงอินตอบ ทั้งสามคนยังมองไปยังผู้ชายตัวสูงที่กำลังจูงหมาไป
“นายไปดูสิ คุณชานยอลคงภูมิใจเสนอมันให้นายฟังแน่ ๆ ” เซฮุนยิ้ม แบคฮยอนทำตาปริบ ๆ แล้วก็หันไปมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังจะหายลับไปตรงลานอเนกประสงค์ ร่างเล็กยิ้มให้กับคนตรงหน้าก่อนจะวิ่งไปหาชานยอล
“เด็กน้อยจริง ๆ”
“ผู้ใหญ่อย่างคุณคงไม่เข้าใจความรักของเด็ก ๆ หรอกครับ” ทันทีที่ได้ยินร่างบางพูด จงอินก็หันควับพร้อมกับขมวดคิ้วมอง
“ว่าไงนะ?”
“อา...” พอมาถึงตอนนี้โอเซฮุนถึงได้รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดความลับออกไป เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ แล้วก็ทำตาโต “อ้อ...ผมควรไปอธิบายเรื่องหมาให้ทุกคนฟัง”
หมั่บ
ขาทั้งสองข้างหยุดอยู่กับที่เพราะถูกจงอินคว้าข้อมือเอาไว้ เซฮุนหันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังรอคำตอบจากเขาด้วยสีหน้าหาเรื่อง ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ราวกับจ้องจับผิดจนร่างบางต้องถอยออก
“ในปากนายมันมีความลับอะไรอยู่สินะ?”
“เปล่าครับ” เซฮุนตอบหน้านิ่ง ไม่ให้อีกฝ่ายจับผิดพิรุธได้ จงอินกระตุกยิ้มมุมปากขณะที่ยังจ้องจับผิดคนตรงหน้าอยู่
“นายจะบอกว่าแบคฮยอนกำลังมีความรักอยู่งั้นเหรอ”
“ผมยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะครับ”
“แต่สายตานายมันพูดออกมาจนหมดเปลือกแล้วโอเซฮุน” ร่างหนาเอานิ้วเขี่ยจมูกอีกฝ่ายจนคนถูกกระทำต้องเบี่ยงหน้าหลบ คิ้วเรียวขมวดมุ่นมองคนตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณจะอยากรู้เรื่องของคนอื่นไปทำไมครับ ปกติเห็นสนใจแต่เรื่องของตัวเอง”
“อ้าว นี่หลอกด่า”
“ความจริงทั้งนั้น...”
“เออช่างเหอะ” ร่างหนาทำหน้าเซ็งก่อนจะยักไหล่ ไม่บอกก็ไม่อยากรู้หรอกว่ะ “เชิญเก็บไว้เป็นความลับไปจนวันตายเลยนะ อย่าได้ปริปากเล่าให้ใครฟังล่ะ”
“ผมก็คิดว่างั้นครับ”
“เดี๋ยวก่อนเดี๋ยว...” จงอินชี้หน้าคาดโทษร่างบางที่ยังคงกวนตีนเขาไม่เลิก ถ้าไม่ติดว่าเรื่องความรู้สึกของไอ้ลู่หานเป็นความลับเขาคงเล่าเรื่องมันให้แบคฮยอนรู้สึกผิดเล่น ๆ ไปแล้ว แต่บังเอิญเลือดคนดีมันเข้าตา เลยต้องแดกความลับแล้วกลืนลงท้องให้หมด
ไหน ๆ มันก็จากไปแล้ว ก็ให้ความรู้สึกที่มันมีต่อแบคฮยอนตายตามมันไปเลยแล้วกัน
หันไปมองหลุมศพที่เขาไปยืนไว้อาลัยทุกวันแล้วก็สลด เรื่องระหว่างชานยอลกับแบคฮยอนใช่ว่าเขาจะดูไม่ออก จริงอยู่ที่ในตอนแรกสองคนนั้นแทบจะไม่มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะว่าทั้งคู่ต่างสูญเสียคนสำคัญไปเหมือนกัน ความสัมพันธ์เลยเริ่มต้นที่ความเห็นอกเห็นใจ
“คุณจะไปอธิบายเรื่องหมาให้ทุกคนฟังใช่ไหมครับจงอิน?”
“ก็ไปด้วยกันนี่แหละ นายจะไปไหนหรือไง?”
“ผมจะไปไหนได้”
“อ้าว ก็รู้นี่” จงอินทำหน้าตาเฉยแล้วก็เดินนำไปก่อน พอได้ยินอย่างนั้นเซฮุนก็แค่นหัวเราะ เขาชำเลืองมองไปยังผู้ชายชอบเผด็จการแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินตามหลังเข้าไป
คืนวันนั้นในห้องโถง เทียนไขเล่มใหญ่วางอยู่เป็นจุดเพื่อให้ความสว่างกับตัวห้อง เสียงพายุฝนจากข้างนอกลอดเข้ามาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง นักเรียนทุกคนนั่งบนพื้นเมื่อได้รับรู้ว่าวันนี้มีประชุม แต่คนที่มาถึงช้าที่สุดก็คือปาร์คชานยอล เพราะเจ้าตัวมัวแต่ยุ่งอยู่กับการสร้างที่นอนให้กับสมาชิกใหม่ในโรงเรียน ครั้นจะขังไว้ในลานกว้างให้นอนตากแดดตากฝนแบบนั้นก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ แบคฮยอนมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังสุดพร้อมกับยีผมที่เปียกลู่ให้เข้าทรงด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องที่ครูจะแจ้งให้ทราบในวันนี้ก็คือเรื่องสุนัขที่คุณจงอินไปเจอเข้าตอนออกไปหาเสบียง”
เด็กหลายคนส่งเสียงฮือฮาในขณะที่เด็กบางคนหันไปบอกต่อถึงรูปร่างหน้าตาของมันเพื่อให้คนที่ยังไม่เห็นกับตัวได้รับรู้ พวกเขามองไปยังกลุ่มเด็ก ๆ แล้วก็หันมามองหน้ากัน
“ครูไม่อยากให้ทุกคนตื่นกลัว เพราะมันไม่เหมือนกับลิงตัวนั้นที่กัดแตอิน”
“แล้วเราจะวางใจได้ยังไงครับว่ามันจะไม่แว้งกัดพวกเราเข้าสักวัน?” เด็กหนุ่มคนนึงยกมือขึ้นถาม
“ตามสักษณะนิสัยของพวกกินคนมันไม่รอเหยื่อนานขนาดนี้หรอก ถ้าหมาติดเชื้อเหมือนกับพวกที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก แน่นอนว่ามันคงกัดเราไปแล้ว ตอนที่เจอมัน...ท่าทางก็ไม่เหมือนหมาติดเชื้ออะไร หนำซ้ำยังกลัวเราอีกด้วย” จงอินพูด
“มันอาจจะอิ่มอยู่ก็ได้”
“พวกมันอิ่มไม่เป็นหรอก” ทุกคนหันไปมองเซฮุนเป็นตาเดียวกันราวกับสนใจในประโยคที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้ “พวกมันหิวตลอดเวลาและพร้อมที่จะฆ่าเราได้ทุกเมื่อ กินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่ม ถึงจะเดินเชื่องช้าแต่พวกมันสะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็น นั่นแหละคือตัวกินคน”
“ที่ฉันพามันกลับมาที่นี่ เพราะอยากทดสอบว่ามันติดเชื้อเหมือนกับลิงตัวนั้นหรือเปล่า และถ้าใช่ฉันรับรองว่าจะฆ่ามันในทันที แต่ถ้าไม่ใช่...เราก็จะได้เริ่มพิสูจน์กันอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องสัตว์”
“หมายความว่าถ้าเกิดหมาตัวนั้นไม่ได้ติดเชื้อ เราก็สามารถกินเนื้อสัตว์ได้แล้วใช่ไหมคะ?” จองอึนจียกมือขึ้น
“อี๋! เธอจะกินมันจริง ๆ เหรอ?”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย!”
“ที่ยัยนั่นพูดก็ถูก เพราะถ้าหมาตัวนั้นไม่ได้ติดเชื้อ สัตว์ชนิดอื่นก็อาจจะไม่ติดเหมือนกัน” จงอินยังคงอธิบายต่อ
“ยังไงเราก็ต้องขังมันไว้ให้ห่างจากเด็ก ๆ เพื่อความแน่ใจ” อี้ฟานพูดขึ้นมาหลังจากที่ยืนฟังอยู่นาน จงอินพยักหน้าตกลงก่อนที่จะหันกลับไปมองเด็ก ๆ อีกครั้ง
“เราจะดูมันไปอีกสักอาทิตย์นึง เพราะฉะนั้นฉันขอห้ามทุกคนอย่าเข้าใกล้มันเกินห้าเมตร ห้ามลูบหัว ห้ามเกาคาง ห้ามเล่น ห้ามแลบลิ้นตามมัน ห้ามทุกสิ่งทุกอย่างจนกว่าฉันจะแน่ใจแล้วว่ามันเป็นมิตรต่อมนุษย์จริง ๆ ” นักเรียนเงียบกริบขณะมองจงอินออกคำสั่งเชิงเผด็จการ
“เห็นหลุมศพตรงสนามหญ้าไหม?”
“เห็นครับ/ค่ะ”
“นั่นแหละ ถ้าไม่อยากเข้าไปนอนในนั้นก็อย่าแหกกฏ” จงอินพูดแล้วก็ต้องหันไปมองข้างหลังเมื่อถูกเซฮุนสะกิด “อะไร?”
“พูดให้มันลื่นหูกว่านี้ไม่ได้หรือไงครับ”
“เอ้า! แล้วมันไม่ลื่นหูตรงไหน จะสั่งสอนเด็กทั้งทีก็ต้องทำให้มันกลัวตายสิ ไม่งั้นคงแห่กันไปเล่นกับไอ้ขนทองนั่นกันยกหอ” จงอินบ่นขณะมองเซฮุนที่มองเขาด้วยสายตาคาดโทษ แบคฮยอนหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นทั้งคู่ปะทะฝีปากกันอีกแล้ว
“ผมมีเรื่องจะชี้แจงอีกสักเรื่อง” คราวนี้เป็นอี้ฟานที่ออกมายืนข้างหน้า จงอินกับเซฮุนยังคงทะเลาะกันอยู่ข้างหลังร่างสูง แม้ว่าเสียงทั้งคู่จะเบาบางจนแทบจับใจความไม่ได้ แต่ยังไงมันก็ดูตลกในสายตาใครหลาย ๆ คนอยู่ดี
“เรื่องการอาบน้ำ การทานอาหาร ผมอยากให้พวกเรามีกฏสำหรับสองเรื่องนี้ก่อน”
“ยังไงเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านี้พวกคุณอยู่กันแบบสบาย ๆ จะอาบน้ำตอนไหนก็ได้จริงไหม? แต่เคยคิดกันบ้างหรือเปล่าว่าแทงค์น้ำข้างบนนั้นอาจจะหมดเข้าสักวัน”
“อ่า...นั่นสินะ”
“แย่แล้วสิ ฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย”
นักเรียนส่งเสียงฮือฮาอีกครั้ง ทุกคนต่างพะวงกับเรื่องนี้ที่มองข้ามไปซะสนิทใจ ปาร์คกาฮีหลุบสายตาลงราวกับใช้ความคิดอยู่ พอเห็นอย่างนั้นอี้ฟานถึงได้เริ่มชี้แจงต่อ
“ผมอยากให้พวกคุณอาบน้ำสองวันครั้งหนึ่ง สำหรับคนที่ไม่ได้ออกไปใช้แรงงานอะไรมากมาย แต่สำหรับคนที่ออกไปเจอแดดเจอฝนข้างนอกและใช้แรงงานอย่างหนัก แบบนั้นอนุโลมให้อาบได้วันละหนึ่งครั้ง”
“สองวันอาบครั้งหนึ่งงั้นเหรอ?”
“อี๋ เหม็นเน่าตายแน่ ๆ”
“ผมรู้ว่ามันยาก แต่ในตอนนี้พวกคุณต้องคำนึงถึงความยากลำบากในการหาน้ำมาใช้ด้วย ถ้าเกิดน้ำในแทงค์บนดาดฟ้าหมด พวกคุณจะใช้น้ำจากที่ไหน?”
“...”
ทุกคนเงียบกริบ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ได้รับรู้มันจะทำให้นักเรียนเหล่านี้รู้สึกแย่ไม่น้อย อี้ฟานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง เขารู้สึกได้ว่าเด็ก ๆ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้
“เพราะถ้าน้ำหมด เราอาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่หอพักหญิง หรือไม่ก็ต้องขนน้ำจากที่นั่นมาใช้ ซึ่งมันคงลำบากกว่าการย้ายเข้าไปอยู่”
“แต่หอหญิงเต็มไปด้วยพวกนั้นนะ” เทาแย้งขึ้นมา
“ใช่ ก็คิดซะว่าปัดกวาดโรงเรียนไปในตัวสิ” จงอินพูด
“ช่วงนี้เป็นฤดูฝน ผมว่าเราควรหาแทงค์น้ำใหญ่ ๆ เอามารองน้ำเก็บไว้ใช้” ดูเหมือนว่าหลายคนจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นน้ำฝนเป็นชีวิตจิตใจ
“ถัดไปสามบล็อกที่นั่นมีร้านขายของแบบนั้นอยู่ พรุ่งนี้ผมจะพาไปดู” เทาพูดแล้วทุกคนที่ยืนอยู่ก็พยักหน้าตกลง
“ส่วนเรื่องที่จะเคลียร์พวกกินคนที่หอหญิงไว้ค่อยตกลงกันอีกทีแล้วกัน...ตอนนี้เรื่องอาบน้ำถือว่าผมชี้แจงจบไปแล้ว ตอนนี้มาคุยเรื่องอาหารการกินกันบ้าง” ร่างสูงพูดขณะกึ่งนั่งกึ่งยืนกับโต๊ะพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่เท้าไว้ข้างหลัง
“เราจะกินกันเป็นเวลา เช้า เที่ยง เย็น และจะไม่มีการหิวนอกเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการลุกขึ้นมาแงะห้องเก็บเสบียงกลางดึกเป็นอันขาด คนอื่นอดได้คุณก็ต้องอดได้ แต่มีข้อยกเว้นพิเศษให้กับเด็กที่เฝ้าเวรกะดึกบนดาดฟ้าไว้คนหนึ่ง รายนั้นสามารถกินมื้อดึกได้เพราะตอนกลางวันเขาไม่ได้ใช้สิทธิ์นั้น” จงอินพูดและเด็ก ๆ ก็พยักหน้าเข้าใจ
“เข้าใจแล้วใช่ไหม?” ปาร์คกาฮีถามและเด็กนักเรียนทุกคนก็ขานตอบพร้อม ๆ กัน “แยกกันไปนอนได้แล้วจ๊ะ” ครูสาวยิ้มแล้วเด็ก ๆ ก็ลุกขึ้นแยกย้ายไปตามห้องของตัวเอง เหลือไว้เพียงแค่ผู้ใหญ่กลุ่มนั้นที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ขอบคุณพวกคุณมากเลยนะคะ”
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องเผด็จการแบบนั้น” อี้ฟานบอกกับหญิงสาวหากแต่คำว่า ‘เผด็จการ’ กลับกระทบคนอย่างคิมจงอินเข้าอย่างจัง
“ฉันคิดว่ามันดีซะอีกค่ะที่เราจะอยู่กันแบบมีกฎระเบียบ ทั้งที่เป็นครูคุมหอแท้ ๆ แต่ความเป็นผู้นำของฉันมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”
“เอาน่า คุณก็แค่ผู้หญิงคนนึง การดูแลเด็กมากมายขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ผมเข้าใจ” จงอินพูดปลอบใจอีกฝ่ายแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้ก็เถอะ
“ถ้าพวกคุณอยากให้ฉันทำอะไรก็บอกได้เสมอนะ ฉันยินดีรับฟังค่ะ”
“...”
เป็นอีกวันที่คิมมินซอกรู้สึกไม่เจริญอาหารเพราะเห็นใครอีกคนถือถาดข้าวขึ้นมาเหมือนกับทุกวัน คนตัวเล็กวางช้อนลงทันทีเมื่อบยอนแบคฮยอนทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา รอยยิ้มเจื่อน ๆ ที่ดูก็รู้ว่าฝืนใจกลั่นมันออกมา แต่ที่ไม่เข้าใจอย่างนึงก็คือว่า...ทำไมหมอนี่ต้องขึ้นมาบนนี้ทุกวันด้วย?
“เห็นอึนจีเอาถาดอาหารขึ้นมาให้ตั้งนานแล้ว แต่นายเพิ่งกินไปแค่นี้เองเหรอ” แบคฮยอนถามพร้อมกับดันขวดน้ำอัดลมไปให้แม้ว่าสีหน้ามินซอกจะดูไม่ต้อนรับเขาเหมือนกับทุกครั้ง
“อยู่ข้างบนนี้คงร้อน ตอนที่โลกยังไม่เปลี่ยนไป น้ำอัดลมคือสิ่งที่ช่วยทำให้สดชื่นได้ดีเลยเนอะ” แบคฮยอนยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น มินซอกดื่มน้ำในขวดของตัวเองราวกับจะสื่อว่ามื้อเที่ยงนี้ได้อวสานไปแล้ว แบคฮยอนสีหน้าเจื่อนไปในทันทีขณะมองหน้าอีกคน
“มินซอก”
“อะไร”
“นายเพิ่งกินไปแค่นิดเดียวเองนะ”
“ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ”
“กินอีกหน่อยสิ นายผอมมากเลยนะรู้ไหม?”
“...”
“ถ้าไม่อย่างนั้นก็คิดซะว่าทำเพื่อคนที่ออกไปหาเสบียงมาให้พวกเรานะ กินเถอะ” แบคฮยอนยิ้มแล้วทำท่าจะจัดช้อนให้อีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมินซอกกำปลายช้อนไว้ก่อน
“ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าถ้าไม่สนิทอย่ามาบังคับคนอื่น?”
“...” แบคฮยอนชะงักเมื่อสบตากับคนตรงหน้า มินซอกปล่อยมือออกแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“ถ้าหิวก็กินไปเถอะ” พอเห็นสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่ายแล้วถึงได้บอกตัวเองให้ใจเย็นกว่านี้ แบคฮยอนพยักหน้าน้อย ๆ แล้วตักข้าวขึ้นมากิน
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ชอบกินผักเลย” มินซอกชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่กำลังมีท่าทางกล้ำกลืนฝืนกินข้าวผัดกิมจิเข้าไป ดูจากสีหน้าแล้วก็คงเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ “ฉันเขี่ยมันไว้ขอบจานทุกครั้งแล้วพี่แบคโฮก็จะจัดการกับมันจนหมด” แบคฮยอนยิ้มเศร้า ๆ
เอาแล้วไง...จะร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม?
เขาล่ะอยากจะด่าหมอนี่จริง ๆ เอะอะก็ร้องไห้ตลอด กี่วันแล้วล่ะที่บยอนแบคฮยอนขึ้นมาบนนี้แล้วเอาแต่พร่ำพรรณาถึงเรื่องราวในอดีต คิดว่าเขาอยากฟังมากหรือไง เพื่อนสนิทก็ไม่ใช่ มีอย่างที่ไหนมาทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ตามไปด้วยเพราะได้ฟังเรื่องเศร้า ๆ แบบนั้น
พี่แบคโฮอย่างนั้น ลู่หานอย่างนี้ ก็รู้หรอกนะว่ารักว่าเสียใจมาก แต่ใช่ว่าบยอนแบคฮยอนจะเสียใจเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันนักหรอก
“รีบกินเถอะ ข้างบนนี้ลมแรง ข้าวผัดของนายจะแข็งเป็นก้อนหินไปซะก่อน” มินซอกพูดแล้วแบคฮยอนก็พยักหน้าจนน้ำตาร่วงเผาะลงบนถาอาหาร มินซอกจิ๊ปากอย่างหัวเสียแล้วยื่นผ้าขนหนูที่เขามักจะพกขึ้นมาทุกวันให้อีกคน แบคฮยอนรับมาแล้วซับน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะช้อนตามองอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะมินซอก”
“กองไว้ตรงนั้นแหละ” มินซอกเบือนหน้าหลบไปอีกทางแล้วถอดแว่นออกมาเช็ดเลนส์ แบคฮยอนตักข้าวคำต่อไปเข้าปาก ฝืนกินมันเข้าไปเพราะของทุกอย่างในถาดล้วนแต่มาจากความเสี่ยงของทุกคนที่ออกไปหาอาหาร ถึงเขาจะไม่ชอบผักแต่กิมจิกระป๋องมันก็ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่ามันอร่อยแต่ก็ยังดีกว่าการกินข้าวเปล่าเป็นไหน ๆ ตอนนี้อาจจะยังไม่ชอบแต่ในอนาคตเขาต้องกินมันแบบไม่ต้องฝืนใจให้ได้
‘แบคฮยอนอา ผักมีประโยชน์นะ’
นึกถึงพี่ชายทีไรแล้วก็หงอยทุกที ตอนนี้บยอนแบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวบนโลก เขาไม่อยากอยู่คนเดียวและคิดว่ามินซอกเองก็คงรู้สึกแบบนี้ถึงได้ขึ้นมาชวนคุยทุกวัน แต่ดูเหมือนว่ามินซอกจะไม่ชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“...”
“มินซอกเกลียดฉันเหรอ?” แบคฮยอนถามทั้งที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับข้าวผัดที่เหลือในถาด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายเพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ คนเราก็แปลก...ทั้งที่รู้ว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหนแต่ก็เลือกที่จะถามมันออกไป
“ที่มินซอกไม่คุยแล้วก็เมินฉันแบบนี้เพราะโกรธเรื่องลู่หานใช่ไหม?”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันโกรธนายเรื่องลู่หาน?”
“คือฉันหมายความว่า...มินซอกยังโกรธเรื่องที่ฉันช่วยลู่หานเอาไว้ไม่ได้ใช่หรือเปล่า...” แบคฮยอนก้ม ๆ เงย ๆ เพราะกลัวสายตาอีกฝ่าย มินซอกแค่นหัวเราะแล้วหันไปมองอีกทาง จนถึงตอนนี้บยอนแบคฮยอนก็ยังขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
“เปล่าเลย”
“...”
“ฉันก็แค่รำคาญคนไม่เข้าใจโลกอย่างนายก็เท่านั้นเอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของเขาเลยสักนิด” ประโยคนี้ทำเอาแบคฮยอนจุกจนพูดไม่ออก คนตัวเล็กจ้องแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งตัว
“ที่นายขึ้นมาบนนี้ทุกวัน เล่าเรื่องบ้าบอคอแตก บรรยายว่าคนรอบข้างของนายช่างแสนดีแค่ไหนเพื่ออะไรเหรอบยอนแบคฮยอน?”
“...”
“เพื่อดึงเอาความสุขในอดีตกลับมาปลอบใจตัวเองหรือเพื่อแสดงให้ฉันเห็นว่านายมันอ่อนแอจนต้องมีคนคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลาเหมือนไข่ในหินหรือไงกัน?”
“...”
“แล้วนี่อะไร? มานั่งสำนึกผิด ร้องไห้ถึงพี่ชายที่จากไปแล้วกับผู้ชายคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตนายจนตัวเขาต้องตายแทน...เพื่อที่จะให้ฉันพูดว่า ‘อย่าเสียไปเลยน่ะ...มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย’ งั้นเหรอ? ตลกน่ะ...คำพูดพวกนั้นเอาไว้ให้ปาร์คชานยอลใช้กับนายคนเดียวเถอะ”
“...”
“อ้อ แล้วก็คนอื่น ๆ ที่มากับนายด้วย”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ากำลังร้องไห้ทั้งที่น้ำตาไม่ไหล คำพูดของคิมมินซอกเหมือนกับมีดเป็นร้อยเป็นพันเล่มที่กำลังทิ่มแทงร่างของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี แบคฮยอนกำชายเสื้อไว้แน่น มันเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
“งั้นฉันขอถามนายสักข้อสิ” มินซอกหันมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตาเรียวรีคู่นั้นที่ไม่มีเลนส์แว่นกั้นขวางกำลังมองมาที่เขา
“ว่าถ้านายเป็นลู่หานในตอนนั้น...นายจะยอมตายแทนเขาได้หรือเปล่าบยอนแบคฮยอน?”
ตึก ตึก ตึก!
“แบคฮยอน?”
ชานยอลเรียกรั้งท้ายคนตัวเล็กที่กำลังวิ่งลงไปข้างนอกตึกโดยที่ไม่สนใจหันกลับมามองเขาเลยสักนิด เทาที่กำลังตัดฟืนอยู่ก็ได้แต่มองตามด้วยความสงสัยจนกระทั่งแบคฮยอนหายเข้าไปในลานอเนกประสงค์
“นั่นน้องหงิมเพื่อนนายนี่” เทาหันไปพูดกับเซฮุนที่นั่งลับมีดอยู่ข้างหลัง ร่างบางชะเง้อหน้ามองแล้วก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่ใครอีกคนจะเลื่อนตัวออกมาจากใต้ท้องรถพร้อมกับปากที่คาบไฟฉายไว้อยู่
“ใครเป็นอะไร?” จงอินเอาไฟฉายออกแล้วชะเง้อมองตามซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นสีหน้างง ๆ ของเซฮุนกับเทา
“แบคฮยอนน่ะ”
“ใครไปว่าอะไรอีกล่ะนั่น” ร่างหนาหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมกับกระพือเสื้อไล่ความร้อนหลังจากใช้เวลาหมกมุ่นกับการเช็คตัวเครื่องอยู่นานสองนาน เซฮุนเห็นคราบน้ำมันเครื่องที่เลอะอยู่ตามมือกับใบหน้าจงอินแล้วก็ยื่นผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนเก้าอี้ไม้ให้
“นายไปดูหน่อยดิ สนิทกันนี่ได้ข่าว”
“คุณชานยอลไปดูแล้ว” เซฮุนตอบขณะมองอีกคนที่กำลังเช็ดหน้าเช็ดตา แต่สุดท้ายก็ต้องแย่งผ้าขนหนูมาจากมือหนาเพราะเห็นแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน
“อย่างกับเด็ก” พูดสั้น ๆ แต่คนได้ฟังถึงกับชะงัก จงอินขมวดคิ้วแล้วเบี่ยงหน้าหลบเมื่อเซฮุนกำลังเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา
“ว่าใครเด็ก เดี๋ยวปั๊ด! ถอยไปเลยไป เดี๋ยวเช็ดเอง” ร่างหนามองคาดโทษอีกฝ่ายแล้วทำท่าจะแย่งผ้าขนหนูคืนแต่เซฮุนยื้อเอาไว้
“ไม่อายเด็กเหรอครับ เช็ดหน้ายังไงคราบน้ำมันเครื่องยังติดอยู่เต็มไปหมดอย่างกับพวกทหารราบตอนไปรบ”
“เออ เท่ดี มันเป็นสไตล์ไม่รู้เหรอ?” แถไปหน้าด้าน ๆ แต่สุดท้ายก็ยืนนิ่งให้ร่างบางเช็ดให้อยู่ดี เดี๋ยวนี้โอเซฮุนชักจะแกร่งเกินไปแล้ว ไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้เถียงเขาฉอด ๆ แบบนี้
“โอ๊ย...เลี่ยนโว๊ย”
“...”
“...”
ทั้งสองคนหันไปมองบุคคลที่สามที่ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกเริ่ม เทายังคงเอาขวานเฉาะท่อนไม้ให้ขาดเป็นสองท่อน พอรู้ตัวว่าถูกทั้งคู่มองเทาก็เมินหน้าไปทางอื่นราวกับไม่สนใจ
“ไว้กูครางก่อนนะแล้วค่อยแซะ”
“อย่าเลยครับ ไม่อยากฟังเสียงหมาเยี่ยวใส่สังกะสี” เทาพูดจบก็อ้าปากหาวหวอด ๆ จงอินหรี่ตามองอีกคนแล้วก็คันตีนแบบมีสาเหตุ
“แล้วนั่นทำอะไร ฟืนเบี้ยวไปหมด นี่มึงรู้จักคำว่าเสถียรไหม?” หาเรื่องแม่งซะเลยเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดี
“ผ่าให้มันขาดออกจากกันได้ก็ดีถมถื่นแค่ไหนแล้ว ก่อนหน้านี้กูเป็นนักเรียนนะครับ ไม่ใช่กรรมกรหรือชาวสวนชาวไร่จะได้เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าฟืน”
“มันก็แค่ข้ออ้างของคนไม่มีความสามารถเท่านั้นล่ะวะ ถอยไปเลยเดี๋ยวพี่จะแสดงให้ดู” จงอินว่าแล้วเดินไปหาอีกคน เทายื่นด้ามขวานให้แล้วถอยหลังไปยืนล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อรอดูโชว์ของคนปากดี
ปั่ก!!!
“อุ่บ!”
“...”
ทั้งเทาทั้งเซฮุนเกือบหลุดหัวเราะออกมาหลังจากที่คนอวดดีพยายามโชว์เท่แต่ดันฟันพลาดจนขอนไม้บิ่นไปเล็กน้อย จงอินค้างอยู่ท่านั้น รู้สึกเหมือนมีใครเอาก้อนหินมาทุบหัวทันทีที่เห็นเศษไม้กระเด็นตกลงมาอยู่หน้ารองเท้าของเขา เซฮุนเม้มปากแน่นเมื่อจงอินหันมามองคาดโทษ
เวรเอ๊ย...จะโชว์เหนือสักหน่อย
“เห้ย ไม่มีความสามารถจริง ๆ ผ่าฟืนให้บิ่นแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย” หลังจากพูดจบเทาก็หัวเราะออกมา จงอินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มก่อนจะวางขวานลงแล้วเอามือทั้งสองข้างถากขากางเกงรัว ๆ
“เมื่อกี้มันลื่นคราบน้ำมันเครื่องหรอก”
“เออ จะคราบน้ำอะไรก็เอาเถอะ กูอยากดูคนมีความสามารถโชว์เด็ดแล้ว”
“เอาผ้าไหมครับจงอิน?”
“เงียบไปเลย” จงอินหันไปชี้หน้าคาดโทษร่างบางที่ยื่นผ้ามาให้เขาด้วยสีหน้ากลั้นขำสุดชีวิต ไม่รู้ว่ามันมีอะไรน่าตลก ก็แค่บิ่นนิด ๆ หน่อย ๆ คนเรามันต้องเคยผิดพลาดกันมาก่อนทั้งนั้นป่ะวะถึงจะประสบความสำเร็จ
ชานยอลเดินเข้าไปในลานอเนกประสงค์แล้วก็เห็นแบคฮยอนกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ข้าง ๆ เจ้าหมาโกลเด้นที่เพิ่งพามันเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน ร่างสูงยืนนิ่งอยู่แค่ครู่เดียวก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาแบคฮยอนพร้อมกับรอยยิ้ม
“เมื่อกี้ผมเรียกคุณ ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า”
“...อ๋อ” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง ได้ยินเสียงของชานยอลชัดเต็มสองหู แต่ขามันกลับพาวิ่งหนีออกมาถึงที่นี่ ชานยอลนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าคนตัวเล็กพลางมองไปยังลูกหมาที่กำลังปรือตามองพร้อมกับแลบลิ้นเมื่อถูกลูบหัว
“แม่เคยบอกผมว่าหมาเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์กับมนุษย์มากที่สุด มันไม่เคยด่า ไม่เคยทำให้เสียใจ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะจริง คุณถึงได้เลือกที่จะอยู่กับมันในเวลาที่รู้สึกไม่ดี” ร่างสูงยิ้มบาง ๆ
“ที่ประชุมกันไว้ จงอินสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้มันเกินห้าเมตรแต่ผมก็ยังแหกกฎ” แบคฮยอนหัวเราะ “คุณจะมาดุผมใช่ไหมล่ะ”
“...”
“แต่ถ้าผมจะถูกมันกัดจริง ๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก คุณก็แค่เล็งปืนมาตรงนี้ แล้วเหนี่ยวไก” แบคฮยอนทำมือเป็นรูบปืนจ่อที่หน้าผากตัวเอง ร่างสูงลดสีหน้าลงเมื่อเห็นคนตัวเล็กเริ่มพูดจาออกนอกทะเลไปไกลจนไม่หลงเหลือบยอนแบคฮยอนคนเดิม
“คุณอยากเล่าให้ผมฟังไหมครับ?”
“...”
ชานยอลนั่งลงกับพื้นพร้อมกับดีดนิ้วเรียกเจ้าโกลเด้นที่นอนอยู่ให้เข้ามาหา ในทีแรกมันดูลังเลอยู่แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นไปนั่งอยู่ตรงหน้าร่างสูงพร้อมกับเอาคางเกยหน้าขาแกร่งเอาไว้ราวกับกำลังอ้อนขอความรักจากเจ้านาย แบคฮยอนมองภาพตรงหน้าแล้วก็นึกอิจฉาไม่น้อย
“ดูสิ ขนาดหมายังรักคุณเลย”
“เพราะผมเป็นคนเดียวที่อยู่กับมันน่ะ ถ้าคุณมาเล่นกับมันบ่อย ๆ ผมเชื่อว่ามันต้องสนิทใจกับคุณเข้าสักวัน” ชานยอลยิ้มพร้อมกับลูบหัวลูกหมา
“อาจจะไม่ก็ได้”
“...”
“ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนผมหรอก แม้กระทั่งลูกหมาตัวนี้”
“...”
“ผมเป็นตัวปัญหา ผมเบื่อตัวเองครับชานยอล” แบคฮยอนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ็บปวดหากแต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
“ผมไม่มีเพื่อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณคิดว่าผมควรจะชินใช่ไหมล่ะ ใช่...แต่ทำไมผมถึงไม่ชินสักที? ผมเคยบอกตัวเองให้ชินตอนที่ยังมีพี่แบคโฮอยู่ข้าง ๆ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยทิ้งให้ผมอยู่ตามลำพัง”
“...”
“คุณอาจจะคิดว่าแล้วยังไงล่ะ ผมมันก็แค่เด็กติดพี่ชายที่ไม่รู้จักโตเรียกร้องหาความรักอยู่ได้ ก็ใช่สิ...พวกคุณเคยได้รับในสิ่งที่ผมไม่เคยได้มาตลอดชีวิต พวกคุณเคยมีเพื่อนที่เคยหัวเราะ เคยใช้เวลาด้วยกัน เคยทำอะไรสนุกร่วมกันมาแล้ว ทุกคนถูกเติมเต็มทุกอย่าง แต่ผมไม่”
ชานยอลเงียบและปล่อยให้แบคฮยอนระบายออกมาจนหมด เขานั่งมองคนตรงหน้าที่กำลังพ่นความในใจออกมาราวกับอัดอั้นมานาน
“ผมไม่เคยมีความกล้าที่จะเข้าหาคนอื่น ทั้งที่อยากเป็นเพื่อนด้วย แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือคำพูดถากถางและแววตารังเกียจ”
“...”
“อยู่เฉย ๆ ก็ดูไร้ค่า พอจะยืนด้วยขาตัวเองก็ทำให้เพื่อนตายอีก ผมทำอะไรได้บ้างเหรอ? แค่ขยับตัวก็ผิดไปหมด”
“...”
“ต่อไปนี้คุณไม่ต้องปกป้องผมแล้วล่ะ ไม่ต้องพะวงว่าผมจะอยู่ไหน ทำอะไร ว่าที่ ๆ ผมยืนอยู่มันอันตรายแค่ไหน ถ้าผมจะตายก็ให้ผมตายเพราะความโง่ของตัวเองหรือไม่ก็ตายอย่างมีค่าแทนคนอื่นก็ได้ ผมไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกแล้ว”
“ครับ”
“ผมพูดอะไรออกไปนะ...ทั้งที่ยังไงซะคุณก็ไม่มีทางเข้าใจ” แบคฮยอนเสหน้าหันไปมองทางอื่น ไม่รู้ว่าจะพูดไปทำไม ในเมื่อพูดไปแล้วก็มีค่าเท่าเดิม ไม่มีใครเข้าใจถึงความพยายามของบยอนแบคฮยอน ไม่มีใครเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง
“ทำไมถึงคิดว่าผมไม่เข้าใจคุณ”
“เพราะคุณไม่ได้ยืนอยู่จุดเดียวกับผมในตอนนี้ไง”
“...”
“คุณกลับไปนอนห้องของคุณได้แล้วล่ะ ผมจะไม่งี่เง่าร้องขอให้คุณมาอยู่เป็นเพื่อนอีก ก็ให้มันรู้ไป...ว่าความมืดและความเงียบตอนกลางคืนมันจะฆ่าผมให้ตายได้ไหม” ประโยคตัดพ้อแบบนี้อาจทำให้หงุดหงิดได้ถ้าคนตรงหน้าบยอนแบคฮยอนไม่ใช่ปาร์คชานยอล ร่างสูงยังคงมองคนตัวเล็กที่ยังคงระบายความในใจออกมาโดยไม่มีการตอบโต้ใด ๆ
“ไม่ต้องปกป้องคนอย่างผมอีก ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมก็ปล่อยให้มันเป็นไปเถอะ”
“ถ้าจะเอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ก่อนที่จะให้ผมปล่อย...คุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อน”
“...” แบคฮยอนค่อย ๆ หันมามองคนตรงหน้าที่กำลังจ้องเขาอยู่ ชานยอลลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วยื่นมือมาตรงหน้า ร่างเล็กได้มองมือแกร่งสลับกับใบหน้าอีกคนอย่างไม่เข้าใจ
“ลุกขึ้นมาสิ ผมจะพาคุณไปเรียนยิงปืนข้างนอก”
บนเรือจับปลาที่ได้ยินเพียงแค่เสียงน้ำกระทบฝั่งกับเสียงหมุนเบ็ดของชายหนุ่มเจ้าสำราญ ลู่หานมองสองพ่อลูกที่แต่งองค์ทรงเครื่องเวิ่นเว้อเหมือนกับทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติ คนเป็นพ่อใส่เสื้อเชิร์ตลายดอกกับกางเกงขาสั้นพร้อมกับแว่นเรย์แบนและหมวกฟางแต่ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น ส่วนคนเป็นลูกนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างกับถอดรูปกันมาเป๊ะ ๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมกำลังหาของขวัญให้คุณเป็นการส่งท้ายอยู่นะ” ร่างสูงพูดขณะที่ยังคาบไปป์ไว้ในปาก ซูโฮหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหัวเรือแล้วก็นึกขำเพราะลู่หานก็อยู่ในคอสตูมเดียวกับเขาทั้งคู่
“ของขวัญอะไร?”
“ปลาไงครับ! ก็พี่ไม่อยากได้นาฬิกา ไม่อยากได้เสื้อผ้าแบรนด์เนม พ่อก็เลยพามาตกปลานี่ไง โอ๊ะ!! พ่อครับ ปลากินเบ็ดแล้ว!!” ซูโฮเบิกตาโพลงพร้อมกับรีบหมุนเบ็ด คนเป็นพ่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบหันมาช่วยดึงจนกระทั่งปลาตัวใหญ่กว่าฝ่ามือลอยขึ้นพ้นผืนน้ำ
“โว้ว ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”
“ฮ่า ๆ เห็นไหมล่ะว่าผมทำได้”
เสียงเยินยอของสองพ่อลูกดังเข้ามาในโสตประสาทไม่ได้ขาดช่วง ลู่หานเอนหลังนอนราบลงกับเรือแล้วหลับตาลง อากาศเย็นสบายชวนให้ง่วงเหงาหาวนอน พอลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นก็คือท้องฟ้าสีเข้มกับก้อนเมฆสีขาวปนเทา
ทั้งที่เพิ่งจะแดดออกเมื่อไม่นานนี้แท้ ๆ แต่ฝนก็ทำท่าจะตกลงมาอีกแล้ว ก็แน่ล่ะเพราะนี่ยังอยู่ในฤดูฝน แต่พอมองเห็นท้องฟ้าทีไรมันก็ทำให้เขานึกถึงคน ๆ หนึ่งทุกครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยเท่ากับตอนที่คิดถึงแบคฮยอนก็เถอะ
“ถ้าพี่กลับไปถึงโรงเรียนแล้วจะทำยังไงต่อ พวกเขาคงคิดว่าพี่เป็นพวกผีดิบแน่ ๆ” ซูโฮพูดพร้อมกับเหวี่ยงเบ็ดลงไปในน้ำอีกครั้ง
“เออ กลัวแม่งเอาขวานเฉาะหัวมาก”
“ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าคุณกลับไปถึงแล้วจะไปหาใครก่อนระหว่างคนที่ชอบกับคนที่ชอบมากกว่า”
เป็นอีกครั้งที่ชเวซีวอนต่อยหน้าเขาด้วยคำพูด ลู่หานหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมกับนั่งชันขาขึ้นทั้งสองข้าง ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของร่างโปร่ง
หลายวันนี้รู้สึกว่าชเวซีวอนจะเอาเรื่องความรักของเขามากวนตีนอย่างหนัก ปกติหน้าหล่อ ๆ ของมันก็กวนส้นตีนอยู่แล้วยิ่งมีไปป์มาเป็นพร๊อบอีกยิ่งน่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่
“ก็ต้องไปหาคนที่ชอบมากกว่าอยู่แล้วสิครับ พ่อไม่น่าถามเลย”
“อ่า...พ่อขอโทษครับลูก”
“...”
บางทีเขาก็ลืมนับไอ้เด็กซูโฮนี่เข้าไปอีกคน
“แต่ผมว่าคุณน่าจะลองดูสักตั้งนะลู่หาน”
“หะ?”
“สารภาพรักไปเลยสิ ต่อให้แบคฮยอนอาจจะมีใจให้พ่อหนุ่มม่ายขันหมากนั่นก็เถอะ แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของสองคนนั้นยังไม่คืบหน้า คุณก็ควรทำให้อีกฝ่ายไปไหนไม่ได้หลังจากรับรู้ถึงความรู้สึกของคุณแล้วสิ”
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าทำให้อีกฝ่ายไปไหนไม่ได้หลังจากได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผมแล้ว?”
“ก็หมายความว่าถ้าคุณสารภาพรักไปเมื่อไหร่ แบคฮยอนก็จะไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้เพราะเกรงใจคุณ จะเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ หนุ่มม่ายขันหมากก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าคุณจะรู้สึกยังไง คุณชอบเขาอยู่นะ ทำแบบนั้นแล้วคุณจะเสียใจหรือเปล่า? ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าเขาต้องแคร์ความรู้สึกของคุณ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา ‘อาจจะ’ ไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลยก็ตาม”
ประโยคหลังนี่เหมือนถูกหอกแทงกลางอก...
“ตรงไปไหมครับพ่อ”
“อ้อมค้อมไปก็เท่านั้นลูก ความจริงมันเจ็บกว่านี้หลายเท่า” ซีวอนหัวเราะ
“...”
“รักแท้แพ้ใกล้ชิดกับตื้อเท่านั้นที่ครองโลก สองประโยคนี้คุณควรลองเอาไปใช้สักอย่างนะ ทำให้มันชัดเจนดีกว่าอยู่กับความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ ความรักก็เหมือนกับธุรกิจ มันต้องมีการลงทุน จะได้กำไรหรือขาดทุนมันอยู่ที่ว่าคุณกล้าที่จะเสี่ยงหรือเปล่า? ถ้าบอกไปแล้วสมหวังก็มีแต่ความสุขแต่ถ้าผิดหวังก็แค่อกหัก มันเป็นเรื่องธรรมชาติของความรักอยู่แล้ว”
“เรื่องใกล้ชิดคงหมดหวังว่ะคุณ เดี๋ยวนี้หาจังหวะอยู่ด้วยกันสองต่อสองยากเหลือเกิน” ลู่หานทำหน้าเนือย
“จะลงทุนก็ต้องมีการวางแผน ถึงมันจะดูชั่วไปสักนิด แต่คุณจะไม่สามารถหาเรื่องแยกเขาออกจากแบคฮยอนได้เลยหรือไง?” ซีวอนพูดกลั้วหัวเราะ
“...”
“อย่างเช่น...หนุ่มม่ายขันหมากนั่นชื่ออะไรนะ?”
“ชานยอล”
“อ่า นั่นแหละ...อย่างเช่นหาเรื่องให้ชานยอลออกไปข้างนอก หรือไม่ก็ใช้สูตรโง่ ๆ ว่ามีคนเรียกให้ไปหา แค่นั้นเขาก็แยกจากแบคฮยอนได้แล้ว” แผนชั่วที่มาจากคนชั่ว ๆ ทำให้ลู่หานเก็บเรื่องนี้มาคิดเป็นจริงเป็นจัง
ถึงรู้ว่ามันเป็นวิธีสกปรกแต่มันก็ถูกอย่างที่ซีวอนพูดว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่างดีกว่าปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปแบบนี้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย
“คุณมีเมียมาแล้วกี่คน”
“โอ้...เล่นถามแบบนี้ต่อหน้าลูกผมเลยเหรอ...” ซีวอนลดสีหน้าลงก่อนจะหันไปมองลูกชายที่กำลังหรี่ตามองจับผิด
“พ่อครับ...”
“ใส่หูฟังไว้ลูก” ซีวอนยื่นหูฟังให้แต่กลับถูกลูกชายปัดจนตกลงบนเรือ
“พ่อจะพกมันไว้ทำไมเนี่ย! เห็น ๆ อยู่ว่ามันแบตหมดเป็นชาติแล้ว!” ซูโฮขมวดคิ้วมองซีวอนอย่างหัวเสีย
“ให้ตายเถอะ! พ่อเคยตัวไปแล้วว่าต้องโทรติดต่องานกับบริษัทอื่น บ้าเอ๊ย! ไอ้มือถือเฮงซวย!” ซีวอนปามือถือราคาแพงไปกลางทะเลจนได้ยินเสียงดังจ๋อม ซูโฮยังคงหรี่ตามองคนเป็นพ่อที่ดูยังไงก็รู้ว่ากำลังพยายามแถไปเรื่องอื่น
“แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็เชียร์ให้คุณบอกรักแบคฮยอนนะ เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตจะตายวันตายพรุ่ง อย่างตอนที่คุณเจ็บหนักถ้าผมไม่ไปเจอคุณก็คงเป็นผีเฝ้าตรอกนั่นไปแล้วและคงไม่มีโอกาสได้กลับไปสารภาพรักกับเขาหรอก”
“ท่าทางคุณจะเชียร์ผมเหลือเกินนะซีวอน”
“ผมก็เชียร์นะ แต่เชียร์มินซอก” ซูโฮพูดแล้วชายหนุ่มอีกสองคนก็หันไปมองเด็กที่อายุน้อยสุดพร้อมกัน “จากที่ฟังพี่เล่า...แบคฮยอนยังมีคนอื่นคอยดูแลแต่มินซอกไม่มีใครเลย ไหนจะใช้เวลาทั้งวันอยู่บนดาดฟ้าอีก ไม่เบื่อไม่เหงาให้มันรู้ไปสิ”
“...”
“ถ้าพี่จะเลือกแบคฮยอน พี่ต้องปล่อยมินซอกนะ เขาน่าสงสารอ่ะ”
“ซูโฮอย่าไปกดดันพี่เขาแบบนั้นสิลูก เพราะถ้าลู่หานจะควบสองจริง ๆ มันจะเป็นกำไรในชีวิตเลยนะ”
“เหมือนที่พ่อทำใช่ไหมครับ -_-”
“คนเราควรจะรักเดียวใจเดียวถึงจะดีที่สุดอย่างที่ลูกว่านั่นแหละ” ซีวอนพูดหน้านิ่งแล้วหันกลับไปคาบไปป์ต่อ ลู่หานนั่งใช้ความคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำไมเขาถึงรู้สึกกลัวกับการกลับไปครั้งนี้นะ?
ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าจะกลับไปหาแบคฮยอน แต่พอนึกถึงมินซอกแล้วก็รู้สึกผิด จริงอยู่ที่มินซอกอาจจะไม่ได้ชอบเขา แต่สิ่งที่กวนใจผู้ชายที่ชื่อลู่หานมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือรสจูบครั้งนั้นที่เกิดขึ้นเพราะความงี่เง่าของเขาเอง
ยังไงก็ต้องไปขอโทษ...
“แค่เอาชีวิตรอดไปวัน ๆ มันคงไม่พอจริง ๆ สินะ” ลู่หานพึมพำก่อนจะหลับตาลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้แค่คิดว่าจะต้องทำยังไงถึงจะผ่านวัน ๆ นึงไปได้ จะทำยังไงถึงจะมีอาหารกินในมื้อถัดไปเท่านั้นแท้ ๆ
ตั้งแต่เริ่มมีความรัก อะไร ๆ ก็ดูยุ่งยากไปหมด...
“พวกคุณไม่ต้องมานั่งตกปลาให้เสียเวลาก็ได้นะ แค่ไปส่งผมตรงทางเข้าโรงเรียนก็พอ”
“โธ่...ผมก็อยากให้อะไรคุณติดไม้ติดมือไปบ้าง อีกอย่าง...พระเจ้าได้ผลักเราให้มาเจอกันทั้งที จะจากไปแบบไร้เยื่อใยเลยก็ยังไงอยู่ ผมว่าเราควรจะใช้เวลาด้วยกันให้คุ้มค่าจวบจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายนะ” ซีวอนพูด ลู่หานแค่นหัวเราะแล้วมองปลาในถังน้ำที่ตกมาได้เกือบครึ่งแล้ว
“จะเอาไปต้ม ไปย่าง เอาไปทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แต่ทานปลาดิบก็ดีต่อสุขภาพนะครับ” ซูโฮพูดเสริม
“พวกคุณน่าจะเก็บไว้กินเอง การหาอาหารในตอนนี้เป็นเรื่องลำบากพวกคุณก็รู้ดี” พอมานึกดูแล้วสองคนนี้จัดว่าเป็นคนดีในระดับหนึ่งถ้าไม่ติดว่าชอบทำตัวบ้าบิ่นไปในบางครั้ง จะมีสักกี่คนที่คิดจะช่วยคนที่กำลังลำบากในสภาวะแบบนั้น ไหนจะดูแล หาข้าวหาน้ำให้กินอีก
“ลืมคติประจำใจของเราสองคนไปแล้วเหรอ?” ซีวอนพูดทั้งที่สายตายังคงทอดมองไปยังทะเลกว้างก่อนจะหันมายิ้มให้คนที่นั่งอยู่ตรงหัวเรือ “ว่าเรื่องหิวมันเป็นเรื่องของอนาคต”
“...”
“จากที่ฟังพี่คงลำบากกว่าเราเยอะเพราะต้องหาของกินของใช้ไปให้นักเรียนตั้งห้าสิบกว่าคน ปลาในถังนี่ก็ใช่ว่าจะพอกิน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กินอะไรเลยล่ะนะ” ซูโฮยิ้ม
“หลังจากที่เราแยกกันแล้วพวกคุณจะไปไหนกันต่อเหรอซีวอน?”
“อาจจะชมวิวอยู่แถวนี้อีกสักอาทิตย์แล้วค่อยกลับบ้านที่โซล ป่านนี้แม่บ้านคงอู้ไม่ยอมปัดกวาดทำความสะอาดจนบ้านผมมีแต่เศษฝุ่นกับหยากไย่เต็มไปหมดแล้ว” ร่างสูงหัวเราะ
“คุณคงรวยมาก”
“ไม่หรอกครับ ก็พอมีอยู่มีกินไปวัน ๆ ” ซูโฮหันมาตอบ
“ไว้ถ้าโลกกลับไปเป็นเหมือนเดิมเมื่อไหร่ ผมจะไปปล้นบ้านคุณหลังแรก เขียนที่อยู่ไว้ให้ด้วยนะ”
“รีบมาล่ะ แล้วจะเปิดประตูรอพร้อมปูพรมแดงให้” ทั้งสามคนหัวเราะเบา ๆ แม้ว่าจะไม่หันมามองหน้ากันเลย
ช่วงเวลาครึ่งเดือนที่อยู่กับสองพ่อลูกคู่นี้มันทำให้ผู้ชายที่ชื่อลู่หานคิดอะไรได้มากมาย ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต มุมมองความคิดเห็นของคนอื่นไปจนถึงเรื่องความรัก เขาเคยคิดมาตลอดว่าชีวิตมันคงไม่มีอะไรมากมายนัก แค่ใช้เวลาให้ผ่านไปวัน ๆ ก็คงจบ จนกระทั่งที่คนอย่างเขาได้รู้จักกับคำว่าความรัก มิตรภาพ ความตาย การลาจากและความคิดถึง
แค่นั้นแหละ...ที่ทำให้คำว่าชีวิตมันมีความหมายมากขึ้น
รถยนต์คันสีดำจอดลงตรงช่องจอดรถในสวนสาธารณะร้างที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่าไหร่ กว่าจะออกมาได้ต้องปล่อยให้จงอินยืนบ่นจนหูแทบชาไปข้างจนกระทั่งชานยอลออกปากรับผิดชอบนั่นแหละจงอินถึงได้ยอม
แบคฮยอนปลดเข็มขัดนิรภัยในขณะที่ชานยอลเดินไปเปิดท้ายรถพร้อมกับเลือกปืนที่เหมาะสมกับคนตัวเล็ก แบคฮยอนเดินลงมาพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นตัวกินคนเดินอยู่ในสวนประปราย พวกมันไม่ได้อยู่กันเป็นฝูงจนน่ากลัว
หมายถึงในระยะสายตาที่เขามองเห็นน่ะนะ...
“มันน่าจะเหมาะกับคุณ” ร่างสูงวางปืนพกลงจนมือเล็กแทบทรุดเพราะความหนักของมัน ชานยอลหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของคนตรงหน้า
“ทำไมมันหนักกว่าอันที่ผมเคยลองในโรงเรียนล่ะ” แบคฮยอนถามพร้อมกับทดลองตั้งท่าเล็งเป้าไปข้างหน้า
“ความหนักของปืนจะทำให้ทรงตัวได้ดียิ่งขึ้นนะ”
“เหมือนกับยกเวทเลย”
“หืม? คุณเคยด้วยเหรอ?”
“ของพี่แบคโฮน่ะ ผมเคยลองเล่นตามเขาอยู่ครั้งนึง โหมยกไปกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาแล้วปวดแขนมากเลยล่ะ” ชานยอลยิ้มขำขณะที่แบคฮยอนยังคงพยายามตั้งท่าเล็งปืนในท่าที่เหมาะสม
“คุณลุงแก่ ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นท่าทางจะเดินช้ากว่าตัวอื่น ผมว่าเราเริ่มต้นจากเขาน่าจะดี” ชานยอลชี้ไปยังตัวกินคนชายแก่ที่เดินอืดอาดอยู่ทางด้านซ้ายมือ แบคฮยอนเม้มปากแน่นพร้อมกับพยักหน้าหลังจากทำใจตั้งแต่ขึ้นมาบนรถแล้ว
ทั้งคู่เดินไปอย่างเงียบเชียบ ข้างซ้ายมีต้นไม้กับหญ้าสีเขียวและเศษใบไม้แห้งที่ร่วงลงมาเต็มไปหมดและม้านั่งไม้สีเข้มที่มีแต่เศษฝุ่นเกรอะกรัง ส่วนทางด้านขวาคือแม้น้ำที่กว้างขวางไปเกือบสุดลูกหูลูกตาพร้อมกับเรือถีบที่ลอยออกจากฝั่ง
“พร้อมหรือยังครับ?”
“อื้อ” แบคฮยอนพยักหน้าแล้วเล็งปืนไปยังผีดิบชายแก่คนนั้น คนตัวเล็กเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงชานยอลผิวปากเรียกความสนใจให้มันหันมาทางนี้ ใบหน้าเละกับริมฝีปากปากที่เหวอะกว้างนั่นทำให้แบคฮยอนตกใจจนไม่กล้าเหนี่ยวไก
“มีสติหน่อย” ร่างสูงพูดเสียงเรียบขณะยืนขนาบข้างคนตัวเล็ก ตัวกินคนที่เดินอืดอาด เซซ้ายเซขวากำลังร้องโหยหวนมาทางนี้ ชานยอลหลุบสายตามองมือเล็กที่กำลังสั่นเทาแล้วก็ต้องเตือนสติอีกครั้ง
“แบคฮยอน ถ้าคุณไม่ยิงตอนนี้ตัวกินคนที่อยู่ข้างหลังอีกสามตัวมันจะเข้ามากัดผม” ร่างสูงโน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้างหูอีกคนเบา ๆ จนกระทั่งเจ้าตัวเหนี่ยวไกปืน
ปัง! ปัง!
ริมฝีปากหยักยิ้มพอใจเมื่อตัวกินคนทรุดลงไปกับพื้นซีเมนต์ที่ก่อนหน้านี้เคยมีเอาไว้เป็นทางสำหรับจักรยาน แม้ว่าแบคฮยอนจะเล็งพลาดไปในครั้งแรกแต่ครั้งที่สองเขาก็ยิงเข้ากลางหน้าผากมันพอดี
“คุณทำดีแล้ว ต่อไปให้มีสติมากกว่านี้เพราะพวกมันไม่ได้มีกันแค่ตัวเดียว มันอยู่ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และกำลังจะกัดเพื่อนของคุณ”
“ครับ...” แบคฮยอนหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งใจฟังคำบอกสอนของร่างสูง ถ้าตัวกินคนเพียงแค่ตัวเดียวเขายังกลัวแบบนี้ อนาคตคงปกป้องใครไม่ได้แน่
“คุณเคยสู้กับพวกมันมาแล้วนี่ แถมออกไปตัวคนเดียวด้วย” ชานยอลยิ้มให้กำลังใจแบคฮยอนขณะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน พอได้ยินแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาสติแตกวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อตามหาหมอสักคนให้มาช่วยแบคโฮอย่างไร้ความหวัง
“คุณลุงคนเมื่อกี้แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คุณรู้ใช่ไหมว่าพวกมันมีหลายประเภท ทั้งเดินช้าอืดอาดและเร็วมากเหมือนนักวิ่งทีมชาติ”
“ครับ ผมรู้” แบคฮยอนพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นตัวกินคนสามตัวเดินออกมาจากพุ่มไม้ในสวน ชานยอลควักปืนขึ้นมาแต่ยังไม่ทันเล็งเป้าก็ต้องค้างอยู่ท่านั้นเมื่อเห็นแบคฮยอนเดินไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับเล็งไปยังตัวกินคนที่กำลังเดินมาทางนี้ด้วยระดับความเร็วปกติ
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!
ไม่รู้กี่นัดที่แบคฮยอนรัวเหนี่ยวไกออกไปแต่นั่นก็แสดงให้เห็นได้ว่าคนตัวเล็กใจไม่นิ่งพออย่างที่เขาได้เตือนไปก่อนหน้านี้ ชานยอลหันไปมองระวังหลังให้พอหันกลับมาอีกทีพวกมันก็ตายหมดแล้วในระยะที่ใกล้พอสมควร
“คุณคงอยากบอกให้ผมใจเย็นมากกว่านี้”
“ใช่ เพราะถ้ามันมากันเยอะคุณคงเปลี่ยนแม็กกาซีนไม่ทัน”
“...” แบคฮยอนรู้สึกท้อกับความสามารถของเขาและเอาแต่ก่นด่าความโง่เง่าของตัวเองที่สอนเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จักจำ
“แบคฮยอน ข้างหน้าคุณ”
คนตัวเล็กเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวกินคนวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ชานยอลควักปืนออกมาปลดเซฟตี้เตรียมพร้อมในสถานการณ์ฉุกเฉิน แบคฮยอนมือสั่นเพราะทำอะไรไม่ถูกเพราะมันวิ่งเข้ามาใกล้ทุกที
“อีกสามร้อยเมตรมันจะเข้ามาถึงตัวคุณแล้วแบคฮยอน”
ปัง!!
“...!!!”
คนตัวเล็กหลับตาลงหลังจากเหนี่ยวไกไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ทำได้แค่ให้มันหยุดชะงักเท่านั้นเพราะกระสุนเข้าไปตรงกลางอกข้างขวาของมัน แบคฮยอนเลิกลั่กทำตัวไม่ถูกแล้วยิงออกไปอีกนัดแต่ก็พลาดอีก ร่างเล็กยิงไม่ยั้งแต่ก็ไม่เข้ากลางหัวเป้าหมายสักทีเพราะความกดดันทุกอย่างกำลังขับไล่สมาธิที่เคยมีอยู่น้อยนิดให้เลือนหายไปหมดสิ้น
แกร่ก ๆ แกร่ก ๆ
เสียงเหนี่ยวไกไม่ออกเป็นเชิงบอกให้คนตัวเล็กรีบคว้าแม็กกาซีนอันใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนให้เร็วที่สุด แบคฮยอนลนลานล้วงกระเป๋ากางเกงหาแม็กกาซีนสำรองขึ้นมาใส่ทั้งที่มือยังคงสั่นไม่หยุดพร้อมกับเงยหน้ามองตัวกินคนที่กำลังวิ่งมาเป็นระยะ
“ชานยอล...”
“อีกสองร้อยเมตร”
“!!!”
“ตอนนี้เซฮุนกับอี้ฟานกำลังจะถูกกัด ถ้าคุณยังยิงไม่โดนแบบนี้พวกเขาจะต้องตาย”
“...”
“รวมถึงตัวผมด้วย”
ปัง!!!
“อึ่ก...!!!”
ร่างผีดิบร่วงลงไปกับพื้นในระยะเกือบเข้ามาถึงตัวเขา แบคฮยอนใจหายวูบเมื่อความตายเข้ามาใกล้จมูกแค่นี้ คนตัวเล็กลดปืนลงก่อนจะหันไปมองคนข้าง ๆ ที่วางมือลงบนไหล่เขา แบคฮยอนเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินกลับทั้งที่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น
“แบคฮยอน”
“...”
“แบคฮยอน!” ร่างสูงคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ให้หันกลับมามองหน้ากัน คนตัวเล็กพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล
“คุณไม่ได้สนใจเลยใช่ไหมว่าผมอาจจะถูกกัด” แบคฮยอนยังคงดันทุรังแกะมือแกร่งออกหากแต่คนตัวสูงกลับยืนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มันคือความตั้งใจของคุณไม่ใช่เหรอ?”
“...”
“ในเมื่อตั้งใจยืนด้วยขาของตัวเอง คุณจะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้หรอกนะ เพราะในสถานการณ์จริงมันคงไม่ได้มากันทีละตัวสองตัวแบบนี้ คุณต้องมีสติให้มากเพื่อกำจัดพวกมันที่กำลังจะเข้ามาหาคุณและเพื่อนของคุณด้วย”
“...”
“พอถึงตอนนั้นคุณจะหันไปคาดโทษเพื่อนของคุณแบบนี้ทั้งที่เขากำลังแย่เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ?” คำพูดของปาร์คชานยอลทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาเพียงเพราะความเอาแต่ใจของเขา แบคฮยอนค่อย ๆ ผ่อนแรงลงและปล่อยให้อีกคนจับข้อมือไว้โดยที่ไม่มีการขัดขืนอะไรอีก
นั่นสินะ...ทั้งที่ตั้งใจลองฮึดสู้สักครั้งแท้ ๆ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ เขาก็ยังหวังให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่ดี
“ถ้าคุณจะโกรธ ผมก็ไม่ว่าอะไร” ร่างสูงยิ้มซึ่งดูแล้วมันต่างไปจากทุกครั้ง แบคฮยอนยังคงยืนอยู่ที่เดิมในขณะที่ชานยอลเดินกลับไปแล้ว ร่างเล็กเม้มริมฝีปากแน่นแล้วปาดน้ำตาออกลวก ๆ เขานี่มันเหลือทนจริง ๆ ที่ผิดหวังกับตัวเองก็ว่าแย่พอแล้วยังมีหน้าไปพาลชานยอลแบบนั้นอีก...
แบคฮยอนรีบวิ่งตามหลังร่างสูงที่เดินทิ้งห่างไปไกลพอสมควร แต่พอไปถึงก็ต้องหยุดกระทันหันเมื่อเห็นตัวกินคนสามตัวนอนอยู่บนพื้นซึ่งดูการแต่งตัวแล้วคนหนึ่งคงเป็นเจ้าบ่าวและอีกคนน่าจะเป็นช่างภาพเพราะเห็นมีซากขาตั้งกล้องกับฉากที่อยู่ทางด้านหลัง ดูเหมือนว่าเมื่อก่อนจะมีการถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันตรงนั้น
แต่ที่ทำให้ต้องตกใจก็คือร่างสูงที่กำลังเล็งปืนไปตรงหน้าและมีตัวกินคนในชุดเจ้าสาวโชกเลือดกำลังเดินเข้าไปหา แบคฮยอนมองทั้งคู่สลับกันไปมาหากแต่ปาร์คชานยอลกลับยืนนั่งราวกับเวลาหยุดหมุน สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวดกับภาพที่เห็นนั่นพอจะทำให้เขาจับต้นชนปลายได้ถูก
“ช...ชานยอล!!!”
เด็กหนุ่มตะโกนเรียกสติอีกฝ่ายก่อนจะหันกลับไปยิงตัวกินคนที่วิ่งมาหาเขาจากทางด้านซ้ายให้ตายภายในสามนัด แบคฮยอนหันไปมองร่างสูงอีกครั้งแล้วก็คิดว่ามันคงไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้ชานยอลเป็นคนลงมือยิงเธอเอง
สุดท้ายแบคฮยอนก็เล็งปืนไปยังเป้าหมายแล้วเหนียวไก ร่างผีดิบสาวเซล้มลงไปกับพื้นหญ้าพร้อมกับกระโปรงบานสีขาวที่สยายออก ชานยอลยังคงค้างอยู่ในท่านั้นแม้ว่าสายตาของเขายังคงจดจ้องไปยังร่างไร้วิญญาณของเธอ
“...”
“...”
ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งคู่ ชานยอลกำลังช็อกกับภาพตรงหน้าจนไม่สามารถเรียกสติตัวเองกลับมาได้ในตอนนี้
“คุณเพิ่งบอกให้ผมมีสติ...”
“...”
ภาพของอีโฮจองซ้อนทับขึ้นมาทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอีกครั้ง ปาร์คชานยอลไม่มีคำพูดดี ๆ ที่จะอธิบายให้บยอนแบคฮยอนฟังได้เลย ทั้งที่คิดว่าความเจ็บปวดมันจะเลือนหายไปตามกาลเวลา และเหลือไว้เพียงความทรงจำดี ๆ ให้คิดถึง
“ทั้งที่ผมสอนคุณซะดิบดี แต่พอถึงคราวตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้”
“...”
“ผมขอโทษนะ”
ร่างสูงพูดทั้งที่ไม่หันกลับมามองหน้าใครอีกคน เขาเดินออกไปจากตรงนั้นโดยที่ไม่พูดอะไรอีก นัยน์ตาเรียวสั่นคลอนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเมื่อรู้สึกว่าน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
แค่นี้เองบยอนแบคฮยอน...
จะร้องไห้ทำไมน่ะ?
ก็แค่ยิงปืนโง่ ๆ ...ก็แค่เกือบตายเพราะความปอดแหกของตัวเอง...
ก็แค่นั้นเอง...จะร้องไห้ทำไม...
หรือว่าที่อยากร้องไห้...
เพราะรู้ว่าปาร์คชานยอลยังคงคิดถึงอีโฮจองอยู่อย่างนั้นเหรอ?
“ขอบคุณมาก” ลู่หานยิ้มให้กับผู้ชายสองคนที่จอดรถอยู่ห่างโรงเรียนไปแค่ร้อยเมตร ร่างสูงยักคิ้วให้พร้อมกับโบกมือลา
“ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีก อย่าไปวิ่งลงท่อที่ไหนอีกล่ะ” ซีวอนกอดคอซูโฮที่ยืนทำหน้าหงอยอยู่ข้าง ๆ
“บอกลูกชายคุณอย่าเที่ยวเอาปืนปลอมไปขู่ใครอีกนะ” ร่างโปร่งหัวเราะแล้วโบกมือลาขณะมือข้างขวาถือถุงพลาสติกที่ห่อไว้สามชั้นเพื่อกันกลิ่นเหม็นคาวของปลา
“พี่ครับ!! สู้ ๆ นะ!!!” ซูโฮตะโกนบอกลู่หานแล้วทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ พอถึงเวลาต้องจากกันจริง ๆ แล้วก็เหงาอย่างบอกไม่ถูก
ลู่หานยิ้มกว้างแล้วเอี้ยวตัวหันหลังกลับ อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงประตูทางเข้าโรงเรียนแล้ว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้สัมผัสกับคำว่าความสุขอีกครั้ง แค่นึกถึงสีหน้าของแต่ละคนตอนที่ได้เจอเขาแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้ เขาเพิ่งรู้วันนี้นี่เองว่าชีวิตมันมีค่ามากแค่ไหน
โยนถุงปลาข้ามรั้วแล้วปีนขึ้นไปอย่างง่ายดายแต่พอกระโดดลงพื้นเท่านั้นก็ต้องหยุดอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนมาทางนี้
“นั่นใครน่ะ?!!”
“...”
“ฉันถามว่าใคร?!!”
“...”
“หูแตกไงวะ?!”
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแบบนี้ต่อให้ไม่เห็นหน้าเขาก็พอจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียง ลู่หานค่อย ๆ ยกมือขึ้นเหนือศีรษะทั้งที่ยังหันหลังให้อีกฝ่าย
“ถามทำไมไม่ตอบ แล้วยกมือขึ้นหาพ่อ?”
ลู่หานกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเดินถอยหลังเข้าหาอีกฝ่ายทีละก้าว
“ใครสั่งให้มึงเดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะถ้าไม่อยากสมองกระจุย”
ลู่หานหัวเราะแล้วค่อย ๆ หันหน้าเข้าหาแล้วก็พบว่าจงอินกำลังเล็งปืนมาที่เขาด้วยสีหน้าตกใจสุดขีดและคิดว่าถ้ามันช็อกได้คงช็อกไปแล้ว
“...”
“อยากรู้ไหมว่าหวยงวดนี้ออกอะไร?”
“...”
ลู่หานหัวเราะซึ่งผิดกับอีกคนที่ค่อย ๆ ลดปืนลงทั้งที่สีหน้ายังคงไม่ต่างไปจากทีแรก จงอินเสยผมขึ้นขณะที่จ้องมองไปยังร่างโปร่งที่ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น จมูกของเขาแดงระเรื่อเหมือนคนจะร้องไห้แล้วก็เข้าไปกอดลู่หานในทันทีที่เรียกสติกลับมาได้
“เหี้ยเอ๊ย!!!”
“เห้ย ขนลุก ออกไปห่าง ๆ เลยสัด!” ลู่หานยังคงหัวเราะแม้ว่าปากของเขาจะก่นด่าคนตัวสูงกว่าที่กำลังจะทำให้เขาขาดอากาศหายใจตายเดี๋ยวนี้ ร่างของทั้งคู่ล้มกลิ้งลงไปกับผืนหญ้าซึ่งนักเรียนที่อยู่ระแวกนั้นต่างก็ตกใจไม่แพ้จงอินที่ได้เห็นลู่หานตัวเป็น ๆ
เซฮุนกับอี้ฟานที่เพิ่งเดินลงมาจากตึกถึงกับต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตาจนกระทั่งจงอินล็อคคอลู่หานให้ลุกขึ้นมาด้วยกัน
“ว่าไงอี้ฟาน เซฮุน”
“ให้ตายสิ” อี้ฟานยิ้มก่อนจะเข้าไปกอดต้อนรับการกลับมาของลู่หาน มือเรียวตบแผ่นหลังกว้างปุ ๆ แล้วผละออกมากอดเซฮุนต่อ
“คุณผอมลงนะ”
“นายก็เหมือนกันแหละน่า เอวคอดแค่นี้วัน ๆ กินอะไรบ้างป่ะเนี่ย?” ลู่หานผละตัวออกจากคนตรงหน้าก่อนจะหันไปหาจงอินกับอี้ฟานที่ยังคงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น
“เห็นทีว่าคงต้องเอาป้ายหลุมศพออกแล้วล่ะครับจงอิน” พอเห็นเซฮุนหัวเราะแล้วเจ้าตัวถึงได้นึกออกว่าก่อนหน้านี้เขาได้ขุดหลุมศพไว้
“เออว่ะ”
“หลุมอะไรวะ?” ลู่หานขมวดคิ้วก่อนที่จะหันไปมองตามนิ้วเรียวของเซฮุนที่ชี้ไปยังสนามหญ้า
“...”
“กูคิดว่ามึงตายห่าแล้วก็เลยขุดหลุมให้น่ะ วิญญาณมึงจะได้มีที่สิงสถิต”
“ก็แย่ละ” ลู่หานพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนทำหน้ากวนตีนอยู่ห่างแค่หนึ่งช่วงแขน “สัด!!!!”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
ลู่หานวิ่งไล่เตะจงอินไปทั่วสนามท่ามกลางความมึนงงของนักเรียนหลายคน อี้ฟานกับเซฮุนได้แต่ยืนหัวเราะกับคนสองคนที่ทำตัวเป็นเด็กจนกระทั่งลู่หานเหนื่อยไปก่อน
“พอเหอะ ขากูเพิ่งหายเจ็บ”
“เออ ว่าแต่มึงรอดมาได้ยังไงวะ ตอนนั้นกูไปตามหามึง เจอแต่คาตาน่าบวกสิบกับทางตัน”
“สวมวิญญาณหนูไงครับ มุดลงท่อ นาทีชีวิตชิบหาย” ลู่หานบ่นอุบอิบแล้วเดินไปเอาถุงปลามาวางไว้ตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสาม “เอ็นข้อเท้ากูฉีก พอหนีออกมาจากท่อได้ก็มีคนช่วยกูไว้”
“ถือว่าเป็นโชคของคุณนะที่ได้เจอคนดี ๆ ช่วยเอาไว้” อี้ฟานพูด
“แล้วมึงหอบอะไรมามาเยอะแยะ เดี๋ยวนี้หัดเก็บขวดขายเหรอ”
“ขวดใส่เบ้าพ่อมึงไงครับ ปลาพอ”
“ปลา? มันกินได้เหรอวะ?” จงอินถามก่อนจะก้มลงแกะดูปลาในถุง
“ทำไมจะกินไม่ได้ ถามอะไรโง่ ๆ อีกแล้ว ละนั่นหลุมห่าอะไรเยอะแยะ ถ้าตอบว่าขุดหลุมเผื่อกูชาติหน้านี่มีถีบอ่ะ” ลู่หานมองหลุมศพที่เรียงกันเป็นทางยาวแล้วทุกคนก็หุบยิ้ม
“มันเกิดเรื่องแย่ ๆ ขึ้นตอนที่คุณไม่อยู่น่ะ” เซฮุนพูด
“เออ...แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะ ว่าแต่คนที่ช่วยคุณน่ะเขาไม่มาด้วยเหรอ?” อี้ฟานถามพลางมองออกไปยังนอกประตูทางเข้าหลังโรงเรียน
“ไม่อ่ะ เขาแค่แวะมาส่งเฉย ๆ เขามีกันสองคนพ่อลูก เป็นคนดีมากแต่ติสม์แตกชิบหาย ให้เล่าวันนี้คงไม่หมดหรอก ว่าแต่แบคฮยอนอยู่ไหนวะ?” จะหาว่าเหี้ยก็ได้ที่ไม่ถามหาชานยอลด้วยแต่นาทีนี้ขอเห็นหน้าเด็กนั่นให้ชื่นใจทีเถอะ จงอินกับเซฮุนหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมายแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป
“ในห้องป่ะ?”
“เปล่า” จงอินตอบแล้วก็ต้องอ้าปากหวอเมื่อถูกร่างบางหยิกแขนเข้าให้ “อะไรเล่า!”
“งั้นอยู่ไหน ลานอเนกใช่ไหม?”
“...”
“...”
“...”
ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นอี้ฟานคนเดียวที่เก็บอาการได้ดีที่สุด จงอินยืนสงบนิ่งในขณะที่เซฮุนยังคงมองคาดโทษเขาอยู่ ลู่หานมองทั้งสามคนที่ทำตัวมีพิรุธแล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่ลานอเนกประสงค์เพื่อตามหาแบคฮยอน
“ไปห้ามดีไหมวะ?”
“ไม่ต้องหรอกมั้ง แค่ชานยอลอยู่กับแบคฮยอนคงไม่มีอะไรหรอก” อี้ฟานพูดอย่างไม่ยี่หระตามประสาคนไม่รู้เรื่อง แต่คนที่รู้เรื่องเต็มอกอย่างจงอินกับเซฮุนนี่สิลำบากใจ เห็นทีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้รอยยิ้มบนหน้าลู่หานจะหายไปหมดสิ้น
หลังจากกลับมาถึงโรงเรียนร่างสูงก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไร ผู้ชายคนนั้นเขากลับมาแล้วสินะ...ผู้ชายเย็นชาชื่อปาร์คชานยอลที่เอาแต่จมปลักอยู่กับความเศร้าหลังจากลงมือยิงภรรยาของตัวเอง แบคฮยอนยืนมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เจ้าหมาตัวนั้นด้วยสีหน้าผิดหวัง
“คุณคิดอะไรอยู่ชานยอล”
“...”
“คุณทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ?”
“...”
“คุณบอกให้ผมสู้ ให้ผมพยายาม ผมก็ทำตามที่คุณบอกทุกอย่างแม้ว่ามันจะยากจนบางครั้งผมคิดว่ามันอาจจะเกินความสามารถของผม”
“...”
“แล้วนี่มันคืออะไร...”
“คุณไปอาบน้ำเถอะ” ร่างสูงลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นแต่ก็ถูกคนตัวเล็กใช้สองมือดึงแขนเขาเอาไว้
“คุณจะทำเป็นไม่สนใจผมเหมือนตอนที่เรารู้จักกันแรก ๆ หรือไง...”
“...”
“คุณเคยบอกผมว่าทุกคนที่จากไปจะอยู่ในความทรงจำของคนที่ยังอยู่ และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า” แบคฮยอนก้มหน้าพูดกับแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย เขารู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บปวดกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ในตอนนี้จนแยกแยะไม่ออกแล้วว่ามันมีเรื่องอะไรบ้างที่กำลังกัดกินหัวใจของเขา
“ผมรู้ว่าคุณรักคุณโฮจองมาก...” หยดน้ำตาอุ่นร่วงลงบนพื้นซีเมนต์โดยที่ไม่ได้บีบมันออกมาเลยสักนิด แบคฮยอนกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “แต่คุณจะปล่อยให้ตัวกินคนในชุดเจ้าสาวกัดเพียงแค่นึกถึงเธอได้ลงคอเชียวเหรอ...”
“...”
“ถ้าคุณถูกกัดผมจะทำยังไง...”
“...”
“ถ้าคุณจากไปอีกคนผมจะทำยังไง...”
“...”
“ถ้าไม่มีคุณ ผมจะอยู่ยังไงครับชานยอล...” แบคฮยอนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาก่อนที่ร่างสูงจะเอี้ยวตัวหันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความงี่เง่าของตัวเองที่ไม่ได้เหนี่ยวไกใส่ตัวกินคนในชุดเจ้าสาว วูบหนึ่งภาพของอีโฮจองกลับซ้อนทับขึ้นมาให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่าง ได้ยินเสียงของแบคฮยอนแต่ความกล้าที่เคยมีกลับเลือนหายไปหมดสิ้นจนกระทั่งร่างของเธอล้มลงไป
“ถ้าคุณจะผิดหวังในตัวผมมันก็คงไม่แปลกอะไร ผมมันเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ดีแต่ปากเท่านั้น” ชานยอลยังคงมองไปยังคนตัวเล็กที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่
“อย่าร้องไห้เพราะผมอีกเลยนะครับ” ร่างสูงเชยคางอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือไล้น้ำตาออกให้อย่างเบามือ รอยยิ้มเศร้าของชานยอลกำลังกรีดแทงหัวใจของเขาซ้ำ ๆ เพื่อตอกย้ำความเจ็บปวด
“คุณอย่าทำแบบนั้นอีกได้ไหม...” แบคฮยอนสะอื้นจนตัวโยน “อย่าทำเหมือนว่าคุณพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อเพียงแค่นึกถึงเธอ...”
“...”
“ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคนไม่เอาไหนอย่างผมได้ไหมครับชานยอล...”
“...”
ชานยอลยืนนิ่งเมื่อแบคฮยอนโผเข้ากอดเขาเต็มแรงจนเซถอยหลังไปเล็กน้อย ร่างสูงไม่ได้กอดตอบ ได้เพียงแค่มองหัวทุยที่กำลังซบหน้าลงกับแผงอกของเขาพร้อมกับร่างที่กำลังสั่นเทา มือแกร่งค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางไว้บนหัวคนตัวเล็กแล้วลูบหัวปลอบใจ แบคฮยอนกอดร่างสูงแน่นยิ่งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าปาร์คชานยอลยังคงยืนอยู่ตรงนี้จริง ๆ
“...”
“สัญญากับผมนะ...”
“...”
ร่างสูงไม่ได้ตอบตกลงกับคำร้องขอของคนตัวเล็ก ชานยอลลดสีหน้าลงก่อนจะกอดตอบอีกฝ่าย ในตอนนี้เขาไม่สามารถเข้มแข็งต่อหน้าแบคฮยอนได้...ไม่เลย
“ผมจะพยายามครับ” ร่างสูงกระซิบเบา ๆ พลางกระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้น คนตัวเล็กพยักหน้าเร็ว ๆ แล้วพูดอู้อี้ในลำคอจนจับใจความฟังไม่ได้
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีแบบนี้”
“พอแล้ว...ไม่ต้องขอโทษอะไรผมทั้งนั้น”
“แล้วผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะหยุดร้องไห้ล่ะหืม?” ร่างสูงกระซิบถามคนตัวเล็กที่ยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเขา แบคฮยอนเอาแต่ส่ายหน้าแล้วพูดเสียงอู้อี้
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...แค่กอดผมให้แน่น ๆ ก็พอ...”
“...”
เพิ่งอยากเป็นคนหูหนวกก็วันนี้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างคนสองคนที่ยืนกอดกันแน่นราวกับขาดความอบอุ่นมาจากไหน...ลู่หานยืนตัวชาอยู่กับที่จนกระทั่งจงอินกับเซฮุนจะวิ่งตามมาหยุดอยู่ข้างหลัง ร่างหนาหอบหายใจก่อนจะหลับตาลงเมื่อเห็นลู่หานกำลังยืนช็อกกับภาพตรงหน้า
“...”
ที่พยายามไม่ขยับตัวตอนขาเจ็บ...ก็เพราะว่าอยากหายเร็ว ๆ จะได้กลับมาที่นี่ ทุกอย่างที่วาดฝันเอาไว้ว่าจะสารภาพรักดูเหมือนมันจะพังทลายไปจนไม่เหลือชิ้นดี เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายอย่างลู่หานรู้สึกเจ็บปวดตรงหน้าอกข้างซ้ายได้ถึงเพียงนี้หลังได้ยินคำร้องขออ้อนวอนจากปากแบคฮยอนที่บอกได้ถึงความหวาดกลัวต่อการสูญเสียปาร์คชานยอลไป
วงแขนเล็กที่โอบกอดร่างสูงไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปแบบที่เขาไม่เคยได้รับ...กับน้ำตาที่ฟูมฟายจนเขากลัวว่ามันจะเหือดแห้งไปจากดวงตาคู่นั้นที่เขาชอบมอง
ทุกอย่าง...ที่ผู้ชายอย่างลู่หานไม่เคยได้รับจากบยอนแบคฮยอนแต่ปาร์คชานยอลกลับได้มันไปทั้งหมด...
เวลาแค่ครึ่งเดือน...
มันทำให้ทุกอย่างชัดเจนได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ...
TBC
กลับบ้านเรารักรออยู่
พี่หานจะทำยังไงต่อไป สงสารเมนจับใจแต่ก็ทำร้ายนางได้ทุกตอน orz
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ ต่อไปนี้คงไม่ทิ้งห่างเกินสามวันแล้ว กลัวคนอ่านลืม 5555 คำผิดเยอะขออภัยด้วยนะคะ เขียนเองก็ตาลายเอง orz ต้องให้คนอื่นคอยตักเตือนตลอด TvT
#ficzombie
ความคิดเห็น