คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 08 :: Your Lips
Chapter 8
Your Lips
หลายวันมานี้รู้สึกเหมือนมีอะไรให้ทำเยอะแยะตั้งแต่เพื่อนสนิทอย่างปาร์คชานยอลไม่มาเรียน โดยเนื้อแท้แล้วคิมจงอินไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นจะเป็นคนสำคัญจริง ๆ ซึ่งปัญหาของเพื่อนสนิทมันเป็นเรื่องที่เขามองข้ามไปเฉย ๆ ไม่ได้
เขารู้ดีว่านิสัยของปาร์คชานยอลเป็นยังไง สิ่งหนึ่งที่คิมจงอินและหวงจื่อเทารู้คือไอ้เวรนั่นไม่ได้เป็นคนเลว มันก็แค่เด็กขาดความรักความอบอุ่นที่พยายามทำตัวขวางโลกเพื่อปกปิดปมด้อยตัวเอง พอมีแบคฮยอนเข้ามาในชีวิต ทำให้มันรู้ว่านอกจากเขากับไอ้เทาแล้วยังมีใครอีกคนบนโลกใบนี้ ที่เห็นว่ามันมีค่า
ไอ้เทาบอกว่าบางทีชานยอลมันอาจจะแค่เห่อแฟน ในทีแรกเขาก็คิดอย่างนั้น แต่พอเห็นมันทุ่มเทขนาดนี้ก็เลยคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วล่ะ ที่ทำให้ตกใจคือไอ้เวรนั่นหัดเป็นห่วงคนอื่นมากกว่าความรู้สึกตัวเอง
และมันคือเหตุผลที่เขาโทรหาแบคฮยอนตอนเช้า เพื่อบอกให้เอานมมาฝากด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้คนตัวเล็กเสียเวลาไปกับการหงุดหงิดใจ มากกว่าจะให้คิดถึงเรื่องไอ้ชานยอลจนเอาแต่นั่งหงอยเหมือนกับวันก่อน ๆ
เคยคุยกับไอ้เทาไว้ว่าจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ในคาบเรียน เพราะตอนกินมื้อกลางวันคงต้องยกหน้าที่นี้ให้แก๊งคนแคระกับแก๊งนางฟ้ารับช่วงต่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วแบคฮยอนก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไรขนาดนั้น อาการคิดถึงแฟนมันเป็นเรื่องปกติของคนมีความรักอยู่แล้ว แต่ถ้าเพื่อนมันห่วงแฟนจนต้องฝากกันแบบนี้ ก็เลยต้องทำให้มันสบายใจสักหน่อย
การทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยซ้อมบทให้เซฮุนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันแสดงจริง ช่วงเวลาสองชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกันในห้องซ้อมในแต่ละวัน ถึงมันจะนาน แต่ก็สั้นมากสำหรับคนที่เกร็งกับการแสดงออกทางสีหน้าอย่างโอเซฮุน
จงอินไม่ได้ดุ เขาเพียงแค่ปล่อยให้อีกคนถอนหายใจหนัก ๆ แล้วก่นด่าความไม่เอาไหนของตัวเอง หลังจากที่เจ้าตัวสงบลงแล้ว เขาถึงบอกให้ลองใหม่อีกครั้ง วนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะถึงสี่ทุ่ม
วันนี้เป็นวันเสาร์ แต่เซฮุนไม่ได้มาเรียนเปียโนที่บ้านเขาเพราะต้องอยู่กับครอบครัว ซึ่งจงอินก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย มันคงดีถ้าปล่อยให้หมอนั่นได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่บ้าง ก่อนวางสายก็ย้ำไปแล้วว่าให้ตั้งใจท่องบทด้วย ซึ่งเซฮุนก็ขานตอบยานคางกลับมาอย่างว่าง่าย
ข้างนอกฟ้าครึ้มเหมือนฝนจะตก จงอินใช้เวลาไปกับการนอนดูหนังจิตวิทยามากกว่าการลุกไปทำอย่างอื่น เขาแทบลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยทำอะไรในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลังจากโอเซฮุนเข้ามาในชีวิต
นอนดูไปได้แค่ครึ่งเรื่องก็รู้สึกงุ่นง่านพิลึก เด็กหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจอย่างหัวเสีย หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องโปรดของเขาเลยนะ ชนิดว่าเอามาฉายอีกกี่รอบคิมจงอินก็พร้อมที่จะนั่งดู แถมยังจำได้ด้วยว่าบทต่อไปตัวละครจะพูดอะไร
ต้องยอมรับใช่ไหมว่าคิมจงอินได้ปล่อยให้โอเซฮุนมาเดินเล่นอยู่ในความคิดของเขาพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ ให้ตายเถอะ...เป็นคนบอกเองกับปากแท้ ๆ ว่าให้หมอนั่นอยู่บ้านกับครอบครัวแล้วตั้งใจซ้อมบทละคร แต่ตอนนี้คิมจงอินกำลังรู้สึกสวนทางกับความคิด เมื่อใจของเขาอยากให้โอเซฮุนอยู่ที่นี่แล้วซ้อมบทละครด้วยกัน หรือไม่ก็นั่งเล่นเปียโนเพลงง่าย ๆ ที่เป็นตัวช่วยทำลายความอึดอัดที่เรามีต่อกันอย่างไม่ตั้งใจ
ตอนนี้โอเซฮุนกำลังทำอะไรอยู่ นั่นคือคำถามที่ลอยเป็นบอลลูนในหัวของเขา เด็กหนุ่มเคาะปลายนิ้วลงบนโซฟาขณะใช้ความคิด ถ้าหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาแล้วอ้างว่าเป็นห่วงเรื่องบทละครจะดูแสนดีไปไหม มันฟังขึ้นหรือเปล่า
เสียงออดหน้าบ้านเรียกสติเด็กหนุ่มผิวแทนกลับคืนมา จงอินถอนหายใจกับความคิดบ้า ๆ ที่กำลังทำให้เขาเสียความเป็นตัวเอง ก่อนจะเดินไปส่องกล้องดูว่าใครที่มาหาเขาถึงบ้าน และก็ได้เห็นหน้าเจ๊ก ๆ ที่ยื่นมาจนแทบจะติดกล้องอยู่แล้ว หอกหักวันหยุดสุดสัปดาห์จริง ๆ
“อะไร”
“โห เจอหน้าเพื่อนแล้วทักงี้ดิ?” จื่อเทาเลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทที่เปิดประตูออกมาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เด็กหนุ่มชาวจีนเปิดประตูรั้วเข้ามาแล้วแทรกตัวเข้าไปในบ้านอย่างถือวิสาสะ แน่ล่ะ ระดับความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนมันก้าวข้ามผ่านคำว่ามารยาทมาแล้วหลายขุม จื่อเทาทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วพาดขาไว้กับพนักวางแขน
“ไม่ไปซ้อมว่ายน้ำไงวันนี้”
“โค้ชนัดบ่ายสาม กูเลยแวะมาหามึงก่อน จะไปซ้อมตอนนี้เลยมันก็ได้แหละ แต่กูจะเหนื่อยเปล่าไง ไม่มีคนคอยจับเวลาให้” จื่อเทาไขว้แขนไว้กับท้ายทอยแล้วหลับตาลง
“แล้วไม่บอก จะได้ไปช่วย” จงอินนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวแล้วมองเพื่อนสนิทที่ล้วงกางเกงเอาสมาร์ทโฟนขึ้นมาสไลด์เล่น
“ถือว่าได้โอกาสพัก เมื่อคืนกูเสือกฟิตซ้อมซะดึก”
“ดูแลตัวเองบ้างห่า สภาพหนังหน้ามึงตอนนี้ยิ่งดูไม่ได้อยู่ โทรมเหมือนศพเดินได้”
“โธ่มึง ถ้าไม่ว่ายน้ำแล้วจะให้กูทำอะไร นั่งเล่นเปียโนเหมือนมึงเหรอพ่อพระเอก” จื่อเทายิ้มขำก่อนจะรับแอปเปิ้ลที่เพื่อนโยนมาให้ได้อย่างพอดี “ถ้าวันนี้ไม่มีซ้อม กูว่าจะชวนมึงไปบ้านไอ้ชานยอลสักหน่อย วันนี้พ่อมันเพิ่งออกจากโรงพยาบาล”
“เออ นั่นคือเหตุผลที่เราไม่ควรไปวันนี้” จื่อเทามองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังโยนลูกแอปเปิ้ลเล่น ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาสบตากัน “คนนึงอ่อนแอ อีกคนเข้าไปดูแลเอาใจใส่ มันเป็นช่วงเวลาที่พ่อลูกควรจะได้ปรับความเข้าใจกัน”
“เออ นั่นสินะ” จื่อเทากัดแอปเปิ้ลขณะใช้ความคิด ถ้าเกิดเขากับไอ้จงอินไปหาไอ้เวรนั่นวันนี้คงไม่ดีแน่ ไอ้คนขี้เก๊กคงไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อหน้าเพื่อน ๆ แหง
“กินข้าวมายัง”
“เพิ่งไปกินกับพี่มินซอกมาเมื่อกี้” จื่อเทาตอบอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปทางเพื่อนสนิทที่ดูเหมือนว่าจะต้องการคำอธิบายเพิ่ม “คนที่กูเคยเล่าให้มึงกับไอ้ชานยอลฟังน่ะ จำได้เปล่า”
“ที่บอกว่าเจอกันในค่ายกีฬาน่ะนะ?”
“เออ” เด็กหนุ่มชาวจีนถอนหายใจเบา ๆ เมื่อหัวข้อบทสนทนาในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว จื่อเทายังจำสีหน้าของพี่มินซอกในวันนี้ได้ เจ้าตัวพูดน้อย นิ่งเฉย ราวกับคนไม่มีความรู้สึก เพราะเรื่องที่เพิ่งพบเจอมา
“ช่วงนี้มึงอยู่กับเขาบ่อย พัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”
“จะเรียกว่าขั้นไหนดี มันไม่ชัดเจนว่ะ”
“กิ๊กกันงี้เหรอ”
“จะเรียกว่ากิ๊กก็ไม่ถูก บางทีเขาก็ทำเหมือนกูเป็นคนสำคัญ แต่บางทีก็เหมือนกูเป็นแค่น้องชายคนนึง” จื่อเทาไม่ได้น้อยใจกับสิ่งที่พูดไป แต่เพราะความไม่ชัดเจนระหว่างเขาทั้งคู่ เลยทำให้เกิดคำถามว่าที่จริงแล้วพี่มินซอกรู้สึกยังไงกับเขาบ้าง
บางครั้งก็ดูเหมือนใส่ใจ จนทำให้รู้สึกว่าพิเศษ แต่มันก็คงไม่เท่ากับความรู้สึกที่พี่มินซอกมีต่อผู้ชายคนนั้น และที่เขารู้สึกกับพี่มินซอก มันก็ต่างจากที่รู้สึกกับเซฮุน
“มึงก็ชอบความไม่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ลงล็อกพอดี” จงอินยิ้มขำ พอนึกไปถึงเรื่องราวในอดีตที่หวงจื่อเทาเป็นคนสร้างขึ้น
เมื่อก่อนไอ้ห่านี่เคยดราม่ากับสาว ๆ อยู่บ่อยครั้ง เพราะเรื่องจีบจริงหรือจีบเล่น เป็นแฟนกันหรือแค่กิ๊ก ซึ่งคิมจงอินรู้ดีว่าหวงจื่อเทาไม่เคยพร้อมจะหยุดอยู่ที่ใคร จากที่เป็นเพื่อนกันมานานจนรู้นิสัยสันดานกันอย่างหมดเปลือก คนที่จะเอาไอ้ห่านี่อยู่ได้ก็ต้องเป็นคนที่น่าค้นหา จนทำให้คนบ้า ๆ บอ ๆ อย่างมันอยากวิ่งตามได้นั่นแหละ
“ไว้ว่าง ๆ กูจะพามาแนะนำให้รู้จัก”
“วางบทให้กูด้วยล่ะ อะไรควรพูดไม่ควรพูดจะได้รู้ไว้”
“โธ่ห่า แค่พี่มั้งครับ ไม่ต้องเตรียมบทอะไรแล้ว” มันเป็นเรื่องตลกเสมอเมื่อเราพูดถึงเรื่องแบบนี้ และไอ้จงอินก็ตีเนียนได้ตลอดเวลาเขาพาสาว ๆ มาแนะนำให้มันรู้จัก แต่ครั้งนี้มันจะต่างออกไป เพราะพี่มินซอกคือผู้ชายคนแรก แต่คนที่สองน่ะตัวจริง
“พี่น้องท้องชนกันครับ มึงอย่ามา”
ทั้งคู่หัวเราะ บางครั้งหวงจื่อเทาก็เกลียดไอ้จงอินที่รู้สันดานเขาดียิ่งกว่าใคร แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รักเพื่อนสนิทคนนี้เหลือเกิน จนคิดว่าในอนาคตคงไม่มีใครมาแทนที่มันสองคนได้ แม้ว่าเราจะเข้ามหาลัยในอีกไม่ช้านี้
.
.
วันนี้เป็นวันแรกที่จื่อเทามีโอกาสได้พักอย่างเต็มอิ่มโดยไม่ต้องเดินเฉียดไปยังสระว่ายน้ำที่เปรียบเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา จื่อเทาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาวางแผนไว้แล้วว่าจะไปกินเนื้อย่างกับเพื่อนสนิทอีกสองคนและพ่วงแบคฮยอนมาอีกหนึ่ง แล้วต่อด้วยการไปดื่มฉลองกับพี่มินซอกตอนกลางคืน
แต่ก่อนไปฉลองกับคนอื่น ๆ ตอนนี้ขอไปเที่ยวเล่นกับเซฮุนก่อนแล้วกัน กว่าจะถึงเวลานัดกับเพื่อน ๆ ก็ตั้งสองทุ่ม ซึ่งเขาไม่ต้องรีบมากนัก เซฮุนไม่มีซ้อมเต้นและบทละคร หมอนั่นเอาแต่ยิ้มแป้นตอนรู้ว่าเขาได้เหรียญทองอีกครั้ง แล้วก็พูดอยู่นั่นว่า
‘นายเก่งมาก คราวนี้ก็ให้ได้แบบนี้นะ’
อ่า...จะน่ารักเกินไปแล้ว
“ใบนี้กับใบนี้”
“ให้ฉันเลือก หรือให้เดาว่านายชอบใบไหน” เซฮุนหรี่ตามองคนข้าง ๆ ที่ถือหมวกแฟชั่นสองใบไว้ในมือ อีกทั้งสายตาหยั่งเชิงอย่างนึกสนุก เด็กหนุ่มรู้ว่าจื่อเทากำลังอยากเล่นทายใจกับเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
“อย่างนายน่าจะชอบลายที่มันเด่น ๆ อย่างเสือดาวมากกว่าจะเลือกสีดำใบนี้” เซฮุนชี้ใบที่อยู่ในมือขวา และมันทำให้จื่อเทาหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะวางหมวกสีดำใบเดิมลงไป แล้วลองสวมใส่ให้อีกคนดู
“เหมาะกับฉันไหม”
“ลองถามมันดูสิ” เซฮุนมองคนตัวสูงกว่าที่กำลังขยับหมวกให้เข้าที่ ก่อนจะถอยหลังไปหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่
“นี่ บอกมาซิว่าฉันจะได้อยู่บ้านไหน ขอเท่ ๆ แบบสลิธีรินนะ” จื่อเทาพูดกับตัวเองผ่านกระจก เซฮุนยิ้มขำกับท่าทางของอีกคนที่กำลังสวมบทเป็นนักเรียนในฮอกวอตส์ เด็กหนุ่มตัวผอมหยิบหมวกมาที่อยู่ข้างบนมาสวมแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ เพื่อนชาวจีน จนทั้งคู่อยู่ในกรอบกระจกเดียวกัน
“อย่างฉันน่าจะได้เข้ากริฟฟินดอร์”
“ไหงงั้น? มาอยู่สลิธีรินด้วยกันสิ ฉันเป็นรูมเมทที่ดีได้นะ พอถึงงานเต้นรำฉันก็จะเสียสละผู้หญิงสวย ๆ ให้พวกหน้าเห่ยไปควง แล้วเราก็ไปเต้นรำกันเอง” ทันทีที่พูดจบเซฮุนก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“มีหวังโดนมักกอนนากัลเฉ่งหัวทั้งคู่”
จื่อเทาพอใจจนกลั้นยิ้มไม่อยู่ เขารู้สึกดีเวลาเห็นเซฮุนแสดงออกว่ากำลังสนุกกับบทสนทนาบ้า ๆ ของเรา และมันทำให้เขาอยากจะเป็นคนบ้าบอกว่าเดิม ถ้ามันทำให้เซฮุนผ่อนคลายได้ดีถึงขนาดนี้
“ฉันจะอยู่กริฟฟินดอร์ แล้วก็จะลงแข่งควิดดิชด้วย” เซฮุนเอื้อมไปหยิบหมวกใบใหม่ บทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะติ๊งต๊องจนกู่ไม่กลับ เพียงเพราะหวงจื่อเทาเริ่มเล่นมุกหมวกคัดสรร
“คิดว่าจะกลัวงั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะลงตำแหน่งซีกเกอร์ของบ้านสลิธิรินเอง นายไม่รอดแน่พอตเตอร์”
จื่อเทาเลิกคิ้วมอง ก่อนจะล็อกคอคนตัวผอมเข้ามาใกล้ ทั้งคู่เล่นงัดคอกันเหมือนเด็ก ๆ และมันดีเหลือเกินที่ในร้านหมวกตอนนี้มีเพียงแค่เขาสองคน ถ้าไม่รวมเจ้าของร้านไปด้วย
.
.
ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว มันควรถึงเวลาที่หวงจื่อเทาจะไปตามนัดเพื่อน เด็กหนุ่มทั้งสองในชุดนักเรียนเลือกที่จะเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน เขาอยากไปส่งเซฮุนขึ้นแท็กซี่หน้าสถานีที่อยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด เพราะเซฮุนจะได้เสียค่าโดยสารน้อยกว่า
ก็รู้หรอกน่าว่าหมอนี่บ้านรวย แต่การเดินด้วยกัน นั่งคุยกันบนรถไฟไปด้วยมันก็น่าชื่นใจมากกว่าการยืนมองอีกคนขึ้นแท็กซี่ไปต่อหน้าต่อตานี่หว่า ไหนจะเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง การนั่งรถไฟใต้ดินไปคนเดียวหลังจากส่งเซฮุนแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ด้วย
รถไฟขบวนนี้คนค่อนข้างบางตา อาจเป็นเพราะไม่ใช่สถานียอดฮิตที่ใคร ๆ ก็นึกอยากจะแวะมาลงที่นี่ ทั้งคู่เลยมีโอกาสได้นั่งแทนที่จะรยืนจับห่วงราวที่ติดอยู่กับเพดานรถไฟ
เซฮุนเข้าแอพ Steam ในมือถือเพื่อเช็กดูเกมเข้าใหม่ เขาไม่ได้รู้สึกระแคะระคายใจกับการที่คนข้าง ๆ เอนตัวเข้ามา จนมีบางครั้งที่ศีรษะของเขาทั้งคู่เฉียดกัน
จื่อเทาเท้าศอกลงกับพนักเก้าอี้ที่เซฮุนนั่ง เขาเห็นว่าตอนนี้คนตัวผอมกำลังจริงจังกับลิสต์เกมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในสัปดาห์นี้ ไหนจะริมฝีปากที่พึมพำเบา ๆ อย่างเสียดายถึงเกมที่กำลังลดราคาอย่างไม่น่าเชื่อ เซฮุนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกเขาเกลี่ยปอยผมเล่นอยู่
“ถ้าจะลดขนาดนี้แจกฟรีเลยดีกว่า...”
“อยากได้ไหมล่ะ ฉันซื้อให้”
“ไม่เอาอะ ฉันซื้อแล้ว ตอนราคาเต็มด้วย ไม่คิดว่าว่ามันจะลดเร็วขนาดนี้ เพิ่งเปิดขายแค่กี่เดือนเองนะ” เซฮุนถอนหายใจแล้วกดปิดหน้าจอมือถือ ก่อนจะหันมาสบตากับคนข้าง ๆ ที่เหมือนจะปั้นหน้านิ่ง แต่ริมฝีปากก็ยกยิ้มน้อย ๆ “ยิ้มอะไร”
“หรือจะให้ร้องไห้?”
“ก็ร้องเลยสิ ร้องมันตรงนี้แหละ” เซฮุนชี้นิ้วลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย และภาพที่เห็นมันทำให้จื่อเทาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“ถ้าฉันร้องไห้นายต้องกอดปลอบฉันนะ”
“ฉันเป็นพวกชอบซ้ำเติมน่ะ เสียใจด้วย”
น่ารัก ไม่ว่าจะพูดอะไรโอเซฮุนก็น่ารักไปหมด หวงจื่อเทาอยากเข้าไปฟัดแก้มคนปากแข็งแรง ๆ สักทีเอาให้ชื่นใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กับการที่เขาเข้าหาอีกฝ่ายแบบเพื่อนแบบนี้ ก็พอรุกหนักแล้วเซฮุนดูหวาดระแวงนี่หว่า
อีกไม่กี่สถานีความโรแมนติกทั้งหมดในวันนี้ของหวงจื่อเทาก็จะสิ้นสุดแล้ว ใจจริงก็อยากอยู่ด้วยกันนาน ๆ กว่านี้ แต่เขาก็อยากให้เซฮุนเอาเวลาไปตั้งใจซ้อมบทละครที่จะได้เล่นในอีกสามวันข้างหน้าเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความตื่นเต้นกับสิ่งแปลกใหม่ แต่พอนานไป หวงจื่อเทาถึงเริ่มคิดได้ว่าโอเซฮุนต่างจากคนอื่น เขาคิดว่าการชอบผู้ชายด้วยกันมันอาจจะดีกว่าก็ตรงที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะงอน ไหนจะสบายใจกว่า ถ้าจะบอกว่ารู้สึกเหมือนเพื่อนมันก็คงถูกนั่นแหละ ไม่ว่าใครก็อยากได้แฟนที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งคนรักด้วยไม่ใช่หรือไง?
หวงจื่อเทาไม่เคยจริงจังกับใคร หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าตัวเองไร้หัวใจ เลยไม่สามารถรักใครได้ ส่วนคนที่เคยคบก็หยุดอยู่ที่ความรู้สึกชอบพอ มันไม่เคยก้าวข้ามผ่านมาเป็นความรักได้เลยสักครั้ง แต่คราวนี้ล่ะ...เรื่องของเขากับโอเซฮุนมันจะจบลงเหมือนกับคนก่อน ๆ หรือเปล่า?
.
.
เวลาเดินไวเสมอ ถ้าเราจดจ่ออยู่กับความสุขและสิ่งที่ไม่มั่นใจ
เด็กหนุ่มตัวผอมนั่งชันเข่าแผ่นหลังพิงกับกระจกบานใหญ่ สายตายังคงจับจ้องอยู่กับบทละครในมือ หลังจากที่ใช้เวลาอย่างแสนสาหัสอยู่กับมันมาเกือบสองอาทิตย์ เซฮุนก็ได้รู้แล้วว่าฉากทรหดที่ทำให้เขากลายเป็นท่อนไม้ได้ดีที่สุดก็คงไม่พ้นฉากเจอนางเอกอีกครั้ง เขาต้องสารภาพความในใจ ซึ่งบทพูดมันช่างเพ้อฝันและชวนเลี่ยนเหลือเกิน ไหนจะมีการจูบปิดท้ายอีก
เซฮุนทิ้งตัวลงนอนราบกับห้องซ้อมเต้น สายตามองไปยังหลอดไฟที่ติดอยู่กับเพดาน เพียงแค่ครู่เดียวก็หลับตาลงกับความเหนื่อยอ่อนที่สะสมมานาน ขอแค่ห้านาทีแล้วกันนะ โอเซฮุนขอปิดกั้นความเครียดที่สุมเข้ามาสักห้านาทีก็พอ
เขาอยากทิ้งบทบ้า ๆ นี่แล้วแกล้งตายบนเวทีต่อหน้าคนเป็นร้อย แต่ถ้าทำแบบนั้นคงได้ถูกด่ายันโลกหน้าแน่ บ้าเอ๊ย... พรุ่งนี้แล้วเหรอที่เขาต้องเผชิญกับความจริง ความมั่นใจยังไม่มีเลย
“ง่วงก็กลับไปนอนที่บ้าน”
เปลือกตาลืมขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงผู้มาใหม่ และสิ่งแรกที่เห็นก็คือร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนก้มลงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เซฮุนรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับพลังงานเพิ่มเติม หลังจากเห็นว่าคนที่รออยู่มาถึงแล้ว และมันเป็นอย่างนี้เสมอตอนที่ได้เจอจงอิน
เหมือนกับทุกวัน
“วันนี้มาเร็วจัง”
“พรุ่งนี้นายต้องขึ้นเขียง ฉันก็เลยโดดเรียนเสริมมา” เซฮุนลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิมองอีกคนที่วางกระเป๋าลงแล้วยื่นขวดน้ำเปล่าให้
มันไม่น่าดีใจหรอกเหรอที่คน ๆ หนึ่งยอมทิ้งสิ่งสำคัญที่เรียกว่าการเรียนมาเพื่อช่วยซ้อมบทละครให้คนอย่างเขาน่ะ เซฮุนเอาแต่อมยิ้มตอนบิดฝาขวดน้ำ หรือแม้แต่ตอนที่จงอินขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ เมื่อเห็นว่าระยะห่างของเราทั้งคู่ไกลกันเกินไป เซฮุนก็รู้สึกดี
“รู้สึกผิดเลย”
“นายเป็นหนี้บุญคุณฉันแล้ว” จงอินเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาสบตากันแค่วินาทีเดียวเท่านั้น ก่อนจะก้มลงเปิดชีทกระดาษบทละครอย่างตั้งใจ แต่ใครจะไปคิดมากกันล่ะ ไม่ว่าจะกี่วินาทีมันก็ทำให้ใจเต้นแรงได้ทั้งนั้นถ้าได้สบตากับคนที่ชอบ
“อยากได้อะไรเป็นค่าตอบแทนล่ะ เดี๋ยวจะหามาให้” เซฮุนพูดทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้ตัวเองเอาแต่นั่งโง่เพราะเขิน แต่ใครจะไปรู้ว่าประโยคเมื่อครู่มันทำให้คุณครูของเขาหยุดชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง
“ทุกอย่าง?” เด็กตัวผอมนิ่งไปชั่วอึดใจ ในหัวก็ประมวลผลว่าคำถามนี้มันตีออกไปได้กว้างแค่ไหน และ ‘ทุกอย่าง’ ที่จงอินว่าน่ะ...มันจะหนักหนาเกินกว่าที่เด็กม.ปลายอย่างเขาจะหามาให้ได้หรือเปล่า
“ก็ต้องดูก่อน...” พอได้ยินอย่างนั้นจงอินเลยหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะเอาบทละครเคาะหัวคนตรงหน้าเบา ๆ
“ติดไว้ก่อนแล้วกัน ถ้านึกได้แล้วจะบอก” คนเข้าใจยากยังคงยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงไปสนใจกับบทละครอีกครั้ง
เราช่วยกันซ้อมบทเหมือนกับทุกวัน โดยที่จงอินจะเป็นฝ่ายดูให้ว่าเซฮุนปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ดีพอแล้วหรือยัง ซึ่งเด็กตัวผอมไม่แน่ใจเลยว่าเขาเล่นแย่จริง ๆ หรือเป็นเพราะจงอินโหดจนต้องเอาทุกอย่างให้เป๊ะ ๆ กันแน่ แต่ละฉากถึงได้ผ่านไปอย่างยากเย็นขนาดนี้
ผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว เซฮุนนอนฟุบหน้าลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน เขาชักจะโมโหตัวเองแล้วนะ ทำไมถึงได้เล่นง่อยถึงขนาดนี้ แต่หงุดหงิดกับตัวเองได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่ออยู่ ๆ จงอินก็ดันกระเป๋าเป้มาทางนี้พร้อมตบเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้เขานอนหนุนกระเป๋าแทน
“พื้นมันสกปรก”
เซฮุนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ดึงกระเป๋าเข้าหาตัวเล็กน้อยทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเจ้าของของมัน เด็กหนุ่มซบหน้าลงไปกับกระเป๋าเป้ที่มีหนังสืออยู่ข้างใน
ทำไมมีกลิ่นหอมจากกระเป๋าเป้ด้วยล่ะ พราะมันเคยถูกวางไว้ในห้องของจงอินมาก่อนใช่ไหม เขาจำกลิ่นนี้ได้ ห้องที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ชวนให้รู้สึกอุ่น ซึ่งเขาชอบความรู้สึกแบบนั้นตอนเรานั่งเล่นเปียโนด้วยกัน
“อีกฉากเดียวที่นายยังทำได้ไม่ดีพอ ตั้งใจหน่อยนะ ถ้าผ่านวันพรุ่งนี้ไปแล้วนายจะขอบคุณตัวเอง แต่ตอนนี้พักสักสิบนาทีแล้วกัน” เซฮุนเพียงแค่พยักหน้า เขาชอบเวลาจงอินให้กำลังใจทางอ้อมแบบนี้ แทนที่จะบอกว่า ‘สู้ ๆ นายต้องทำได้แน่ ๆ’
“นี่จงอิน”
“หืม?”
“ที่ฉันเคยถามว่ามีอะไรที่นายทำได้ไม่ดีบ้าง แล้วนายตอบว่าเล่นเกมน่ะ” เซฮุนทิ้งจังหวะไปครู่หนึ่ง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังนอนราบอยู่กับพื้นแล้วซบหน้าอยู่กับกระเป๋าเป้ของจงอิน “ฉันคิดว่ามันเจ๋งมากเลยนะที่นายเก่งแทบจะทุกด้าน มันก็มีแค่เรื่องเกมที่นายคิดว่าตัวเองไม่เก่ง แต่ฉันว่านายเป็นคนมีพรสวรรค์”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่ชอบเอาชนะความไม่รู้”
เซฮุนเงยหน้าขึ้นพลางเอาคางเกยกับกระเป๋าเป้ เขาเห็นว่าตอนนี้จงอินนั่งชันเข่าข้างหนึ่งพร้อมพิงหลังอยู่กับกระจกบานใหญ่ แต่สายตามองมาทางนี้
“และตอนนี้นายก็ต้องเอาชนะความไม่รู้ให้ได้เหมือนกัน”
“...”
จงอินเอาบทละครขึ้นมาดูอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นทำหน้าจริงจังอีกแล้ว เซฮุนหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง เขารู้สึกว่าที่จงอินพูดมันก็ถูก เพราะใครหลายคนรวมถึงตัวเขาก็ชอบมองข้ามในเรื่องที่ไม่รู้ เพื่อที่จะได้เอามาเป็นข้อแก้ตัวตอนแสดงความโง่ออกมา
“มานั่งนี่สิ”
เซฮุนไม่อยากเสียเวลานั่งคิดไปกับคำตอบที่รู้อยู่แก่ใจดี เด็กตัวผอมลุกขึ้นเดินมานั่งชันเข่าข้าง ๆ อีกคน ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันโดยที่ไม่พูดอะไร ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก หลังจากที่เซฮุนเริ่มปรับตัวเข้ากับความเงียบที่เป็นส่วนหนึ่งของจงอินได้แล้ว
“เราจะซ้อมกันต่อแล้วใช่ไหม”
“เปล่า ฉันกำลังจะชวนนายคุยระหว่างพักต่างหาก” เด็กตัวผอมเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คนอย่างคิมจงอินเนี่ยนะจะชวนคุย ยิ่งในสถานการณ์ที่เขาจำเป็นต้องฝึกซ้อมบทละครนี่ด้วย “นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไง?”
เซฮุนเงียบ และจงอินก็ไม่ได้คาดคั้นขอให้ตอบทันทีกับคำถามที่ต้องใช้ความคิด ซึ่งเขาคิดว่าคนอย่างจงอินก็น่าจะเดาได้ไม่ยากหรอก
“นายเป็นคนเข้าใจยาก ฉันรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างที่นายคิดต่างจากคนทั่วไป” จงอินเพียงแค่ยิ้มกับคำตอบของเขา ผู้ชายคนนี้ไม่ได้แย้งขึ้นมาว่ามันไม่เป็นความจริง หรือแม้แต่จะคุยอวดว่าเจ้าตัวเองน่ะรู้อะไรมากกว่านี้อีก ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก คิมจงอินไม่ใช่คนประเภทนั้น
“คิดต่างกับขวางโลกมีเส้นบาง ๆ คั่นอยู่นะ”
“แต่นายรู้ว่าตัวเองเป็นแบบแรกหรือแบบหลังไม่ใช่เหรอ” เซฮุนเกยคางลงกับหัวเข่าขณะที่ยังไม่ละสายตาจากคนข้าง ๆ
“กับบางเรื่อง ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่การได้รู้จากมุมมองคนอื่นมันก็เป็นการพัฒนาตัวเองได้เหมือนกัน”
“อย่างเช่นอะไรล่ะ”
“เรื่องที่นายบอกว่าฉันคิดต่าง แต่ในขณะเดียวกัน ฉันอาจจะเป็นไอ้ตัวขวางโลกในสายตาคนอื่นก็ได้”
“นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จักตัวตนของนายไง” เซฮุนไม่อยากให้จงอินคิดว่าจะถูกมองแบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่าการถูกเข้าใจผิด ๆ มันเป็นยังไง
“แล้วนายรู้เหรอว่าตัวตนของฉันเป็นยังไง?”
คำถามหยุดโลกมาอีกแล้ว ถ้าจงอินอยากให้เขาเงียบปาก ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่ามันได้ผล แต่ประเด็นมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะผู้ชายคนนี้ออกปากเองว่าจะชวนคุยฆ่าเวลา เซฮุนเพียงแค่ส่งสายตาโง่ ๆ อย่างคนไม่รู้ไปยังอีกฝ่าย เพราะนั่นมันคือคำถามเดียวกับที่ตัวเขาอยากรู้มาตลอด
“ถ้าตอบว่ารู้ มันก็จะดูเข้าข้างตัวเองเกินไปว่าเราสนิทกันแล้ว” เซฮุนเว้นจังหวะเพื่อดูท่าทีอีกฝ่ายว่าจะแสดงออกมายังไง ซึ่งที่จงอินทำก็แค่กระพริบตาระหว่างรอเขาพูดต่อ “ถ้าบอกว่าฉันเชื่อในสิ่งที่รู้สึกได้ นายจะหาว่าฉันหัวอ่อนหรือเปล่า?”
“ใช่ นายน่ะหัวอ่อน”
“ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วทำไมนายถึงไม่แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ฉันเห็นล่ะ”
“ถ้าทุกคนสามารถแสดงออกทุกอย่างได้โดยที่ไม่ซ่อนบางอย่างไว้ในใจ มันก็คงไม่มีคำว่าความลับอยู่บนโลกใบนี้หรอก”
“...”
“การแสดงออกมาตรง ๆ มันอาจจะดูจริงใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกได้ แล้วบางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น” จงอินยิ้ม “แล้วมันก็เป็นอีกบททดสอบหนึ่ง ที่ทำให้รู้ว่าเราควรเชื่อในสิ่งที่เห็นหรือจะเชื่อในสิ่งที่รู้สึกได้”
ทั้งคู่ยังไม่ละสายตาออกห่างจากอีกฝ่าย เรากำลังมองอย่างหยั่งเชิงกันอยู่เหรอ ที่จงอินพูดมาน่ะ เพื่ออยากให้เขามองโลกอีกแง่นึง หรืออยากจะบอกอะไรกันแน่นะ?
“แล้วฉันเชื่อความรู้สึกตัวเองได้ไหม”
“ถามตัวเองสิ ว่าพร้อมที่จะเสียใจภายหลังหรือเปล่าถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่อย่างที่คาดหวังเอาไว้” จงอินหันไปมองผนังฝั่งตรงข้ามเพื่อเป็นที่ยึดสายตา “ฉันไม่ได้เป็นคนเก่งเหมือนที่นายคิดหรอก ฉันก็แค่เคยเจอเรื่องบ้าบอคอแตกมาบ้างก็เท่านั้น”
“...”
“ฉันเคยหนีออกจากบ้านไปอยู่กับไอ้ชานยอล เพราะทนไม่ไหวกับชีวิตที่เป็นเหมือนหุ่นเชิดของพ่อแม่”
“พ่อนายน่ะเหรอ?” เซฮุนแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ว่าจงอินจะเคยเจอเรื่องแบบนั้น อีกทั้งพ่อของผู้ชายคนนี้เองก็ไม่มีท่าทีว่าจะเป็นคนชอบเผด็จการด้วย ส่วนแม่ของจงอินเขายังไม่มีโอกาสได้เจอ
“ตอนเป็นเด็กแม่อยากให้ฉันเอาดีด้านดนตรี เธอเลยให้ฉันเล่นไวโอลิน เปียโน เชลโล่ แต่ที่รู้สึกถูกชะตามากที่สุดก็คือเปียโน ฉันก็เลยตั้งใจเล่นมันตั้งแต่ตอนนั้น”
“ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”
“เก้าขวบ ฉันจำได้ว่าตอนอายุสิบสามมีงานแข่งขัน แล้วฉันก็แพ้ สำหรับความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งเวลาคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว แต่กลับมีคนที่ทำได้ดีกว่า แน่นอนว่าฉันต้องเสียใจ ซึ่งความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น”
“...”
“ฉันมารู้ทีหลังว่าการแข่งขันมันถูกล็อกไว้แล้วว่าใครจะชนะ แต่ฉันจะไม่พูดถึงหรอกนะว่าหลังจากนั้นเป็นยังไง มันดูเปล่าประโยชน์มาก ฉันเลยเกลียดทุกอย่างที่มันไม่เป็นธรรม”
“มันคือเหตุผลที่ทำให้นายอยากเรียนนิติศาสตร์ด้วยหรือเปล่า”
“ใช่ ฉันรู้สึกว่ามันท้าทายด้วยน่ะ” จงอินยิ้ม “ฝั่งแม่ว่าหนักแล้ว ทางพ่อก็อยากให้ฉันเรียนเก่ง ๆ เพื่อที่จะโตขึ้นเป็นวิศวกรเหมือนเขา” จงอินถอนหายใจ เมื่อนึกไปถึงอดีตเมื่อตอนนั้น มันคือความกดดันที่เขาไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าผ่านมาได้ยังไง “แต่ฉันเข้าใจนะ การเป็นลูกชายคนเดียว ก็ไม่แปลกที่จะถูกคาดหวัง”
“ถ้ารู้สึกแย่ ก็อย่าพูดถึงมันอีกเลยนะ” เซฮุนหยัดตัวลุกขึ้นนั่งดี ๆ พลางมองอีกคนอย่างเป็นห่วง
“ไม่หรอก มันคือสิ่งที่ฉันผ่านมาได้แล้ว และตอนนี้ฉันก็มีความสุขกับครอบครัวดี พอเกิดปัญหาเรื่องฉันหนีออกจากบ้าน พ่อกับแม่ก็เลยยอมถอยก้าวหนึ่งแล้วพยายามเข้าใจความรู้สึกของฉัน” เด็กหนุ่มผิวแทนหันมายิ้ม เขารู้ว่าตอนนี้มนุษย์คิดมากอย่างโอเซฮุนกำลังเป็นกังวลกับเรื่องที่เขาเพิ่งเล่าให้ฟัง
“แน่นะ?”
“ถ้าบอกว่าโกหกแล้วจะเชื่อไหม?” รอยยิ้มจงอินเริ่มจะกวนประสาทแล้ว เซฮุนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอนตัวชนแขนคนข้าง ๆ
“คนเขาเป็นห่วง ยังจะมาพูดเล่นอีก”
“มันคือสิ่งที่ฉันอยากให้นายรู้ ว่าคนอย่างฉันก็เคยเจอเรื่องที่เคยเรียกว่าเป็นฝันร้ายมาเหมือนกัน ฉันไม่ใช่คนที่อยู่ ๆ ก็มีความคิดที่แตกต่างขึ้นมาหรอกนะ”
เซฮุนซบแก้มลงกับต้นแขนตัวเองขณะมองอีกคน จากตอนแรกที่รู้สึกเป็นห่วง มันกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกดีกับประโยคเมื่อครู่ กับการที่จงอินอยากอธิบายให้เขาฟัง
“ว่าแต่นอกจากเกมกับเต้นแล้ว ยังมีอะไรที่นายอยากเก่งด้านนั้นอีกไหม?”
“เปียโน”
“หืม?” คิ้วหนาทั้งสองข้างที่ขมวดเข้าหากันราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งเซฮุนเข้าใจดี กับคำตอบที่เหมือนไม่คิดและดูเหมือนว่าจะเอาใจคนฟัง แต่เขาไม่ได้โกหก
“ฉันอยากเล่นเปียโนเก่ง”
“เพราะ?”
“...เพราะนาย”
เงียบ...
“อ้อ...ฉันหมายความว่าพอเห็นนายเล่นแล้วมันน่าสนใจน่ะ ก็เหมือนกับนายที่อยากเอาชนะในเรื่องที่ไม่รู้ ฉันอยากพูดแบบนั้นเลยตอบไปสั้น ๆ” เซฮุนยิ้มเจื่อน ก่อนจะกลอกตาแล้วคว้าเอาบทละครมาซ้อม
ไม่น่าหลุดปากพูดแบบนั้นเลยให้ตายเถอะ ตอนนี้จงอินกำลังทำหน้าแบบไหนนะ คงกำลังงงอย่างสุดกู่แน่ ๆ ว่าไอ้บ้านี่เป็นอะไรทำไมอยู่ ๆ ถึงพูดประโยคเลี่ยน ๆ ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ไม่สิ ไม่ได้หน้าตาเฉย เมื่อกี้ปากมันไวเกินกว่าสมองจะห้ามทัน
“ซ้อมกันต่อเถอะ เอาล่ะ ค้างบทจูบ” เซฮุนหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย และที่ทำให้รอยยิ้มของเขาแห้งไปก็คือใบหน้าเรียบเฉยของคนผิวแทน ก่อนที่จงอินจะขยับตัวเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าเรียก
ให้ตายเถอะ...
“เหมือนที่ฉันเคยบอกไปว่า นายจะทำมันออกมาได้ดีก็ตอนที่รู้สึกว่าเป็นเจ้าชายแล้วจริง ๆ”
“อื้ม”
“โอเซฮุนจะไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นกับเจ้าหญิง แต่เจ้าชายจะรู้สึก”
“...อื้ม” เซฮุนเม้มปาก หลังจากพลาดสร้างสถานการณ์น่าอึดอัดไปเมื่อครู่ ตอนนี้เรื่องสบตากับจงอินก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว เขาเห็นว่าจงอินยังคงไม่ละสายตาออกห่างจากใบหน้าของเขาระหว่างที่ช่วยสอน
“หลับตาลง”
“หา?”
“ทำตามที่บอก”
เซฮุนกลอกตาไปมา จู่ ๆ คิมจงอินคนที่เคยอยู่ในโหมดดราม่าก็กลับมาเป็นคนชอบเผด็จการอีกครั้ง หลังจากที่เรากลับเข้าสู่การซ้อมบทละคร เด็กหนุ่มตัวผอมพยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะหลับตาลง
“แล้วไงต่อ”
“นายออกตามหาผู้หญิงที่นายรัก ขี่ม้าข้ามป่าข้ามเขาเพื่อที่จะไปพาตัวเธอกลับมา ฉันขอถามว่าถ้าได้เจอกันนายจะรู้สึกยังไง”
“ดีใจมาก”
“อืม... ตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงหน้านายเพียงแค่หนึ่งช่วงแขน นายพูดอะไรไม่ออกเพราะความดีใจมันจุกแน่นอยู่ที่คอ นายอยากจะเข้าไปกอดเธอแน่น ๆ แล้วกระซิบบอกว่ารักข้างหู แต่ความตื้นตันมันทำให้นายเพียงแค่ยกมือขึ้นมาทาบแก้มของเธอ”
ตึกตัก...ตึกตัก...
เสียงของจงอินตอนกำลังบรรยายถึงความรู้สึกของเจ้าชายนั้นทำให้เซฮุนรู้ว่าผู้ชายคนนี้เข้าถึงบทได้ดีกว่าตัวเขาเสียอีก เด็กตัวผอมผ่อนลมหายใจออกอย่างแผ่วเบาเมื่ออีกคนจับมือของเขาขึ้นไปทาบกับใบหน้าตัวเอง
“นายรู้สึกยังไง?”
“อุ่น...”
แก้มของจงอินอุ่น...จนเขาไม่อยากละมือออกมา
“การที่ตัวเธอยังอุ่น หมายความว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ นายสัมผัสร่างกายเธอได้”
“ฉันเข้าใจ”
“ตอนนี้รู้สึกอะไรอยู่”
“ไม่รู้สิ...ฉัน...”
“อยากทำมากกว่านี้หรือเปล่า?”
เซฮุนไม่คิดว่านี่คือคำถามที่จะต้องใช้กับเจ้าหญิง ในหัวของเขามีแต่ภาพของคิมจงอินเวลามองมา ตอนยิ้ม ตอนทำสีหน้าเรียบเฉย หรือแม้แต่ตอนที่เจ้าตัวหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
ซึ่งโอเซฮุนรู้ว่าอะไรคือคำตอบสำหรับคำถามนี้...
“อยาก...”
เซฮุนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เขาเห็นว่าจงอินยังนั่งอยู่ที่เดิม ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลไปกว่าหนึ่งช่วงแขนที่สมมติไปเมื่อครู่นี้ เด็กตัวผอมเลียริมฝีปากอย่างประหม่า เซฮุนคิดว่าการสบตากันในครั้งนี้มันต่างไปจากทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
“อยากจูบเธอไหม?”
“...”
“อยู่บนเวที ต่อหน้าคนดูเป็นร้อย นายจะไม่มีเวลามาชั่งใจแบบนี้นะ”
มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น เมื่อจงอินเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนที่มืออุ่นร้อนของอีกฝ่ายจะทาบลงบนแก้มเขา และตามด้วยเรียวนิ้วหัวแม่มือที่กดปิดริมฝีปาก
เซฮุนกำลังใจเต้นแรงจนเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคไม่ได้ หรือแม้แต่การหายใจให้เป็นจังหวะ หรือท่านั่งที่ดีกว่านี้ เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อใบหน้าของจงอินขยับเข้ามาใกล้...จนริมฝีปากนั้นกดจูบลงบนหลังนิ้วหัวแม่มือตัวเอง ที่เป็นตัวคั่นกลางระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่
ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายรดลงมาอย่างแผ่วเบา เราไม่เคยอยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน ซึ่งมันทำให้โอเซฮุนตั้งหลักได้ไม่ทันแม้ว่าจงอินจะผละตัวออกไปแล้วเล็กน้อย
“ถ้าทำแบบนี้จะเหมือนจูบกันจริง ๆ แค่ปรับองศาหน้าอีกหน่อย”
“...”
คำอธิบายของจงอินมันน้อยเกินไปสำหรับความรู้สึกบางอย่างที่มันเกิดขึ้น จงอินควรรู้ตัวได้แล้วว่าเป็นคนมีเสน่ห์ และไม่ควรใช้มันบ่อย ๆ กับคนที่จิตใจอ่อนแออย่างโอเซฮุน เพราะเขาพร้อมที่จะรู้สึกได้ง่าย ๆ ถ้าอีกฝ่ายคือคิมจงอิน
“รู้ไหมว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไป...”
เสียงของเซฮุนแผ่วเบา จนถึงตอนนี้หัวใจของเขายังคงเต้นแรงไม่หยุด และคิดว่าอาการแบบนี้คงไม่จางหายไปง่าย ๆ ตราบใดที่ใบหน้าของอีกฝ่ายยังอยู่เพียงแค่ช่วงหายใจแบบนี้
เราไม่ได้จูบกันจริง ๆ สักหน่อย...แต่ทำไมถึงได้รู้สึกมากมายถึงขนาดนี้ล่ะ?
ถ้าเรากำลังเล่นเกมสบตากันอยู่ล่ะก็ โอเซฮุนขอยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เลย เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่กำลังเขินจนหน้าร้อนไปหมดกับจูบหลอก ๆ ที่เด็กเล่นพ่อแม่ลูกกันยังไม่กล้าจะตื่นเต้น จงอินไม่ตอบคำถาม แต่ผู้ชายคนนี้กลับเลื่อนใบหน้าเข้ามาอีกครั้งพร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา
ที่ทำให้หัวใจของเขา...เริ่มกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
“ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ริมฝีปากอุ่นทาบทับลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีเรียวนิ้วกั้นขวางเป็นอุปสรรค ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากภาพในจิตนาการ แต่มันคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวินาทีนี้ เซฮุนหลับตาลงและปล่อยให้ร่างกายเอนไปข้างหลังเพราะแรงกดจูบที่อีกฝ่ายเป็นคนเริ่ม
ถ้าจะบอกว่าคิมจงอินเป็นยมทูตที่กำลังดูดวิญญาณก็คงเชื่อ เมื่อร่างกายที่เคยคิดว่าแข็งแรงจนสามารถเต้นได้เป็นชั่วโมงกำลังอ่อนปวกเปียกเพราะรสจูบ จนอีกคนต้องเอามือโอบรอบเอวของเขาเอาไว้
ในทีแรกก็แค่ปากแตะปาก แต่ตอนนี้ลิ้นของเรากำลังกระหวัดดูดดึงราวกับโหยหากันและกันมานาน ร่างของเราเหมือนจะเอนลงไปนอนกับพื้น แต่เราทั้งคู่ก็ใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้โดยที่ยังไม่ละริมฝีปากออกจากกัน
มากกว่านี้ได้ไหม เขาอยากสัมผัสผู้ชายคนนี้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนต่อไปนี้จะเป็นยังไงโอเซฮุนก็ไม่อยากคิดแล้ว หรือถ้าจงอินจะสน มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาอยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้อยู่ลึก ๆ
เซฮุนวางมือข้างที่ว่างอยู่ลงบนไหล่แกร่ง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนเป็นโอบรอบคอในวินาทีถัดมา เรายังไม่ละริมฝีปากออกจากกัน เสียงกอบโกยลมหายใจขณะแลกจูบกันนั้น คงไม่เท่ากับริมฝีปากที่กำลังบวมเจ่อหลังจากถูกดูดดึงอย่างหลงใหล
แขนแกร่งรั้งคนตรงหน้าให้เข้ามาใกล้ก่อนจะรวบกอดจนแผงอกแนบชิดกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง เสียงครางอื้ออึงในลำคอนั้นยังไม่ถึงระดับที่เป็นคำเตือนว่าควรปล่อยให้อีกฝ่ายได้หายใจ คิมจงอินยังอยากสัมผัสโอเซฮุนอยู่อย่างนี้ ให้สมกับความอึดอัดที่กักกั้นไว้ในใจมานาน
เขาไม่อยากเอาแต่มองหน้าโอเซฮุนอีกแล้ว...
จงอินค่อย ๆ ละริมฝีปากออกอย่างเสียดาย แต่ถ้าไม่หยุดตอนนี้ก็กลัวว่าจะห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ไหว เด็กหนุ่มผิวแทนมองดวงหน้าขาวที่ขึ้นริ้วแดง ตอนเซฮุนเลียริมฝีปาก มันทำให้เขารู้สึกว่าการถอนจูบออกมามันเป็นเรื่องโง่ที่สุดแล้วสำหรับผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน ดวงตาฉ่ำมองมาขณะหอบหายใจ มันคงเป็นคำตอบได้แล้วว่าเราทั้งคู่อยากซ้อมบทละครกันต่อ...
“อีกครั้งได้ไหม...”
TBC
จูบกันละ เชือกเริ่มมัดแน่นขึ้นแล้ว
อ้างอิง ฉากอดีตที่เคยเล่าถึงใน #มนุษย์แบคฮยอนค่ะ
ความคิดเห็น