คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 07 :: Your Scent (100%)
Chapter 7
Your Scent
เซฮุนไม่ใช่เด็กเรียน แต่ไหนแต่ไรแล้วเขามักจะฟังผ่าน ๆ พอถึงเวลาใกล้สอบค่อยมานั่งทบทวนบทเรียนเอาทีหลัง แค่พอให้รู้สึกว่าตัวเองจะไม่โง่เวลาเจอข้อสอบ และตอนนี้ก็เช่นกัน โอเซฮุนยังคงยืนยันคำเดิมว่าเขาไม่ใช่เด็กเรียน เมื่อเขาเอาแต่มองหน้าครูสอนเปียโนแล้วฟังเสียงดนตรีที่บรรเลงไปเรื่อย ๆ
คิมจงอินเป็นเหมือนใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก เมื่อเวลาผู้ชายคนนี้ใช้เวลาอยู่กับเปียโน รอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าก็เกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว ตอนนั้นเซฮุนได้แต่ถามตัวเองว่า ‘จะต้องทำยังไง ถึงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรอยยิ้มผู้ชายคนนี้ได้นะ?’
จงอินสอนให้เขาเริ่มจำตัวโน๊ตง่าย ๆ ก่อน ถ้าเป็นเรื่องความจำล่ะก็โอเซฮุนถนัดนักล่ะ เขาทำมันได้ดีเวลาเล่นเกมเนื้อเรื่องที่ต้องใช้สมอง และดูเหมือนว่าซอนแซงนิมจะพอใจอยู่ไม่น้อย
เซฮุนได้กินไข่ม้วนก่อนกลับบ้านอย่างที่คุณครูรับปากไว้ว่าจะทำให้กิน เขาได้มีโอกาสทักทายคุณพ่อของจงอินเมื่อท่านกลับมาถึง ซึ่งรอยยิ้มที่แสดงออกอย่างจริงใจนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่ดีเหลือเกิน
เที่ยงคืนแล้ว ในเวลาแบบนี้เขาน่าจะลุกขึ้นไปเปิดคอมพ์แล้วเล่นเกม Horror ที่ค้างเอาไว้ เชื่อว่าถ้าเข้าไปในยูทูปคงได้เห็นคอมเมนท์จากแฟนคลับเป็นร้อย ๆ ที่กำลังรอพาร์ทต่อไป แต่เซฮุนกลับเลือกนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เพดานห้องเป็นที่ยึดสายตา
รู้สึกเหมือนมีเสียงเปียโนเล่นอยู่ข้างหูอยู่ตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะเสียสติไปแล้วที่ปล่อยให้เรื่องราวของจงอินวิ่งเล่นอยู่ในหัวไม่หยุด แต่มันก็มีความสุขเกินกว่าจะหยุดคิดแล้วหันไปทำสิ่งอื่น
ทำไมถึงได้คิดถึงผู้ชายคนนั้นขนาดนี้นะ...
.
.
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คิมจงอินเอาแต่นึกถึงหน้าโอเซฮุน...
ทุกครั้งที่มองไปยังเปียโนหลังนั้น?
ขายาวหยุดยืนอยู่กลางห้องขณะที่มือทั้งสองข้างยังง่วนอยู่กับการผูกเน็กไท เป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ใครอีกคนเข้ามาในความคิด ซึ่งเขารู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เด็กหนุ่มผิวแทนนิ่งไปราว ๆ สามนาที กับการมองไปยังภาพตรงหน้า
ตรงนั้น ที่ที่เป็นความทรงจำส่วนหนึ่งระหว่างเขากับเซฮุน
มันก็สักพักหนึ่งแล้วที่เราใช้เวลาร่วมกันในวันสุดสัปดาห์ไปกับการเรียนเปียโน เซฮุนไม่ใช่คนซื่อบื้อ หมอนั่นเรียนรู้เร็วแถมยังไม่เซ้าซี้จนน่ารำคาญอีกด้วย แต่พอถึงวันจันทร์ก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะกลับไปสู่สภาพเดิม เราทั้งคู่เป็นเหมือนคนรู้จักที่เพียงมองหน้ากันเวลาเดินสวนทาง โดยที่ไม่มีการยิ้มหรือกล่าวทักทายใด ๆ ในขณะที่หวงจื่อเทาเลือกที่จะทักทายแบบกวนประสาทตามประสา ยกตัวอย่างเช่นแอบจิ้มเอวเซฮุน ไปจนถึงยีหัว
จงอินเคยคิดว่าเซฮุนอาจจะสงสัยแล้วถามว่า ‘เพราะอะไรเราถึงไม่คุยกันเวลาอยู่โรงเรียน?’ แต่มันก็แค่ความคิด เมื่อพอถึงวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เซฮุนก็จะมาที่บ้านเขาพร้อมขนมหรือไม่ก็หนังสือการ์ตูนเล่มที่เพิ่งออกใหม่
หมอนั่นไม่เคยน้อยใจเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็คงเป็นอย่างนั้นสำหรับคนที่อยู่ในสถานะเพื่อน แต่เป็นเขาเองต่างหากที่คิดไปเองว่าอีกฝ่ายอาจจะเก็บไปคิดมาก
แต่เขาชอบความสัมพันธ์แบบนี้นะ เรียบง่ายไม่หวือหวา ค่อยเป็นค่อยไป แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน...คิมจงอินก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกดีมากแค่ไหนกับการมองสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย ที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
ช่วงนี้มีแต่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการที่พ่อถามว่าอยากได้รถสีอะไร ไปจนถึงเรื่องที่แบคฮยอนหลงผิดตอบตกลงคบกับไอ้ชานยอลแล้ว
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เขาคาดหวัง ในขณะที่ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมันค่อนข้างน่าเป็นห่วง ซึ่งปัญหาหลัก ๆ มาจากตัวเพื่อนสนิท อย่างปาร์คชานยอล
เขาได้มีโอกาสนั่งคุยกับไอ้เทาเรื่องนี้ และเราก็มีความเห็นเดียวกันว่าไอ้ชานยอลยังมีมุมมองเด็กเกินไปกับเรื่องความรัก เราทั้งคู่รู้ดีว่าไอ้หมอนั่นมันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร มันก็แค่ถูกเลี้ยงมาอย่างโดดเดี่ยว ถูกเลี้ยงด้วยเงิน และโตมากับความเหงา พอมีความรักแล้วก็อยากให้แบคฮยอนช่วยเติมเต็ม ชนิดว่ากระอักความสุขได้เลยก็ยิ่งดี แต่ก็นั่นแหละ ถ้าหลงกันมาก ๆ เชื่อเถอะว่าไม่เกินสามเดือนก็คงเบื่อ
บอกตามตรงว่าคิมจงอินเซ็งหนังหน้าปาร์คชานยอลมากที่สุดก็ตอนที่มันเอาแต่นั่งถอนหายใจ เพราะแบคฮยอนทำตัวไม่ต่างจากเดิม
พูดก็พูดเถอะ คิมจงอินไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความรัก ถ้าไม่นับตอนอนุบาล แฟนที่เคยคบอย่างจริงจังก็มีแค่ตอนม.ต้น ซึ่งนั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ส่วนตอนม.ปลายปีหนึ่งกับปีสองก็ไม่ค่อยอยากนับเท่าไหร่ เรียกว่าผ่านเข้ามาในชีวิตให้ได้เห็นมุมมองความรักที่ต่างออกไปคงจะดีกว่า
แต่การที่คิมจงอินอยากเตือนเพื่อนสนิท ทุกอย่างล้วนออกมาจากความเป็นห่วงเป็นใย ถึงแม้ว่ามีบางเรื่องที่ตัวเขาเองก็อาจจะทำไม่ได้ แต่มันก็ยังดีกว่าถ้าได้แนะนำให้เพื่อนเห็นทางเลือกที่ดี มากกว่าตัดสินใจด้วยอารมณ์โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
.
.
“เดี๋ยวฉันจ่าย”
“ไม่ เดี๋ยวฉันจ่ายเอง มื้อเที่ยงนายก็ออกไปแล้วนะ”
“งั้นหารสอง”
“ถ้าจะหารก็ต้องหารตั้งแต่ค่าข้าว”
“อะไรกัน...งั้นเป่ายิ้งฉุบ ใครแพ้จ่าย โอเคไหม?”
“หวงจื่อเทา”
“โอเซฮุน”
เด็กหนุ่มตัวสูงทั้งสองคนยืนต่อสู้กันทางสายตาอยู่หน้าโรงหนัง หากแต่เด็กหนุ่มชาวจีนกลับอมยิ้มอย่างหนึ่งสนุก เขาจำไม่ได้หรอกว่านี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เซฮุนถอนหายใจอัดหน้าเขา ถึงมันจะแปลกไปหน่อย แต่เขาชอบทำให้หมอนี่หงุดหงิดก่อน แล้วค่อยทำให้ยิ้มทีหลัง
ช่วงนี้จื่อเทามีความสุขกับชีวิตเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรทุกอย่างก็ราบรื่นไปหมด รวมไปถึงการพูดคุยกับเซฮุนด้วย ที่ในทีแรกมันช่างดูยากเย็นจนอยากถอดใจไปหลายครั้ง แต่น้ำหยดใส่หิน หินมันยังกร่อนใช่ไหมล่ะ พักหลังนี้เซฮุนเริ่มเปิดใจคุยกับเขาบ่อยขึ้น ชวนคุยมากขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีมาจากไหน บางทีก็เอาแต่ยิ้ม แล้วก็ถามว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง
มันก็ดีหรอกนะที่เซฮุนชอบฟังเขาพูดถึงเพื่อนสนิทอีกสองคน
วันนี้เรามีนัดดูหนังกัน เซฮุนไม่ได้เอาแต่ถามหาเหตุผลเหมือนกับเมื่อก่อนอีกว่าทำไมต้องมาดูด้วยกัน ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละว่าเซฮุนเริ่มเปิดให้เขาเข้าไปในโลกบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เจ้าตัวไม่โอเค ซึ่งก็คือเรื่องเงิน หมอนี่เอะอะจะหารสองอย่างเดียวเลย
เซฮุนไม่ใช่คนจีบง่าย ต่อให้เป็นผู้หญิงเขาก็คิดว่าคงจีบคนนี้ยาก เซฮุนไม่ได้โดดเด่นไปกว่าใครนอกจากเรื่องหน้าตา หลังจากสนิทกันมากขึ้น เขาถึงได้รู้ว่าหมอนี่ขี้เกรงใจ แล้วก็คิดมากพอสมควรเลยล่ะ
เพราะงั้นมุกหยอดคำหวานคงไม่ผ่าน วันนั้นเขาเห็นไอ้จงอินสั่งสอนไอ้ชานยอลเรื่องความรัก ก็เลยเก็บมาทบทวนดูว่าการคิดแบบนั้นมันก็เข้าท่าดี ‘ความรักแบบผู้ใหญ่’ งั้นเหรอ? ฮะ ๆ ...มันจะใช้กับโอเซฮุนได้หรือเปล่านะ?
“นายว่าพระเอกจะตามไปฆ่าไอ้เด็กนั่นไหม...” จื่อเทาเอนศีรษะเข้าหา และเซฮุนก็เอนศีรษะเล็กน้อยขณะที่ยังไม่ละสายตาจากจอใหญ่
“ไม่รู้สิ...ฉันว่าไม่น่าจะยิงนะ แล้วนายล่ะว่าไง...”
“ยิงแน่ ๆ ถ้าชั่งน้ำหนักระหว่างความถูกต้องกับความสงสาร”
“เหรอ...”
“พนันกันไหมล่ะ?”
“เอาอีกแล้วนะ” เซฮุนมองค้อนคนข้าง ๆ ที่เอะอะก็จ้องแต่จะพนันอย่างเดียวเลย หวงจื่อเทาชอบนักล่ะเรื่องความท้าทายเนี่ย
“ใครแพ้ต้องจ่ายด้วย Assassin’s Creed Rouge” จื่อเทายิ้มเจ้าเล่ห์ เซฮุนแค่นหัวเราะแล้วหันไปมองจอ แน่นอนว่าเขาไม่เคยยอมแพ้อยู่แล้วถ้าเป็นเรื่องเกม
“เอาแบบแพ็คเกจนะ”
“ได้ เท่าไหร่ล่ะ?” จื่อเทาไม่ได้มีความกระสันอยากเล่นเกมนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าพูดถึงสายเกมเขาถนัดแนว MMORPG เสียมากกว่า อย่างเช่นพวก DotA2 ไปจนถึง StarCraft แต่เพราะไปแอบรู้มาว่าเซฮุนกำลังรอเกมนี้ที่กำลังจะออกจำหน่ายตอนปลายเดือน ก็เลยต้องหาของมากระตุ้นความสนใจกันหน่อย
“หกหมื่นวอน”
“Deal”
จื่อเทาแบมือออกก่อนที่เซฮุนจะทุบมือลงไปเบา ๆ เป็นการตกลง ทั้งสองคนหันเข้าหาจอหนังอีกครั้ง เขาเห็นว่าเวลาถึงฉากเครียดคิ้วของคนตัวผอมก็จะขมวดเข้าหากัน พอถึงฉากตลก เจ้าตัวก็จะหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ที่สุดแล้ว...เซฮุนก็เป็นฝ่ายชนะ
ก็แบบนี้ตลอดแหละนะ...เพราะถ้าเป็นโอเซฮุน หวงจื่อเทาก็ยอมแพ้แต่แรกแล้ว
.
.
กว่าจะดูหนังจบก็ทุ่มเศษ ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราสองคนจะมาถึงร้านสเต็กแล้ว แต่บทสนทนาเกี่ยวกับหนังที่เพิ่งจบไปก็ยังคงไม่จบตาม จื่อเทารู้สึกดี เวลาเห็นเซฮุนเอาแต่พูดถึงฉากประทับใจในหนังสงครามจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้เคยบ่นอยู่เนือง ๆ ว่าหิวน้ำ
“ไม่พนันกับนายละ เล่นทีไรแพ้ทุกที”
“ก็จะได้รู้สักทีว่ากำลังเล่นกับใครอยู่” เซฮุนพูดทีเล่นทีจริง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างพอใจ และมันเป็นเรื่องห้ามไม่ได้ที่หวงจื่อเทาจะหัวเราะตามเพียงเพราะเห็นดวงตาคู่นั้นกำลังยิ้มจนเป็นสระอิ
“ไว้มาดูมิสเตอร์เกรย์เป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“Fifty Shades Of Gray น่ะเหรอ?”
“ใช่ อยากดูก้นนางเอกน่ะ เรื่องของเรื่อง”
“ตอนแรกว่าจะถามว่าชอบหนังรักหรือไง แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว” เซฮุนส่ายหน้าเอือม
“นายก็อายุยี่สิบแล้วไม่ใช่เหรอ ไว้ไปกันนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่หันไปหายใจแรง ๆ ใส่”
“ถ้าทำอย่างนั้นมีต่อยแน่” คนตัวผอมทำท่ากำหมัดโชว์ พอเห็นอย่างนั้นจื่อเทาเลยแกล้งเอามือทาบแก้มตัวเองทั้งสองข้างพร้อมทำตาโต
“น่ากลัวจังเลยค่า”
“เพี้ยน...”
เด็กหนุ่มชาวจีนยิ้มขำ เซฮุนจะรู้ไหมนะว่าตอนเจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาหลังจากแกล้งทำเป็นโหดมันน่ารักแค่ไหน
ไม่นานนักสเต็กก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เซฮุนมองสลัดที่ถูกตกแต่งเป็นเครื่องเคียงแล้วก็เขี่ยมะเขือเทศออก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าจื่อเทาก็กำลังทำอย่างนั้น มันเป็นอีกเรื่องที่เขากับผู้ชายคนนี้มีอะไรเหมือนกัน คือการเกลียดมะเขือเทศ
RRRrrrrr!!!
เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างมือดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังกินมื้อค่ำกันในคืนวันอาทิตย์ จื่อเทาไม่เสียเวลานานไปกว่านี้ เขากดรับสายในทันทีเมื่อเห็นชื่อเจ้าของเบอร์
“ว่า”
( พ่อไอ้ชานยอลขับรถชนเสาไฟฟ้าว่ะ )
“อ้าว พูดจริงดิ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน?”
( โรงพยาบาล )
“อื้อหือ...นั่นมันยอมไปเองหรือว่ามีใครบังคับวะ?” บอกตามตรงว่าเขาไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองนัก ว่าคนทิฐิสูงอย่างปาร์คชานยอลจะยอมเป็นฝ่ายไปหาพ่อก่อน
( มันไปเอง ตอนโทรหากูนี่เสียงอย่างสั่น )
“แล้วเอาไง จะไปหามันที่โรงพยาบาลไหมล่ะ”
( มันบอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน กูแค่โทรมาบอกมึงเฉย ๆ )
“อ่าฮะ เอางั้นก็ได้”
( อืม...ดูหนังเสร็จแล้วดิ? )
“เออ เพิ่งจบเมื่อกี้”
( แล้วนี่ทำไรอยู่วะ )
“กินข้าวกับเซฮุนอยู่ คุยไหม?” เจ้าของชื่อชะงักมือ จากที่แอบตั้งใจฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายกำลังยิ้มขณะมองเขา “โอเค ๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
คนตัวสูงวางสายไปแล้ว คำถามแรกในหัวเซฮุนตอนนี้คือทำไมถึงรู้สึกหงอยหลังจากที่จื่อเทาถามจงอินว่าอยากคุยกับเขาไหม แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นการวางสาย ไม่อยากคุยหรือว่าเป็นอะไรกันแน่นะ...
.
.
เช้าวันนี้จงอินไม่ได้ตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก แต่เขาตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง เด็กหนุ่มคว้าสมาร์ทโฟนมากดรับทั้งที่ยังไม่ลืมตา เขาไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าใครโทรมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง
“อือ”
( กูเอง ตื่นมาคุยหน่อย )
“เออ ฟังอยู่”
( วันนี้กูไม่ไปเรียนนะ ฝากดูไอ้บ้านนอกที )
“อ่าฮะ พ่อมึงเป็นไงบ้างล่ะ” จงอินดีดตัวลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังไม่ลืมตา เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็หันไปดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
( หลับยาวตั้งแต่เมื่อวาน นี่กูออกมาคุยข้างนอก )
“แล้วแบคฮยอนล่ะ”
( นอนอยู่บนโซฟา )
“อืม ถ้ายังไงเดี๋ยววันนี้กูย้ายไปนั่งแทนมึงแล้วกัน”
( ขอบใจ )
“มึงโอเคนะ?” ที่ถามแบบนี้เพราะรู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังรู้สึกไม่ดี ชานยอลนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาได้ยินเสียงถอนหายใจที่ลอดเข้ามาในสาย ตอนนั้นจงอินถึงได้ตื่นอย่างเต็มตา
( กูเพิ่งได้คุยกับลู่หาน...กูหมายถึงคุยอย่างจริงจังน่ะ )
“อืม เล่ามา”
( มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้กูสับสน กูรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้าเลยว่ะ จะพูดยังไงดี ตอนนี้กูรู้สึกแย่กับตัวเองตรงที่พอมองย้อนกลับไปแล้วกูแม่งทำอะไรลงไปบ้างก็ไม่รู้ )
จงอินไม่ได้ขานตอบกลับไป เขาเพียงแค่ปล่อยให้ชานยอลระบายความในใจออกมาเท่านั้น
( เรื่องที่เคยคิดว่ากูเป็นฝ่ายถูก แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น )
“อืม”
( กูจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าพ่อไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ กูจะต้องรู้สึกยังไง )
จงอินนั่งอยู่กับขอบเตียง พลางทอดสายตาไปยังห้องกว้างที่เป็นสีเทาเมื่อแสงจากดวงจันทร์จางหายไป และกลายเป็นแสงของดวงอาทิตย์เข้ามาแทนที่
( กูยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพ่อดี ๆ เลยด้วยซ้ำ )
“...”
( ถ้าพ่อเป็นอะไรขึ้นมา กูคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต )
“แต่ตอนนี้พ่อมึงยังไม่เป็นอะไรนะ”
( ... )
“โอกาสมีให้สำหรับคนสำนึกผิดเสมอชานยอล”
( ... )
“ตอนนี้มึงรู้แล้วว่าอะไรผิดอะไรถูก เรื่องที่เคยเกิดขึ้นก็ให้มันเป็นบทเรียนเถอะ ส่วนปัจจุบันกับอนาคตก็อยู่ที่ตัวมึงแล้วว่าจะให้มันออกมาเป็นยังไง”
( ... )
“คิดให้ดีนะชานยอล พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิตหรอก ไม่ใช่วันนี้ก็วันข้างหน้า แต่ที่สำคัญคือเราจะปฏิบัติยังไงในตอนที่เขายังอยู่กับเรา” จงอินเดินไปเปิดหน้าต่างออกก่อนจะนั่งลงรับลมเย็นยามเช้าตรู่ “ถ้ามัวแต่โกรธกัน มึงก็จะเสียเวลาวันนึงไปเปล่า ๆ ว่ะเพื่อน”
จงอินไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่ควรสาดความคิดตัวเองใส่เพื่อนมากไปกว่านี้ในขณะที่ชานยอลกำลังใจไม่ดี เขารู้ว่าจังหวะไหนควรพูด และจังหวะไหนควรหยุดให้อีกฝ่ายคิดตาม
( กูควรกลับไปอยู่บ้านใช่ไหม? )
“ถ้ามึงรักพ่อก็กลับไปอยู่เถอะ แต่ถ้ามึงอยากอยู่กับแฟนมากกว่าก็ลองคิดดูอีกที”
( ... )
“ตอนนี้มึงกับแบคฮยอนยังใหม่ กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงแฟน แต่มึงอย่าลืมว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงคือคนที่ให้มึงเกิดมา มึงขาดแบคฮยอนมึงก็อยู่ได้ แต่ถ้าพ่อมึงเป็นอะไรไปเมื่อไหร่ มึงจะกลับมาโทษตัวเองทีหลังหรือเปล่า”
( กูเข้าใจ กูก็ไม่ได้หลับหูหลับตาเห่อแฟนขนาดนั้น ใจนึงกูก็อยากกลับบ้าน แต่ตอนนี้กูกับพ่อยังเข้าหน้ากันไม่ติดเลย ไหนจะเรื่องไอ้บ้านนอกอีก ถ้ากูย้ายออก มันจะอยู่ยังไงวะ )
“แต่มึงไม่ได้เลิกกันนะ มึงแค่อยู่บ้านคนละหลัง คู่ทั้งเกินครึ่งโลกเขาก็ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องอยู่ด้วยกันได้ มึงกับแบคฮยอนนัดเจอกันข้างนอกได้ ที่โรงเรียนก็นั่งข้างกัน อีกอย่าง...มึงไม่ใช่เม็ดเลือดขาวของแบคฮยอนนะเพื่อน ห่าง ๆ กันบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอก”
( ... )
“ถ้ามึงเป็นห่วงแบคฮยอน วันนี้กูจะช่วยพูดให้ ส่วนมึง...ไปจัดการเรื่องตัวเองซะนะเพื่อน”
( มันจะไม่มีอะไรแย่ลงไปกว่านี้ใช่ไหมวะ... )
“มันอยู่ที่ตัวมึงว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง แต่ในฐานะเพื่อนสนิท...กูเชื่อว่ามึงทำได้”
50%
“ถ้ากูไม่ไป กูจะกลายเป็นเพื่อนเหี้ยป่ะวะ?” จื่อเทาเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปข้างหลังแล้วหันมามองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แบคฮยอน เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กับการที่ต้องไปซ้อมว่ายน้ำแต่ไม่ไปอยู่กับเพื่อนเวลาที่มันทุกข์ใจ
“ไม่หรอก พ่อมันยังนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน ไว้มึงไปพรุ่งนี้ดิ เดี๋ยวกูจะไม่ไป จะได้ผลัดกันเหี้ย” จื่อเทาเลิกคิ้วขึ้นแล้วสบถด่าแบบไม่มีเสียงหลังจากที่ได้ยินจงอินพูดอย่างหน้าตาย พอเขาจริงจังทีไรไอ้เวรนี่เป็นต้องเบรกทุกทีสิน่า
ตอนนี้เลิกเรียนแล้ว จงอินรู้สึกเหมือนว่าท้องฟ้าสีส้มเป็นตัวดูดรอยยิ้มออกจากใบหน้าแบคฮยอนยังไงอย่างนั้น ตอนนี้คนตัวเล็กดูเฉากว่าตอนช่วงเช้าเสียอีก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยิ้มและหัวเราะตอนอยู่กับเพื่อน ๆ แก๊งคนแคระ หรือแม้แต่ตอนโดนหนึ่งในแก๊งนางฟ้าหยอด แต่มันก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น แบคฮยอนก็กลับเข้าสู่สภาพเดิม
“งั้นกูไปแล้วนะ ฝากบีบตูดมันด้วย”
“เออ” ไอ้คนหน้าง่วงพยักหน้า ก่อนที่เขาจะออกมาจากห้องและปล่อยให้พ่อศิราณีคนดีปลอบเด็กบ้านนอกผู้คิดมากไปพลาง ๆ นี่ถ้าเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน หวงจื่อเทาก็คงกลัวเรื่องชอบแฟนเพื่อนเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ แต่ไอ้จงอินมันก็แสนดีเกินกว่าจะคิดได้ลง
เด็กหนุ่มนักกีฬาว่ายน้ำกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันได พอการแข่งขันใกล้มาถึงเมื่อไหร่อะดรรีนาลีนก็สูบฉีดจนไม่อยากเสียเวลาซ้อมไปสักนาทีเดียว เขาเป็นพวกกระหายการแข่งขันและชัยชนะ แต่พอมีเรื่องไอ้ชานยอลเข้ามา เลยทำให้ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่
“เทา!”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้าแล้วหันไปตามต้นเสียง เซฮุนอยู่ตรงม้านั่งไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก เขาเห็นว่ากระเป๋าเป้นั้นวางอยู่ข้างตัวอีกฝ่าย ภาพที่เห็นมันเป็นเรื่องแปลกตาอยู่ไม่น้อย ปกติเขาจะเห็นเซฮุนเดินตัวเปล่ามากกว่าถ้าเจ้าตัวจะอยู่ซ้อมเต้นต่อ
“ไปซ้อมว่ายน้ำเหรอ”
“ใช่ แล้วนายล่ะทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ซ้อมเต้นเหรอ?”
“คงไม่แล้วล่ะ ฉันว่าจะกลับบ้านแล้ว” เซฮุนสะพายกระเป๋าแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงกว่า พร้อมกับชูกระดาษเอสี่ที่ซ้อนกันอยู่ราว ๆ หกเจ็ดแผ่นขึ้นมา “พอโดนโบ้ยบทละครมาให้ อารมณ์อยากซ้อมเต้นก็หายไปเลย”
“หือ บทละคร?” จื่อเทาเลิกคิ้วแล้วเอากระดาษจากมืออีกคนมาดู อ่านไปได้แค่สี่บรรทัดเด็กตัวสูงก็ยิ้มขำ
“ตลกใช่ไหมล่ะ”
“แหงล่ะ นี่จะได้เล่นเป็นพระเอกเลยเหรอ งานอะไร?”
“มันเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องการเข้าคณะนิเทศศาสตร์อีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้น่ะ ห้องนายสบายเลยสิไม่ต้องทำอะไร” เซฮุนถอนหายใจ ก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าห้องของหมอนี่โดนตัดหางปล่อยวัดแล้ว เพราะอาจารย์ขี้เกียจจะคาดหวังความประทับใจจากห้องไม่เต็มบาท ซึ่งถ้ามีการแสดงคงไปทางบ้าบอคอแตกมากกว่าจริงจัง
ตอนที่ถูกพวกผู้หญิงยัดเยียดบทเจ้าชายให้เขาแทบจะลมจับแล้ว มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าโอเซฮุนได้รับบทเป็นองค์รักษ์ที่ยืนอยู่เฉย ๆ หน้าวัง แล้วปล่อยให้คนอื่นรับบทเป็นเจ้าชายแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็มั่นใจมากว่าจะทำได้ดี
แต่ก็นั่นแหละ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกแกล้ง เพราะโอเซฮุนรู้ตัวดีว่าเขาเป็นพวกแสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์ไม่เก่ง ถ้าขึ้นไปเต้นจะไม่ว่าอะไรเลย เขาไม่ใช่พวกตื่นเวทีอยู่แล้ว แต่การขึ้นไปพูด ๆ แสดงความรักกับนางเอกนี่มันสุดจะทนจริง ๆ ท่อนไม้แข็งทื่อคือสิ่งที่โอเซฮุนจะเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าฮันซอนฮวาซึ่งได้รับบทเป็นเจ้าหญิง
“เอาน่า ฉันเชื่อว่านายทำได้อยู่แล้ว”
“ความเชื่อกับความจริงมันต่างกันนะ บอกตามตรงว่าฉันไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะทำได้ มันต่างกับตอนเต้น”
“ไม่ลองไม่รู้นี่...” จื่อเทามองยิ้ม เขารู้ว่าเซฮุนกำลังเป็นกังวล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมั่นใจว่าคนตรงหน้าจะต้องทำได้
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่นายเป็นไงบ้าง เห็นเมื่อตอนกลางวันเห็นไปกินข้าวกันสองคน ปาร์คชานยอลไม่มาเรียนใช่ไหม”
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในบทสนทนาเมื่อวานตอนกินมื้อค่ำหลังดูหนังจบ เซฮุนจำได้ว่าตอนนั้นจื่อเทาพูดถึงปาร์คชานยอลว่ายังไงบ้าง ดูเหมือนว่าในทั้งสามคนผู้ชายคนนั้นจะน่าเป็นห่วงที่สุด
“มันอยู่เฝ้าพ่อที่โรงพยาบาลน่ะ” จื่อเทาถอนหายใจ พอวกกลับมาให้คิดเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกผิด แต่เขาสัญญาเลยว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมพ่อมันให้ได้ แล้วค่อยกลับมาซ้อมว่ายน้ำต่อจนถึงดึก ๆ
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เครียดเรื่องแข่งเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” เด็กหนุ่มชาวจีนล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วมองคนตรงหน้า “ฉันแค่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหน”
“ไหงงั้น?” เซฮุนเลิกคิ้ว ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบคำถามในทันที
“พอไอ้ชานยอลมีปัญหาฉันก็ได้แต่นั่งเงียบ แล้วปล่อยให้ไอ้จงอินเป็นคนจัดการทุกอย่าง จะว่ายังไงดีล่ะ ฉันกับไอ้ชานยอลค่อนข้างที่จะไว้ใจไอ้จงอินมากกว่าจะเชื่อความคิดตัวเอง เหมือนกับว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเพียงแค่มันพูดออกมา” จื่อเทานิ่งไปครู่หนึ่งพลางยักไหล่ “ฉันก็เลยปล่อยให้มันพูดทุกครั้งโดยไม่คิดจะออกความเห็นอะไรเลย เพราะงั้นตอนนี้ฉันถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนแย่ ๆ คนนึงที่พวกมันจะมีหรือไม่มีก็ได้”
“ถ้าฉันเป็นปาร์คชานยอล ฉันจะโกรธถ้าได้ยินนายพูดแบบนี้นะ” เซฮุนยิ้มพลางถอนหายใจเบา ๆ “ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน ก็เลยไม่รู้ว่าการเป็นเพื่อนที่ดีจะต้องทำยังไง แต่การที่ปาร์คชานยอลยังมีนาย มีจงอินที่ยังเป็นห่วงแบบนี้ มันก็น่าอุ่นใจกว่าอยู่คนเดียวเยอะเลย”
“...”
“นายดูอย่างฉันสิ อยู่คนเดียวตลอด เวลาอยากถามความเห็นใครก็ได้แต่มองตัวเองในกระจก ไม่ก็นั่งคิดเรื่องนั้นซ้ำ ๆ จนกว่าจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ มีบ้างที่ออกมาดีและไม่ดี แต่ทุกครั้งที่ออกมาแย่ ฉันจะรู้สึกโหยหาการมีเพื่อนทุกครั้ง”
“...”
“สองคนนั้นไม่คิดอย่างนั้นหรอก เชื่อสิ”
ไม่มีรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มชาวจีน เขาเพียงแค่สบตากับอีกฝ่ายที่กำลังพยายามพูดปลอบใจ แต่ไหนแต่ไรหวงจื่อเทาไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ว่าจะในสายตาคนอื่นหรือแม้แต่มุมมองที่มีต่อตัวเอง แน่นอนว่าเขาเป็นคนเข้มแข็ง แต่พอถูกพูดจี้จุดอ่อน เขาเลยรู้สึกหวิวในใจอยู่ไม่น้อย
ว่าลึก ๆ แล้วหวงจื่อเทาก็มีเรื่องที่อ่อนไหวเหมือนกัน
“การที่นายมีซ้อม มันไม่ได้หมายความว่านายไม่เป็นห่วงเขาไม่ใช่เหรอ”
“ไม่รู้สิ ถ้าฉันเป็นมัน ฉันก็อยากให้เพื่อนไปอยู่ข้าง ๆ เวลารู้สึกไม่ดี” จื่อเทาถอนหายใจอีกครั้ง
“แล้วจงอินล่ะ เขาได้ไปเยี่ยมพ่อของปาร์คชานยอลหรือเปล่า?”
“ไปสิ แต่ตอนนี้มันคุยกับแบคฮยอนอยู่ อีกสักพักก็คงไปโรงพยาบาล” พูดจบก็หันไปทางอาคารเรียนที่เพิ่งวิ่งลงมา
“งั้นก็ไม่ต้องคิดมากแล้ว เพราะชานยอลจะไม่ได้อยู่คนเดียว” เซฮุนยิ้มแล้วตบบ่าคนตรงหน้าเบา ๆ “ดูทำหน้าเข้าสิ แบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลย”
“แล้วแบบไหนถึงจะสมเป็นฉันล่ะ บ้าบอคอแตกไม่นึกถึงใจคนอื่นงั้นเหรอ”
“เปล่า บ้าบอคอแตกเพราะนึกถึงใจคนอื่นต่างหาก” พูดจบทั้งคู่ก็เงียบไปราว ๆ สามวินาที ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ขอบใจนะ พอได้คุยกับนายแล้วสบายใจขึ้นเยอะ ถ้าฉันไปทำหน้าแบบนี้ใส่ไอ้สองตัวนั่นคงโดนแซวยันชาติหน้าแหง ๆ”
“งั้นนายก็ไม่ควรทำหน้าแบบนี้บ่อย ๆ เพราะฉันจะกลายเป็นอีกคนที่จะล้อนาย” จื่อเทาไม่ได้พูดอะไรอีก เด็กหนุ่มเพียงแค่ยิ้มขำแล้วปล่อยให้คนตรงหน้าปลอบใจในแบบของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกชอบเซฮุนมากขึ้นอีกแล้ว “ไปซ้อมว่ายน้ำเถอะ ฉันจะกลับไปตั้งใจซ้อมบทแล้ว”
“โอเค งั้นกลับดี ๆ ล่ะ” จื่อเทาแท็กมือกับอีกคน เซฮุนถอนหายใจแรง ๆ เมื่อคนตัวสูงกว่ายังมีอารมณ์นึกอยากจะยีหัวเขาก่อนเดินไปจากตรงนี้
หมอนี่ซึมได้ไม่ถึงห้านาทีจริง ๆ
เด็กหนุ่มตัวผอมกระชับกระเป๋าเป้แล้วเดินออกมานอกโรงเรียน วันนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมบทละครบ้า ๆ นี่เพื่อที่จะไม่ต้องขายหน้าถ้าเกิดว่าวันแสดงเขาทำมันออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เซฮุนไม่ใช่คนเก่งเรื่องการแสดงออก เขาอยากจะตะโกนบอกเพื่อนร่วมห้องแบบนี้ แต่มันคงไม่ได้ผลสำหรับเด็กสาวจำนวนมากที่คิดว่า ‘ไอดอลของฉันทำอะไรก็ดีไปหมดอยู่แล้ว’ เพราะในขณะเดียวกัน คนที่ไม่ชอบเขาก็จ้องจะจับผิดอยู่ตลอด
ขายาวหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ ป้ายรถเมล์ สายตามองปึกกระดาษในมือแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง พอเห็นความทุกข์ในใจของตัวเองแล้วก็อยากจะหัวเราะจริง ๆ เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ยังมีหน้าไปปลอบใจคนอื่นอีกนะโอเซฮุน...สุดยอดแห่งความบ้าบอ
เสียงรถเมล์ขับเทียบจอดเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มที่ยืนรอแท็กซี่อยู่ เซฮุนหันไปทางขวาแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคิมจงอินกำลังเดินขึ้นไปบนรถเมล์ตามหลังเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ
เหมือนกับเรื่องที่เคยวุ่นวายอยู่ในหัวก่อนหน้านี้ได้หายไปในพริบตา เด็กหนุ่มก้มหน้าลงแล้วถามตัวเองว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น กับการที่เขาอยากวิ่งตามจงอินไปอย่างไร้เหตุผล แต่พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่ารถเมล์กำลังจะออกตัวแล้ว
ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะมีเด็กผู้หญิงหลายคนบนนั้นที่แอบหันไปหัวเราะคิกคักกันตอนเห็นว่าสายตาของเขาไม่ยอมละออกห่างจากรถเมล์ เซฮุนหยุดหาเหตุผลให้สมอง แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึก ขายาววิ่งไปหยุดอยู่ข้างฟุตปาธแล้วโบกมือเรียกแท็กซี่ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในทันที
“รบกวนตามรถเมล์คันนั้นไปทีครับ!”
.
.
แท็กซี่จอดทิ้งระยะห่างจากรถเมล์คันนั้นอยู่พอสมควร เซฮุนก้มหน้าลงควักกระเป๋าเงินจ่ายคนขับหลังจากเห็นว่าจงอินเดินลงมาแล้ว เด็กหนุ่มเปิดประตูรถลงมา เขาเห็นว่ามีผู้หญิงและคนแก่ลงป้ายนั้นอีกสองสามคน แต่จงอินไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“...เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย”
เซฮุนสบถกับตัวเองแล้วเดินไปยังป้ายรถเมล์อย่างไม่เร่งรีบ บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ถึงจุดหมายการนั่งแท็กซี่ตามมาถึงที่นี่ ให้ตายเถอะ...แค่เห็นคิมจงอิน ปฏิกิริยาของเขาก็เป็นหนักขนาดนี้เลยเหรอ
หันซ้ายหันขวาแล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า คุณป้ากับผู้หญิงที่เพิ่งเดินลงมาเมื่อครู่นี้ก็เดินเข้าโรงพยาบาลไปแล้วด้วย เซฮุนถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยของวัน เขาได้แต่ถามตัวเองว่าถ้าเจอจงอินแล้วจะทำยังไงต่อ และก็ได้คำตอบว่าไม่รู้
“เชือกรองเท้าหลุดน่ะ”
“อ่ะ...ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วก้มลงเพื่อจะผูกเชือกรองเท้า แต่ก็ต้องค้างอยู่ในท่านั้นเมื่อเห็นว่าจงอินยืนพิงอยู่กับป้ายโฆษณา ซึ่งห่างกันแค่สามช่วงแขน
พระเจ้าช่วย...
“ถ้าฉันเป็นไอดอล คงคิดว่าตอนนี้กำลังถูกซาแซงติดตามอยู่”
“...”
“ผูกเชือกรองเท้าก่อนสิ” จงอินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ แล้วปล่อยให้เขาก้มหน้าผูกเชือกรองเท้าอย่างขมขื่น เพียงแค่ครู่เดียวก็เสร็จ
“คือ...” เซฮุนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เขาควรจะพูดอะไรงั้นเหรอ ไม่ ไม่รู้เลย ขนาดตามมาทำไมยังไม่รู้ คงไม่ต้องถามว่าจะต้องแก้ตัวยังไง “นายรู้เหรอ?”
“มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ฉันหันไปเห็นนายตอนกำลังวิ่งไปขึ้นแท็กซี่พอดี”
อยาก – ตาย
นั่นคือสิ่งเดียวที่รู้สึกในตอนนี้ ยิ่งตอนจงอินยิ้มขำกับท่าทางของเขาก็ยิ่งแล้วใหญ่ แหงล่ะ มันเป็นเรื่องตลกจะตายกับการที่โอเซฮุนแอบตามมาถึงที่นี่ เขาไม่อยากจินตนาการต่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะพูดอะไรให้ต้องอับอายอีก
“คือฉัน...”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากให้นายสำลักความอึดอัดออกมา เพราะงั้นลืม ๆ ไปเถอะ ฉันไม่ได้อยากรู้ถึงขนาดนั้น แต่ถ้าจะกลับบ้าน...นายต้องข้ามถนนไปขึ้นแท็กซี่จากฝั่งนั้น แต่ถ้ายังไม่อยากกลับ โรงพยาบาลกังนัมซีเวียแรนซ์ก็กว้างมากพอที่จะให้นายเดินเล่น”
ผู้ชายผิวสีแทนเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเดินนำไปข้างหน้า ก่อนที่ขายาวจะหยุดฝีเท้าแล้วหันมายิ้มให้เขาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“แล้วหลังจากนั้นค่อยไปกินข้าวด้วยกันก่อนกลับ ว่าไงล่ะคุณนักเรียน?”
เซฮุนพยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นจังหวะ ถ้าประโยคเมื่อครู่ไม่มาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาสาบานได้เลยว่าจะตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มตัวผอมเพียงแค่พยักหน้าแล้วรีบวิ่งไปขนาบข้างอีกคน กระชับกระเป๋าเป้...แล้วปล่อยให้ความเงียบเดินไปพร้อม ๆ กับเราทั้งคู่
.
.
เซฮุนเลือกจะนั่งอยู่หน้าห้องคนไข้พิเศษมากกว่าการเข้าไปนั่งฟังเพื่อนสนิทเขาคุยกัน นั่งไปสักพักก็เห็นผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับเด็กอีกคน เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วโค้งหัวให้เล็กน้อย เซฮุนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่จากการแต่งตัวแล้วคงไม่ใช่เด็กมัธยมปลายแน่ ๆ การทำความเคารพไปก่อนมันเป็นเรื่องที่ดี
จงอินหายเข้าไปในนั้นเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เซฮุนไม่ได้เบื่อที่จะรอ มันไม่ใช่ธุระของจงอินที่จะรีบออกมาเพราะรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะรู้สึกแย่ เพราะแทนที่จงอินจะได้ใช้เวลาคุยกับเพื่อนนาน ๆ แต่กลับต้องมาพะวงว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครให้บังคับมา แต่ที่สุดแล้ว จงอินก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
แหงล่ะ...สำหรับคิมจงอินแล้ว เพื่อนต้องมาก่อนเสมอ
เซฮุนให้เพลงในมือถือและหูฟังนั่งเป็นเพื่อน มันช่วยได้เสมอถ้าต้องฆ่าเวลากับการรออะไรสักอย่าง ไม่นานนักประตูห้องคนไข้ก็เปิดออก ชานยอลเดินออกมาส่งจงอินข้างนอกแล้วพยักหน้าอย่างรู้กัน ตอนนั้นเซฮุนถึงได้มีโอกาสทักทายผู้ชายคนนั้นบ้าง เขาเห็นว่าชานยอลดูหงอย ๆ ซึ่งก็คงไม่แปลก เมื่อพ่อกำลังเจ็บ คงไม่มีลูกคนไหนหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนคนบ้าได้อย่างที่เคยเป็นแน่ ๆ
เราเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยกัน ระหว่างทางก็พูดถึงเรื่องอาการพ่อของปาร์คชานยอลและเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน อะไรหลายอย่างที่ทำให้เซฮุนรู้ว่าผู้ชายคนนี้ใส่ใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อนสนิท ยกตัวอย่างเช่นการเลือกเวลามาหาเพื่อน เพราะถ้าเป็นช่วงห้าโมงมันจะชนกับพี่น้องของปาร์คชานยอล ซึ่งจงอินไม่อยากขัดจังหวะ
ทั้งคู่ไม่ได้เสียเวลาไปกับการเลือกร้านอาหาร เราเลือกกินเมนูเดียวกันง่าย ๆ เพราะจะได้ไม่เสียเวลาสั่งและเวลารอ
เด็กตัวผอมมองอีกคนที่แบ่งเนื้อมาให้เขาและคีบมะเขือเทศไปกินเอง เซฮุนได้แต่บอกกับตัวเองว่าสักวันหนึ่งจะกินของที่ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบบ้าง เผื่อว่าจงอินจะรู้สึกดีเหมือนที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้
“บทพูดไม่เยอะเท่าไหร่นะ รู้สึกว่าจะเน้นการแสดงออกทางสีหน้ามากกว่า”
ตอนนี้เราสองคนนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ตามลำพังหลังจากจัดการมื้อค่ำจนอิ่มแล้ว สายตาของจงอินจับจ้องอยู่กับบทละครตัวปัญหาอย่างจริงจัง ตอนแรกก็แค่เล่าให้ฟังว่าจะได้เล่นละครเวทีนะ แต่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะสนด้วยว่าเขามีบทพูดอะไรบ้าง
“ทำเลอะได้ไหม?”
“จะถุยน้ำลายใส่ก็ยังได้เลย” เซฮุนไม่รู้ว่าประโยคนี้มันตลก จนกระทั่งเห็นว่าจงอินหลุดขำออกมาอย่างเก็บไม่อยู่นั่นแหละ เขาก็เลยนั่งนิ่ง ๆ พลางเกาแก้มแก้เขิน
“เพราะไม่อยากให้ขายหน้าหรอกนะ” จงอินเอากระเป๋าเป้มาวางไว้บนตักแล้วรูดซิปออก ก่อนจะเอาปากกาเน้นข้อความออกมาสองแท่ง เขาไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นถ้าไอ้กระดาษเฮงซวยนี่จะเลอะเพราะถูกไฮไลท์ข้อความ “สีเขียวคือซีนที่นายต้องแสดงสีหน้าว่าคิดถึงนางเอกมากแค่ไหน ส่วนสีฟ้าคือซีนที่นายต้องแสดงออกถึงความกระวนกระวาย กับการที่นางเอกหายตัวไป”
“นายก็รู้ว่าฉันทำเป็นอยู่หน้าเดียว” เซฮุนมองอีกคนเนือย ๆ ซึ่งจงอินเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอาปากกาเน้นข้อความเคาะหัวเขาเบา ๆ
“เดาผิดแล้ว ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“...”
เซฮุนมองมือแกร่งที่กำลังละเลงสีลงบนกระดาษสีขาว มีบางครั้งที่มือนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง เขาชอบเวลาจงอินจริงจัง ชอบคิ้วหนาที่กำลังขมวดเข้าหากัน อีกทั้งใบหน้าเรียบเฉย ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้
“ได้ท่องมาบ้างแล้วหรือยัง”
“ก็พอจำได้บ้างนิดหน่อย แต่ยังไม่แม่นนะ”
“งั้นลองว่ามา”
“หา?”
“พูดตามบท แล้วก็ทำหน้าให้เข้ากับประโยคด้วย” จงอินวางปากกาลงแล้วหันหน้าเข้าหาคนตัวผอมเล็กน้อยเป็นเชิงกดดัน เซฮุนนั่งนิ่ง เขากลอกตาไปมาพลางยิ้มเจื่อน ขนาดให้คุยด้วยเฉย ๆ ยังต้องรวบรวมความกล้า นี่จะให้เล่นละคร...
“คือ”
“จะสามทุ่มแล้ว” จงอินมองนาฬิกาข้อมือแล้วหันมายิ้มให้เขา ก็ดีแหละ กดดันด้วยรอยยิ้มแบบนี้เนี่ย -_-
“โธ่...เดี๋ยวไปท่องที่บ้านก็ได้นี่ นายเองก็ไฮไลท์ให้แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก”
“มีแน่ เพราะถ้าซ้อมคนเดียวนายจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น และถ้าให้ไปซ้อมกับฮันซอนฮวาก็ไม่รู้ว่ายัยนั่นจะอินมากน้อยแค่ไหน เพราะวัน ๆ ก็เอาแต่เกาะติดแบคฮยอน”
เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย...นี่แหละความเศร้าของโอเซฮุน...
“...”
“...”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างหยั่งเชิง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่นได้เมื่ออีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างคาดหวังชนิดว่าถ้าไม่พูดก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับบ้านง่าย ๆ
เซฮุนเลียริมฝีปากก่อนจะหายใจเข้าปอดลึก ๆ เอาเถอะ บทสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ผ่านตาตอนนั้นน่ะเขาจำได้ แค่เล่นมันให้จบ ๆ อย่างมากก็แค่โดนบ่นว่าห่วยแตก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเท่าไหร่
“ข้าคิดถึงเจ้า”
“...”
เกือบครึ่งนาทีเลยที่เราทั้งคู่ปล่อยให้เสียงรถขับผ่านไปมาโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรอีก จงอินยังไม่ได้ตัดสินว่ามันห่วยหรือว่าผ่านพอใช้ได้ ผู้ชายคนนี้เพียงแค่สบตากับเขา ก่อนจะจงใจถอนหายใจแรง ๆ ใส่
“นี่มันต้นไม้พูดได้ชัด ๆ”
“อะไรกัน ก็บอกแล้วไงว่าฉันเล่นไม่ได้ ขอเวลากลับไปท่องก่อนไม่ได้เหรอ”
เฟล! เฟล! เฟลสุด ๆ กับการที่จงอินแสดงออกทางคำพูดและสีหน้าแบบนี้ มันยิ่งกว่าตบหน้ากันอีก มันแย่กว่าที่เขาคาดไว้เป็นไหน ๆ โอเค...ถึงตอนแรกจะทำใจไว้แล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะหักหาญน้ำใจกันขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ โอเซฮุนอยากร้องไห้
“นายทำให้ฉันหมดความมั่นใจ”
“แล้วไง? นี่แค่ฉันคนเดียวนะ วันงานยังมีคนอีกเป็นร้อยที่จะมองนายด้วยสายตาแบบนี้ หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ บางคนอาจจะหัวเราะนายแล้วบอกว่า ‘ดูนั่นสิ โอเซฮุนสุดหล่อของสาว ๆ มีดีแค่หน้าตา แต่เล่นละครห่วยแตกอย่าบอกใคร’ ถ้าเกิดว่านายยังทำได้ไม่ดีพอ”
จริงด้วย...นี่แค่จงอินคนเดียวเขายังรู้สึกแย่ ไม่อยากจะจินตนาการตอนยืนอยู่ต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ เลย ซึ่งมันต่างจากตอนเต้นโชว์อย่างสิ้นเชิง เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาถนัดและมั่นใจว่าจะต้องทำออกมาได้ดี
“เพราะงั้นต้องพยายามให้มากกว่านี้นะ” จงอินเบาเสียงลง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าหงอย ซึ่งเซฮุนก็พยักหน้าช้า ๆ เป็นคำตอบ
“แต่ฉันไม่มีเพื่อนให้ซ้อมด้วย” จงอินก็พูดเหมือนว่ามันเป็นเรื่องง่าย เพราะถ้าเขาไม่ซ้อมคนเดียวแล้วจะให้ไปซ้อมกับใครที่ไหนอีก
ถึงจะสนิทกับฮันซอนฮวาในระดับนึง แต่ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกำลังติดบยอนแบคฮยอน คงขี้เกียจหาเวลามาซ้อมด้วย เพราะยัยนั่นก็เล่นละครเก่งอยู่แล้ว ไม่รู้จะซ้อมกับเขาไปทำไม
“พรุ่งนี้ถ้าเรียนเสริมเสร็จแล้วจะไปหาที่ห้องซ้อม”
“...”
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ก็ให้ดูสีหน้าตัวเองในกระจกไปพลาง ๆ ก่อน จินตนาการว่าตัวเองเป็นเจ้าชายที่รักเจ้าหญิงคนหนึ่งมาก นายกำลังโหยหาเธอ เข้าใจที่พูดไหม?”
เซฮุนพยักหน้า เขากำลังดีใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ เด็กหนุ่มรู้สึกอยากขอบคุณตัวเองที่เอาเรื่องบทละครมาคุยแก้เก้อระหว่างรอรถ จนตอนนี้มันกลายเป็นประเด็นให้เราได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
ถ้ายิ้มตอนนี้จะเป็นไรไหมนะ จงอินจะมองว่าเขาดีใจจนเวอร์เกินจริงหรือเปล่า ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกว่ามันเวอร์เลย
กดเร่งเวลาให้ไปถึงสองทุ่มวันพรุ่งนี้เลยได้ไหม
เซฮุนอยากให้ถึงตอนนั้นไว ๆ แล้ว
.
.
พอกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่เซฮุนทำคือการอาบน้ำ วันนี้เขาไม่ได้เสียเวลาไปกับการรับความเย็นจากฝักบัวนานเท่าที่เคย เพราะยังมีไอ้บทละครเจ้าปัญหานอนรออยู่บนเตียง เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะ ลากเก้าอี้ออกมาแล้วหยัดตัวลง
แต่ก่อนจะทุ่มเทเวลาให้กับบทละครก็ต้องเคลียร์การบ้านของพรุ่งนี้ให้เสร็จก่อน การอยู่ตัวคนเดียวมันก็น่าเศร้าตรงที่ไม่สามารถไปลอกเพื่อนที่โรงเรียนได้ แต่มันก็ไม่แย่นัก อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นความรู้ในสมองอันน้อยนิด
ตอนนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว เซฮุนบิดขี้เกียจเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วควานหาบทละครมาดู ก่อนอื่นเขาควรจำบทให้ได้ก่อนว่าต้องพูดอะไรบ้าง ส่วนเรื่องปรับสีหน้าค่อยให้จงอินช่วยอีกที
พอถึงตอนนั้นจะเขินมากแค่ไหนนะ...
กริ๊ง!
เสียงสมาร์ทโฟนดึงความสนใจจากคนที่กำลังตั้งใจท่องบทให้หันไปมอง ถ้าเป็นเสียงข้อความในแอพแชทต่าง ๆ เซฮุนคงปล่อยมันไว้อยู่อย่างนั้นแล้วค่อยไปตอบตอนจะเข้านอน เพราะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่จะทักมา นอกจากแก๊งนางฟ้าหรือหวงจื่อเทาที่มักจะส่งสติ๊กเกอร์มากวน
แต่ที่ได้ยินคือเสียงข้อความเข้า และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะส่งมา เซฮุนวางบทละครลงแล้วคว้าสมาร์ทโฟนมากดดู ทันทีที่เห็นข้อความก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
คุณได้รับข้อความจาก...
‘ซอนแซงนิม’
[ https://www.youtube.com/watch?v=1ULJJ_RLbes ]
กดเข้าไปในลิงค์แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ระหว่างรอไม่ถึงสองวินาทีก็ลิงค์ไปที่แอพยูทูป
ความสงสัยก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้นเมื่อความรู้สึกบางอย่างเข้ามาแทนที่ แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าคนเล่น แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่เปียโนและเรียวนิ้วยาวที่จรดลงบนคีย์อย่างชำนาญ เซฮุนก็รู้ได้ในทันทีว่าคนเล่นเพลงนี้คือใคร
เขาไม่สามารถหุบยิ้มได้ อีกทั้งหัวใจที่กำลังพองโตเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้ แค่จงอินบอกว่าจะมาช่วยพรุ่งนี้เขาก็ดีใจแล้ว และก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้มากกว่านั้นอีก แต่พอได้ฟังเสียงเปียโนที่ทำให้นึกถึงเจ้าชายและเจ้าหญิง อีกทั้งคลิปที่เพิ่งถูกอัพในวันนี้ มันทำให้เขา...
ชอบจงอินจนไม่รู้จะชอบยังไงแล้ว...
ชื่อคลิป ‘ONLY FOR YOU’
TBC
โอ๊ยจื่อคะ ช่วงนี้มีซ้อมหนัก เขาจะไปช่วยกันซ้อมบทละครแล้วนะ
ตอนนี้ทีมใครคะแนนนำ ตอบ
ความคิดเห็น