คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 :: 王儲 องค์รัชทายาท
บทที่ 4
王儲 องค์รัชทายาท
“ข้าพอเคยได้ยินเรื่องในวังผ่านหูมาบ้างว่าตอนนี้เหล่ากบฏกำลังเพ่งเล็งตัดหัวองค์ชายทีละคนโดยเฉพาะองค์รัชทายาทอี้ฝาน
แต่ถึงอย่างนั้น...
แม่นมที่อยู่ในวังมาเกินครึ่งชีวิตของนางจะเป็นผู้ปองร้ายเจ้าจริงหรือ?”
ทั้งคู่นั่งอยู่บนโขดหินข้างน้ำตก
ชานเลี่ยยังคงไม่อยากเชื่อเรื่องที่เจ้าฟันกระ -- องค์ชายห้าพูดเสียทีเดียว ทั้งเรื่องเป็นองค์ชาย
ทั้งเรื่องหนีออกมาเพราะถูกลอบทำร้าย
เป็นเพราะอีกฝ่ายโกหกตาใส
ไม่เคยให้ความจริงแต่แรก เขาจึงไม่อยากปักใจเชื่อ และหลับหูหลับตาเห็นด้วยกับเรื่องที่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ
แต่ถ้ามองดูจากภายนอก... ทั้งผิวพรรณ
มือไม้ที่อ่อนนุ่มเกินกว่าจะเป็นลูกชาวนาขี้เกียจ
และความรู้ความอ่านซึ่งเจ้าฟันกระต่ายไม่ได้ฉลาดรู้เพียงหนังสือในตำรา
แต่ยังมีเรื่องสมุนไพรนานับชนิดที่คาดว่าคนทั่วไปคงไม่อาจรู้ได้ถึงสรรพคุณ
องค์ชายห้าที่เลื่องลือกันว่ามีฝีมือเรื่องยารักษาไม่แพ้หมอเก่ง
ๆ ...เห็นว่าท่าจะจริง
“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ
แต่ชานเลี่ย... ข้าอยู่กับนางตั้งแต่จำความได้ ทั้งแววตาและน้ำเสียง...
มีหรือข้าจะจำผิดคน”
“เจ้าอคติกับนางเกินไปหรือเปล่า...
การที่นางไม่ใจดีกับเจ้าก็ใช่ว่านางจะทรยศวังหลวงเสียเมื่อไหร่?” ชานเลี่ยชำเลืองมอง
ตอนนี้เจ้าฟันกระต่ายดูเหมือนเด็กขี้น้อยใจที่กำลังตัดพ้อแม่นมอยู่
“เจ้าจะหาว่าข้าใส่ร้ายนางงั้นหรือ?” อีกฝ่ายฉายแววตาตัดพ้อ
สองมือนั้นกำชายผ้าแน่นขณะจ้องหน้าเขาอย่างคาดหวังคำตอบ
“ก็เจ้าบอกว่าเห็นเพียงแววตาแต่ไม่เห็นใบหน้านางชัด
ๆ หากพูดไปตามเนื้อผ้า เจ้าจะกล่าวหานางโดยใช้ความรู้สึกไม่ได้”
เป็นครั้งแรกที่ชานเลี่ยแสดงออกให้เห็นถึงความจริงจัง
ดวงตาคู่นั้นคล้ายว่าจะเห็นใจ แต่พอเป็นเรื่องความยุติธรรมแล้ว ผู่ชานเลี่ยก็คงอยากให้มันเป็นลำดับขั้นตอนมากกว่าตัดสินด้วยความรู้สึก...
เขาเข้าใจ
“...อาจเป็นเช่นนั้นกระมัง”
“ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้า แต่ในเมื่อยังจับมือใครดมไม่ได้
ข้าไม่อยากให้เจ้าด่วนโทษนางก่อนจะเริ่มต้นตามหาว่าใครคือคนร้าย” ชายหนุ่มชำเลืองมองอีกฝ่ายสลับกับน้ำตก พอเห็นเจ้าฟันกระต่ายทำหน้าหงอยก็รู้สึกผิดขึ้นมา
แต่ถ้าจะให้หลับหูหลับตาเชื่อโดยไม่แนะเหตุผลอีกทางก็ไม่ใช่วิถีของเขา
ความยุติธรรมและเหตุผลต้องมาก่อนความรู้สึกเสมอ
ผู่ชานเลี่ยเชื่อเช่นนี้มาตลอด
“แต่ลำพังเจ้าตัวคนเดียวจะทำได้หรือ?”
“ทางเลือกของข้ามีไม่มากนัก
ถ้าไม่หนีไปให้ไกลจากการถูกล่าข้าก็ต้องค้นหาความจริง เพราะคงไม่ได้มีเพียงข้าที่ตกอยู่ในอันตราย
แต่ยังมีพี่น้องและเสด็จพ่อที่ต้องปกครองแผ่นดิน”
น้ำเสียงนั้นมุ่งมั่นขัดกับขนาดตัวเสียจริง ชานเลี่ยมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้า
พลางส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจก่อนจะคว้ามือที่เป็นแผลพุพองมากางออกให้ดู
“คิดการใหญ่เหลือเกิน
นึกถึงคนอื่นมันก็ดีอยู่หรอก แต่คนที่ตีดาบยังไม่รอดเช่นเจ้าเนี่ย
ข้านึกภาพออกเลยว่าหากเจ้าก้าวเข้าไปในวังก็คงมีโอกาสสูดดมกลิ่นหอมหวานของลมหายใจได้ไม่ถึงรุ่งสาง” ป๋ายเซียนชักมือกลับ นั่งยืดหลังตรงแอ่นอกอย่างชายชาตรีตัวเล็ก ๆ
ผู้หนึ่งพึงจะทำได้
“เรื่องอะไรที่ข้าจะเดินเข้าไปเป็นเป้านิ่งเช่นนั้น
ข้ามีแผนของข้าอยู่แล้ว”
“เช่นแอบเข้าไป”
“ไม่ใช่เสียหน่อย” เขาหันไปค้อน เจ้าทึ่มจึงนั่งห่อไหล่ผงะออกข้าง “ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านอาจารย์ซื่อชวินฟังต่างหาก”
“เขาเป็นครูของเจ้า?”
ป๋ายเซียนพยักหน้า “เขาเข้ามาสอนข้าแทนท่านอาจารย์คนเก่าที่จากไปด้วยโรคหัวใจ
ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุสิบขวบ แต่เราสนิทกันไม่น้อยไปกว่าพี่น้องแท้ ๆ เลย”
“เจ้ารู้สึกเช่นนั้น
แล้วท่านอาจารย์นั่นรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า?”
“ต้องรู้สึกสิ” คนตัวเล็กรีบโต้ ชานเลี่ยจึงเอนตัวเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมป้องปากกระซิบ
“ใครจะรู้...
บางทีคนใกล้ตัวที่สุดอาจจะเป็นหอกแหลมคมที่รอเวลาแทงเจ้าจากข้างหลังก็ได้...”
“ไม่มีทาง
ท่านอาจารย์เป็นคนที่รู้จักข้าดีที่สุด”
“นั่นแหละใช่!” ชานเลี่ยทำตาโต ชี้นิ้วย้ำ ๆ ระดับใบหน้าองค์ชายก่อนจะถูกปัดออก “เจ้าน่ะไว้ใจคนง่ายเกินไปแล้ว
ระวังการแลกใจของเจ้ามันจะกลับมาทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน!”
“ก็คงเช่นนั้น เพราะข้าเพิ่งเล่าเรื่องคอขาดบาดตายให้คนแปลกหน้าฟังทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน”
“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เจ้าต้องยกเว้นข้าไว้คนหนึ่ง” ชานเลี่ยชูนิ้วชี้ขึ้นระดับใบหน้า ก่อนอีกฝ่ายจะหันมามองแล้วดันนิ้วลง “เจ้ากำลังจะหาว่าข้าเชื่อใจไม่ได้สินะ เหอะ! จะบอกอะไรให้
ถึงหน้าตาข้าจะเหมือนโจรห้าร้อยแต่ข้าก็ไม่เคยหักหลังใคร รู้ไว้เสียด้วย!!!”
ชายหนุ่มหันไปต่อว่าโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะสูงส่งกว่าตนมากเพียงใด
เล่นพูดจาไม่เข้าหูอย่างนี้เดี๋ยวก็ผลักตกน้ำให้ลอยไปตามธารจนชาวบ้านเจอศพเสียหรอก
องค์ชายองค์หญิงอะไรไม่สนอีกแล้ว!!!
“ข้าผิดเองที่เล่าให้เจ้าฟัง
เฮ้อ... หลังจากนี้คงต้องใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะการที่เจ้าทึ่มชานเลี่ยรู้ก็เหมือนประกาศให้รู้ทั่วทั้งแผ่นดินจีน”
“สามหาว!!! เป็นคนเล่าเองแท้
ๆ ยังกล้าโทษข้าอีกหรือ?!”
ป๋ายเซียนนั่งกอดอกทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าแสร้งไม่สนใจเสียงอีกฝ่าย
พอแย้งเข้าหน่อยทำเป็นน้อยอกน้อยใจ ตัดพ้อด้วยคำพูดคำจาชวนทำร้ายร่างกาย
ชายหนุ่มชำเลืองมองอย่างเหลืออด อยากบอกให้รู้เหลือเกินว่านอกจากแม่นมที่สันนิษฐานว่าจะเป็นกบฏก็ยังมีผู่ชานเลี่ยอีกคนที่คิดอยากฆ่าองค์ชายห้า
“หลับหูหลับตาไว้ใจคนแล้วยังดูไม่ออกอีกว่าข้าเป็นคนซื่อสัตย์รักความยุติธรรมมากเพียงใด”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ห้ามปริปากบอกเรื่องนี้กับใครจนกว่าข้าจะสะสางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเซียนคิดว่าตนเองกำลังข่มขู่อีกฝ่าย แม้ลึก ๆ
ในใจจะมีความเชื่ออยู่แล้วว่าผู่ชานเลี่ยคงไม่มีทางหักหลังตน เขาเชื่อจากแววตาซื่อ
ๆ คู่นั้น
ป๋ายเซียนคงไว้ใจคนง่ายอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริง
ๆ
“ได้ ข้ารับปากเจ้า
ด้วยศักดิ์ศรีของลูกหลานตระกูลผู่ที่เหลืออยู่เพียงสองคน คือข้า!” พูดจาด้วยน้ำเสียงขึงขัง
พร้อมชี้ขึ้นไปบนเขาซึ่งมีชายแก่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ “กับท่านปู่!”
คนเป็นองค์ชายหลุดขำจนไหล่สั่น หากแต่ผู้ให้คำสัตย์ยังคงนั่งยืดอกผายไหล่ผึ่งพร้อมทุบอกตนเพื่อยืนยันให้เห็นว่าผู่ชานเลี่ยเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ
“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ”
ชายหนุ่มยังคงครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับเรื่ององค์ชาย
ชานเลี่ยยังคงจับผิดอยู่ทุกขณะ หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่หลุดพิรุธออกมาให้ชี้หน้าว่า ‘เจ้ามันตัวปลอม
สวมรอยเป็นองค์ชาย!’ เจ้าฟันกระต่ายยังคงพูดจาด้วยน้ำเสียงรื่นหูเหมือนในทีแรก
แม้แต่ตอนกวนประสาทชวนให้คิดลงไม้ลงมือ ก็ใช่ว่าจะขุดคำร้าย ๆ มาทิ่มแทง
เจ้าฟันกระต่ายจะสวมรอยเป็นองค์ชายห้าไปเพื่ออะไร
ชานเลี่ยพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงเล่าให้ข้าฟัง?” ชายหนุ่มเลียนแบบท่านั่งคนข้าง ๆ ปั้นหน้าขรึมพลางชำเลืองมองอยู่เรื่อย ๆ
หากบอกว่า ‘เพราะเจ้าเป็นคนดีข้าถึงไม่ลังเลที่จะเชื่อเจ้า...’ ผู่ชานเลี่ยจะยอมเก็บปากเงียบไม่เถียงไปจนถึงรุ่งเช้าเลยเอ้า!
“เพราะข้าคิดว่าเจ้าคงไม่มีใครคบ
ต่อให้บอกทั้งหมดเจ้าก็คงไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง”
ผู่ชานเลี่ยเกือบจะเป็นคนดีได้อยู่แล้ว
แต่เจ้าฟันกระต่ายก็เอาอุ้งมือเล็ก ๆ นั่นมากระตุกหนวดเสือ!!!
“คนอย่างข้าน่ะหรือจะไร้สหายคบ!!!”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเพิ่งอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วันจะไปรู้อะไร
องค์ชายฟันกระต่าย เจ้าถ่างหูฟังให้ดีนะ สหายข้าน่ะเยอะกว่าทหารในกองทัพทั้งแผ่นดินจีนเสียอีก
ไม่อยากจะอวด” ชานเลี่ยตบเข่าดังฉาด
ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะความแสบร้อนที่มาจากฝีมือตนเอง
“โอ้โห... เยี่ยมไปเลย”
“ใครบอกให้เจ้าปรบมือ” เขาถลึงตาคาดโทษ พูดเสียงลอดไรฟันพร้อมใช้มือเดียวรวบสองมืออีกคนไว้
“ข้าสั่งให้ทหารตัดมือเจ้าได้ด้วยนะ”
“...”
คนถูกขู่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ถึงกับหน้าแห้งผาก
ชานเลี่ยรีบปล่อยมือออกจากมือนุ่มนิ่ม ก่อนจะหันขวับไปอีกทางอย่างเจ็บใจ
“ถ้าเจ้าปากโป้งเอาเรื่องช่วยชีวิตข้าไปโพนทะนา ข้าจะสั่งให้คนมาตามตัดหัวเจ้าและสหายเจ้าทุกคน”
“เหอะ! นี่หรือองค์ชายที่ใคร
ๆ ต่างก็ลือกันว่าสุขุมนุ่มลึกและมีเมตตาจิตราวกับเทวดาตกสวรรค์ ข้ากำลังโดนหลอกแน่
ๆ ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นองค์ชายห้า ไม่มีทาง”
ชานเลี่ยแค่นหัวเราะพลางโบกมือปัด ๆ แต่พอหันไปด้านข้างก็พบว่าเจ้าฟันกระต่ายกำลังอมยิ้มชอบใจอยู่
“ข้าไม่เคยสั่งตัดหัวใคร
แต่ถ้าจะให้ลองคนแรก คนป่าเถื่อนอย่างเจ้าก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี”
“คำก็ตัดหัว สองคำก็ตัดหัว
ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้นะ!!!
ไม่คิดจะตบรางวัลเป็นเงินหมื่นชั่งก็เดินกลับวังไปเลยไป!!!”
ชานเลี่ยยังคงต่อปากต่อคำ และป๋ายเซียนรู้สึกดีที่อีกฝ่ายยังคงแสดงออกอย่างหยาบกระด้างเช่นนี้
แทนที่จะลงไปนั่งคุกเข่าก้มหัวติดดินทันทีที่รู้ว่าเขาคือหนึ่งในองค์ชาย
“หากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสมเลยเจ้าทึ่ม”
“เออ มันต้องอย่างนี้!!!” ชานเลี่ยยกยิ้มมุมปาก บุญคุณต้องทดแทนหนี้แค้นต้องชำระ แต่ว่า ‘สาสม’ นี่มันไม่ฟังดูแปลก ๆ ไปหรือ? “อะแฮ่ม!!! แต่ข้ามีสหายจริง ๆ นะ”
“...?”
เจ้าฟันกระต่ายเลิกคิ้วราวกับไม่เชื่อ เขาจึงกอดอกเชิดหน้ายืดหลังตรงกว่าเดิม
“ข้าพูดจริง เป็นเพื่อนที่จับต้องได้
ไม่ใช่เพื่อนในจินตนาการ” ชายหนุ่มส่ายยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง
บิดขี้เกียจกับความเหนื่อยล้าที่สูญเสียให้กับการเดินทางตลอดทั้งวัน “สหายที่วิ่งเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก เจ้าอยากรู้จักหรือไม่?”
ดวงตาของเจ้าฟันกระต่ายแฝงไปด้วยความใคร่รู้และสงบอย่างเช่นเคย
ชานเลี่ยสบมองกับดวงตาคู่นั้นครู่หนึ่งเพื่อรอการตัดสินใจ
หากอีกฝ่ายเป็นองค์ชายห้าตัวจริง ความอ่อนโยนอย่างที่ใครกล่าวถึงก็คงฝังหยั่งรากอยู่ในตัวชายผู้นี้เป็นแน่แท้
แม้จะตอบโต้อย่างเข็ดฟันเพื่อหวังเอาคืน
แต่ก็หาความรุนแรงจากคำพูดเหล่านั้นได้ไม่
“ไปสิ ข้าอยากรู้จักสหายของเจ้า”
และรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าขาวสะอาดก็ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า...
นั่นมาจากองค์ชายห้าหรือเจ้าฟันกระต่ายกันแน่?
“เจ้าจะไปไหน?”
คนถูกรั้งหยุดฝีเท้าหน้าประตูก่อนจะหันไปสบตากับคนตัวเล็กซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงแสนอบอุ่นที่เขาใช้หลับนอนมาตั้งแต่เยาว์วัย
ชานเลี่ยหลุบตามองพื้นขณะใช้ความคิด พยายามหาคำตอบดี ๆ
เพื่อไม่ให้ตนเองเสียฟอร์มมากนักหลังจากใช้เวลาทบทวนอยู่กับความคิดตนเองอยู่นานสองนานว่าควรทำเช่นนี้ดีหรือไม่?
ชานเลี่ยก็มิอาจหลับหูหลับตาเพิกเฉยได้
อีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชาย แม้การพูดคุยและการแสดงออกของเรายังคงเช่นเดิม
แต่เขาก็มิอาจปล่อยให้คนที่มีศักดิ์เป็นองค์ชายนอนในคอกม้าได้
“ข้าอยากนอนกับเจ้าจิ้นฝู ฉะนั้นข้าจะให้เจ้านอนเตียงสักคืนหนึ่ง”
“เดี๋ยวสิชานเลี่ย” คนถูกรั้งชะงักอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วมอง เขาไม่อยากให้เจ้าฟันกระต่ายตั้งคำถามมากนัก
เพราะการคิดหาคำตอบฉลาด ๆ นั้นไม่ใช่ทางของผู่ชานเลี่ยเลยสักนิด “ใช่เหตุผลนั้นจริงหรือ?”
“ข้านอนในคอกม้าประจำอยู่แล้ว เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าเสียสละเตียงให้เพราะเจ้าเป็นองค์ชายหรอกใช่ไหม?”
“แล้วมันใช่หรือไม่?” ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนานเกินไป เขาจึงเบือนหลบทั้งที่ยังขมวดคิ้วปั้นหน้านิ่ง
“ข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้ว เจ้าอาจจะเป็นหวัดได้”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะเจ้าฟันกระต่าย
ตัวก็แค่นั้น หากข้าปล่อยให้นอนคอกม้าอีกสักคืนใครกันที่จะเป็นหวัด
ข้ารู้นะว่าเจ้าตัวร้อนแต่แสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร”
หลุดปากพูดออกไปจนได้
หากอีกฝ่ายหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
ผู่ชานเลี่ยคนนี้คงเก็บเศษหน้าไม่หมดแน่
“คงเป็นผลจากพิษบาดแผลข้าถึงตัวร้อน
แต่ถ้าต้มสมุนไพรดื่มก็น่าจะดีขึ้น” ไม่มีคำเย้ยหยันอย่างที่กังวล
เมื่อตอนนี้แววตาคู่นั้นกลับฉายแววราวกับว่ากำลังขอร้อง หากคนเขลาอย่างผู่ชานเลี่ยไม่ได้คิดไปเอง
ชายหนุ่มกลอกตาล่อกแล่ก เขายังคงแสร้งว่ารำคาญอีกฝ่ายแม้ลึก ๆ
จะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“งั้นก็เตรียมสมุนไพร เดี๋ยวข้าจะออกไปเอากาน้ำร้อนให้”
“เจ้าจะนอนกับข้าใช่หรือไม่?!” เสียงเรียกรั้งท้ายไม่เท่าประโยคประหลาด ๆ ที่หลุดออกมาจากปากอีกคน
เจ้าฟันกระต่ายคิดสิ่งใดอยู่ถึงได้พูดกับชาวบ้านธรรมดา ๆ เช่นนี้ทั้งที่ตนเองเป็นถึงองค์ชาย
“ก็ถ้าคอกม้ามันหนาว
เจ้าก็ต้องแบ่งที่ให้กับข้า”
ชายหนุ่มเดินออกไปทันทีที่พูดจบโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เอ่ยปากอีก
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก... หลังจากเจ้าฟันกระต่ายทำแผลและดื่มยาสมุนไพรเรียบร้อยเราก็เบียดกันบนเตียงแคบ
ๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นผู่ชานเลี่ยที่นอนพลิกตัวไปมา หันซ้ายที ขวาที
หงายทีอยู่เช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วยามแล้ว
ทั้งที่ตั้งใจจะนอนพื้น
แต่อีกคนกลับบอกว่าเตียงเล็ก ๆ นั่นมันกว้างพอที่จะให้คนตัวใหญ่อย่างเขาขึ้นไปนอนเบียดด้วยกันได้
ผู่ชานเลี่ยไม่ใช่คนยอมใครง่าย ๆ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายคือองค์ชาย
หรือเพราะแววตาที่มาพร้อมคำพูดเหล่านั้นที่ทำให้เขายอมทำตามโดยไม่จบด้วยการขัดใจ
“หลับหรือยัง?”
“ยัง”
“เจ้าอึดอัด”
“คนมีความรู้มักจะดูออกได้ง่าย ๆ
สินะ ใช่ ข้าอึดอัด”
ท่ามกลางความมืดในบ้านหลังเล็ก ชายหนุ่มสองคนต่างหันหลังให้กันโดยไม่หันหน้าเข้าหากันอย่างเช่นก่อนหน้านี้
คำว่า ‘องค์ชาย’ ยังคงลอยอยู่ในความคิด มันเป็นกำแพงสูงที่ทำให้ความเป็นธรรมชาติหายไปทุกที
ตอนคุยกันชานเลี่ยยังพอทำตัวให้เป็นปกติได้ แต่การนอนข้าง ๆ กันเช่นนี้...
ยอมรับว่าอึดอัดและเกร็งจนทำตัวไม่ถูก
“ข้าเอาแต่พูดเรื่องตัวเองมาตลอด
จนลืมถามว่าพ่อแม่เจ้าอยู่ที่ไหน”
“พ่อข้าป่วยตายตั้งแต่แม่ตั้งท้อง
พอข้าเกิดมาได้ไม่นาน แม่ก็ทิ้งข้าแล้วหนีตามผู้ชายไป”
“ฟังดูโหดร้าย
ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องพูดมันออกมานะ”
“ช่างเถอะ เพราะข้าไม่เสียใจ” ชานเลี่ยเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง นอนหงายจ้องมองเพดานมืด “ส่วนเรื่องแม่ไม่รู้จริงหรือโกหก ท่านปู่บอกว่าท่านย่ากำลังโมโห ท่านจึงพูดเยี่ยงนั้น”
“ท่านย่าไม่ชอบแม่เจ้าหรือ?”
“ใช่ นางบอกว่าแม่ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัวทำอะไรไม่เคยนึกถึงใจคนอื่น
กับสิ่งที่นางทำ มันส่งผลให้ใครหลายคนต้องเสียใจ”
ทั้งคู่พลิกตัวพร้อมกัน
สบตานิ่งงันท่ามกลางความเงียบยามค่ำคืน ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก ความเรียบง่ายเป็นกันเองมันหายไปเพราะคำว่า ‘องค์ชาย’ จริง ๆ
“แสดงว่าเจ้าก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่
ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ชานเลี่ยขานตอบในลำคอ “แต่มันไม่สำคัญหรอก
ข้าไม่อยากยึดติดกับคนที่ไม่ได้มีผลกับชีวิตในตอนที่ข้ายังมีหัวใจอยู่”
“...”
“หากพ่อกับแม่จากไปตอนที่ข้ารู้จักคำว่าเสียใจเป็นแล้ว
ข้าคงเล่ามันให้เจ้าฟังไม่ได้”
ถึงจะพูดเช่นนั้น
แต่ผู่ชานเลี่ยก็โกหกตัวเองไม่ได้ว่าลึก ๆ
แล้วเขาก็รอวันกลับมาของสตรีผู้ให้กำเนิด อยากเห็นหน้าค่าตาว่าเป็นคนเช่นไร เหตุใดจึงทิ้งลูกเล็กไว้กับคนแก่ได้ลงคอ
หากการมีลูกมันยากเย็นนัก
เหตุใดจึงทนอุ้มท้องตั้งเก้าเดือนเพื่อให้เด็กคนหนึ่งเกิดมาอาภัพเช่นนี้
ปากบอกไม่เสียใจ
แต่ข้างในเต็มไปด้วยคำถาม
“ข้านับถือใจเจ้าจริง ๆ”
“นับถือใจข้า?”
“ใช่”
ป๋ายเซียนยิ้ม และเขารู้ว่าชานเลี่ยคงมองไม่เห็นแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความเชยชมในเวลานี้
“เจ้าโตมาด้วยการเลี้ยงดูของท่านปู่กับท่านย่า ทั้งอุดมการณ์
ความคิด และสิ่งที่เจ้าเป็น มันส่งไปในทางที่ดีจนข้าอดคิดไม่ได้ว่าถ้าข้าเป็นเจ้า
ข้าจะเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้หรือไม่?”
“ข้าไม่อยากเป็นคนอ่อนแอ นั่นแหละคือเหตุผล”
“พอได้ฟังเรื่องของเจ้าข้าก็นึกย้อนมองตัวเอง
เติบโตมาในวังโดยได้รับการดูแลจากคนรอบข้าง ไม่เคยลำบาก จะกินก็มีคนยกสำรับมาให้
จะอาบน้ำก็มีคนยืนเฝ้า ทุกอย่างสุขสบายไปหมด และมันทำให้ข้าเคยชิน”
“ชีวิตของการเป็นองค์ชายกำหนดออกมาเช่นนั้นอยู่แล้ว
เจ้าก็แค่ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองเป็น
มันเทียบกับสามัญชนธรรมดาอย่างข้าได้ที่ไหนเล่า”
“มันก็จริงอย่างที่เจ้าพูด
ถ้าข้ารู้ว่าโตมาต้องเจอเรื่องเช่นนี้ สู้ข้ากัดฟันยอมเรียนฟันดาบ ยิงธนูเสียก็ดี”
คนตัวเล็กพูดกลั้วหัวเราะ
“ตราบใดที่เจ้ายังมีมือที่สามารถถืออาวุธได้
คำว่าสายเกินไปก็ยังห่างไกลกับเจ้ามากนัก”
“ที่เจ้าพูดเช่นนั้น...
มันหมายความว่าเจ้าจะช่วยสอนให้ข้าใช่หรือไม่?”
คนตัวเล็กทำตาโตอย่างสนใจ จดจ้องอีกฝ่ายท่ามกลางความมืด
และชานเลี่ยไม่ได้ตอบในทันที
ป๋ายเซียนคิดว่าเขารอได้นานกว่านี้ถ้าหากอีกฝ่ายตอบว่าตกลง
“อืม ข้าจะสอนเจ้า”
“เยี่ยม!”
“อะไรของเจ้า?!” ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว
เบิกตากว้างมองเจ้าฟันกระต่ายท่ามกลางความมืดที่อยู่ ๆ
ก็เข้ามาเกาะแขนเขาจนร่างกายของเราแทบแนบชิดกัน
“ข้าอยากเข้มแข็งและปกป้องตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากใคร”
คนตัวเล็กเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง “ตอนอยู่ในวังข้าเพิกเฉยที่จะเรียนรู้เพียงเพราะข้าไม่ชอบมัน”
“ข้าก็ไม่ชอบกินยาตอนป่วย
แต่ถ้าไม่ฝืนกินข้าก็จะไม่หาย เพราะฉะนั้นถ้าหากเจ้าคิดจะเรียนวิชากับข้า
เจ้าก็ต้องอดทนให้มาก ๆ ห้ามบ่นเหนื่อยง่าย เพราะข้าโหด”
“ขู่กันตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยหรือ
ผู่ชานเลี่ย”
“ถ้าเจ้าเรียนรู้ช้าเจ้าก็จะเสียเวลาทิ้งไปเฉย
ๆ ถ้าไม่อยากรีบกลับไปช่วยพี่น้องในวัง จะเรียนวันละชั่วยามก็ย่อมได้”
“ไม่ ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างดีเลย
ท่านอาจารย์ผู่” เจ้าฟันกระต่ายรีบตอบอย่างหนักแน่น “ถ้าเจ้าช่วยข้าไปจนถึงตลอดรอดฝั่ง ข้าจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อให้กับเจ้า”
“คิดว่าข้าทำไปเพราะหวังผลตอบแทนหรืออย่างไร?” เขาจิ๊ปาก ไม่เคยมองเห็นความเป็นคนดีของผู่ชานเลี่ยคนนี้เอาเสียเลย!
“ถึงเจ้าไม่หวัง
เจ้าก็ควรได้รับสิ่งตอบแทนที่ช่วยข้าไว้ หากไม่รับเป็นเงินทอง
เช่นนั้นรับเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานดีไหม?”
“จะให้ข้าเป็นขุนนางหรือไง?” ง่ายเกินไปแล้ว ผู่ชานเลี่ยไม่มีทางตอบรับเด็ดขาด!
ตำแหน่งนั้นควรสู้มาด้วยความพยายาม ความสามารถสิถึงจะถูก
“เปล่า ข้าหมายถึงทหาร”
“...”
“แต่ข้าไม่ให้เจ้าเป็นทหารยามหรอก
เพราะคนนิสัยเหมือนลิงเหมือนค่างเช่นเจ้าคงยืนอยู่กับที่ทั้งวันไม่ได้”
“สงสัยองค์ชายแถวนี้จะไม่ได้กลับวังเพราะถูกจับถ่วงน้ำ”
“ข้าล้อเล่น”
คนตัวเล็กหัวเราะชอบใจ “เจ้าหนาวหรือไม่ ขยับเข้ามาอีกก็ได้นะ”
“ไม่ดี”
ชานเลี่ยรีบปฏิเสธพัลวัน ขืนเข้าใกล้กว่านี้มีหวังนอนไม่หลับจนเช้าแน่
“ทำไมเล่า?”
ยังจะถามอีกหรือว่าทำไม ต่อให้ผู่ชานเลี่ยจะไม่เข้าใจเหตุผล
แต่ความรู้สึกมันบอกว่าอย่าเข้าใกล้เจ้าฟันกระต่ายมากไปกว่านี้ “เพราะข้าเป็นองค์ชายงั้นหรือ?”
“ใช่”
...ก็ได้
ในหัวมีแต่คำว่า ‘องค์ชายห้านอนอยู่ข้าง ๆ’ ต่อด้วยคำว่า ‘หัวขาดแน่ หัวขาดแน่’ ตะโกนย้ำอยู่ไม่ขาดช่วง จะทำเช่นไรดี... จะให้เปลี่ยนเป็นพูดจานอบน้อมอย่างสุภาพก็กลัวตัวเองจะเป็นบ้าตายเสียก่อน
แม้เจ้าฟันกระต่ายจะไม่พูดถึงความหยาบคายที่ผู่ชานเลี่ยเป็น แต่ลึก ๆ
ก็รู้สึกผิดต่อตนเองที่เป็นคนยึดมั่นต่อความถูกต้องในทางที่ควร
“ไม่ยักรู้ว่าคนป่าเถื่อนมุทะลุอย่างเจ้าจะคิดมากกับเรื่องเล็กน้อย”
“เล็กน้อยงั้นหรือ
เจ้าเป็นถึงองค์ชาย
ส่วนข้าเป็นสามัญชนธรรมดาที่หัวพร้อมจะหลุดออกจากบ่าเมื่อไหร่ก็ได้”
“อนาคตเจ้าไกลกว่าข้าคนเมื่อวานก่อน
อย่าลืมสิ” เสียงกระซิบนั้นทะเล้นจนต้องเลิกคิ้วกับความขี้เล่นของเจ้าฟันกระต่ายซึ่งใช่ว่าจะได้เห็นบ่อย
ๆ
“ข้าถามจริงนะ” ชานเลี่ยเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม เข้าสู่สภาวะจริงจังซึ่งนาน ๆ
ครั้งจะเกิดขึ้น “ข้าเองก็แกล้งเจ้าไปมากมายนัก
ไม่อยากสั่งข้าลงไปนอนพื้นเย็น ๆ บ้างหรืออย่างไร?”
“คิดสิ” ป๋ายเซียนขยับตัวนอนหงายเช่นเดียวกับชานเลี่ย
ทั้งคู่กำลังให้เพดานเป็นจุดยึดสายตา ท่ามกลางความแปลกหน้าที่เริ่มเข้าใกล้คำว่าสนิทใจขึ้นเรื่อย
ๆ “แต่การมีเจ้านอนอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้มันทำให้ข้าอุ่นใจมากกว่า”
...เจ้าฟันกระต่ายกำลังพูดอะไร?
“เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ
ในหัวมีแต่เรื่องให้คิดมากมาย เป็นห่วงคนในวัง สงสารตัวเองที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน
และต้องนอนในคอกม้าที่มีกลิ่นเหม็น นอนบนกองฟางหยาบ ๆ จนคันไปทั้งตัว
ร้องไห้ไปกับความเสียใจจนหลับ”
“ก็เจ้ายอมบอกตั้งแต่แรกว่าเป็นองค์ชายห้า
มีหรือข้าจะให้นอนในนั้น” เขาพูดตามความจริง
ตอนนี้ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาถึงคอที่แกล้งอีกฝ่ายไปเช่นนั้น
“มันเป็นเพราะข้าอ่อนแอเอง
พอเจอความลำบากหน่อยก็ท้อจนไม่อยากสู้” ป๋ายเซียนถอนหายใจเบา
ๆ “แต่พอรุ่งสาง ข้าก็รู้สึกดีที่เห็นเจ้าเข้ามาปลุก”
“ด้วยเท้าที่เจ้าคงอยากสั่งทหารตัดทิ้ง” ทันทีที่พูดจบเจ้าฟันกระต่ายก็ยกมือขึ้นปิดปากขำ
“การถูกปลุกมาใช้ชีวิตย่อมดีกว่าการปลุกมาฆ่าซ้ำให้ตายเป็นไหน
ๆ” คนตัวเล็กหลับตาลง ยิ้มบาง ๆ
อย่างสบายใจขณะปล่อยให้ความเงียบโรยตัว “ชานเลี่ย”
“อืม”
“ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าที่ข้าหลับตานอนได้ในคืนนี้ก็เพราะว่ามีเจ้าอยู่ข้าง
ๆ”
คนฟังกลอกตาล่อกแล่ก นอนแน่นิ่งพลางใช้สมองอันน้อยนิดคิดว่าควรทำสิ่งใดในสถานการณ์เช่นนี้
ขานตอบอย่างขอไปที หรือว่าแกล้งหลับไปเลย บ้าไปแล้ว อยู่ ๆ
ก็พูดจาให้รู้สึกดีออกมาเช่นนั้น องค์ชายฟันกระต่ายชักจะทำให้เขาขำไม่ออก
“อยากให้ข้าเรียกเจ้าว่าองค์ชายหรือไม่?” หากตอบว่าใช่
สาบานได้เลยว่าผู่ชานเลี่ยคงหาคำว่าเป็นกันเองอย่างธรรมชาติไม่ได้อีก
“ไม่”
โล่งอกไปหน่อย...
“เจ้าจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ จะเจ้าฟันกระต่าย” ป๋ายเซียนหันหน้าเข้าหาอีกคน
สบตากันท่ามกลางความมืดโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองด้วยความรู้สึกเช่นไร “หรือป๋ายเซียนก็ได้”
ทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะลักษณะนิสัยหรือฐานะ ดังนั้นชานเลี่ยจึงไม่กล้าใช้คำว่าเพื่อนกับองค์ชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
หากให้เปรียบ... อีกฝ่ายคือสีขาวและเขาคือสีดำ
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ดูเข้ากันได้ดีในความแตกต่างที่ตนเองเป็น
หากอีกฝ่ายเป็นองค์ชายที่กำลังถูกปองร้ายจริง
ผู่ชานเลี่ยก็จะช่วยทุกอย่างเพื่อให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“หลอกให้ข้าเรียกชื่อหรือ
ฝันไปเถอะเจ้าฟันกระต่าย”
ท้องฟ้าหม่นหมองคล้ายฝนจะตก
บรรยากาศโดยรอบอึมครึมไม่ต่างจากความรู้สึกคนในวังหลังพบเรื่องสะเทือนใจอย่างต่อเนื่อง
ร่างระหงไล้หลังมือไปตามดวงหน้าหล่อของผู้เป็นสามี
ก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทมาตลอดหลายชั่วยามจะค่อย ๆ ลืมขึ้นเมื่อถูกปลุกจากการหลับใหล
“ลุกขึ้นมาเสวยโอสถเถอะเพคะ”
ร่างที่ท่อนบนพันรอบไปด้วยผ้าพันแผลถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง
ก่อนนางกำนัลจะยกถ้วยยาให้แก่ชายาขององค์รัชทายาทซึ่งนั่งเฝ้าพระสวามีมาจนถึงตอนนี้
“เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทมาหา
แต่พอเห็นว่าท่านพี่หลับอยู่จึงกลับไปก่อน”
“งั้นหรือ”
องค์รัชทายาทนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะยกยาดื่มรวดเดียว
ไม่สนว่าความร้อนและความขมจะบาดคอสักเพียงใด นัยน์ตาคู่นั้นจดจ้องอยู่กับผนัง
ก่อนจะหันไปสบตากับชายาคนสวยที่อยู่เคียงข้างตนเสมอ
“เจ้านอนบ้างหรือยังซ่งเฉียน?”
“เพคะ ท่านพี่ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่?” คนเป็นสามีพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะไปตามหมอหลวง”
“ไม่ต้อง แผลมันยังสดใหม่ ต่อให้รักษาด้วยวิธีใดข้าก็ยังเจ็บอยู่ดี”
นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหลังจากพูดจบ
พระชายามองใบหน้าสวามีก่อนจะกุมมือแกร่งไว้บนตักตนเอง
“แต่เพราะว่าเป็นแผลสด
องค์รัชทายาทจึงควรหมั่นล้างแผลเพคะ” อี้ฝานหันไปสบตากับเจ้าของคำพูด
แม่นมยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก และนางไม่ได้มองหน้าเขา
“แต่ข้ายังไม่อยากทำตอนนี้”
“รับทราบเพคะ” องค์ชายใหญ่เคยเชื่อฟังแม่นมมากกว่านี้เมื่อพระองค์ยังเยาว์วัย
และนั่นก็นานมาแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?”
“ฮองเฮา”
ซ่งเฉียนลุกขึ้นคำนับพร้อมแม่นมและนางกำนัล
ก่อนเจ้าของใบหน้าที่ฉาบไปด้วยความกังวลจะตรงเข้าไปดูอาการลูกชายอย่างใกล้ชิด
“เป็นเช่นไรบ้าง หิวไหม?” อี้ฝานส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยอ่อน บ่งบอกให้ผู้เป็นมารดาเข้าใจได้ง่าย ๆ
ว่าสภาพคนเจ็บปางตายทั้งกายและใจอย่างเขาคงกินอะไรไม่ลง “โถ...
ลูกแม่”
มองบาดแผลตามตัวลูกชายแล้วหัวใจจะแหลกสลาย
ฮองเฮาโอบใบหน้าได้รูปเอาไว้พร้อมคลึงนิ้วหัวแม่มือเบา ๆ ปลอบประโลม แม้ว่าหัวใจตนเองก็แทบพังไม่เหลือชิ้นดีหลังจากเสียลูกชายแท้
ๆ ไปทั้งคน
“ข้าผิดเองที่อ่อนแอเกินไป
มิเช่นนั้นน้องรองคง...”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อี้ฝาน
อย่าโทษตัวเองเช่นนั้น”
“พวกกบฏเหิมเกริมยิ่งนักที่ใช้วิธีหมาลอบกัดเอาชีวิตข้ากับน้องรองระหว่างทาง” ดวงตาคู่นั้นคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความเคียดแค้น
สองมือกำหมัดแน่นจนคนเป็นแม่ต้องช่วยคลายออกให้ “เสด็จแม่...”
“...”
“หม่อมฉันรู้สึกผิดเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้” หยดน้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหล
ก่อนความเข้มแข็งทั้งหมดจะถูกปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดผู้เป็นแม่ “ข้ารู้สึกเหมือนกำลังใช้ลมหายใจของน้องรอง คนที่ควรตายควรเป็นข้า...
ไม่ใช่อี้เฟิง”
ซ่งเฉียนมองภาพตรงหน้าพลางหันไปสบตากับแม่นม
ปล่อยให้พระสวามีร้องไห้ต่อหน้ามารดาจนกว่าจะพอใจ “เจ้าทำดีที่สุดแล้วอี้ฝาน”
“แม้จะมีน้องอีกนับสิบ
แต่คนที่ข้ารักที่สุดก็คือน้องที่มาจากพ่อแม่เดียวกัน เราเปรียบเหมือนแขนขาของกันและกัน
ข้ารักอี้เฟิงไม่ต่างจากชีวิตตัวเอง”
ฮองเฮายังคงลูบศีรษะปลอบประโลมลูกชาย
ปล่อยให้ความเจ็บปวดในใจหลั่งไหลออกมาเป็นความเงียบโดยรอบก่อนจะผละอ้อมกอดออก
สบมองกับดวงตาแดงก่ำคู่นั้น...
ที่นางเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพียงครึ่งเดียว
“พักผ่อนเถอะลูกรัก”
ฮองเฮายิ้มบาง ๆ
ขณะสบตากับลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นแล้วหยุดอยู่หน้าธรณีประตู
ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อี้ฝานและอี้เฟิงเริ่มประสีประสามากพอที่จะเข้าใจว่าควรทำอะไรเพื่อตนเองในอนาคต
นางรักลูกทั้งสองคน
ดังนั้นจึงคอยบอกคอยสอนให้ทะเยอทะยานเพื่อไม่ให้อยู่ในจุดตกต่ำอย่างเช่นลูกสนมนางอื่น
ๆ เสี้ยมสอนให้อี้ฝานเก่งในทุก ๆ ด้าน เพื่อกอดตำแหน่งองค์รัชทายาทไว้กับตัวให้ดีจนกว่าจะถึงวันทำพิธี ส่วนอี้เฟิง... เมื่อยังเยาว์วัยลูกไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเป็นคนเก่ง แต่พอโตขึ้นจนได้รู้จักกับคำว่าอำนาจ
เด็กคนนั้นก็เริ่มมีความทะเยอทะยานจนยากที่จะหยุดยั้งได้
‘ข้าอยากเป็นองค์รัชทายาท’
ราวกับมีหินก้อนใหญ่อุดอยู่ในคอ
คนเป็นแม่ไม่สามารถสนับสนุนหรือปฏิเสธความต้องการของอี้เฟิงได้ นางรักลูกทั้งสองคน
แต่ก็หลีกหนีความจริงไม่ได้ว่าลึก ๆ นางรักอี้ฝานมากกว่า
เป็นเพราะลูกชายคนแรกทำให้ได้เป็นฮองเฮางั้นหรือ ใช่ นั่นคือเรื่องจริง
แต่การตายของอี้เฟิงนั้น...
มันใช่ฝีมือกบฏแน่หรือ?
“เจ้าออกไปก่อน”
“เพคะ”
นางกำนัลโค้งคำนับแล้วเดินออกไปจนเหลือเพียงองค์รัชทายาท พระชายา และแม่นมเถียน
“ได้เรื่องหรือยัง?”
“ยังเพคะ”
แม่นมตอบทั้งที่ไม่สบตากับเจ้าของเสียงเยือกเย็นนั้น อี้ฝานเช็ดน้ำตาหลอก ๆ ออกแล้วพรูลมหายใจทางริมฝีปากอย่างไม่ชอบใจ
“ข้าบอกแล้วว่าเอาให้ตาย
เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าป๋ายเซียนฉลาดรู้เรื่องสมุนไพร ป่านนี้มันคงรักษาตัวเองจนหายดีแล้ว”
“หากไม่ถูกนางกำนัลเข้ามาขัดจังหวะข้าก็คงจัดการได้ง่ายกว่านี้
และการตามหาคนในที่มืดกลางดึกสงัดก็เป็นเรื่องยากสำหรับคนอย่างหม่อมฉันเหลือเกินเพคะ
แต่องค์รัชทายาททรงวางใจเถิด”
“ข้าจะวางใจได้อย่างไรในเมื่อยังไม่เห็นศพมัน?”
“หมอหลวงบอกกับหม่อมฉันว่าป่าไม้รอบวังนั้นไม่มีสมุนไพรชนิดไหนใช้รักษาพิษได้
ต่อให้ฝืนดันทุรังหนีไป ถ้าไม่ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็คงถูกเสือลากไปกินก่อน” เสียงแม่นมเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“คำพูดหมอหลวงไม่มีน้ำหนักเท่าศพป๋ายเซียน”
“เหตุใดท่านถึงอยากให้องค์ชายห้าตายนัก?”
“เพราะมันคือลูกชายคนโปรดของเสด็จพ่อ”
นัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเพราะการแสดงหลอกมารดาว่าเสียใจ
ในตอนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตหวังเอาชีวิต แม้ป๋ายเซียนจะเป็นน้องที่ดี
คอยไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบพร้อมหาหยูกยาชูกำลังให้อยู่เสมอ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลบล้างความขุ่นมัวในใจเขาไปได้
เช่นเดียวกับจุนเหมียน
เด็กที่ฉลาดหลักแหลมจนเสด็จพ่อเอ่ยชมอย่างออกนอกหน้า แม้ว่าจะเป็นลูกสนมธรรมดา
แต่กลับได้รับความเอ็นดูจากเสด็จพ่อมากกว่าใครอื่น
และแน่นอนว่าน้องหกได้รับผลกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปแล้ว
“ฉะนั้นเจ้าต้องเอาศพมันกลับวังให้จงได้”
ซ่งเฉียนนั่งฟังเงียบ ๆ พลางรินน้ำชาดื่ม
กับแผนการที่องค์รัชทายาทและแม่นมร่วมคิดด้วยกันเพื่อกำจัดองค์ชายทีละคน
น่าขันเหลือเกินที่ต้องเห็นสองพี่น้องแสร้งว่ารักกัน ทั้งที่ความจริงต่างคนต่างก็วางแผนฆ่าอีกฝ่ายเพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาท
องค์ชายอี้ฝานพยายามเป็นอย่างมากเพื่อแสดงละครตบตาคนอื่นถึงได้ยอมเจ็บหนัก
มิเช่นนั้นคงยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือกบฏ ‘ข้าต้องฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าข้า’ น้ำเสียงนั้นเลือดเย็นแค่ไหน ซ่งเฉียนจำได้เป็นอย่างดี
นางไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
ตราบใดที่องค์ชายอี้ฝานยังคงเป็นองค์รัชทายาท
ตำแหน่งฮองเฮาในอนาคตก็ต้องตกเป็นของนาง
เราต่างอยู่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองโดยทิ้งความถูกต้องไว้ข้างหลัง
และมันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก
TBC
ความคิดเห็น