ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    蓮花, Liánhuā ; #ฟิคเหลียนฮวา | chanbaek kaihun

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 :: 秘密 ความลับ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.97K
      13
      28 ก.ย. 60

    Fantastic

     

     


    บทที่ 3

    秘密 ความลับ

     

     



    ขืนเจ้ายังเหลาะแหละเช่นนี้ในอนาคตคงยากที่จะหาเมียได้ สตรีชอบชายหนุ่มเข้มแข็งและแกร่งมากพอที่จะปกป้องนางได้ แล้วนี่อะไร อ่อนปวกเปียกราวกับหนอนดินขาดน้ำ แค่ตีดาบง่าย ๆ เจ้ายังทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ข้าเห็นอนาคตอันริบหรี่ของเจ้าเลย

    ชานเลี่ยยังคงบ่นไม่หยุดตั้งแต่เดินออกมาจากโรงตีดาบ ชายหนุ่มมองมืออีกฝ่ายซึ่งแดงระเรื่อเพราะแผลที่เกิดจากความร้อนสูง ก่อนจะมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเจ้าฟันกระต่ายซึ่งบอกเลยว่าผู่ชานเลี่ยก็รู้สึกไม่ต่างกัน!!!

    อนาคตข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตีดาบเสียหน่อย อีกอย่าง คนที่ทำงานแลกเงินรายวันเช่นเจ้ามีสิทธิ์ว่าข้าได้หรืออย่างไร? ป๋ายเซียนเชิดหน้า ก็เพราะเจ้าทึ่มไม่สอนวิธีตีดาบให้ถ่องแท้มิใช่หรือเขาจึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้

    ก็ข้าเป็นคนรักอิสระ อยากได้เงินวันไหนค่อยทำ วันไหนอยากออกล่าสัตว์ก็คว้าคันธนู ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่ไม่เหลาะแหละ ชานเลี่ยกอดอกเดินไปตามทางดินลูกรังที่รอบด้านโอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

    อนาคตเจ้าก็ไม่ได้ไกลไปกว่าข้านักหรอก

    ไกลกว่าเจ้าคนเมื่อวานก่อนแล้วกัน ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ กระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะเพื่อย้ำให้รู้ว่าหากเจ้าฟันกระต่ายไม่ได้วีรบุรุษอย่างผู่ชานเลี่ยช่วยไว้ ป่านนี้คงนอนแห้งตายกลายเป็นศพอยู่กลางเขาแล้ว

    ป๋ายเซียนไม่ใช่คนชอบเถียง แต่คำเย้ยหยันของอีกฝ่ายก็ทำให้หัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะวุ้นใส ๆ ของว่านหางจระเข้ที่ให้ความเย็นกับรอยพุพองก็มาจากผู่ชานเลี่ย ซึ่งกุลีกุจอออกไปหาให้ทันทีโดยไม่เอ่ยถามเขาสักคำ

    ไม่ยักรู้ว่าเจ้ารู้วิธีรักษาแผลพุพอง

    คนฉลาดต้องหัดเรียนรู้วิธีรักษาตัวเองเอาไว้ เพราะข้าก็เหมือนเจ้าตอนไปทำงานที่โรงตีดาบวันแรก

    เดี๋ยว... หากเจ้าเองก็เคยเจ็บ แล้วเหตุใดถึงบ่นข้ามาตลอดทางเช่นนี้เล่า? คนตัวเล็กเลิกคิ้ว อีกฝ่ายจึงเบิกตากว้างรีบยกมือขึ้นตะปบปากตนเอง เจ้าทึ่มชานเลี่ย

    ถ้าเรียกข้าว่าเจ้าทึ่มอีกครั้งเจ้าได้เป็นผีเฝ้าน้ำตกหน้าบ้านข้าแน่!” ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษ หากแต่เจ้าของฟันกระต่ายกลับเชิดหน้าท้าทายฮึ่ย!”

    หากจะต่อว่าข้าก็อย่าให้คำเหล่านั้นย้อนกลับไปเตะตัดขาตัวเองสิ

    ทำให้ข้าไม่ได้เงินยังจะพูดมากอีกงั้นหรือ? ชานเลี่ยแค่นยิ้ม เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองเหยียดหยันอีกฝ่าย

    ให้ข้าทำอย่างอื่นสิ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การอยู่หน้าเตาร้อน ๆ กับดาบลนไฟ หรือแบกกระสอบหนัก ๆ อย่างที่เจ้าบอกไว้ เพราะข้าคงทำไม่ไหว

    เลือกงานเช่นนี้ นอกจากนอนรอความตายแล้วคงไม่มีงานไหนที่คนอย่างเจ้าจะทำได้ ชานเลี่ยยังคงเย้ยคนข้างตัวด้วยคำพูด เขาชำเลืองมองเจ้าฟันกระต่ายที่กำลังเป่าแผลพุพองพลางงอหน้าจ้องมือตาปริบ ๆ ราวกับว่าสงสารฝ่ามือตนเองจับใจหากยังช่วยข้าหาเงินไม่ได้เช่นนี้ เจ้าก็ต้องกลับบ้านไปกอดขาพ่อแม่ชาวนาของเจ้า

    สิ้นคำขู่คนตัวเล็กก็หยุดฝีเท้าพร้อมช้อนตามอง ชานเลี่ยหมุนตัวหันกลับไป เลิกคิ้วมองอย่างท้าทายกึ่งบีบบังคับให้เจ้าฟันกระต่ายต้องเลือก เขาไม่ใช่เศรษฐีที่จะได้รับเลี้ยงคนหลงทางได้ แค่จะหาเงินมายาไส้ตัวเองกับปู่พร้อมเลี้ยงเจ้าจิ้นฝูและไก่ในเล้าก็ยากลำบากเหลือทนแล้ว

    ข้ากลับไม่ได้เพราะบ้านโดนยึดไปแล้วเจ้าก็รู้นี่

    แล้วเจ้าจะทิ้งพ่อทิ้งแม่ที่ไม่มีบ้านอยู่หรืออย่างไร?!!!” เลือดกตัญญูมันเข้าตา ชายหนุ่มมองคาดโทษเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้ผู่ชานเลี่ยไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก แม้จะดื้อกับท่านปู่ให้เจ้าฟันกระต่ายเห็น แต่ความรักและความกตัญญูมันฝังอยู่ในจิตใจที่ยากลึกหยั่งถึง!!!

    พ... พ่อแม่ข้าไปอยู่บ้านพี่เขย!”

    งั้นเจ้าก็เก็บข้าวของไปอยู่บ้านพี่เขยเสียเลยสิ ชานเลี่ยเดาะลิ้นแล้วหมุนตัวเดินลงเขาโดยไม่สนว่าเจ้าฟันกระต่ายจะหาข้ออ้างสิ่งใดมาพูดให้ไขว้เขวอีก

    ไม่ได้หรอก บ้านหลังนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับข้าแล้ว เอ่อ อันที่จริงพี่เขยข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง นางงดงามมากข้าจึงตกหลุมรักเข้าเต็มเปา และพอพี่เขยรู้เขาก็เลย -- ป๋ายเซียนไม่ใช่คนโกหกเก่งสักนิด เขาพยายามปั้นน้ำเป็นตัวอย่างถึงที่สุดเพื่ออ้อนวอนขอความเห็นใจจากคนตรงหน้า

    ชานเลี่ยจิ๊ปากซ้ำ ๆ กับเหตุผลชวนให้มองบนไปจนถึงสวรรค์ ก่อนจะชำเลืองมองเจ้าฟันกระต่ายที่วิ่งประกบข้างจนแทบจะสะดุดล้ม แค่เดินให้ตรงยังทำไม่ได้ ริอาจแอบชอบลูกสาวชาวบ้าน เจ้านี่มันเหลือทนจริง ๆ

    ใช่ ข้ามันไม่เอาไหน แค่เดินยังจะสะดุดล้ม เนี่ย เจ้าก้อนหินมันไม่ผิดเลย มันอยู่ของมันตรงนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ป๋ายเซียนเตะก้อนหิน ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่ไม่แม้แต่จะหันมาใยดีกันสักนิด เจ้าทึ่ม

    ลาก่อน

    โธ่ชานเลี่ย ป๋ายเซียนเร่งฝีเท้าจนเหนื่อยหอบขณะที่อีกฝ่ายเดินตัวเบาหวิว รู้ว่าตนเองเป็นภาระ แต่ตอนนี้เขาไร้ที่พึ่งใด ๆ แล้ว หากมีหนทางให้เลือกสักนิด เปียนป๋ายเซียนคงไม่รบกวนผู่ชานเลี่ยถึงเพียงนี้หากเจ้าต้องการเงิน เช่นนั้นเอาชุดข้าไปขายเลยก็ได้!”

    ...

    เจ้าของแผ่นหลังกว้างหยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนจะหันขวับอย่างรวดเร็วพร้อมหรี่ตามองอย่างมีความหมายถึงจะมีรอยขาดจากบาดแผล แต่ข้าเชื่อว่าชุดนั้นน่าจะขายได้ราคาดี

    ชุดที่ขโมยมาน่ะหรือ... เจ้าโจรกระจอก สีหน้าผู่ชานเลี่ยตอนนี้โหดร้ายเกินกว่าจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม ป๋ายเซียนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะหลับตาแน่นเพราะถูกนิ้วชี้จิ้มหน้าผากจนหน้าหงายเงินที่ได้มาอย่างสกปรก ผู่ชานเลี่ยไม่มีทางรับไว้เด็ดขาด!!!”

     

     

     

     


    พอรู้ตัวอีกที... ป๋ายเซียนก็ยืนหลบอยู่ในตรอกแคบในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชาวบ้านกำลังตั้งแผงขายของอยู่ประปราย เป็นเพราะชานเลี่ยบอกว่าคนซื่อบื้อเช่นเขาคงไม่มีทางเจรจาการค้าได้ เจ้าทึ่มจึงเอาชุดนั้นไปขายด้วยตัวเองเพื่อที่จะเก็งราคาเสียหน่อย

    เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ นึกเป็นห่วงพ่อค้าที่ต้องรับมือคนอย่างผู่ชานเลี่ย ป๋ายเซียนได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เผลอใช้กำลังจนมีใครต้องเจ็บตัว

    เจ้าฟันกระต่าย

    คนถูกเรียกหันไปตามเสียงก่อนจะยกมือขึ้นปกป้องตนเองเมื่ออีกฝ่ายโยนบางอย่างมาทางนี้ ชานเลี่ยมองผลไม้กลมกลิ้งขลุก ๆ ไปกับพื้น ก่อนจะขยับปากบ่นอย่างขัดใจพร้อมตรงไปเก็บขึ้นมาเช็ดกับเสื้อตนเอง คนตัวเล็กยังคงไม่เอามือลง ดวงตาคู่นั้นปิดแน่นสนิทราวกับกลัวว่าจะถูกปองร้ายโดยผลไม้เพียงผลเดียว

    โอ๊ย!”

    กลัวอะไรนัก?!” ชานเลี่ยดีดหน้าผากอีกฝ่ายก่อนจะชูผลกลม ๆ ในมือให้ดูว่าความน่ากลัวเมื่อครู่คือความอร่อยไม่รู้ลืมและใช่ว่าคนทั่วไปอย่างผู่ชานเลี่ยจะซื้อกินได้ง่าย ๆ

    ก็ข้าตกใจที่อยู่ ๆ เจ้าก็โยนมันมา

    ช่างอ่อนไหวเหลือเกิน ดูสิ ดูหน้ามัน ทั้งกลมทั้งเล็ก จะเอาอะไรไปฆ่าใครตายได้ เขาค้อนใส่เจ้าฟันกระต่ายที่ยืนห่อไหล่ตัวเหลือตัวนิดเดียว เอ้า กินเข้าไป

    แต่มันตกพื้นแล้ว ชายหนุ่มมองผลไม้ในมือตนเองสลับกับใบหน้าคนตัวเล็กที่ก้มลงจ้องใกล้ ๆ ราวกับว่าจะหาเชื้อโรคจากผลไม้ผลนี้

    เพราะเจ้ารับไม่ได้ ก็ต้องกินมันทั้งอย่างนี้แหละ

    อย่างน้อยก็ควรเอาไปล้างน้ำเสียก่อน ป๋ายเซียนเซถอยหลังเล็กน้อยเพราะถูกยัดผลไม้ใส่กลางอก หากแต่มิใช่ผลที่ตกพื้น ดวงตากลมโตช้อนมองคนป่าเถื่อนซึ่งกำลังเอาผลไม้เช็ดกับเสื้อตนเองอีกครั้งแล้วกัดจนแหว่งไปครึ่งผลโดยไม่สนใจว่าความสกปรกจะหลงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด

    เพราะชุดเจ้าขายได้ราคาดีหรอกนะ

    ป๋ายเซียนมองตาปริบ ๆ ก่อนจะอมยิ้มแล้วอ้าปากกัดผลไม้เพียงคำเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองกินอย่างนี้โดยไม่มีนางกำนัลปอกเปลือกและทำให้เป็นชิ้นพอคำ ถึงผู่ชานเลี่ยจะให้เหตุผลห่าม ๆ เช่นนั้น แต่การเสียสละเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ก็ทำให้ป๋ายเซียนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

    เงินในถุงนี้จะทำให้เจ้าได้อยู่บ้านข้าต่อ ชานเลี่ยชูถุงเงินขึ้นระดับใบหน้าคนตัวเล็กพร้อมเขย่าจนเกิดเสียง หากอีกฝ่ายอ้าปากขอเพียงตำลึงเดียว ผลไม้สวรรค์ในมือนั่นจะต้องถูกยึดกลับ

    ตกลง ผิดคาด เจ้าฟันกระต่ายตอบรับอย่างว่าง่ายโดยไม่โต้แย้งขอส่วนแบ่งเลยเพียงนิด ไม่ได้การ... สีหน้าท่าทางอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันผิดปกติเกินไป หรือว่าเจ้าฟันกระต่ายทำตีเนียนนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ เพราะถ้าชุดที่ขโมยมาถูกตามหา คนเอาไปขายเช่นเขาต้องถูกสงสัยว่าเป็นโจรเป็นแน่แท้

    เจ้าไม่ได้มีแผนอะไรในใจใช่ไหม?

    แผน? ป๋ายเซียนส่ายศีรษะพรืดเหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?

    ก็เจ้าทำตัวน่าสงสัยอยู่ตลอด ชายหนุ่มเดินวนไปมา มองจับผิดคนตรงหน้าที่ใช้สองมือถือผลไม้แล้วค่อย ๆ ละเลียดกินอย่างใจเย็น หากข้าโดนลากคอข้าเข้าคุก เจ้าก็จะลอยแพสบายตัวเพราะพ่อค้าเห็นหน้าคนขายอย่างข้า

    ไม่มีใครทำเช่นนั้นหรอก อย่ากังวลไปเลยเจ้าทึ่ม

    หึ คิดว่ามีความรู้แล้วจะแผนสูงกับข้าอย่างไรก็ได้สินะ บอกเลยว่าถ้าเรื่องนี้สาวมาจนถึงข้า เจ้าจะต้องเป็นคนเข้าไปนอนในคุก ป๋ายเซียนถอนหายใจพลางเงยหน้ามองคนคิดมากกับไม่เป็นเรื่อง ก่อนจะเอาผลไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งผลยัดใส่มืออีกคนแล้วเดินหนี ข้ายังพูดไม่จบเจ้าจะเดินไปไหน?! เจ้าฟันกระต่าย! เจ้า --

    ชายหนุ่มตะโกนไล่ตามคนตัวเล็กที่เดินมือไขว้หลังออกไปจากตรอกแคบโดยไม่สนใจเสียงเของเขาเลยแม้แต่นิด ชานเลี่ยยกเท้าขึ้นถีบอากาศ จิ๊ปากซ้ำ ๆ ขู่ในใจว่าหากเป็นคนแปลกหน้าคงซัดเอาให้หมอบคาที่ไปแล้ว

    ท่ามกลางเสียงพ่อค้าแม่ขาย ชายหนุ่มมองผลไม้ในมือที่ถูกกัดไปเพียงนิด ก่อนจะอ้าปากกินอีกฝั่งจนแหว่งหายไปครึ่งหนึ่ง เจ้าฟันกระต่ายไม่รู้จักของดี กินไปแค่นั้นจะอยู่ท้องได้อย่างไร

    ระหว่างบ่นในความคิดสายตาก็พลันไปเห็นกระดาษตกอยู่บนพื้น บนนั้นเขียนอะไรสักอย่างที่ผู่ชานเลี่ยต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อระลึกชาติไปถึงตอนที่ท่านย่าสอนหนังสือให้

    ตาม... ล่า... ปงค์... ไม่ใช่ ตัวนี้ต้องอ่านว่าองค์ คิ้วหนาขมวดมุ่น กำมือแน่นกับความอึดอัดใจในการพยายามอ่านตามล่าองค์... องค์... องค์ชาย...

    ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น แม้นขุนเขาที่ว่าสูงก็สยบได้หากผู่ชานเลี่ยนึกจะเอาจริง เหอะ... ได้เรื่องแล้ว เห็นทีว่าต้องเอาไปอวดเจ้าฟันกระต่ายเสียหน่อย

    แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนร่างกายมันแข็งจนกลายเป็นหินเพราะเห็นรูปวาดเสมือนจริงด้านล่างตัวหนังสือเหล่านั้นซึ่ง...

    เร็วเข้าสิ มีงานต้องทำอีกไม่ใช่หรือ? ชายหนุ่มเบิกตากว้าง มองคนในภาพสลับกับเจ้าฟันกระต่ายที่หันมาเร่งเร้าให้ตามไปด้วยกัน ชานเลี่ยขยี้ตาพลางแนบหน้าเข้าไปใกล้กระดาษจนแทบสิง คนตัวเล็กจึงเป็นฝ่ายเดินกลับมาหา

    เขายังไม่หยุดมองภาพวาด พอได้เห็นดวงหน้าขาวใกล้ ๆ จึงทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นป้องปาก

    เจ้าเป็นอะไร?

    เจ้า?!” เสียงชานเลี่ยสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ป๋ายเซียนขมวดคิ้วพร้อมเอากระดาษในมือแกร่งมาดู ก่อนจะเบิกตากว้างไม่ต่างจากคนตรงหน้าเลยเจ้าคือองค์!!! --”

    มือข้างที่ไม่เจ็บรีบตะปบปากปิดเสียงกระโตกกระตากคนป่าเถื่อน ป๋ายเซียนหันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวงว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือไม่ ก่อนจะหันกลับมาสบตากับคนตรงหน้า

    อย่าเสียงดังสิ

    ก็เจ้า!!!” ชานเลี่ยรีบแกะมือเล็กออกพร้อมชี้หน้าอีกฝ่ายย้ำ ๆ รู้สึกเหมือนคำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมด ไม่สิ อันที่จริงมันอาจจะหายไปพร้อมกับเงาหัวอันเลือนรางนี้ข้าอ่านออก ตรงนี้อ่านว่าองค์ -- !!”

    เบา ๆ หน่อย ป๋ายเซียนค้อนด้วยสายตา

    ...ชาย ชานเลี่ยกล่าวเสียงแผ่ว กลอกตามองไปยังถนนเส้นเล็กซึ่งยังคงมีพ่อค้าตะโกนขายของแข่งกับชาวบ้านที่ออกมาจับจ่าย เดินสวนกันราวกับทหารในสนามรบแล้วในภาพนี้ก็คือเจ้า

    ...

    ข้าไม่ได้อ่านผิดไปใช่ไหม ตัวนี้อ่านว่าตาม ตัวนี้อ่านว่าล่า

    อ่านว่าหา

    เออ หาก็หา แล้วตรงนี้ก็องค์ชาย แล้วรูปวาดนี่ก็ --

    ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบในตรอกแคบ เจ้าฟันกระต่ายหลุบสายตาลงพลางกำกระดาษใบนั้นจนยับคามือ และปล่อยให้เขายืนงงอยู่ตรงนี้โดยไม่คิดจะอ้าปากอธิบายใด ๆ แม้แต่คำเดียว บ้าไปแล้ว?! เจ้าฟันกระต่ายเป็นเพียงโจรกระจอกเท่านั้น จะเป็นองค์ชายไปได้อย่างไร?!

    ข้าไม่ตลก เพราะฉะนั้นข้าจะโกรธมากถ้าหากเจ้าคิดจะเอาเนื้อความในกระดาษแผ่นนี้มาอำข้า

    ข้าก็ไม่ตลกเช่นกัน ป๋ายเซียนหันไปทางด้านหลัง พลางคิดไปว่าตอนนี้คงมีป้ายประกาศตามหาเขาติดอยู่ทั่วทั้งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว และหากเป็นเช่นนั้นมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่าจะถูกตามตัวเจอตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ยังสืบไม่พบว่าเพราะเหตุใดแม่นมเถียนจึงคิดปองร้ายเขาเช่นนั้น ชานเลี่ย

    เจ้าของชื่อยังคงตระหนก แววตาคู่นั้นไม่ได้ทะเล้นและยียวนชวนทะเลาะอย่างเช่นเคย แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ผู่ชานเลี่ยยืนนิ่งเงียบโดยไม่ตะโกนลั่นทั่วเมืองว่า

     

    องค์ชายห้าที่ทุกคนตามหาอยู่ตรงนี้

     

    ข้าไว้ใจเจ้าได้ใช่หรือไม่?

     


     

     


     

    เหนื่อยหรือยัง?

    ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั่งเฉย ๆ ข้าต่างหากที่ต้องถามท่านว่าเหนื่อยหรือไม่?

    มีเพียงเสียงกีบเท้าอาชารูปงามเท่านั้นที่ทำลายความเงียบท่ามกลางป่าดงพงไพรระหว่างเดินทางไปอีกเมือง ซื่อชวินเบือนหน้าไปยังต้นไผ่เพื่อหาจุดยึดสายตาโดยมีท่านแม่ทัพควบอาชาให้

    หากข้าบอกว่าเหนื่อย เจ้าจะขี่ม้าให้ข้านั่งงั้นหรือ?

    ท่านก็รู้ว่าข้าขี่ม้าไม่เก่ง หากคว้าสายบังเหียน มิวายลูกรักของท่านจะพยศ

    จงเหรินอมยิ้ม พลางหันไปสบตากับคนที่นั่งทำหน้าเง้างอนอยู่ข้างหลังหย่งคังรู้ว่าควรเคารพใคร

    ท่านจะบอกว่ามันเคารพข้าหรืออย่างไร?

    หากอยากรู้เจ้าก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ซื่อชวิน อาชารูปงามหยุดฝีเท้าเมื่อนายกระตุกสายบังเหียน แม่ทัพหนุ่มลงจากอานม้าอย่างง่ายดายก่อนจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้าบอกให้อีกฝ่ายขยับเข้าไปนั่งแทนที่ ซื่อชวินไม่ได้ทำตามอย่างที่บอกในทันที และจินจงเหรินคงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นซื่อชวินต่อต้านเช่นนี้ ขยับไม่ได้หรือ ให้ข้าช่วยหรือไม่?

    ข้าขยับเองได้

    แม่ทัพหนุ่มอมยิ้มชอบใจ จ้องมองเขาด้วยแววตาแพรวพราวจนอดคิดไม่ได้ว่าคงทำอย่างนี้กับสาวงามในวังหลวงเฉกเช่นเดียวกัน ซื่อชวินขยับไปข้างหน้า เสมองไปอีกทางพลางคว้าสายบังเหียนไว้อย่างไม่เต็มใจ ก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นมาซ้อนอยู่ด้านหลัง

    แม้หย่งคังจะเป็นม้าศึก แต่จิตใจของมันก็อ่อนโยนไม่แพ้ใคร รู้สึกเหมือนกำลังถูกกระซิบ ซื่อชวินพลาดเสียแล้วที่เผลอตอบปากรับคำ หัวใจถึงได้เต้นระส่ำจนยากที่จะควบคุมเช่นนี้ลูบหัวมันสิ ซื่อชวิน

    ...

    อย่างนี้ มือที่ถือดาบต่อสู้กับศัตรูมาทุกทั่วแคว้นนั้นหยาบกร้านแต่ก็อบอุ่นและอ่อนโยนนักเมื่อกอบกุมมือเขาไว้เช่นนี้ ซื่อชวินนั่งนิ่ง ปล่อยให้แม่ทัพหนุ่มจับมือตนลูบไปตามขนเงางามของอาชาศึกอย่างเชื่องช้า จนความหวาดกลัวว่ามันจะพยศค่อย ๆ จางหายไป เชื่อข้าแล้วหรือยัง?

    เสียงกระซิบในครานี้ทำดวงหน้าขาวแดงก่ำ ซื่อชวินพยักหน้าช้า ๆ ก่อนท่านแม่ทัพจะโอบผ่านรอบเอวเขาเพื่อช่วยบังคับสายบังเหียน เจ้าหย่งคังจึงออกเดินอีกครั้ง

    นอกจากเชลยศึก ข้าก็ไม่เคยบังคับขู่เข็นใครให้พูดความจริง เสียงกีบเท้าม้าก้าวย่ำไปยังหนทางเบื้องหน้า จงเหรินก้มลงสูดดมกลิ่นหอมของดอกเหมยของชายรูปงาม ก่อนจะสอดประสานกับเรียวนิ้วอีกฝ่ายผ่านสายบังเหียนแต่บอกได้หรือไม่ว่าข้าทำผิดสิ่งใด เจ้าถึงทำหมางเมินเช่นนี้?

    ไม่มีทางที่ซื่อชวินจะพูดออกไปเพราะหากทำเช่นนั้นคงถูกมองไม่ดีแน่ เขาเป็นเพียงครูที่คอยพร่ำสอนให้ความรู้องค์ชายห้า จะมีสิทธิ์ใดพูดความในใจออกไปกับเรื่องที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านแม่ทัพใหญ่อย่างจินจงเหริน

    ข้าเป็นห่วงองค์ชายห้า จึงเผลอแสดงท่าทีแบบนั้นออกไป หากทำให้ท่านหงุดหงิดใจก็ขออภัยด้วย

    อย่าโกหกข้า ซื่อชวิน

    ...

    เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่ หากสีหน้าเจ้าเปลี่ยนไปเพียงนิด มีหรือข้าจะดูไม่ออก

    เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงเค้นถามเอาความจริงจากข้าเล่า? คนถูกไล่ต้อนเอี้ยวหน้าหันไปหวังจะสบตา แต่ปลายจมูกของท่านแม่ทัพกลับเฉียดโดนแก้มเข้าเสียได้ ซื่อชวินหน้าขึ้นสีระเรื่อ รีบหันกลับไปมองทางเบื้องหน้าพลางปล่อยมือจากสายบังเหียนเพื่อจับแก้มตนเองเจ้าเล่ห์นัก

    ข้าหรือ? ทั้งที่เจ้าหันมาเองแท้ ๆ

    ข... ข้าจะลงไปเดิน คนตัวผอมกระตุกเชือกหวังให้อาชารูปงามหยุด แต่แม่ทัพหนุ่มกลับกระตุกสายบังเหียนจนเจ้าหย่งคังพยศยกสองขาหน้าขึ้น ซื่อชวินเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนเอวคอดจะถูกรวบด้วยท่อนแขนแกร่งของคนด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

    อาชาศึกสงบลงแล้วและไม่มีใครตกลงไปบาดเจ็บอย่างที่คิดไว้ หัวใจยังคงเต้นระส่ำไม่หยุดกับความกลัว แต่ความอบอุ่นจากวงแขนและอ้อมกอดจากคนด้านหลังก็ทำให้อู๋ซื่อชวินได้รู้จักคำว่าปลอดภัย

    ใครที่ไหนก็ทำให้เจ้าเจ็บตัวไม่ได้หากว่าข้าอยู่ตรงนี้...”

    ซื่อชวินไม่แน่ใจว่าที่เหงื่อออกขนาดนี้เป็นเพราะความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือเพราะว่าร่างของตนเองยังคงอยู่ในอ้อมกอดท่านแม่ทัพจงเหรินกันแน่ เขารีบผละตัวออก แต่ก็เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นก็ถูกมือแกร่งรั้งร่างกลับเข้าไปชิดกับแผงอกกว้างอีกครั้ง

    ปล่อยข้าเถอะ หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่งาม

    ในป่าดงพงไพรเช่นนี้ใครเล่าจะมาเห็น เว้นเสียแต่จะเป็นเทวดาฟ้าดิน จงเหรินอมยิ้ม ใช้มืออีกข้างกระตุกเชือกเพื่อสั่งเจ้าหย่งคังให้ออกเดินทางอีกครั้ง

    ข้าจะไปรู้หรือ อาจจะเป็นสาวงามในวังหลวงที่ฝ่าบาทยกให้ท่านเป็นรางวัลก็ได้

    ฮึ...

    ท่านหัวเราะอะไร? เขาหันไปค้อน มองอีกคนที่หลุดขำออกมาราวกับว่าเรื่องที่ทำให้อู๋ซื่อชวินหัวเสียนั้นมันตลกนักหนา

    ที่มึนตึงมาตลอดทั้งวัน... อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเจ้าหึงข้า?

    หึง? ข้าน่ะหรือจะหึงท่าน? คิดไปเองทั้งนั้น ซื่อชวินกลอกตาล่อกแล่ก หันไปสนใจกับทางเบื้องหน้าแสร้งทำเป็นว่ามันน่าสนใจกว่าแม่ทัพหนุ่ม

    ขอโทษนะซื่อชวิน

    เรื่องอะไรหรือ? เขาพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึก ๆ กลบความร้อนผ่าวบนใบหน้า แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน

    ที่ข้าอารมณ์ดีทั้งที่เจ้ากำลังหัวเสียเช่นนี้

    ท่าน!” ทั้งหงุดหงิดใจแต่ก็ขลาดอายกับอ้อมอดที่กระชับแน่นยิ่งขึ้น ซื่อชวินหน้าขึ้นสีจัด อยากจะทุบอีกฝ่ายแรง ๆ สักครั้ง แต่ก็มิอาจหาเหตุผลให้กับความผิดของแม่ทัพจงเหรินได้

    ฝ่าบาททรงมีเมตตา แต่ก็ใช่ว่าข้าจะออกตามหาองค์ชายห้าเพื่อสาวงามเหล่านั้นเสียเมื่อไหร่

    ใครจะไปรู้

    เจ้ารู้ ซื่อชวิน จงเหรินกระซิบข้างหูเจ้าของกลิ่นหอม สูดดมกลิ่นดอกเหมยอย่างใคร่รักพร้อมกุมมือนุ่มเอาไว้ ว่าสาวงามจากแดนไหนก็ทำให้ข้าเหลียวมองไม่ได้

    ...

    เพราะหัวใจของข้าได้มอบให้ใครคนหนึ่งไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ

    เป็นวันที่จินจงเหรินได้กลับเข้าเมืองหลวงหลังจากออกไปรบหลายเดือน ระหว่างเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ชายหนุ่มจำต้องหยุดฝีเท้าเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งโชยมาจากเรือนกลางน้ำและมาพร้อมเสียงพิณแสนไพเราะจากองค์ชายห้าที่ยังคงเยาว์วัยนัก

    หากแต่จงเหรินกลับมิอาจละสายตาจากบุรุษผู้หนึ่งได้ ชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าขาวสะอาดตัดกับผมสีดำขลับซึ่งปล่อยยาวจนถึงกลางอก และพู่กันที่กระหวัดขีดเขียนลงบนกระดาษอย่างใจเย็น โดยมีมืออีกข้างรวบชายผ้าตรงข้อมือไว้ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะทอดมองมาราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่

     

    ตอนนั้นจินจงเหรินถึงได้รู้ว่ารักแรกพบ เป็นเช่นไร

     


     

    TBC

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×