คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 05 :: No Breakfast, Please.
CHAPTER 05
No Breakfast, Please.
โลกนี้มีเรื่องประหลาดอยู่มาก ทั้งที่หาคำตอบได้และไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการบังเอิญหันไปเจอเวลาเดิม ๆ หรือเรื่องตื่นก่อนนาฬิกาปลุกประมาณห้า – สิบนาที เป็นอย่างนั้นเกือบทุกวัน ซึ่งโลกอาจจะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้แล้ว แต่โอเซฮุนแค่ไม่รู้
คนตัวผอมเกาแก้มพลางปรับระดับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างยามเช้าที่ส่องเข้ามา พร้อมเสียงเม็ดฝนสาดเข้ากับกระจกหน้าต่าง บ่งบอกถึงความน่าหงุดหงิดในฤดูร้อนที่มีความเฉอะแฉะหลอกหลอนไปอีกพักจนกว่าจะหมดฤดู
เขาชอบฝนในวันหยุด แต่ไม่ชอบตอนต้องกางร่มเดินไปขึ้นรถที่จอดไว้ข้างบ้าน เนื่องจากตระกูลโอไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหม่พร้อมลานจอดรถสองคัน แผลตรงช่วงหลังดีขึ้นแล้ว แต่มันก็ไม่ได้สร้างความดีใจให้เขานัก หลังจากทนอยู่กับมันมาเป็นสัปดาห์
บิดขี้เกียจตามความยาวของสันหลังก่อนจะค้างอยู่ท่านั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่สัมผัสได้ตอนเหยียดแขนออกไป อันที่จริงน่าจะใช้คำที่หนักกว่าคำว่าสำผัส เพราะเสียงที่ดังขึ้นมันเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างหนัก ๆ เพิ่งตกลงไปจากเตียง มากกว่าจะเป็นเสียงกระดูกลั่น
“...”
เซฮุนหันไปด้านหลังเพื่อพบความว่างเปล่า เขานิ่งไปราว ๆ สองวินาทีก่อนจะชะโงกหน้ามองหาสิ่งที่ชนกับมือไปเมื่อครู่ก่อนจะเบิกตากว้างอ้าปากหวอ ทันทีที่เห็นว่าที่งอตัวอยู่บนพื้นนั่นคือเจ้านายในสภาพกางเกงในอาร์มานี่สีเทาตัวเดียว
ว้อท – เดอะ –
ชายผิวแทนคนนั้นกำลังยันตัวลุกขึ้น ซึ่งโอเซฮุนคงได้ยินคำพูดคำจาไม่รื่นหูอีกแน่ ๆ หลังจากเผลอยันเจ้านายตกเตียงไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่เดี๋ยว! แล้วมันเรื่องอะไรที่คิมจงอินโผล่มาในห้องเขาแถมนอนอยู่บนเตียง ชนิดว่าถ้าเป็นโรคหัวใจคงช็อกตายแน่ถ้าหันไปเจอตอนกำลังสะลึมสะลือ
ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนชิ่งไปกับสาวไซส์เอส แล้วผีตนไหนผลักเจ้านายให้มาอยู่ที่นี่?
“ปิดจมูก!”
“อะไร?” ชายหนุ่มที่ตื่นเพราะถูกฟาดตกเตียงขมวดคิ้วมองเจ้าของผมเผ้าชี้โด่เด่ที่กอดตัวเองไว้พร้อมใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชี้หน้าเขา
“ห้ามอ่านความรู้สึกผมด้วยกลิ่น ปิดจมูกเดี๋ยวนี้!”
“ไม่อ่านก็รู้ว่าคุณไม่พอใจที่ตื่นมาเจอผมนอนอยู่ข้าง ๆ” จงอินส่ายศีรษะไล่ความมึนงง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้าเชิ้ตขาวที่ผึ่งอยู่กับเก้าอี้ ตามด้วยสูทฮิวโก้ บอสตัวเมื่อวาน ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะยังไม่แห้ง เจ้านายจึงทิ้งมันลงอย่างไม่ใยดี และตอนนี้ก็เหลือแค่กางเกงกับเชิ้ตที่ไม่ติดกระดุม
“ถ้ารู้แบบนั้นแล้วจะมีคำตอบให้ผมไหม” เซฮุนมองอีกคนหวาด ๆ พลางลุกขึ้นเดินชิดผนังไปหยิบผ้าขนหนู
“ผมเพิ่งนึกได้ว่ามันคงไม่ดีสักเท่าไหร่ถ้าแม่เห็นว่าเลขาคนใหม่ขับรถคันไม่รู้กี่ล้านไปที่บ้าน ในขณะที่ตอนนั้นผมกำลัง --” คนเป็นเจ้านายหรี่ตาพลางดีดนิ้วกวนประสาทเลขาหนุ่มที่มองมาทางนี้อย่างรังเกียจ ซึ่งกลิ่นที่กระจายอยู่โดยรอบก็ไม่ได้แพ้สายตาที่แสดงออกมาสักนิด
“กลัวผมถูกฉีกเป็นสองส่วนหรือไง หรือว่าแม่คุณขยาดเลขาทุก -- อ๊า!!!”
กริ๊งงงงงงงงงงง!!!
คนตัวผอมสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ ๆ นาฬิกาปลุกก็แผดเสียงลั่นไปทั่วห้องจนต้องรีบลนลานไปปิดมันให้หยุดลง จงอินมองตามเลขาหนุ่มซึ่งดูเหมือนว่ายังเรียบเรียงสติยามเช้าได้ไม่ครบ ซึ่งก็น่าไม่ประหลาดใจนัก
“ผมขอยี่สิบนาที”
“ได้” พูดไม่ทันขาดคำหมาป่าหนุ่มก็หยุดกึกทันทีที่อีกฝ่ายปิดประตูห้องน้ำอัดหน้า เขาถอนหายใจพลางขยับปากสบถกับความหยาบคายที่เลขาช่างพูดแสดงออกกับเขา ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ
โอเซฮุนควรชินได้แล้วไม่ใช่หรือไง นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่คิมจงอินนึกอยากเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ทำแผลให้ก่อนไปทำงานพร้อมกัน และนั่นคือการรับผิดชอบอย่างหนึ่งที่เจ้านายอย่างเขาพึงจะปฏิบัติต่อลูกจ้างได้
*
เซฮุนใช้เวลาอาบน้ำราว ๆ ยี่สิบนาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป สำหรับการปล่อยให้หมาป่าเกลียดการรอ นั่ง ๆ เดิน ๆ วนไปรอบห้องกระทั่งสมาร์ทโฟนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือน เบอร์ที่ฉายบนจอเป็นเรื่องดียามเช้าวันฝนตก จงอินกดรับสายและคุยกันเพียงประโยคเดียว พอได้ใจความจึงเดินออกไปข้างนอก ก่อนจะเห็นว่าคุณยายจองยืนกางร่มคนละคันอยู่กับน้องชายแท้ ๆ ของเขา
โดคยองซูที่เกิดออกมาจากคอกเดียวกัน แต่จำต้องเป็นน้องเพราะเกิดเป็นนักรบ หรือที่ฝั่งยุโรปเรียกว่าเบต้า ซึ่งฝั่งเอเชียและยุโรปมีการจัดลำดับพี่น้องที่ไม่ต่างกันนัก หากโชคชะตากำหนดให้เป็นจ่าฝูงแต่กำเนิด ก็มีสิทธิ์ได้เป็นพี่คนโต และถ้ามีจ่าฝูงสองตัว ก็นับจากว่าใครตัวใหญ่กว่า ผู้นั้นก็จะได้เป็นพี่
หมาป่ามีอยู่สามประเภท หนึ่งคือจ่าฝูง ผู้ซึ่งเป็นผู้นำ มีพละกำลังมากมายและน่าเกรงขาม สองคือนักรบ เปรียบเสมือนมือขวาผู้จงรักษ์ภักดีต่อจ่าฝูง ความเก่งระดับแนวหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังด้อยกว่าจ่าฝูงอยู่ดี และมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าถ้าหากจ่าฝูงตาย ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อไปก็คือนักรบ
สุดท้ายคือผู้ถูกปกป้อง -- หรือที่ฝั่งยุโรปเรียกว่าโอเมก้า ถ้าจะให้หยาบหน่อยก็คงเรียกว่าพวกรากหญ้า ไร้ประโยชน์ แทบจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในฝูง คล้ายกับเป็นตัวเมียที่ถูกโขกสับ ถูกทำร้ายร่างกาย และมักจะได้กินเศษอาหารจากจ่าฝูงกับนักรบ ไม่เว้นว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
แต่ครอบครัวตระกูลคิมนั้นต่างออกไป ตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นปู่ย่า ท่านต่างสอนไว้ว่าจ่าฝูงต้องปกป้องครอบครัว โดยมีนักรบช่วยอีกแรง ไม่แบ่งชนชั้นเหยียดใคร แต่ไม่ว่าอย่างไร หมาป่าทุกตัวก็ต้องเคารพจ่าฝูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ซึ่งครอบครัวตระกูลคิมเรียกมันว่าการให้เกียรติผู้นำ
โอเมก้าที่เกิดในครอบครัวนี้ต่างได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และนั่นเป็นที่มาของคำว่าผู้ถูกปกป้อง
“ผมเอาชุดมาให้เปลี่ยน” ใบหน้าเรียบเฉยของน้องชายแท้ ๆ ไม่ได้ใส่สีเติมไข่เข้าไปใด ๆ และเจ้าตัวก็ยังแสดงบทนอกสายเลือดต่อหน้าหญิงชราได้เป็นอย่างดี โดคยองซูเป็นคนแสดงออกทางความรู้สึกไม่เก่ง อันที่จริง – ต้องเรียกว่าเจ้านี่ไม่ชอบที่จะรู้สึกน่าจะถูกกว่า
“ขอบใจ” ชายหนุ่มผิวแทนละสายตาจากน้องชาย พลางหันไปโค้งศีรษะให้กับคุณยายจองที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมผู้มาใหม่อย่างมีมารยาท “ขอโทษที่มารบกวนนะครับ พอดีเมื่อคืนเกิดเรื่องสุดวิสัย ผมเลยโทรให้เซฮุนออกไปรับมาค้างคืนด้วย”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ จะมาตอนไหนก็ได้ บ้านหลังนี้ต้อนรับเสมอ” เธอว่า พลางใช้มือเหี่ยวย่นจับข้อมือแกร่งของอีกฝ่ายและยิ้มอย่างเป็นมิตร “หิวกันหรือยัง ฉันทำกับข้าวไว้ กินกันก่อนแล้วค่อยออกไปทำงานนะ”
คยองซูชำเลืองมองคนผิวแทน ซึ่งดูเหมือนว่าจะใจอ่อนกับคำพูดหญิงชราอยู่ไม่น้อย แม้ว่าการเป็นนักรบจะไม่สามารถล่วงรู้กลิ่นความรู้สึกของจ่าฝูงได้ แต่จากที่อยู่ด้วยกันมานานกว่าเจ็ดสิบปี เรื่องแบบนี้จึงพอดูออกด้วยการเดา
“งั้นผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน”
“จ้ะ”
จงอินพยักหน้าส่งซิกเรียกให้น้องชายแท้ ๆ เข้าไปในห้องนอนของเลขาหนุ่มด้วยกัน ก่อนทั้งคู่จะผงะถอยหลังหนึ่งก้าวทันทีที่เปิดประตูเข้าไปแล้วได้ยินเสียงดังปั่กเมื่อชนกับอะไรเข้า ซึ่งภาพถัดมาก็คือร่างของคนตัวผอมที่เซถอยหลังพร้อมกุมศีรษะตนเอาไว้
“แอบฟังคนอื่นคุยกันหรือไง?”
“อะไร นี่บ้านผม ทำไมต้องแอบด้วย” คนเป็นเลขาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวขาดเพียงเน็กไทยืนสร้างระยะห่างจากสองพี่น้องหมาป่า ซึ่งจากกลิ่นที่เผยออกมา ทำให้โดคยองซูรู้ได้ว่าโอเซฮุนไม่ค่อยปลื้มพี่ชายของเขานัก
“ขอใช้ห้องน้ำ”
“เชิญครับเจ้านาย ตามสบายเลย คิดซะว่าอยู่บ้านตัวเอง” น้ำเสียงประชดประชันมาพร้อมมือที่ผายไปทางห้องน้ำ คยองซูมองทั้งคู่ ก่อนจะส่งสูทตัวใหม่ให้อีกฝ่ายเข้าไปอาบน้ำ
“ขอโทษที่พี่ชายผมมารบกวน เขาคงทำให้คุณลำบากใจอยู่ไม่น้อย”
“คุณเตือนเขาได้ไหม... บอกเขาให้พื้นที่ส่วนตัวกับผมบ้าง ไม่ใช่เอาแค่ระแวงว่าจะโดนแฉเลยตามผมเป็นผีอินซีเดียสอยู่ตลอดเวลา” เซฮุนสวมเน็กไท พลางมองไปยังหมาป่าผู้น้อง ซึ่งยังคงยืนอยู่ตรงจุดเดิม
“มันไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียวหรอก” คยองซูเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง เพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าอย่างไร และมีกลิ่นความรู้สึกแบบไหน “จงอินกลัวว่าคุณจะมีอันตราย เขาแค่ไม่อยากให้คุณต้องมีจุดจบแย่ ๆ”
เหมือนกับเลขาคนก่อน ๆ
“คุณกำลังอ่านความรู้สึกผมจากกลิ่นอยู่หรือเปล่า?” เขาไม่ใช่คนยิ้มเก่งนัก แต่ต้องยอมรับว่าโอเซฮุนทำมันได้สำเร็จ คยองซูยิ้มบาง ๆ พลางมองอีกฝ่ายที่มองมาอย่างหวาด ๆ
“จงอินบอกเรื่องนี้กับคุณด้วยเหรอ?”
“แค่เรื่องนี้นะ เรื่องอื่นไม่เคยจะปริปากพูดหรอก”
ทนายความหนุ่มล้วงมือเข้าไปกระเป๋ากางเกง มองอีกคนจัดแจงทรงผมหน้ากระจก “ผมไม่ได้จะกวนประสาท แต่หมาป่าก็หายใจเข้าออกเหมือนมนุษย์ ซึ่งเราแตกต่างแค่ตรงที่ได้กลิ่นความรู้สึกผู้อื่น”
“คุณไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทเหรอ ไม่ได้ว่านะ ผมแค่สงสัย” เซฮุนขมวดคิ้ว ก้มหน้าผูกเน็กไทอย่างตั้งใจ
“ก็อาจมีบ้าง แต่ความรู้สึกก็คงไม่ต่างจากตอนคุณเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟังคนอื่นคุยกัน แล้วอ้างว่าเป็นบ้านตัวเองแล้วจะทำยังไงก็ได้นั่นแหละครับ”
เปรี้ยง!
“ไม่เป็นไรนะ มันแค่เป็นกลิ่นของความรู้สึกไม่ใช่ความคิด อย่างเช่นตอนนี้คุณกำลังหิวมาก ๆ แต่ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังอยากกินอะไร” ได้ยินแบบนี้แล้วก็โล่งอก ถ้าอ่านความคิดออกก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วโลกนี้
“ซับซ้อนจริง ๆ”
“ลองเป็นหมาป่าดูสักเจ็ดสิบปีไหม เผื่อจะเข้าใจเราได้ดีขึ้น”
“เป็นคนเถอะ อยากแก่ไปตามวัยมากกว่าหายใจอยู่บนโลกมา --” เซฮุนขมวดคิ้ว นับนิ้วอย่างตั้งใจ “โห ถ้านับ ๆ แล้วพวกคุณอายุมากกว่ายายผมอีก แต่ทำไมยังดูไม่แก่เลย”
“เรื่องมันยาว ผมว่าให้จงอินค่อย ๆ เล่าดีกว่า เพราะคุณคงต้องอยู่กับเขาไปอีกสักพักใหญ่ ๆ”
“ก่อนที่ผมจะโดนฆ่าใช่ไหม?”
“คิดแง่ร้ายอีกแล้ว บางทีมันอาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับคุณก็ได้” คยองซูมองตามอีกคนที่ทำหูทวนลม ราวกับว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา ทนายความหนุ่มเดินตามออกไปข้างนอก
เซฮุนช่วยยายจัดแจงโต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเคียงหลายอย่าง โชคดีที่วันนี้พี่สาวทั้งสองออกไปทำงานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเกิดความวุ่นวายบนโต๊ะแน่ ๆ บอกตามตรงว่าเขากลัวใจเจ้านาย ไม่รู้จะผีเข้าผีออกเจ้าชู้ใส่พวกเธอหรือเปล่า
*
สูทเซกน่าที่เพิ่งสั่งตัดใหม่ตัวล่าสุดถูกสวมเข้าเรียบร้อย และปิดท้ายด้วยการใส่นาฬิกาข้อมือแบรนด์แทค ฮอยเออร์ ชายหนุ่มตรวจสอบทรงผมหน้ากระจกอยู่ในที ก่อนจะออกไปด้านนอกเพื่อพบความน่าสยองขวัญผ่านสีหน้าเหมือนจะตายของน้องชาย ...และอาหารบนโต๊ะ
ซึ่ง... มีส่วนผสมเป็นผักเกือบจะทุกอย่าง
ไม่ใช่แค่คยองซู แต่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าหมาป่าไม่ใช่พวกมังสวิรัติ จงอินสบตากับน้องชายอย่างรู้กัน แต่เขาก็หยัดตัวนั่งลงบนเบาะนั่งฝั่งตรงข้ามเลขา ซึ่งดูเหมือนว่าจะสนุกกับเมนูเช้านี้ยิ่งกว่าใคร
“ตามสบายเลยนะ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวยายเติมให้”
“รีบกินครับเจ้านาย เดี๋ยวสาย” คนข้าวเต็มกระพุ้งแก้มเอาตะเกียบชี้อาหารเช้าสุดสยองขวัญของหมาป่าอย่างคนไม่รู้ ซึ่งจงอินกับคยองซูเพียงนั่งคุกเข่าเงียบ ๆ มองสิ่งเหล่านั้น
“ขอบคุณนะครับคุณยายจอง แต่ผมดื่มกาแฟเป็นมื้อเช้าทุกวัน เกรงว่าถ้ากินอะไรเข้าไปตอนนี้แล้วท้องมันจะ --” คนผิวแทนเห็นแล้วว่าน้องชายแท้ ๆ กำลังจะชิ่งด้วยการลูบท้องตนเองและให้รอยยิ้มเป็นตัวช่วย ซึ่งแบบนั้นมันคือการตัดช่องน้อยแต่พอตัวชัด ๆ
“ผมก็เหมือนกัน แต่ผมนั่งรอคุณได้นะเซฮุน” จงอินมองเจ้าของชื่อ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหญิงชราที่ส่งกลิ่นผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน และคยองซูก็คงสัมผัสได้
“อ่า... งั้นหรือคะ”
“เหมือนอะไร วันก่อนคุณยังชวนผมไปกินสเต็กแต่เช้าอยู่เลย แถมล่อความสุกระดับบลูแรร์*ด้วย” เซฮุนขมวดคิ้ว มองคนช่างแถที่หาเรื่องไม่กินข้าว ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าเพราะเหตุผลอะไร จะว่าเมาค้างก็ไม่ใช่ เพราะตลอดเวลาที่เถียงกันเมื่อชั่วโมงก่อนก็ไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด ...หรือว่าจะเป็นเพราะเหล้าแพงเลยไม่มีกลิ่นกันนะ?
*ความสุกของเนื้อระดับบลูแรร์คือสุกแค่ผิวนอก ข้างในยังดิบและเป็นสีแดง
“คุณจงอินจะกินรองท้องหน่อยไหมครับ?” คนเป็นน้องชายที่ต้องแสดงละครเป็นทนายประจำตระกูลหันมาถาม หวังให้กลิ่นผิดหวังที่ฟุ้งกระจายอยู่โดยรอบหายไปเสียที
“ฉันเหรอ?” คนผิวแทนเลิกคิ้วขึ้นกึ่งถลึงตาข่มขู่คยองซู เขาสามารถใช้สิทธิ์ความเป็นจ่าฝูงสั่งไอ้บ้านี่ให้กินแทนได้ไหม แค่ได้กลิ่นกิมจิกับผักเขียวคลุกน้ำมันงาก็เหม็นแทบแย่แล้ว
“คุณทั้งสองคนนั่นแหละ”
“...”
“อย่าทำตัวติดหรูตลอดเวลาเลย เปิดใจสิ ลองกินอาหารพื้น ๆ ดูแล้วจะรู้ว่าไม่แพ้ภัตตาคารห้าดาว”
สองพี่น้องหันไปทางคนเป็นเลขาที่ใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยเขาทั้งคู่อย่างยัดเยียด จงอินหันไปมองคยองซูอีกครั้ง จนถึงตอนนี้กลิ่นแห่งความผิดหวังก็ยังคละคลุ้งอยู่ใต้จมูก พอหันไปทางคุณยายจอง เธอก็ยังมองมาอย่างคาดหวังแม้ว่าจะไม่รบเร้าให้เขากิน
พี่น้องเลือดหมาป่าสบตากันอยู่นานก่อนจะใช้ตะเกียบคีบผักติดข้าวคำใหญ่ ๆ ขึ้นมาเพื่อกลบกลิ่นเหม็นเขียว และฝืนใจยัดมันเข้าปากพร้อม ๆ กัน
*
“แค่ก ๆ”
“เพราะพี่แท้ ๆ เลย”
“ฉันงั้นเหรอ? เขาต่างหาก” สองพี่น้องที่กำลังโก่งคออ้วกข้างกองถังขยะดูหมดคราบนักธุรกิจมาดหล่อ จงอินชี้นิ้วไปทางเลขาตัวผอมที่ยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอยู่ข้างหลัง ก่อนจะถลึงตาใส่
คนผิวแทนกลั้วปากด้วยน้ำเปล่าพร้อมถุยมันลง ก่อนจะรับทิชชู่จากคยองซูมาเช็ดปากอย่างหัวเสีย เขายังคงคาดโทษหลานชายคุณยายจองที่เอาแต่เซ้าซี้ บอกให้เขากินของแสลงเหล่านั้นจนต้องอาเจียนออกมา
“ใครจะไปรู้ว่าหมากินผักไม่ได้” ตั้งแต่เกิดมาโอเซฮุนเคยเลี้ยงแค่นกแก้วตัวเดียว ซึ่งมันบินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าสัตว์ชนิดไหนแพ้อะไรบ้าง แต่มันจะมีผลอะไร ในเมื่อเจ้านายยังไม่สนใจเลยว่าเขาจะเป็นยังไง
“ถ้าคุณถูกหมาทั่วไปกัดก็แค่ไปฉีดยา แต่ถ้าถูกหมาอย่างผมกัด ผมเกรงว่าอาจมีเย็บหลายเข็ม” ไม่พูดอย่างเดียว มีการส่งสายตาข่มขู่มาด้วยว่าพูดจริง
“โหดกับคนไม่มีทางสู้ตลอด” คนเป็นเลขาพึมพำ รับขวดน้ำที่อีกฝ่ายกระแทกใส่มือเขาไว้อย่างจำใจ ก่อนจะมองไปยังเจ้านายที่กระชับสูทนอกเดินไปเปิดประตูรถด้านหลังแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง
“อีกข้อที่คุณควรรู้ ว่าพวกเรากินเนื้อและเกลียดผักทุกชนิด” คยองซูเช็ดปากเป็นครั้งสุดท้ายพลางถอนหายใจ
“ผมจะลิสต์ไว้” เซฮุนยิ้มกวนพร้อมเคาะขมับเป็นท่าประกอบ ทั้งคู่สบตากันครู่หนึ่งก่อนคนเป็นทนายความจะพยักหน้าบอกให้อีกฝ่ายไปขึ้นรถด้วยกัน
*
“อีกเป็นอาทิตย์กว่าจะหมดฤดูร้อน กลับตอนนี้จะดีเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนถามย้ำอีกครั้ง แม้ว่ามือข้างหนึ่งกำลังลากกระเป๋าเดินทางให้คนเป็นนายอยู่ในสนามบิน เขารู้ว่าท่านไคเป็นคนเด็ดขาด คำไหนคำนั้น และความหวังดีของคนรับใช้อาจเป็นเรื่องน่ารำคาญ
“อย่ากังวลไปเลยวูงอิน หน้าที่ของคุณคือสะสางงานที่นี่ให้เรียบร้อย ผมรู้ว่าควรเข้าหาพวกลูกหมาเมื่อไหร่” แวมไพร์หนุ่มยิ้มมุมปาก ก่อนจะสวมแว่นกันแดดพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบาย
“เรื่องนี้ท่านอี้ชิงรับรู้แล้วหรือยังครับ?”
“ผมเคยปิดได้ที่ไหน” ไคยิ้มขำ เมื่อนึกไปถึงคนที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่จำความได้ “แต่ถึงไม่บอก เขาก็คงรู้อยู่แล้ว”
“...”
“ผู้ชายคนนั้นรู้ก่อนเสมอ ไม่ว่าผมจะทำอะไร”
มันไม่ได้เวอร์ไปกว่าที่ท่านไคพูดเลยสักนิด เมื่อนึกถึงแวมไพร์ผู้นั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าชายแท้ ๆ จางอี้ชิงไม่ใช่คนเก่งกาจเรื่องพละกำลังอย่างแวมไพร์ระดับแนวหน้า แต่ก็ฉลาดเกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ใคร ๆ ต่างให้ความยำเกรง และท่านอี้ชิงอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ทันท่านไคมากที่สุด
ถ้าไม่นับอัลฟอนโซ่ หรือผู้สูงศักดิ์ที่สุดในบรรดาเหล่าแวมไพร์
TBC
ความคิดเห็น