คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 :: 秘密 ความลับ
บทที่ 3
秘密 ความลับ
“ขืนเจ้ายังเหลาะแหละเช่นนี้ในอนาคตคงยากที่จะหาเมียได้
สตรีชอบชายหนุ่มเข้มแข็งและแกร่งมากพอที่จะปกป้องนางได้ แล้วนี่อะไร
อ่อนปวกเปียกราวกับหนอนดินขาดน้ำ แค่ตีดาบง่าย ๆ เจ้ายังทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ข้าเห็นอนาคตอันริบหรี่ของเจ้าเลย”
ชานเลี่ยยังคงบ่นไม่หยุดตั้งแต่เดินออกมาจากโรงตีดาบ
ชายหนุ่มมองมืออีกฝ่ายซึ่งแดงระเรื่อเพราะแผลที่เกิดจากความร้อนสูง ก่อนจะมองสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเจ้าฟันกระต่ายซึ่งบอกเลยว่าผู่ชานเลี่ยก็รู้สึกไม่ต่างกัน!!!
“อนาคตข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตีดาบเสียหน่อย
อีกอย่าง คนที่ทำงานแลกเงินรายวันเช่นเจ้ามีสิทธิ์ว่าข้าได้หรืออย่างไร?” ป๋ายเซียนเชิดหน้า ก็เพราะเจ้าทึ่มไม่สอนวิธีตีดาบให้ถ่องแท้มิใช่หรือเขาจึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้
“ก็ข้าเป็นคนรักอิสระ
อยากได้เงินวันไหนค่อยทำ วันไหนอยากออกล่าสัตว์ก็คว้าคันธนู
ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่ไม่เหลาะแหละ” ชานเลี่ยกอดอกเดินไปตามทางดินลูกรังที่รอบด้านโอบล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี
“อนาคตเจ้าก็ไม่ได้ไกลไปกว่าข้านักหรอก”
“ไกลกว่าเจ้าคนเมื่อวานก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ
กระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะเพื่อย้ำให้รู้ว่าหากเจ้าฟันกระต่ายไม่ได้วีรบุรุษอย่างผู่ชานเลี่ยช่วยไว้
ป่านนี้คงนอนแห้งตายกลายเป็นศพอยู่กลางเขาแล้ว
ป๋ายเซียนไม่ใช่คนชอบเถียง แต่คำเย้ยหยันของอีกฝ่ายก็ทำให้หัวเสียอยู่ไม่น้อย
แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะวุ้นใส ๆ ของว่านหางจระเข้ที่ให้ความเย็นกับรอยพุพองก็มาจากผู่ชานเลี่ย
ซึ่งกุลีกุจอออกไปหาให้ทันทีโดยไม่เอ่ยถามเขาสักคำ
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้ารู้วิธีรักษาแผลพุพอง”
“คนฉลาดต้องหัดเรียนรู้วิธีรักษาตัวเองเอาไว้
เพราะข้าก็เหมือนเจ้าตอนไปทำงานที่โรงตีดาบวันแรก”
“เดี๋ยว... หากเจ้าเองก็เคยเจ็บ
แล้วเหตุใดถึงบ่นข้ามาตลอดทางเช่นนี้เล่า?” คนตัวเล็กเลิกคิ้ว
อีกฝ่ายจึงเบิกตากว้างรีบยกมือขึ้นตะปบปากตนเอง “เจ้าทึ่มชานเลี่ย”
“ถ้าเรียกข้าว่าเจ้าทึ่มอีกครั้งเจ้าได้เป็นผีเฝ้าน้ำตกหน้าบ้านข้าแน่!” ชายหนุ่มชี้หน้าคาดโทษ หากแต่เจ้าของฟันกระต่ายกลับเชิดหน้าท้าทาย
“ฮึ่ย!”
“หากจะต่อว่าข้าก็อย่าให้คำเหล่านั้นย้อนกลับไปเตะตัดขาตัวเองสิ”
“ทำให้ข้าไม่ได้เงินยังจะพูดมากอีกงั้นหรือ?” ชานเลี่ยแค่นยิ้ม เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางมองเหยียดหยันอีกฝ่าย
“ให้ข้าทำอย่างอื่นสิ
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การอยู่หน้าเตาร้อน ๆ กับดาบลนไฟ หรือแบกกระสอบหนัก ๆ
อย่างที่เจ้าบอกไว้ เพราะข้าคงทำไม่ไหว”
“เลือกงานเช่นนี้
นอกจากนอนรอความตายแล้วคงไม่มีงานไหนที่คนอย่างเจ้าจะทำได้”
ชานเลี่ยยังคงเย้ยคนข้างตัวด้วยคำพูด
เขาชำเลืองมองเจ้าฟันกระต่ายที่กำลังเป่าแผลพุพองพลางงอหน้าจ้องมือตาปริบ ๆ ราวกับว่าสงสารฝ่ามือตนเองจับใจ
“หากยังช่วยข้าหาเงินไม่ได้เช่นนี้ เจ้าก็ต้องกลับบ้านไปกอดขาพ่อแม่ชาวนาของเจ้า”
สิ้นคำขู่คนตัวเล็กก็หยุดฝีเท้าพร้อมช้อนตามอง
ชานเลี่ยหมุนตัวหันกลับไป เลิกคิ้วมองอย่างท้าทายกึ่งบีบบังคับให้เจ้าฟันกระต่ายต้องเลือก
เขาไม่ใช่เศรษฐีที่จะได้รับเลี้ยงคนหลงทางได้ แค่จะหาเงินมายาไส้ตัวเองกับปู่พร้อมเลี้ยงเจ้าจิ้นฝูและไก่ในเล้าก็ยากลำบากเหลือทนแล้ว
“ข้ากลับไม่ได้เพราะบ้านโดนยึดไปแล้วเจ้าก็รู้นี่”
“แล้วเจ้าจะทิ้งพ่อทิ้งแม่ที่ไม่มีบ้านอยู่หรืออย่างไร?!!!” เลือดกตัญญูมันเข้าตา ชายหนุ่มมองคาดโทษเพื่อบอกให้รู้ว่าตอนนี้ผู่ชานเลี่ยไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
แม้จะดื้อกับท่านปู่ให้เจ้าฟันกระต่ายเห็น
แต่ความรักและความกตัญญูมันฝังอยู่ในจิตใจที่ยากลึกหยั่งถึง!!!
“พ... พ่อแม่ข้าไปอยู่บ้านพี่เขย!”
“งั้นเจ้าก็เก็บข้าวของไปอยู่บ้านพี่เขยเสียเลยสิ”
ชานเลี่ยเดาะลิ้นแล้วหมุนตัวเดินลงเขาโดยไม่สนว่าเจ้าฟันกระต่ายจะหาข้ออ้างสิ่งใดมาพูดให้ไขว้เขวอีก
“ไม่ได้หรอก บ้านหลังนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับข้าแล้ว
เอ่อ อันที่จริงพี่เขยข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง นางงดงามมากข้าจึงตกหลุมรักเข้าเต็มเปา
และพอพี่เขยรู้เขาก็เลย --” ป๋ายเซียนไม่ใช่คนโกหกเก่งสักนิด
เขาพยายามปั้นน้ำเป็นตัวอย่างถึงที่สุดเพื่ออ้อนวอนขอความเห็นใจจากคนตรงหน้า
ชานเลี่ยจิ๊ปากซ้ำ ๆ กับเหตุผลชวนให้มองบนไปจนถึงสวรรค์
ก่อนจะชำเลืองมองเจ้าฟันกระต่ายที่วิ่งประกบข้างจนแทบจะสะดุดล้ม “แค่เดินให้ตรงยังทำไม่ได้
ริอาจแอบชอบลูกสาวชาวบ้าน เจ้านี่มันเหลือทนจริง ๆ”
“ใช่ ข้ามันไม่เอาไหน
แค่เดินยังจะสะดุดล้ม เนี่ย เจ้าก้อนหินมันไม่ผิดเลย
มันอยู่ของมันตรงนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ป๋ายเซียนเตะก้อนหิน
ก่อนจะมองตามแผ่นหลังกว้างที่ไม่แม้แต่จะหันมาใยดีกันสักนิด “เจ้าทึ่ม”
“ลาก่อน”
“โธ่ชานเลี่ย” ป๋ายเซียนเร่งฝีเท้าจนเหนื่อยหอบขณะที่อีกฝ่ายเดินตัวเบาหวิว รู้ว่าตนเองเป็นภาระ
แต่ตอนนี้เขาไร้ที่พึ่งใด ๆ แล้ว หากมีหนทางให้เลือกสักนิด
เปียนป๋ายเซียนคงไม่รบกวนผู่ชานเลี่ยถึงเพียงนี้ “หากเจ้าต้องการเงิน
เช่นนั้นเอาชุดข้าไปขายเลยก็ได้!”
“...”
เจ้าของแผ่นหลังกว้างหยุดยืนอยู่กับที่
ก่อนจะหันขวับอย่างรวดเร็วพร้อมหรี่ตามองอย่างมีความหมาย “ถึงจะมีรอยขาดจากบาดแผล
แต่ข้าเชื่อว่าชุดนั้นน่าจะขายได้ราคาดี”
“ชุดที่ขโมยมาน่ะหรือ...
เจ้าโจรกระจอก” สีหน้าผู่ชานเลี่ยตอนนี้โหดร้ายเกินกว่าจะเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม
ป๋ายเซียนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะหลับตาแน่นเพราะถูกนิ้วชี้จิ้มหน้าผากจนหน้าหงาย
“เงินที่ได้มาอย่างสกปรก ผู่ชานเลี่ยไม่มีทางรับไว้เด็ดขาด!!!”
พอรู้ตัวอีกที... ป๋ายเซียนก็ยืนหลบอยู่ในตรอกแคบในเมืองเล็ก
ๆ ที่มีชาวบ้านกำลังตั้งแผงขายของอยู่ประปราย เป็นเพราะชานเลี่ยบอกว่าคนซื่อบื้อเช่นเขาคงไม่มีทางเจรจาการค้าได้
เจ้าทึ่มจึงเอาชุดนั้นไปขายด้วยตัวเองเพื่อที่จะเก็งราคาเสียหน่อย
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ
นึกเป็นห่วงพ่อค้าที่ต้องรับมือคนอย่างผู่ชานเลี่ย
ป๋ายเซียนได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เผลอใช้กำลังจนมีใครต้องเจ็บตัว
“เจ้าฟันกระต่าย”
คนถูกเรียกหันไปตามเสียงก่อนจะยกมือขึ้นปกป้องตนเองเมื่ออีกฝ่ายโยนบางอย่างมาทางนี้
ชานเลี่ยมองผลไม้กลมกลิ้งขลุก ๆ ไปกับพื้น ก่อนจะขยับปากบ่นอย่างขัดใจพร้อมตรงไปเก็บขึ้นมาเช็ดกับเสื้อตนเอง
คนตัวเล็กยังคงไม่เอามือลง ดวงตาคู่นั้นปิดแน่นสนิทราวกับกลัวว่าจะถูกปองร้ายโดยผลไม้เพียงผลเดียว
“โอ๊ย!”
“กลัวอะไรนัก?!” ชานเลี่ยดีดหน้าผากอีกฝ่ายก่อนจะชูผลกลม ๆ
ในมือให้ดูว่าความน่ากลัวเมื่อครู่คือความอร่อยไม่รู้ลืมและใช่ว่าคนทั่วไปอย่างผู่ชานเลี่ยจะซื้อกินได้ง่าย
ๆ
“ก็ข้าตกใจที่อยู่ ๆ
เจ้าก็โยนมันมา”
“ช่างอ่อนไหวเหลือเกิน ดูสิ
ดูหน้ามัน ทั้งกลมทั้งเล็ก จะเอาอะไรไปฆ่าใครตายได้”
เขาค้อนใส่เจ้าฟันกระต่ายที่ยืนห่อไหล่ตัวเหลือตัวนิดเดียว “เอ้า
กินเข้าไป”
“แต่มันตกพื้นแล้ว” ชายหนุ่มมองผลไม้ในมือตนเองสลับกับใบหน้าคนตัวเล็กที่ก้มลงจ้องใกล้ ๆ
ราวกับว่าจะหาเชื้อโรคจากผลไม้ผลนี้
“เพราะเจ้ารับไม่ได้
ก็ต้องกินมันทั้งอย่างนี้แหละ”
“อย่างน้อยก็ควรเอาไปล้างน้ำเสียก่อน” ป๋ายเซียนเซถอยหลังเล็กน้อยเพราะถูกยัดผลไม้ใส่กลางอก
หากแต่มิใช่ผลที่ตกพื้น
ดวงตากลมโตช้อนมองคนป่าเถื่อนซึ่งกำลังเอาผลไม้เช็ดกับเสื้อตนเองอีกครั้งแล้วกัดจนแหว่งไปครึ่งผลโดยไม่สนใจว่าความสกปรกจะหลงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด
“เพราะชุดเจ้าขายได้ราคาดีหรอกนะ”
ป๋ายเซียนมองตาปริบ ๆ
ก่อนจะอมยิ้มแล้วอ้าปากกัดผลไม้เพียงคำเล็ก ๆ
เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองกินอย่างนี้โดยไม่มีนางกำนัลปอกเปลือกและทำให้เป็นชิ้นพอคำ
ถึงผู่ชานเลี่ยจะให้เหตุผลห่าม ๆ เช่นนั้น แต่การเสียสละเล็ก ๆ น้อย ๆ
เช่นนี้ก็ทำให้ป๋ายเซียนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เงินในถุงนี้จะทำให้เจ้าได้อยู่บ้านข้าต่อ” ชานเลี่ยชูถุงเงินขึ้นระดับใบหน้าคนตัวเล็กพร้อมเขย่าจนเกิดเสียง
หากอีกฝ่ายอ้าปากขอเพียงตำลึงเดียว ผลไม้สวรรค์ในมือนั่นจะต้องถูกยึดกลับ
“ตกลง”
ผิดคาด เจ้าฟันกระต่ายตอบรับอย่างว่าง่ายโดยไม่โต้แย้งขอส่วนแบ่งเลยเพียงนิด
ไม่ได้การ... สีหน้าท่าทางอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันผิดปกติเกินไป
หรือว่าเจ้าฟันกระต่ายทำตีเนียนนิ่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้ เพราะถ้าชุดที่ขโมยมาถูกตามหา
คนเอาไปขายเช่นเขาต้องถูกสงสัยว่าเป็นโจรเป็นแน่แท้
“เจ้าไม่ได้มีแผนอะไรในใจใช่ไหม?”
“แผน?”
ป๋ายเซียนส่ายศีรษะพรืด “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?”
“ก็เจ้าทำตัวน่าสงสัยอยู่ตลอด” ชายหนุ่มเดินวนไปมา มองจับผิดคนตรงหน้าที่ใช้สองมือถือผลไม้แล้วค่อย ๆ
ละเลียดกินอย่างใจเย็น “หากข้าโดนลากคอข้าเข้าคุก
เจ้าก็จะลอยแพสบายตัวเพราะพ่อค้าเห็นหน้าคนขายอย่างข้า”
“ไม่มีใครทำเช่นนั้นหรอก
อย่ากังวลไปเลยเจ้าทึ่ม”
“หึ คิดว่ามีความรู้แล้วจะแผนสูงกับข้าอย่างไรก็ได้สินะ
บอกเลยว่าถ้าเรื่องนี้สาวมาจนถึงข้า เจ้าจะต้องเป็นคนเข้าไปนอนในคุก” ป๋ายเซียนถอนหายใจพลางเงยหน้ามองคนคิดมากกับไม่เป็นเรื่อง
ก่อนจะเอาผลไม้ที่เหลืออยู่ครึ่งผลยัดใส่มืออีกคนแล้วเดินหนี “ข้ายังพูดไม่จบเจ้าจะเดินไปไหน?! เจ้าฟันกระต่าย! เจ้า --”
ชายหนุ่มตะโกนไล่ตามคนตัวเล็กที่เดินมือไขว้หลังออกไปจากตรอกแคบโดยไม่สนใจเสียงเของเขาเลยแม้แต่นิด
ชานเลี่ยยกเท้าขึ้นถีบอากาศ จิ๊ปากซ้ำ ๆ ขู่ในใจว่าหากเป็นคนแปลกหน้าคงซัดเอาให้หมอบคาที่ไปแล้ว
ท่ามกลางเสียงพ่อค้าแม่ขาย
ชายหนุ่มมองผลไม้ในมือที่ถูกกัดไปเพียงนิด
ก่อนจะอ้าปากกินอีกฝั่งจนแหว่งหายไปครึ่งหนึ่ง เจ้าฟันกระต่ายไม่รู้จักของดี
กินไปแค่นั้นจะอยู่ท้องได้อย่างไร
ระหว่างบ่นในความคิดสายตาก็พลันไปเห็นกระดาษตกอยู่บนพื้น
บนนั้นเขียนอะไรสักอย่างที่ผู่ชานเลี่ยต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อระลึกชาติไปถึงตอนที่ท่านย่าสอนหนังสือให้
“ตาม... ล่า... ปงค์... ไม่ใช่
ตัวนี้ต้องอ่านว่าองค์” คิ้วหนาขมวดมุ่น
กำมือแน่นกับความอึดอัดใจในการพยายามอ่าน “ตามล่าองค์...
องค์... องค์ชาย...”
ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
แม้นขุนเขาที่ว่าสูงก็สยบได้หากผู่ชานเลี่ยนึกจะเอาจริง เหอะ... ได้เรื่องแล้ว
เห็นทีว่าต้องเอาไปอวดเจ้าฟันกระต่ายเสียหน่อย
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป
ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนร่างกายมันแข็งจนกลายเป็นหินเพราะเห็นรูปวาดเสมือนจริงด้านล่างตัวหนังสือเหล่านั้นซึ่ง...
“เร็วเข้าสิ
มีงานต้องทำอีกไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มเบิกตากว้าง
มองคนในภาพสลับกับเจ้าฟันกระต่ายที่หันมาเร่งเร้าให้ตามไปด้วยกัน ชานเลี่ยขยี้ตาพลางแนบหน้าเข้าไปใกล้กระดาษจนแทบสิง
คนตัวเล็กจึงเป็นฝ่ายเดินกลับมาหา
เขายังไม่หยุดมองภาพวาด พอได้เห็นดวงหน้าขาวใกล้
ๆ จึงทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นป้องปาก
“เจ้าเป็นอะไร?”
“เจ้า?!”
เสียงชานเลี่ยสั่นเครืออย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ป๋ายเซียนขมวดคิ้วพร้อมเอากระดาษในมือแกร่งมาดู
ก่อนจะเบิกตากว้างไม่ต่างจากคนตรงหน้าเลย “เจ้าคือองค์!!!
--”
มือข้างที่ไม่เจ็บรีบตะปบปากปิดเสียงกระโตกกระตากคนป่าเถื่อน
ป๋ายเซียนหันซ้ายขวาอย่างหวาดระแวงว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือไม่
ก่อนจะหันกลับมาสบตากับคนตรงหน้า
“อย่าเสียงดังสิ”
“ก็เจ้า!!!”
ชานเลี่ยรีบแกะมือเล็กออกพร้อมชี้หน้าอีกฝ่ายย้ำ ๆ รู้สึกเหมือนคำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอไปหมด
ไม่สิ อันที่จริงมันอาจจะหายไปพร้อมกับเงาหัวอันเลือนรางนี้ “ข้าอ่านออก ตรงนี้อ่านว่าองค์ -- !!”
“เบา ๆ หน่อย” ป๋ายเซียนค้อนด้วยสายตา
“...ชาย”
ชานเลี่ยกล่าวเสียงแผ่ว
กลอกตามองไปยังถนนเส้นเล็กซึ่งยังคงมีพ่อค้าตะโกนขายของแข่งกับชาวบ้านที่ออกมาจับจ่าย
เดินสวนกันราวกับทหารในสนามรบ “แล้วในภาพนี้ก็คือเจ้า”
“...”
“ข้าไม่ได้อ่านผิดไปใช่ไหม
ตัวนี้อ่านว่าตาม ตัวนี้อ่านว่าล่า”
“อ่านว่าหา”
“เออ หาก็หา แล้วตรงนี้ก็องค์ชาย
แล้วรูปวาดนี่ก็ --”
ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบในตรอกแคบ เจ้าฟันกระต่ายหลุบสายตาลงพลางกำกระดาษใบนั้นจนยับคามือ
และปล่อยให้เขายืนงงอยู่ตรงนี้โดยไม่คิดจะอ้าปากอธิบายใด ๆ แม้แต่คำเดียว
บ้าไปแล้ว?! เจ้าฟันกระต่ายเป็นเพียงโจรกระจอกเท่านั้น จะเป็นองค์ชายไปได้อย่างไร?!
“ข้าไม่ตลก
เพราะฉะนั้นข้าจะโกรธมากถ้าหากเจ้าคิดจะเอาเนื้อความในกระดาษแผ่นนี้มาอำข้า”
“ข้าก็ไม่ตลกเช่นกัน” ป๋ายเซียนหันไปทางด้านหลัง
พลางคิดไปว่าตอนนี้คงมีป้ายประกาศตามหาเขาติดอยู่ทั่วทั้งเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว และหากเป็นเช่นนั้นมันคงไม่ดีแน่ถ้าหากว่าจะถูกตามตัวเจอตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ยังสืบไม่พบว่าเพราะเหตุใดแม่นมเถียนจึงคิดปองร้ายเขาเช่นนั้น
“ชานเลี่ย”
เจ้าของชื่อยังคงตระหนก
แววตาคู่นั้นไม่ได้ทะเล้นและยียวนชวนทะเลาะอย่างเช่นเคย แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ผู่ชานเลี่ยยืนนิ่งเงียบโดยไม่ตะโกนลั่นทั่วเมืองว่า
‘องค์ชายห้าที่ทุกคนตามหาอยู่ตรงนี้’
“ข้าไว้ใจเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
“เหนื่อยหรือยัง?”
“ข้าแทบไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั่งเฉย
ๆ ข้าต่างหากที่ต้องถามท่านว่าเหนื่อยหรือไม่?”
มีเพียงเสียงกีบเท้าอาชารูปงามเท่านั้นที่ทำลายความเงียบท่ามกลางป่าดงพงไพรระหว่างเดินทางไปอีกเมือง
ซื่อชวินเบือนหน้าไปยังต้นไผ่เพื่อหาจุดยึดสายตาโดยมีท่านแม่ทัพควบอาชาให้
“หากข้าบอกว่าเหนื่อย
เจ้าจะขี่ม้าให้ข้านั่งงั้นหรือ?”
“ท่านก็รู้ว่าข้าขี่ม้าไม่เก่ง
หากคว้าสายบังเหียน มิวายลูกรักของท่านจะพยศ”
จงเหรินอมยิ้ม
พลางหันไปสบตากับคนที่นั่งทำหน้าเง้างอนอยู่ข้างหลัง “หย่งคังรู้ว่าควรเคารพใคร”
“ท่านจะบอกว่ามันเคารพข้าหรืออย่างไร?”
“หากอยากรู้เจ้าก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
ซื่อชวิน” อาชารูปงามหยุดฝีเท้าเมื่อนายกระตุกสายบังเหียน
แม่ทัพหนุ่มลงจากอานม้าอย่างง่ายดายก่อนจะเงยหน้าขึ้นพยักหน้าบอกให้อีกฝ่ายขยับเข้าไปนั่งแทนที่
ซื่อชวินไม่ได้ทำตามอย่างที่บอกในทันที และจินจงเหรินคงเป็นคนเดียวที่ได้เห็นซื่อชวินต่อต้านเช่นนี้
“ขยับไม่ได้หรือ ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“ข้าขยับเองได้”
แม่ทัพหนุ่มอมยิ้มชอบใจ
จ้องมองเขาด้วยแววตาแพรวพราวจนอดคิดไม่ได้ว่าคงทำอย่างนี้กับสาวงามในวังหลวงเฉกเช่นเดียวกัน
ซื่อชวินขยับไปข้างหน้า เสมองไปอีกทางพลางคว้าสายบังเหียนไว้อย่างไม่เต็มใจ
ก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นมาซ้อนอยู่ด้านหลัง
“แม้หย่งคังจะเป็นม้าศึก
แต่จิตใจของมันก็อ่อนโยนไม่แพ้ใคร” รู้สึกเหมือนกำลังถูกกระซิบ
ซื่อชวินพลาดเสียแล้วที่เผลอตอบปากรับคำ
หัวใจถึงได้เต้นระส่ำจนยากที่จะควบคุมเช่นนี้ “ลูบหัวมันสิ ซื่อชวิน”
“...”
“อย่างนี้”
มือที่ถือดาบต่อสู้กับศัตรูมาทุกทั่วแคว้นนั้นหยาบกร้านแต่ก็อบอุ่นและอ่อนโยนนักเมื่อกอบกุมมือเขาไว้เช่นนี้
ซื่อชวินนั่งนิ่ง
ปล่อยให้แม่ทัพหนุ่มจับมือตนลูบไปตามขนเงางามของอาชาศึกอย่างเชื่องช้า
จนความหวาดกลัวว่ามันจะพยศค่อย ๆ จางหายไป “เชื่อข้าแล้วหรือยัง?”
เสียงกระซิบในครานี้ทำดวงหน้าขาวแดงก่ำ
ซื่อชวินพยักหน้าช้า ๆ
ก่อนท่านแม่ทัพจะโอบผ่านรอบเอวเขาเพื่อช่วยบังคับสายบังเหียน เจ้าหย่งคังจึงออกเดินอีกครั้ง
“นอกจากเชลยศึก ข้าก็ไม่เคยบังคับขู่เข็นใครให้พูดความจริง” เสียงกีบเท้าม้าก้าวย่ำไปยังหนทางเบื้องหน้า
จงเหรินก้มลงสูดดมกลิ่นหอมของดอกเหมยของชายรูปงาม ก่อนจะสอดประสานกับเรียวนิ้วอีกฝ่ายผ่านสายบังเหียน
“แต่บอกได้หรือไม่ว่าข้าทำผิดสิ่งใด เจ้าถึงทำหมางเมินเช่นนี้?”
ไม่มีทางที่ซื่อชวินจะพูดออกไปเพราะหากทำเช่นนั้นคงถูกมองไม่ดีแน่
เขาเป็นเพียงครูที่คอยพร่ำสอนให้ความรู้องค์ชายห้า
จะมีสิทธิ์ใดพูดความในใจออกไปกับเรื่องที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ท่านแม่ทัพใหญ่อย่างจินจงเหริน
“ข้าเป็นห่วงองค์ชายห้า จึงเผลอแสดงท่าทีแบบนั้นออกไป
หากทำให้ท่านหงุดหงิดใจก็ขออภัยด้วย”
“อย่าโกหกข้า ซื่อชวิน”
“...”
“เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่ หากสีหน้าเจ้าเปลี่ยนไปเพียงนิด
มีหรือข้าจะดูไม่ออก”
“เช่นนั้นแล้ว
เหตุใดจึงเค้นถามเอาความจริงจากข้าเล่า?”
คนถูกไล่ต้อนเอี้ยวหน้าหันไปหวังจะสบตา แต่ปลายจมูกของท่านแม่ทัพกลับเฉียดโดนแก้มเข้าเสียได้
ซื่อชวินหน้าขึ้นสีระเรื่อ รีบหันกลับไปมองทางเบื้องหน้าพลางปล่อยมือจากสายบังเหียนเพื่อจับแก้มตนเอง
“เจ้าเล่ห์นัก”
“ข้าหรือ? ทั้งที่เจ้าหันมาเองแท้
ๆ”
“ข... ข้าจะลงไปเดิน” คนตัวผอมกระตุกเชือกหวังให้อาชารูปงามหยุด แต่แม่ทัพหนุ่มกลับกระตุกสายบังเหียนจนเจ้าหย่งคังพยศยกสองขาหน้าขึ้น
ซื่อชวินเบิกตากว้างอย่างตกใจ
ก่อนเอวคอดจะถูกรวบด้วยท่อนแขนแกร่งของคนด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
อาชาศึกสงบลงแล้วและไม่มีใครตกลงไปบาดเจ็บอย่างที่คิดไว้
หัวใจยังคงเต้นระส่ำไม่หยุดกับความกลัว
แต่ความอบอุ่นจากวงแขนและอ้อมกอดจากคนด้านหลังก็ทำให้อู๋ซื่อชวินได้รู้จักคำว่าปลอดภัย
“ใครที่ไหนก็ทำให้เจ้าเจ็บตัวไม่ได้หากว่าข้าอยู่ตรงนี้...”
ซื่อชวินไม่แน่ใจว่าที่เหงื่อออกขนาดนี้เป็นเพราะความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือเพราะว่าร่างของตนเองยังคงอยู่ในอ้อมกอดท่านแม่ทัพจงเหรินกันแน่
เขารีบผละตัวออก แต่ก็เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้นก็ถูกมือแกร่งรั้งร่างกลับเข้าไปชิดกับแผงอกกว้างอีกครั้ง
“ปล่อยข้าเถอะ
หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่งาม”
“ในป่าดงพงไพรเช่นนี้ใครเล่าจะมาเห็น
เว้นเสียแต่จะเป็นเทวดาฟ้าดิน” จงเหรินอมยิ้ม
ใช้มืออีกข้างกระตุกเชือกเพื่อสั่งเจ้าหย่งคังให้ออกเดินทางอีกครั้ง
“ข้าจะไปรู้หรือ อาจจะเป็นสาวงามในวังหลวงที่ฝ่าบาทยกให้ท่านเป็นรางวัลก็ได้”
“ฮึ...”
“ท่านหัวเราะอะไร?” เขาหันไปค้อน
มองอีกคนที่หลุดขำออกมาราวกับว่าเรื่องที่ทำให้อู๋ซื่อชวินหัวเสียนั้นมันตลกนักหนา
“ที่มึนตึงมาตลอดทั้งวัน...
อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเจ้าหึงข้า?”
“หึง? ข้าน่ะหรือจะหึงท่าน?
คิดไปเองทั้งนั้น” ซื่อชวินกลอกตาล่อกแล่ก
หันไปสนใจกับทางเบื้องหน้าแสร้งทำเป็นว่ามันน่าสนใจกว่าแม่ทัพหนุ่ม
“ขอโทษนะซื่อชวิน”
“เรื่องอะไรหรือ?” เขาพยายามตั้งสติ หายใจเข้าลึก ๆ กลบความร้อนผ่าวบนใบหน้า
แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน
“ที่ข้าอารมณ์ดีทั้งที่เจ้ากำลังหัวเสียเช่นนี้”
“ท่าน!”
ทั้งหงุดหงิดใจแต่ก็ขลาดอายกับอ้อมอดที่กระชับแน่นยิ่งขึ้น ซื่อชวินหน้าขึ้นสีจัด
อยากจะทุบอีกฝ่ายแรง ๆ สักครั้ง
แต่ก็มิอาจหาเหตุผลให้กับความผิดของแม่ทัพจงเหรินได้
“ฝ่าบาททรงมีเมตตา
แต่ก็ใช่ว่าข้าจะออกตามหาองค์ชายห้าเพื่อสาวงามเหล่านั้นเสียเมื่อไหร่”
“ใครจะไปรู้”
“เจ้ารู้ ซื่อชวิน” จงเหรินกระซิบข้างหูเจ้าของกลิ่นหอม
สูดดมกลิ่นดอกเหมยอย่างใคร่รักพร้อมกุมมือนุ่มเอาไว้ “ว่าสาวงามจากแดนไหนก็ทำให้ข้าเหลียวมองไม่ได้”
“...”
“เพราะหัวใจของข้าได้มอบให้ใครคนหนึ่งไปแล้วตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ”
เป็นวันที่จินจงเหรินได้กลับเข้าเมืองหลวงหลังจากออกไปรบหลายเดือน
ระหว่างเดินทางไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ชายหนุ่มจำต้องหยุดฝีเท้าเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งโชยมาจากเรือนกลางน้ำและมาพร้อมเสียงพิณแสนไพเราะจากองค์ชายห้าที่ยังคงเยาว์วัยนัก
หากแต่จงเหรินกลับมิอาจละสายตาจากบุรุษผู้หนึ่งได้
ชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าขาวสะอาดตัดกับผมสีดำขลับซึ่งปล่อยยาวจนถึงกลางอก
และพู่กันที่กระหวัดขีดเขียนลงบนกระดาษอย่างใจเย็น โดยมีมืออีกข้างรวบชายผ้าตรงข้อมือไว้
ก่อนดวงตาคู่นั้นจะทอดมองมาราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่
ตอนนั้นจินจงเหรินถึงได้รู้ว่า ‘รักแรกพบ’ เป็นเช่นไร
TBC
ความคิดเห็น