คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 03 :: Touch
CHAPTER 03
Touch
“ทำไรวะ?”
เด็กหนุ่มหลุดออกจากความคิด ทันทีที่ได้ยินคำทักทายจากกลุ่มเพื่อนสนิทในเช้าวันจันทร์ ชานยอลเงยหน้าขึ้น ยิ้มกับสายตาแปลก ๆ ของพวกมันตอนมองเขาสลับกับนิตยสารอาหารซึ่งกางอยู่บนโต๊ะ
“อะไรเข้าฝันมึงเนี่ย? โห... เล่มใหม่เอี่ยม กูได้กลิ่นการเสียเงินเพื่อมัน” มินโฮก้มลงสูดดมกลิ่น
การขบกัดยามเช้าเรื่องระบบการใช้เงินของปาร์คชานยอลนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องโกรธ เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขามักจะคิดอย่างรอบคอบก่อนใช้จ่ายอยู่เสมอ และนั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนซื้อมันมา
ชานยอลกำลังตั้งใจศึกษาเมนูอาหารหลากหลายชนิด ทุกรสชาติ แอบถามข้อมูลมาบ้างแล้ว และก็ได้คำตอบว่าคุณแบคฮยอนชอบกินอาหารรสจืด ง่าย ๆ คือไม่ต้องปรุงแต่งอะไร ต่างจากเขาและน้องสาว ที่มักจะทำอาหารรสจัดกินกันอยู่บ่อย ๆ
ความมั่นใจลดลงหลังจากรู้อย่างนั้น แน่นอนว่าทุกคนย่อมถนัดในเรื่องที่ทำได้ดี แต่พอรู้ว่าต้องทำอาหารรสจืด เขาก็ต้องบอกตัวเองให้ยั้งมือเอาไว้ การทำอาหารมื้อแรกจะพลาดไม่ได้ เขาอยากสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย ไม่สิ ต้องบอกว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณแบคฮยอนคิดว่าเขามีข้อดีบ้าง
“แซวแต่เช้า การบ้านอังกฤษเสร็จยัง”
“ยังเลยครับ ผมว่าจะมาขอยืมพี่ชานยอลไปลอกสักหน่อย ได้โปรดกรุณาพวกเราที่โง่เง่าเรื่องการเรียนด้วยเถอะ” นัมจุนพนมมือขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมโค้งลงต่ำอย่างกวนประสาท ชานยอลยิ้มขำ เขาเอาสมุดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เพื่อน ๆ เอาไปแบ่งกันลอก
“กูว่ามึงมีเรื่องอยากเล่า” มินโฮล็อกคอเขาเข้าไปใกล้พร้อมมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“ก็นะ” ชานยอลยิ้มเจื่อน ถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองรูปอาหารซึ่งถูกตกแต่งอย่างสวยงามบนหน้ากระดาษมันเงา “กูไปเจอคุณแบคฮยอนมาแล้ว ที่จริงก็เจอตั้งแต่วันงานโรงเรียน แต่กูไม่ได้เล่าให้มึงฟัง”
“แล้วก็อมขี้ฟันไว้ตั้งนานนะมึง เป็นไงบ้าง แก่งั่กเลยใช่ไหม?” มินโฮยังคงไม่ละสายตาจากเขา ขณะส่งสมุดให้แฟนสาวทำการบ้านในส่วนของตนที่ดองไว้
“เปล่า ยังหนุ่มอยู่เลย ตัวก็แค่นี้เอง” ชานยอลยกมือขึ้นระดับปลายคางพลางหลุบสายตาลง เขาหลุดยิ้มออกมาเพียงแค่นึกถึงสีหน้าคุณแบคฮยอนตอนเงยขึ้นมองเขา
“เขามีเมียยัง?”
คำถามหยุดโลกเกิดขึ้นจนได้ นั่นสิ มันคือคำถามที่ชานยอลคาใจอยู่เหมือนกัน ว่าคุณแบคฮยอนมีครอบครัวแล้วหรือยัง แต่ถ้าถามไปทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่สองหน ก็กลัวจะถูกอีกฝ่ายมองว่าละลาบละล้วง
“ถ้ามีเมียแล้วจะเลี้ยงกูกับน้องไหวเหรอวะ เขาทำงานเป็นวิศวะโยธานะไม่ใช่เจ้าของบริษัทสินค้าส่งออกต่างประเทศ” ชานยอลไม่แน่ใจว่าตอบไปตามที่คิด หรือเพราะอยากให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้นกันแน่ มินโฮยิ้มขำ พร้อมตบบ่าเขาปุ ๆ
“นั่นก็เงินเดือนก็สูงอยู่นะมึง มีเมียแล้วก็เลี้ยงได้ เขาให้มึงเดือนละเท่าไหร่เอง”
“เท่าไหร่ห่าไรล่ะ มันเยอะมากเลยต่างหาก” ชานยอลขมวดคิ้ว
“อะไรวะ มึงทำเหมือนว่าไม่อยากให้เขามีเมียยังไงอย่างนั้นแหละ” มินโฮเลิกคิ้ว กับท่าทีเพื่อนสนิทซึ่งแสดงออกมาอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
เด็กหนุ่มพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หลังจากถูกพูดจี้ใจดำทั้งที่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรเขาจึงรู้สึกอย่างนั้น ใช่ ชานยอลไม่อยากให้คุณแบคฮยอนมีครอบครัว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรู้สึกเหมือนผู้ชายคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว และเข้ามาในชีวิตตั้งแต่เขายังเด็กหรือเปล่า
ความรู้สึกนี้อาจเป็นความน้อยใจ เหมือนตอนที่รู้ว่าแม่ให้ความสำคัญกับน้องมากกว่า เมื่อตอนเรายังวิ่งเตาะแตะอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันจะแปลกเหรอวะ”
“แปลกดิ มึงเป็นอะไรกับเขา?” เหมือนโดนไอ้มินโฮตบหน้าเลย ชานยอลรู้สึกหน้าชาอยู่ไม่น้อย เขาชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่ขมวดคิ้วส่งสายตามาอย่างเอือมระอา
“กูเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดู”
“เออ แล้ว?”
“ทำไมวะ เหตุผลแค่นี้ไม่พอเหรอ?”
“พอ ถ้าคำพูดนี้เป็นของคนอื่น” มินโฮยกขาทั้งสองข้างขึ้นไขว้บนโต๊ะ พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนสนิทอีกครั้ง “แต่พอเป็นมึงก็แปลกทันที”
“...”
“คนที่ไม่มีท่าทีกับเรื่องความรู้สึก ขนาดมีสาวมาสารภาพรักมึงยังยิ้มให้แล้วบอกว่า ‘ขอบคุณมากนะ แต่ฉันชอบที่จะเป็นเพื่อนกับเธอมากกว่า’ นั่นน่ะ แต่เสือกกล้ามีความคิดแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันได้ยังไงวะ?”
“มึงพูดไรเนี่ย ที่กูรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่า--”
“มึงชอบคุณแบคฮยอน?”
ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องกลืนคำพูดลงคอไปหมด สองเพื่อนซี้ตัวสูงจ้องตากันเหมือนอยากกดหัวอีกฝ่ายให้อ้าปากยกธงยอมแพ้ ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกยามเช้าในห้องเรียน
มินโฮไม่ได้พูดเวอร์ไปกว่าความจริงเลย เมื่อเขาปฏิเสธเด็กผู้หญิงที่เข้ามาสารภาพรักไปอย่างนั้นประมาณสี่ครั้งเห็นจะได้ แต่การที่เขารู้สึกแบบนั้นกับคุณแบคฮยอน มันก็ยังไม่ชัดเจนถึงขนาดจะฟันธงได้สักหน่อย ชานยอลไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน ตอนโดนบังคับให้หอมแก้มไอ้นัมจุนเพราะเล่นเกมแพ้ก็แทบล้วงคออาเจียน
“ไอ้ห่า กูล้อเล่น ทำหน้าจริงจังไปได้” มินโฮกุมท้องขำ เห็นสีหน้าเพื่อนสนิทซีดเป็นไก่ต้มแล้วก็ทนปั้นหน้าแกล้งต่อไปไม่ไหว
‘ปาร์คชานยอลคนจริงจัง’
ทุกคนต่างรู้จักเจ้านี่ในมุมนี้มาตลอด
“พอเลยมึง” ชานยอลผลักหัวเพื่อนสนิทจนเซไปด้านข้าง แต่มินโฮยังหัวเราะไม่หยุด
“มึงก็เลิกทำตัวเป็นตุ๊ดสักทีสิ”
“ตุ๊ดห่าไรล่ะ”
“อ๊าก!” มินโฮหดคอ ทันทีที่ถูกมือใหญ่ของเพื่อนสนิทบีบเข้าให้ “ก็เวลามึงพูดถึงคุณแบคฮยอน มันเหมือนคนกำลังมีความรักนี่หว่า”
“เลอะเทอะ กูพูดด้วยความเคารพทั้งนั้น”
“ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เห็นต้องดิ้นเลยนี่คะ พี่ชานยอลขา อ๊ากกกกก!” ทุกสายตาหันมาทางโต๊ะกลางห้องเป็นตาเดียวกัน เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะเมื่อตัวแสบประจำห้องได้ถูกเอาคืนบ้างเสียที คงไปเล่นไม่เข้าเรื่อง ปาร์คชานยอลถึงเป็นฝ่ายลงมืออย่างที่เห็น “โอ๊ะ!”
สองหนุ่มที่กำลังงัดคอกันอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นรองเท้านักเรียนหญิงกับเรียวขาเล็กหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ชานยอลค่อย ๆ เลื่อนระดับสายตาขึ้น ก่อนจะพบว่าเด็กสาวลูกครึ่งชาวจีนยืนกอดสมุดหลายเล่มไว้แนบอก ขณะมองมายังเขา
“อรุณสวัสดิ์จื่อวีคนสวย”
“อรุณสวัสดิ์ มินโฮ” เด็กสาวอมยิ้ม ก่อนจะมองเด็กหนุ่มตัวสูงอีกคน “ชานยอลด้วยนะ”
“อรุณสวัสดิ์”
จื่อวีเพิ่งย้ายเข้ามาตอนมอปลายปีสองเทอมแรก แต่เธอก็ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างเพราะเป็นคนน่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย ไม่กระโตกกระตากเหมือนกลุ่มของจองอึนจีที่ชอบใส่กางเกงวอร์มซ้อนในกระโปรงอีกที ห้าวกระโดดตบหัวผู้ชายเป็นว่าเล่น
“ฉันจะเอาการบ้านอังกฤษไปส่งน่ะ ทำเสร็จกันหรือยัง”
“แป๊บ ลอกอยู่ ๆ” นัมจุนและคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นเพียงเสี้ยววิ เพื่อรั้งให้เด็กสาวที่รับหน้าที่นี้รอพวกเขาอีกสักหน่อย
“ไม่เป็นไร เธอวางไว้เลย เดี๋ยวฉันเอาไปส่งให้เอง” ชานยอลลุกขึ้นรับกองสมุดมาจากอีกคน ซึ่งเด็กหนุ่มก็พอจะดูออกว่าจื่อวีดูไม่ค่อยเต็มใจโยนหน้าที่ให้เขานัก
“แต่ว่า--”
“ไม่เป็นไรน่า ไอ้ชานยอลมันทำการบ้านเสร็จแล้ว ไม่ลำบากหรอก” พูดจบมินโฮก็มองทั้งคู่ที่เอาแต่มองหน้ากัน บรรยากาศดูกระอักกระอ่วนแต่ก็น่ารักไปอีกแบบ คนขี้อาย ไม่ค่อยพูด พออยู่ด้วยกันแล้วมันน่าชงจริง ๆ “แต่มึงคงยกคนเดียวไม่ไหวปะวะ สมุดตั้งกี่เล่ม”
ชานยอลก้มลง เลิกคิ้วมองเพื่อนสนิทที่มองมาราวกับว่ากำลังคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ อยู่ สาบานให้ตายว่าไอ้หอกนี่กำลังจะสร้างเรื่องให้เขาอีกแล้ว
“มึงช่วยจื่อวีเอาไปส่งดิ”
“ไอ้มินโฮ”
“อะไรวะ แค่ยกการบ้านไปส่งเอง” เจ้าของชื่อลุกขึ้น ยกมือป้องปากกระซิบเพื่อนสนิทอย่างคนมีแผน “โอกาสพิสูจน์ตัวเองมาถึงแล้วเพื่อน มึงจะได้รู้ใจตัวเองสักทีว่าชอบผู้ชายจริงเปล่า?”
คำกระซิบของเพื่อนสนิทสร้างความสงสัยให้จื่อวีที่ยืนรออยู่ ชานยอลพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ สบตากับอีกฝ่ายขณะใช้ความคิดกับสิ่งที่มินโฮล้างสมองเขาไปเมื่อครู่
สิ่งแวดล้อมและคนรอบข้างทำให้เด็กหนุ่มเลือกมองในสิ่งที่อยากมอง รับรู้ในสิ่งที่อยากรู้ และคิดในสิ่งที่อยากให้เป็น เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากตั้งคำถามให้ตัวเองว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกับผู้มีพระคุณ มันมากเกินกว่าความเคารพอย่างที่เพื่อนมองออก หรือที่เบื้องลึกของจิตใจมันรู้สึกแต่เขาไม่อยากยอมรับกันแน่
ชานยอลพยักหน้า ลุกขึ้นยืนพร้อมผายมือออกให้จื่อวีนั่งลงบนเก้าอี้แทน ซึ่งภาพที่เห็นทำให้มินโฮถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง และเด็กสาวก็เช่นกัน เธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“นั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวพวกมันก็ลอกเสร็จแล้ว เราจะได้ยกไปส่งพร้อมกัน”
“อ้อ... จ้ะ” เธอหลบสายตา ยิ้มบาง ๆ พลางหยัดตัวลงนั่ง
“สวีทแต่เช้าเลยโว้ยยยยยยยย”
“คู่รักคู่ใหม่เหรออออออออออออ”
เด็กสาวไม่ได้เงยหน้าขึ้น ขณะที่พวกบ้านั่นส่งเสียงแซวให้พวกเราต้องอับอาย ชานยอลแค่ยืนนิ่ง กดดันเพื่อนในกลุ่มเร่งมือปั่นการบ้าน แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้แก้มของจื่อวีกำลังแดงแค่ไหน
.
.
“ชานยอลทำการบ้านให้เพื่อนลอกแบบนี้ประจำเลยเหรอ”
“เปล่าหรอก ฉันแค่ทำการบ้าน ส่วนไอ้พวกนั้นมันมาลอกเอง”
ทั้งคู่หลุดยิ้มออกมา ขณะอุ้มกองสมุดการบ้านไปส่งที่ห้องพักครู ซึ่งแน่นอนว่าจื่อวีถือไม่ถึงสิบเล่ม และส่วนที่เหลือชานยอลยกมันเองทั้งหมด
“เธอได้กลับบ้านเกิดบ้างหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเป็นคนเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง ชานยอลรู้ว่าตอนนี้กำลังพยายาม ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดนัก แต่คำพูดของผู้มีพระคุณที่บอกกับเขาในวันแรกที่เจอกัน และคำพูดของไอ้บ้ามินโฮนั้น... ทุกอย่างยังฝังอยู่ในหัว
‘โอกาสพิสูจน์ตัวเองมาถึงแล้วเพื่อน มึงจะได้รู้ใจตัวเองสักทีว่าชอบผู้ชายจริงเปล่า?’
‘วัยมัธยมยังมีเรื่องน่าทำอีกเยอะ อย่าพลาดมันไปเพราะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้วสิ’
บางทีปาร์คชานยอลอาจจะปิดกั้นตัวเองเกินไป เพราะพอใจในสิ่งที่มีอยู่อย่างที่คุณแบคฮยอนพูดจริง ๆ ก็ได้
จากที่เรียนห้องเดียวกันมาปีครึ่ง แทบนับได้เลยว่าเขาและเธอคุยกันไปกี่ประโยค จื่อวีเป็นคนไม่ค่อยพูด และเขาก็เช่นกัน ทั้งคู่แค่ยิ้มให้กันตอนเดินผ่าน ทักทายคำว่า ‘อรุณสวัสดิ์’ และ ‘กลับดี ๆ นะ’ เมื่อบังเอิญเดินสวนทางกัน
แต่ตอนนี้เรากำลังเดินไปด้วยกัน พูดคุยเรื่องบ้านเกิดของจื่อวีที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่ และเรื่องเครื่องดนตรีที่อีกฝ่ายถนัด ชานยอลชอบเล่นกลอง ส่วนจื่อวีชอบเล่นไวโอลิน มีบางครั้งที่บังเอิญแขนชนกัน และเขารู้สึกได้ว่าความประหม่าที่เกิดขึ้น มันต่างจากตอนเวลาอยู่กับคุณแบคฮยอนอย่างสิ้นเชิง
เพราะกับจื่อวี เขาประหม่า แต่ไม่รู้สึกใจเต้นแรง
“ชานยอลจ๊ะ”
เจ้าของชื่อหยุดฝีเท้า หันไปตามเสียงเรียกพร้อมมองดวงหน้าขาวที่กำลังขึ้นสีระเรื่อ บนระเบียงทางเดินยาว ซึ่งอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องเรียนแล้วหลังจากนำการบ้านส่งในห้องพักครูเรียบร้อย
“บ่ายวันอาทิตย์นี้ฉันกับเพื่อนจะไปเล่นดนตรีที่บ้านพักคนชรา... เอ่อ ถ้าชานยอลว่าง แล้วอยากไปทำกิจกรรมกับคุณตาคุณยายที่นั่น...”
ไม่ใช่แค่ชานยอลคนเดียวที่ไม่ถนัดการเข้าหาเพศตรงข้าม จื่อวีก็คงเช่นกัน เมื่อตอนนี้เธอกำลังบีบมือตัวเองแน่น ราวกับว่ากำลังรวบรวมความกล้าที่มีอยู่
“ไป... ด้วยกันไหม”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบในทันที ซึ่งจื่อวีก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงตั้งแต่แรกแล้ว เธอพอจะมองออกว่าชานยอลเป็นคนอย่างไร ตั้งแต่เริ่มให้ความสนใจผู้ชายคนนี้ตอนปลายเทอมที่แล้ว โลกของจื่อวีก็ปั่นป่วนไปหมด
ชานยอลเป็นคนสุภาพ ไม่โผงผาง ไม่กะล่อน ทุกอย่างคือสิ่งที่ดึงดูดผู้หญิงอย่างเธอเอาไว้
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้คุยกัน และไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสดี ๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงแค่เรากลับไปเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกันเหมือนที่ผ่านมา
“บ้านพักคนชราเหรอ เยี่ยมเลย” เด็กหนุ่มยิ้ม เธอรู้ว่าเขากำลังฝืนและนั่นคือรอยยิ้มของการปฏิเสธ ซึ่งจะตามมาด้วยความผิดหวังเป็นคำสุภาพ “แต่ฉันไม่แน่ใจว่าวันนั้นจะว่างหรือเปล่า... ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรเลย ฉันแค่ชวนเฉย ๆ น่ะ ชานยอลไม่ต้องคิดมากนะ” จื่อวียิ้มเจื่อน ทัดผมกับใบหูพลางหลุบสายตาลง ชานยอลรู้ว่าเธอกำลังเสียหน้า ฉะนั้นเขาควรทำอะไรสักอย่าง
“ไว้ใกล้ถึงวัน ฉันจะบอกเธออีกทีได้ไหม?”
“จ้ะ” เธอพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ พอชานยอลหันไป รอยยิ้มที่ฝืนไปเกือบนาทีก็ค่อย ๆ หุบลง
ไม่น่าพูดออกไปเลย...
ทั้งที่เพิ่งมีโอกาสได้คุยกันอย่างจริงจังครั้งแรกแท้ ๆ
ชานยอลต้องคิดว่าเธอกำลังให้ท่าแน่ ๆ
“อ่าใช่” เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับ ทำเอาคนที่จมอยู่กับความคิดยืดหลังตรงพร้อมเลิกคิ้วมอง
“วะ-- ว่าไงจ๊ะ”
“ลืมไปเลยว่าไม่มีทั้งไลน์ทั้งเบอร์ของเธอ ขอโทษนะ ฉันมันซื่อบื้อจริง ๆ” ชานยอลหัวเราะกับความทึ่มของตนเอง เขายื่นสมาร์ทโฟนให้จื่อวีแอดไอดีของเธอลงไป โดยไม่รู้เลยว่าหัวใจของเด็กสาวกำลังเต้นแรงมากแค่ไหน
“ถ้าเป็นไปได้... ก็อยากให้ไปนะ”
ทั้งคู่สบตากัน แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นชานยอลก็พยักหน้า เขาหมุนตัวกลับ ก้าวขาไปยังประตูห้องเรียน ในขณะที่ในหัวมีแต่เรื่องของใครอีกคนวิ่งวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่เขาคุยกับจื่อวี
ที่ไม่รับปาก... ก็เพราะคาดหวังว่าวันนั้นคุณแบคฮยอนอาจจะบอกให้เขาไปหาที่คอนโด
มันเป็นความหวังที่พยายามย้ำบอกตนเองว่า ปาร์คชานยอลเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่อยากใช้เวลาอยู่กับผู้มีพระคุณ... คนที่เป็นคนในครอบครัวมากกว่าจะคิดไปในทางอื่นได้
.
.
“อรุณสวัสดิ์ มาถูกด้วยแฮะ”
“ที่จริงตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้วล่ะครับ”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน มองเจ้าของใบหน้าง่วง ๆ ที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งลุกจากเตียงมาเปิดประตูให้เขา คุณแบคฮยอนยิ้มทั้งที่ยังไม่ลืมตา ใช่... คนตัวเล็กไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าวันนี้เด็กอายุสิบเก้าอย่างเขาเซ็ทผมมาด้วย
“ตามสบายเลยนะ ครัวอยู่ทางนั้น ถัดไปเป็นห้องน้ำ” แบคฮยอนหลับตา ทิ้งตัวลงนอนคว่ำกับโซฟาพลางชี้ไปยังประตูสีกรมท่าอย่างแม่นยำ “ส่วนตรงนั้น ห้องนอน”
“อ๋อ... ครับ” ชานยอลกลอกตา ไม่รู้ว่าตกใจอะไรกะอีแค่คุณแบคฮยอนชี้ห้องนอนให้ดู นั่นคือการแนะนำสถานที่เท่านั้นแหละ แล้วมันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับความคิดในหัวของเขากันล่ะ ให้ตายสิ
“เร็ว ๆ นะชานยอล ฉันหิวแล้ว”
เด็กหนุ่มหลุดยิ้ม พร้อมพยักหน้าแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยซ้ำ เด็กตัวสูงเดินเข้าไปในครัว กวาดสายตาไปรอบ ๆ เพื่อให้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ก่อนจะคว้าเอาผ้ากันเปื้อนสีเข้มที่ห้อยอยู่ด้านข้างมาสวม
ถึงคุณแบคฮยอนจะดูเหมือนคนไม่ชอบทำอาหาร แต่จากเนื้อผ้ากันเปื้อนที่บ่งบอกว่าไม่ได้ใส่แค่ครั้งสองครั้ง ก็ทำให้เด็กหนุ่มจินตนาการไปว่ามันต้องมีสักวันหยุดที่ผู้ชายคนนี้ลุกขึ้นมาทำอาหารกินเองบ้าง
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตั้งใจทำอาหารถึงขนาดนี้ เขาใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการทำกับข้าวสามอย่างตามสูตรที่จำใส่สมอง แน่นอนว่าไม่มีการจดใส่โพยเด็ดขาด ถ้าคุณแบคฮยอนเห็น เด็กที่คุยอวดว่าทำอาหารเป็นมีโพย ปาร์คชานยอลก็คงดูกระจอกไปในพริบตา
เด็กหนุ่มจัดโต๊ะอย่างสวยงาม ถ้าพวกไอ้มินโฮมาเห็น คงโดนแซวยันชาติหน้าแน่ ๆ กับการที่ทุกอย่างมันดูดีจนไม่อยากเชื่อว่าปาร์คชานยอลตั้งใจทำให้ผู้มีพระคุณ
หันไปทางคนที่ยังหลับอยู่ ตอนนี้คงปลุกได้โดยไม่ต้องกลัวโดนดุแล้ว ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ข้างโซฟา ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ “คุณแบคฮยอนครับ”
“...”
“คุณ...”
แพรขนตาของอีกฝ่ายไม่ได้ยาวเหมือนผู้หญิง แต่ก็เข้ากับใบหน้าขาวยามหลับจนไม่อยากละสายตาไปไหน ชานยอลเหมือนเป็นคนใบ้ ที่ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งจ้องหน้าอีกฝ่ายที่ยังหลับลึกแม้ว่าจะมีเด็กอย่างเขาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของตน
อายุสามสิบสี่จริง ๆ เหรอ?
คุณแบคฮยอนดูเหมือนคนอายุยี่สิบกลาง ๆ มากกว่าคนจะเข้าใกล้เลขสี่ ถ้าบอกว่าเป็นเพราะตัวเล็กก็อาจจะมีส่วน แต่ยังไงก็ยังหน้าเด็กอยู่ดี
เมื่อคืนอยู่ทำงานจนดึกเลยสินะ เห็นอย่างนี้แล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ คุณแบคฮยอนคงเหนื่อย ไหนจะมีเขากับน้องสาวเป็นภาระอีก
เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวว่ากำลังยื่นนิ้วชี้ออกไปใกล้แก้มขาวเข้าไปทุกที สายตาของเขายังไม่ละออกห่างเปลือกตาที่ปิดสนิท ก่อนจะสะดุ้งจนแทบหงายหลังทันทีที่นิ้วชี้ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือเดียว
คนตัวเล็กลืมตาขึ้น ในขณะที่ปาร์คชานยอลได้แข็งทื่อเป็นก้อนหินไปแล้ว เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื้อก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้นิ้วนรกนั่นมันยื่นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่!
เด็กตัวสูงหัวใจเต้นตึกตัก เมื่อตอนนี้เขากำลังสบตากับอีกคนซึ่งใบหน้าอยู่ไม่ห่างกันมากนัก คำต่อว่ากลายเป็นบอลลูนสีขาว มันวิ่งวนอยู่ในหัวเขาเต็มไปหมดเมื่อความเงียบเกิดขึ้น
“อายุก็แค่นี้ แต่ข้อนิ้วใหญ่ชะมัด”
“...”
“ถ้าจำไม่ผิด ผู้ชายจะหยุดสูงตอนอายุยี่สิบหรือเปล่านะ?” เสียงงัวเงียทำให้คนอายุมากกว่าน่าเอ็นดูขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ชานยอลอยากเขกหัวตัวเองสักสิบครั้ง ให้สมกับความคิดบ้า ๆ ที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้
“บางคนก็... สิบแปดมั้งครับ”
“นั่นแหละฉันเลย” คนตัวเล็กยิ้มขำ ก่อนจะจ้องใบหน้าหล่อของเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาอย่างประหม่าไม่ต่างจากวันแรก
ความเงียบกลับมาทักทายปาร์คชานยอลอีกครั้ง แถมยังกอดคอความกระอักกระอ่วนมาเป็นเพื่อนอีกด้วย เด็กหนุ่มไม่กล้าชักมือกลับ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกลัวหรือกำลังรู้สึกดีอยู่กันแน่?
แต่แล้วคุณแบคฮยอนก็ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเขาทำงานหนักอีกครั้ง เมื่ออยู่ ๆ มือที่เคยจับนิ้วชี้เขาไว้เริ่มคลายออก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทาบฝ่ามือกันและกันในที่สุด...
“เธอต้องเป็นลูกยักษ์แน่ ๆ” สายตาของอีกฝ่ายตอนมองมือของเรานั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู หากว่าเขาไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป
ชานยอลกำลังจะตายอยู่แล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเข้าอย่างจัง แต่เด็กหนุ่มก็รักที่จะรู้สึกแบบนี้จนไม่อยากชักมือกลับ ไม่เลยสักนิดเดียว
เขาพยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่มันก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก สักวันหนึ่งปาร์คชานยอลจะชินกับความประหม่าบ้า ๆ นี้ได้ใช่ไหม สักวันเขาจะยิ้มและหัวเราะได้โดยไม่รู้สึกอะไร...
ได้จริง ๆ เหรอ?
“อา หอมชะมัด”
“...”
“แปรงฟันก่อนนะ เดี๋ยวจะฟาดให้เรียบเลย”
เสียงคนตัวเล็กไกลออกไปแล้ว และแค่ครู่เดียวเสียงน้ำจากก๊อกก็ดังขึ้น ชานยอลทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นพรมสีกรมท่าอย่างคนหมดแรง ทาบมือกับหน้าผากตนเองพร้อมมืออีกข้างที่วางอยู่ตรงหน้าอกข้างซ้าย
คุณแบคฮยอนทำอย่างนั้นได้ยังไง?
ไม่สิ... คุณแบคฮยอนทำอย่างนั้นกับเขาโดยไม่รู้สึกประหม่าเลยได้ยังไงกัน?
ชานยอลกำลังฟุ้งซ่าน เขาต้องเรียกสติกลับมาให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ แต่ทำไมมันถึงยากอย่างนี้นะ หัวใจนี่ก็เต้นแรงไม่หยุดเลย
.
.
“อร่อย”
“...ชอบไหมครับ”
“ชอบจนอยากกินแบบนี้ทุกวันเลยล่ะ”
ใจคอจะไม่ปรานีกันเลยใช่ไหม คุณแบคฮยอนเล่นฮุคหมัดตรงพร้อมรอยยิ้มมาอย่างนั้นได้ยังไงกัน ชานยอลคนหน้าโง่แค่ถือตะเกียบค้างไว้ เขาเอาแต่มองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่แสดงสีหน้าเหยเกให้รู้ว่ากับข้าววันนี้มันห่วยแตกจนอยากเททิ้ง
“ผมทำได้นะ เอ่อ ผมหมายความว่าถ้าคุณอยากกินเมื่อไหร่ก็โทรเรียกใช้ผมได้เลย” แบคฮยอนยิ้มขำ คีบหมูชุบแป้งทอดชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วเอาตะเกียบชี้หน้าเด็กหนุ่มที่พูดจาไม่น่ารักอีกแล้ว
“ที่ฉันบอกให้เธอมาทำกับข้าวให้กินนี่คิดว่าใช้เหรอ?”
“เอ่อ... เปล่านะครับ... คือ...”
“ตีมือหักเลยดีไหม ตบปากตัวเองสามทีเลย” คนอายุมากกว่าเลิกคิ้วมองหาเรื่อง ซึ่งชานยอลก็ทำตามอย่างว่าง่าย เห็นอย่างนั้นก็นึกขำอยู่ในใจ แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้แล้วมองคาดโทษ
“ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นครับ... เห็นไหมว่าผมชอบพูดอะไรโง่ ๆ”
“ตบอีกสามครั้ง”
“...”
สายตาเด็กตัวสูงหงอยเหมือนกำลังจะบอกเขาว่ารู้สึกผิดแล้ว ชานยอลตบปากตัวเองสามครั้งพร้อมโค้งศีรษะปิดท้ายเป็นการขอโทษ
“ที่ฉันบอกให้เธอมา ก็เพราะว่าอยากให้มา” เด็กหนุ่มกำลังโดนดุ เขาจึงทำได้แค่นั่งหลังตรง พยักหน้ายอมรับความโง่ของตนเองเท่านั้น “เพราะถ้าหิวจริง ๆ สู้ขับรถไปรับเธอออกไปกินด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ดีครับ...”
“เพราะงั้นเลิกคิดได้แล้ว เดี๋ยวบอกให้มาทำทุกวันอย่างที่พูดจริง ๆ ซะเลย” แบคฮยอนหลุดยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าอีกคนก้มหน้าลูบศีรษะป้อย ๆ หลังจากถูกเขาเคาะด้วยตะเกียบไปเบา ๆ
“ถ้าผมมาจริง ๆ คุณอย่าบ่นนะ”
“เว้นแต่ว่ากับข้าวมื้อนั้นไม่อร่อย”
“เรื่องนั้นบ่นจนผมหูชาได้เลยครับ” ชานยอลรีบตอบ ถ้าเป็นเรื่องกับข้าวเขายอมให้ว่าเท่าไหร่ก็ได้เลย
แต่เดี๋ยวนะ...
“หมายความว่า...”
คุณแบคฮยอนกำลังยิ้ม
“ผมมาหาคุณ... วันไหนก็ได้เหรอครับ?” ไม่ถึงสามวินาทีเลยด้วยซ้ำ ชานยอลก็ยิ้มออกมาอย่างขลาดอายหลังจากเห็นว่าคุณแบคฮยอนพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แต่ต้องนัดก่อนนะ เพราะถ้าฉันออกไซต์งานก็อาจจะกลับดึก เดี๋ยวกับข้าวของเธอจะรอเก้อ”
“ครับ” ชานยอลกำลังมีความสุข สุขมากจนไม่สามารถกลั้นยิ้มเอาไว้ได้ “ถ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็บอกผมนะ”
“ตกลงครับเชฟ” แบคฮยอนโค้งศีรษะเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี
.
.
ทีวีคือสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบในโถงกว้าง เวลาบ่ายสองครึ่ง ชานยอลกำลังนั่งรอคุณแบคฮยอนอาบน้ำ ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีอีกฝ่ายก็ออกมาในชุดเตรียมพร้อมเหมือนคนกำลังจะออกไปข้างนอก
“ครับแม่”
“...”
“ผมอาบน้ำแล้ว กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
เด็กตัวสูงไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่ก็แกล้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ คุณแบคฮยอนเอาสมาร์ทโฟนแนบหูกับไหล่ เดินคุยโทรศัพท์ไป ใส่นาฬิกาข้อมือไป ก่อนจะหมุนตัวหันกลับมามองเขา
“ผมจะพาชานยอลไปด้วย”
เดี๋ยวนะ...?
“ครับ เขาอยู่กับผม” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หลุบสายตาลงมองคนตัวเล็กตรงหน้า ในชุดเชิ้ตลายทาง ข้างในเป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดสปีกเกอร์โฟน “พูดสิ”
“อะ... สวัสดีครับ” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มกรอกเข้าไปในสาย มันเบามาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปเอาความมั่นใจจากไหนกล่าวทักทายคนในสาย ชานยอลยังคงงุนงงกับชื่อตัวเองที่เข้าไปอยู่ในบทสนทนาของคุณแบคฮยอน
( สวัสดีจ้ะ ชานยอลใช่ไหม? )
“ครับ... ผมเอง” เด็กหนุ่มทำตัวไม่ถูก ในขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มขณะยืนถือโทรศัพท์ไว้ใกล้ริมฝีปากของเขา
( เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีนะ? )
“ครับ ผมสบายดี...”
“ไว้ค่อยถามตอนเราไปถึงแล้วกันครับแม่ แล้วเจอกันนะ”
( โอเคจ้ะ ขับรถดี ๆ นะลูก )
“ครับ” คนตัวเล็กวางสายไปแล้ว ตอนนี้คงถึงเวลาที่ชานยอลจะได้แสดงความสงสัยผ่านทางสีหน้าสักที
“แม่คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ?” เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังคนอายุมากกว่าที่กำลังเดินไปคว้ากุญแจรถและกระเป๋าเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ฉันกับแม่สนิทกันมาก เราคุยกันแทบจะทุกเรื่องเลย” คุณแบคฮยอนหันมายิ้ม “อย่าคิดมาก พ่อกับแม่ฉันเป็นคนดี”
“...”
มันเกินกว่าที่คิดไปนิด ตอนนี้ชานยอลได้รู้อีกอย่างว่าโลกใบเล็กของเขามันเริ่มกว้างขึ้น เมื่อหันไปเห็นคนอื่นที่ไม่ได้มีแค่คุณแบคฮยอน
“ท่านไม่ได้คิดว่าผมเป็นภาระให้คุณ... ใช่ไหมครับ?”
“ถ้าคิดอย่างนั้น ฉันก็คงไม่ได้เลี้ยงดูเธอกับซูยองมาจนถึงทุกวันนี้หรอก วางใจเถอะ ท่านจะรักเธอเหมือนที่ฉันรัก”
จู่ ๆ หัวใจก็เต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาเสียอย่างนั้น ชานยอลไม่สามารถพ่นความกลัวออกไปได้อีก เมื่ออีกฝ่ายจงใจหยุดความกังวลเหล่านั้นเอาไว้ด้วยประโยคเมื่อครู่
“ตอนนี้เด็กชายชานยอลมีสองทางเลือก หนึ่ง คือให้ฉันไปส่งที่บ้าน หรือ--” เจ้าของชื่อมองเรียวนิ้วทั้งสองที่ชูขึ้นระดับปลายคางตนเอง “ไปบ้านพ่อกับแม่ฉันที่ซูวอน”
“...”
“มีเวลาสิบวินาที ตอนนี้เหลืออีกแค่ห้าวิ ติ๊กต่อก ติ๊ก--”
“ผมจะไปกับคุณครับ!”
เรื่องอะไรจะปฏิเสธ ต่อให้จะประหม่ากับการไปเจอคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณแบคฮยอนก็ตามที แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนี้ เขาก็จะเชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี
ชานยอลเชื่อ... ขอแค่คำพูดนั้นออกมาจากปากคุณแบคฮยอน
TBC
ไขคดีบ้านสามหลังเนาะ โอ้ย อ่านเมนท์แล้วขำแรงมาก คือพากันคิดไกลไปไหนนนนนนนนนนน คือตอนเขียนเราไม่ได้คิดไรเลยเว้ยคุณ 5555555555555555
แบบ บ้านพ่อแม่ก็บ้านหลังแรก คอนโดก็บ้านหลังที่สอง และที่บอกว่าบ้านชานยอลเป็นหลังที่สามก็เพราะว่าชานยอลเพิ่งให้กุญแจบ้านตัวเองกับแบคฮยอน ตอนนั้นแบคฮยอนเลยรู้สึกแบบ รู้สึกดีอะ ที่น้องมันเปิดใจรับเราเป็นส่วนนึงในครอบครัวนะไรงี้
5555555555 บางคนบอก ก็ออนนี่เน้นตัวหนานี่คะ หนูเลยคิดเยอะ!!!
เออ อันนี้ยอมรับผิดก็ได้ เพราะทำจริง แต่ทำแบบนี้ทุกเรื่อง ทุกตอนเลย ตัวหนาท้ายตอนตลอดดดด 55555555555555555555555555
ตอนหน้าไปเจอพ่อแม่เค้าน้า อิอิ
ความคิดเห็น