คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 03 :: Your Homework
Chapter 3
Your Homework
ซ่า...
เสียงน้ำไหลจากก๊อกอย่างแรงก่อนจะถูกกวักล้างหน้าในวินาทีถัดมา บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงสายลมเบา ๆ ที่พัดผ่านมาเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว คนที่เรียนเสริมก็แยกย้ายกลับไปจนไม่เหลือใครเดินผ่านตามระเบียงทางเดินบนอาคารสักคน
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วปล่อยให้น้ำตามดวงหน้าหยดลงพื้นหญ้าก่อนจะปิดก๊อกน้ำในอ่างที่ตั้งอยู่ข้างสนาม เป็นเพราะห้องน้ำในตึกถูกปิดใช้งานเซฮุนเลยต้องระเห็ดลงมาถึงข้างล่าง ซึ่งมันดูเหมือนเป็นการไล่ให้เด็กบ้าซ้อมเต้นอย่างเขารีบกลับบ้านทางอ้อม
เซฮุนซับผ้าขนหนูสีขาวแล้วเงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืน หลายครั้งที่เคยสับสนว่าทำไมถึงชอบอยู่คนเดียวทั้ง ๆ ที่บางครั้งก็ต้องการเพื่อน อย่างเช่นตอนนี้ที่โอเซฮุนกำลังรู้สึกดีกับการยืนอยู่คนเดียวในโรงเรียน แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ต้องการใครสักคนที่สามารถคุยเรื่องอะไรในโลกก็ได้อย่างสนิทใจ คนที่ทำให้ตอนกลางคืนมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มลดผ้าขนหนูลงระดับปลายคางเมื่อหันไปเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากตรงนี้มากนัก เซฮุนไม่แน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเดียวกับคนที่เขาอยากให้อยู่ในความคิดหรือเปล่า
คิมจงอินดูดีแม้กระทั่งยืนอยู่เฉย ๆ เซฮุนคิดอย่างนั้น...
“คิดว่าผีหลอกซะอีก”
น่าตลกชะมัดที่อยู่ ๆ ก็ใจเต้นแรงเพราะจงอินเป็นฝ่ายทักก่อน เด็กหนุ่มตัวผอมยิ้มเจื่อนแม้ว่าอีกคนจะมองไม่เห็นเพราะมุมที่เขายืนอยู่มันย้อนแสงสปอร์ตไลท์ เอาไงดีเซฮุน...ควรเดินไปตรงนั้นเลยหรือว่าควรจะออกปากทักทายก่อนดี
“แล้ว...นายกลัวผีไหม”
ปัญญาอ่อนน่ะโอเซฮุน...เป็นบ้าหรือไงถึงได้ถามอะไรโง่ ๆ ออกไปแบบนั้น และยิ่งตอนที่จงอินหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับว่าเห็นด้วยแล้วก็ยิ่งอยากเอาหัวโขกอ่างล้างหน้าซีเมนต์ให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ
“ถ้าบอกว่ากลัว นายจะเดินออกมาจากมุมนั้นหรือเปล่า”
“...”
เด็กตัวผอมยืนนิ่งทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากผู้ชายคนนั้น จงอินกำลังเดินมาทางนี้โดยที่เขาไม่ต้องเดินเข้าไปหา แน่นอนว่ามันทำให้โอเซฮุนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อยราวกับว่าเพิ่งผ่านลำดับขั้นตอนอะไรสักอย่างไป
ขายาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ส่วนสูงไม่ต่างกันนัก เขาเห็นว่าจงอินสวมหูฟังไว้แค่ข้างเดียวเท่านั้น โอเซฮุนอยากหัวเราะตัวเองที่คิดเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ได้ว่าการที่จงอินสวมหูฟังไว้ข้างเดียวก็เพราะว่าจะใช้หูอีกข้างฟังเสียงของเขาไปพร้อม ๆ กับเสียงเพลง
“กะจะซ้อมเต้นถึงเที่ยงคืนเลยหรือไง”
“เปล่า ตอนแรกไม่ได้ดูนาฬิกาเลยคิดว่าตอนนี้คงเพิ่งสองสามทุ่ม แต่พอเห็นห้องน้ำปิดเลยรู้ว่ามันดึกแล้ว”
“อ้อ” จงอินพยักหน้าแล้วเดินถอยหลังไปทีละก้าว เชื่อเถอะว่าตอนนั้นโอเซฮุนรู้สึกอะไรบางอย่างที่มันไม่ควรเกิดขึ้น อาทิเช่นการอยากรั้งอีกคนไว้ให้อยู่ด้วยกันก่อน ซึ่งเขาเองก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ว่าเพราะอะไรจงอินถึงจำเป็นต้องอยู่ต่อกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานด้วย
“ทำไมถึงเพิ่งกลับล่ะ พวกเรียนเสริมกลับไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” สุดท้ายเซฮุนก็หาทางออกให้กับเรื่องนี้ด้วยการชวนคุย ซึ่งจงอินก็ไม่ได้แสดงออกทางสายตาให้เขาต้องรู้สึกประหม่ามากไปกว่านี้
“พอดีแวะไปดูเพื่อนซ้อมว่ายน้ำมาน่ะ อันที่จริงมันโทรตามให้ไปนั่งกินจาจังเป็นเพื่อน”
“อ๋อ...หวงจื่อเทาใช่ไหม?”
“รู้จักด้วย?”
“ก็พอเคยได้ยิน ต้องถามว่ามีใครบ้างที่ไม่รู้จักนายสามคน” พูดจบคนฟังก็หลุดยิ้มออกมา
“แล้วนี่จะกลับซ้อมต่อเหรอ” จงอินถามพลางหันไปมองอาคารเรียนที่เปิดไฟอยู่แค่ไม่กี่จุด
เซฮุนคิดว่าคำถามนี้มันต้องใช้เวลาคิด เด็กหนุ่มไม่รู้ว่ามันคือเรื่องบ้าอะไรแต่เขาต้องการให้คำตอบออกมาแบบที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันต่ออีกสักนิด ซึ่งเซฮุนไม่รู้เลยว่าถ้าหากเขาตอบว่าอยู่ต่อ...จงอินจะขอแยกตัวกลับเลยหรือเปล่า และถ้าบอกว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน...จงอินจะยอมรอเขาวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าสักสามนาทีไหม
“ถ้ายังไม่กลับ ฉันขึ้นไปนั่งเล่นในห้องซ้อมด้วยได้หรือเปล่า?”
.
.
ในห้องซ้อมสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกว่าห้องเรียนเพียงเล็กน้อยนั้นมีเด็กหนุ่มสองคนนั่งพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้ามอของกระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้แม้กระทั่งหลอดไฟที่ติดอยู่ตามเพดาน
ขายาวทั้งสองข้างเหยียดออกอย่างผ่อนคลายก่อนจะคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ข้างกระเป๋าเป้ขึ้นมาดื่ม ระหว่างนั้นก็ชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพลางเคาะปลายนิ้วลงบนหน้าขาอีกข้างที่เหยียดออกมาแล้วก็ได้แต่คิดว่าเพราะอะไรกันนะที่ทำให้เราสองคนได้คุยกันอย่างจริงจังอีกครั้ง ทั้งที่เซฮุนคิดว่าเมื่อเช้ามันอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วแท้ ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกดีกับการที่คิมจงอินนั่งอยู่ตรงนี้ แม้ว่าจะยังประหม่าอยู่ก็ตาม
“กว้างเอาเรื่องนะเนี่ย อยากรู้จริง ๆ ว่าตอนทางโรงเรียนตกลงเรื่องงบประมาณสร้างห้องซ้อมเต้นนี่ต้องระดมทุนกันสักเท่าไหร่” เหมือนจะถามแต่ก็ดูเหมือนว่าจงอินจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
“หลายคนบอกว่ามันไร้สาระ แต่สำหรับฉันมันคือข่าวดีนะ”
“ก็คงงั้น นี่กลิ่นยังใหม่อยู่เลย สร้างมานานแค่ไหนแล้ว?”
“เกือบปีแล้ว วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนหน้าก็ครบหนึ่งปีพอดี”
“จำได้ด้วย?” จงอินหันมาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย ซึ่งคนถูกถามเพียงแค่อมยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
“ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบมาก ๆ ฉันก็จะใส่ใจกับมันเป็นพิเศษน่ะ”
“แสดงว่าไม่ค่อยได้ใช้งานบ่อย ทุกอย่างยังดูใหม่มากจริง ๆ”
“ฉันใช้อาทิตย์ละสี่วัน ส่วนเด็กในชมรมก็มาบ้าง แต่พวกเราช่วยกันดูแลของน่ะ เพราะถ้ามันโทรมไม่น่าอยู่ก็กลัวจะถูกยุบชมรม”
บรรยากาศดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ เซฮุนมองรองเท้าผ้าใบสีขาว-ดำของอีกคนแล้วก็หันมามองรองเท้าของตัวเองซึ่งเป็นสีดำล้วน และที่น่าสนใจคือสีขาวที่ควรจะสกปรกมันกลับดูสะอาดเกินกว่าเด็กผู้ชายคนนึงจะดูแลได้ แต่พอเห็นว่ามันเป็นรองเท้าของคิมจงอิน คนที่ดูแลหูฟังสีขาวเป็นอย่างดีเซฮุนเลยโยนความคิดนี้ทิ้งไป
“เมื่อก่อนซ้อมเต้นที่ไหน”
“อาคารสี่ ในห้องเก็บของยังมีพื้นที่ว่างอยู่เลยซ้อมเต้นได้” เด็กหนุ่มนึกไปถึงเมื่อก่อนตอนที่เริ่มหัดเต้นใหม่ ๆ “ตอนนั้นมีกระจกแค่บานเดียวเอง กว้างเท่านี้” เซฮุนยืดแขนออกมาทำท่าประกอบ
“ชอบเต้นมากถึงขั้นยอมทนอยู่ในที่อับ ๆ แบบนั้นได้นี่สุดยอดจริง ๆ”
“นายไม่เคยพยายามเพราะชอบสิ่งนั้นมาก ๆ เหรอ?” เซฮุนหันไปถามซึ่งจงอินไม่ได้ตอบทันที เด็กหนุ่มผิวแทนนิ่งไปราวกับว่ากำลังใช้ความคิดก่อนที่เขาจะหันมาส่ายหน้าช้า ๆ “งั้นนายก็คงไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจหรอก โทษที”
“อย่าทำเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่สิ” เด็กตัวผอมทำมือปัด ๆ แบบขอไปที
และหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ถูกความเงียบเล่นงาน ซึ่งดูเหมือนว่าจงอินก็คงรู้สึกได้เช่นกัน แอบรู้สึกแย่อยู่นิด ๆ ที่เป็นคนคุยไม่เก่ง เพราะพอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกเห็นใจจงอินที่ต้องมานั่งอยู่กับคนใบ้พูดได้นิดหน่อยอย่างเขา
“ที่บอกว่าเคยได้ยินเรื่องฉันกับเพื่อนน่ะ เคยได้ยินมาแบบไหนล่ะ” ครั้งที่สองแล้วที่ผู้ชายคนนี้เป็นฝ่ายชวนคุยก่อน เซฮุนเลียริมฝีปากพลางหมุนขวดน้ำในมือเล่นคลายความอึดอัด
“กลุ่มพวกผู้หญิงในห้องกรี๊ดกัน พวกเธอบอกว่านายสามคนมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนกัน”
“งั้นเหรอ ยกตัวอย่างเช่น?” พอเป็นเรื่องนี้จงอินก็ดูสนใจขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้หันหน้าเข้าหาเขาราวกับจะกดดันให้เล่ายังไงอย่างนั้น
“ฉันไม่รู้ แค่บังเอิญได้ยินมานิดหน่อย” เซฮุนชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่ยังไม่ละสายตาไปไหน “นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยมีเพื่อน”
“แต่ฉันไม่รู้ว่านายกั๊กอะไรไว้หรือเปล่านี่?”
“...”
“บอกมาเถอะน่า ถ้าไม่มีใครติดกล้องวงจรปิดไว้ ที่นี่ก็มีแค่ฉันกับนาย”
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่เด็กหนุ่มผิวแทนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เล่าเถอะ ซึ่งเหตุผลที่เซฮุนไม่อยากเล่านั้นไม่ใช่อะไร เขาก็แค่ไม่อยากรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจนเก็บมาประติดประต่อเป็นเรื่องเป็นราวได้ก็เท่านั้นเอง
“พวกเธอบอกว่าชอบคนถ่อย ๆ แบบปาร์คชานยอล ปากดีแต่เท่ชะมัด”
“ผู้หญิงชอบแบบนั้นกันเหรอ ให้ตายสิ” จงอินเบ้หน้าก่อนจะยิ้มขำ
“ส่วนจื่อเทาดูท่าจะป๊อปปูล่าที่สุดเพราะเขาเล่นกีฬาเก่ง หุ่นดี ฉันเห็นพวกผู้หญิงในห้องชอบเอารูปในเฟซบุ๊คของเขามาเปิดดู แถมเป็นรูปใส่กางเกงในว่ายน้ำตัวเดียวด้วย”
“โทษนะ ที่เล่า ๆ มานี่ไม่ใช่แค่บังเอิญไปได้ยินแล้วมั้ง?” จงอินหรี่ตามองคนข้าง ๆ ที่กำลังปั้นหน้านิ่งทำตาปริบ ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขินพลางยิ้มแห้ง ๆ
“ก็ฉันนั่งใกล้กลุ่มนั้น”
“อ่าฮะ แล้วฉันล่ะ?”
เซฮุนรู้ว่าคำถามนี้ตอบยากที่สุด หรือความจริงแล้วเขาไม่อยากตอบเพราะส่วนหนึ่งที่เคยได้ยินมามันค่อนข้างที่จะตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเห็น ผู้หญิงพวกนั้นบอกว่าจงอินเป็นผู้ชายหุ่นดีน่ากอด เป็นคนเงียบ ๆ ชอบดุคนอื่นทางสายตาแต่นั่นแหละคือเสน่ห์ ยิ่งตอนเวลาถอนหายใจหงุดหงิดก็ยิ่งเท่ พวกเธอบอกว่าอยากเป็นเหตุผลที่ทำให้คิมจงอินยิ้มได้บ้าง เพราะผู้ชายคนนี้ยิ้มแค่ตอนคุยกับเพื่อนถ่อย ๆ อีกสองคนเท่านั้น ซึ่งเขาคิดว่ามันไม่ใช่เลย
“พวกเธอบอกว่า...” เซฮุนหันเข้าหาอีกฝ่ายที่กำลังมองมาระหว่างรอคำตอบ จงอินชอบดุคนอื่นทางสายตาที่ไหน พวกผู้หญิงคิดไปเองทั้งนั้น “นายเป็นคนน่าค้นหา”
“หืม?”
“ก็...เธอบอกว่าเห็นนายเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด ต่างจากเพื่อนอีกสองคนน่ะ”
“แค่นี้?”
“ใช่” เซฮุนยิ้มเจื่อนแล้วลุกขึ้นไปเปิดเพลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับอีกคน “ผิดหวังเหรอที่ไม่ป๊อปเท่าเพื่อนอีกสองคน”
“เฮ้ ฉันถามเพราะอยากรู้ว่ายังมีอีกหรือเปล่า ไม่ได้ถามซ้ำเพราะผิดหวัง แล้วที่มองแบบนั้นคืออะไร แอบสมน้ำหน้าฉันในใจเหรอโอเซฮุน?” เขาเห็นว่าเจ้าของชื่อยิ้มตาหยีหลังจากที่เขาคาดโทษไป “พ่อคนป๊อปปูล่า หล่อเหลือเกินตอนเต้นเนี่ย สาวคงกรี๊ดสลบ”
“งั้นมาเต้นด้วยกันไหม นายจะได้หล่อขึ้น” เด็กหนุ่มผิวแทนเบือนหน้าไปอีกทางแล้วแค่นหัวเราะ นี่โอเซฮุนคิดว่าตัวเองหล่อมากนักใช่ไหมเนี่ย
จงอินมองอีกคนที่กำลังเต้นเพลง Move Like Jagger ทั้งจังหวะและสีหน้าของหมอนั่นดูเข้ากันได้ดีอย่างไม่มีจุดบกพร่อง ร่างกายที่พลิ้วไหวบ่งบอกได้ว่าคนตรงหน้าชอบการเต้นมากจริง ๆ เพราะจากที่เคยเห็นไอ้เทาเต้นท่าโง่ ๆ หน้าแสตนด์เชียร์ในงานกีฬาสีปีที่แล้วเขากับไอ้ชานยอลก็พากันลงความเห็นเหมือนกันว่าแข็งทื่อเหมือนท่อนซุงไม่มีผิด และเขาก็ได้รู้ว่าการเต้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เต้นเป็นไหม?”
“ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นสำหรับชีวิตน่ะ” ถึงคำตอบจะไม่น่าฟังแต่เซฮุนก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเพราะจังหวะดนตรีที่ยังคงเล่นไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
“แต่ลองสักหน่อยก็ไม่เสียหายนะ”
“ไม่เอาล่ะ คนเต้นไม่เป็นให้ลุกไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ คงตลกตาย”
“ก็ไม่ได้ให้เต้นเป็นท่าสักหน่อย ลุกเร็ว” เซฮุนกวักมือเรียกคนที่ยังคงนั่งชันเข่าพิงกับผนัง แต่จงอินกลับปั้นหน้านิ่งไม่สนใจ “ในห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด ตรงนี้มีแค่ฉันกับนาย” เด็กหนุ่มผิวแทนแค่นหัวเราะเมื่อโอเซฮุนเอาคำพูดของเขามาบีบกันซะได้
จงอินวางมือถือที่ยังคงเสียบกับหูฟังไว้กับพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเนือย ๆ สาบานเลยว่าถ้าโอเซฮุนทำให้เขาต้องอายงานนี้ได้มีคนตายแน่ มนุษย์ตาสระอิยิ้มพอใจแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะจับแขนทั้งสองข้างให้กางออก
“อะไร”
“จะสอนให้เวฟแขน” คนตัวผอมปล่อยมือออกแล้วกางแขนท่าเดียวกันกับเขาก่อนจะเวฟแขนให้ดู “อย่างนี้”
“ฉันทำไม่ได้หรอก ดูสิ อย่างกับหุ่นไล่กา” จงอินมองตัวเองผ่านกระจกแล้วก็เวทนาเหลือเกิน
“ได้อยู่แล้ว เริ่มจากกำนิ้วลงก่อน” เซฮุนทำท่าประกอบขณะมองมือหนาที่ยังเหยียดออกตรงแข็งทื่อเหมือนในทีแรก “กำสิกำ”
“นี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่เหรอ”
“เถอะน่า...” ตั้งแต่รู้จักกันมาได้ไม่กี่วัน พูดคุยกันไม่กี่ประโยค คิมจงอินก็เพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าโอเซฮุนก็อ้อนเป็นเหมือนกันเวลามันต้องการอะไรสักอย่าง “ใช่ แล้วก็หักข้อมือลง อ่า...อย่างนั้น แล้วก็งอศอกลง ใช่ ๆ คราวนี้ยกไหล่ขวาขึ้นนะ”
เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจว่าถ้าเกิดเพื่อนรักทั้งสองมาเห็นฉากนี้คงได้มีล้อกันยันชาติหน้าเป็นแน่ นี่คิมจงอินกำลังหัดเต้นอยู่งั้นเหรอ มันคือเรื่องตลกในรอบปีชัด ๆ ยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักแม้แต่เพลง Good Boy ที่ใครเขาก็รู้จักนั่นน่ะ ถ้าไอ้เทาไม่เปิดกรอกหูอยู่บ่อย ๆ ป่านนี้คิมจงอินคงได้ขายหน้าไปแล้ว
“เห็นไหมว่าทำได้ คราวนี้ลองเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นนะ”
คิมจงอินควรจะกลับบ้านได้แล้วเขาบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้อีกคนจับแขนเพื่อจัดท่าทางที่ถูกต้องให้จนกว่าการเวฟแขนจะเป็นที่น่าพอใจ มันยากในทีแรกแล้วก็ไม่สนุกเหมือนตอนรัวนิ้วกับเปียโนเลยสักนิด แต่พอคิดว่าไม่อยากเสียฟอร์ม จู่ ๆ คิมจงอินก็เสือกมีความพยายามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เซฮุนกำลังยิ้มอย่างพอใจ บอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยนะว่าเขาหมั่นไส้ตาสระอิของหมอนี่อยู่ไม่น้อยเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ปั้นหน้านิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก แต่พอเป็นเรื่องเต้นแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มแป้นจนปากแทบฉีกถึงใบหู แต่ที่บ้าไปกว่านั้นคือเขาเสือกลุกขึ้นมาเต้นด้วยนี่แหละ
เซฮุนถามว่ารู้จักเพลงไหนบ้างนอกจากเพลงของ Yiruma ซึ่งมันเป็นคำถามที่ค่อนข้างกวนตีนนะ แต่จากสายตาที่มองมานั่นแหละที่ทำให้คิมจงอินรู้ว่าไอ้หมอนี่มันถามเพราะไม่รู้จริง ๆ
เด็กหนุ่มผิวแทนตอบไปส่ง ๆ ว่ารู้จักกังนัมสไตล์ เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นแหละคนตัวผอมก็เดินไปเปิดเพลงแล้วพาเขาเต้นท่าควบม้ากันอย่างบ้าคลั่งเหมือนคนเก็บกด ความกระดากอาย...ฟอร์มจัดที่เคยมีหายไปชั่วเวลาหนึ่งเมื่อสนุกอยู่กับเสียงเพลง จนกระทั่งเราสองคนนอนแผ่หลากลางห้องซ้อมพลางหอบหายใจอย่างหนักนั่นแหละทุกอย่างถึงได้สงบลง
“รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“การเต้นไม่ใช่เรื่องน่าอายนะ”
“นั่นมันสำหรับนาย ไม่ใช่สำหรับฉันไง”
“อย่าคิดมาก บอกแล้วว่าห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด”
ทั้งคู่นอนเหยียดขาไปคนละฝั่ง แต่ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน และที่ทำให้รู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุนก็ตอนที่หันหน้าเข้าหากัน ระยะห่างเพียงน้อยนิดช่างน่าอึดอัดแต่ก็ทำให้ใจเต้นแรงแปลก ๆ
เราควรจะสบตากันแบบนี้ต่อไปไหม หรือควรหันหน้าหนีไปเพื่อหยุดความรู้สึกประหลาด ๆ ในตอนนี้ จงอินไม่ยอมถอยและเซฮุนเองก็ไม่ต้องการอย่างนั้น ถ้าจะมองหน้าผู้ชายคนนี้ต่อไปมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?
“นอกจากเพลงของ Yiruma แล้วนายฟังของนักเปียโนคนอื่นบ้างไหม”
“ฟังสิ”
“ใครบ้าง”
“ถ้าบอกแล้วจะรู้จักหรือไง”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้หรอก แต่ถ้านายบอกฉันก็จะได้รู้” จงอินมองแววตาคู่นั้นที่ยังคงไม่ละห่างไปไหนก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบเอามือถือพร้อมหูฟังแถมสมุดปากกามาด้วย เซฮุนลุกขึ้นนั่งแล้วมองคนตรงหน้าด้วยความสนใจเมื่อจงอินยื่นหูฟังอีกข้างมาให้
“ของ Frank Mills ชื่อเพลง Music Box Dancer”
เซฮุนทำตาโตก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่นั่งมองราวกับจะรอดูผลว่าเขารู้สึกยังไงกับเพลงนี้ คนตัวผอมอมยิ้มแล้วโยกตัวไปตามจังหวะเหมือนกับเด็ก
“ฟังแล้วปากมันก็ยิ้มเอง ยังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเทพนิยายเลย” ประโยคนี้ทำให้คนตรงหน้ายิ้มตาม เซฮุนพอจะรู้แล้วว่ามีเรื่องไหนในโลกบ้างที่ดูดรอยยิ้มของคิมจงอินได้ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องเปียโน
“เขาเป็นนักเปียโนชาวแคนนาดา ตอนเพลงนี้เกิดฉันกับนายยังเป็นวุ้นอยู่เลย”
“รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนที่ไหน นายคงชอบเปียโนมากเลยสินะ” ได้ยินอย่างนั้นจงอินไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “แล้วเล่นเป็นหรือเปล่า?”
“นิดหน่อย”
“ไว้สอนบ้างได้ไหม”
“ไม่ล่ะเสียเวลา”
เด็กตัวผอมทำตาโตอ้าปากหวอทันทีที่ถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย จงอินดึงปลอกปากกาออกแล้วจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุดก่อนจะฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นให้คนตรงหน้า
“ไปนอนฟังเพลงทั้งหมดที่ฉันจดให้แล้วก็แยกให้ได้ว่าเพลงไหนชื่อเพลงอะไร พอถึงตอนนั้นแล้วจะพิจารณาดูอีกทีว่าจะสอนให้ดีหรือเปล่า” เซฮุนรับกระดาษมาถือไว้แล้วดูลิสต์รายชื่อเพลง
“แค่สี่เพลงเองเหรอ?” เด็กตัวผอมมองตามอีกคนที่เดินไปคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายก่อนจะกระชับปกเสื้อ
“ง่ายไปหรือไง”
“หรือนายจะบอกว่ามันยาก...ฉันไม่ได้จะอวดเก่งนะแต่แค่สี่เพลงวันเดียวก็แยกออกแล้ว” เซฮุนตะโกนไล่หลังอีกคนที่ตอนนี้เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูแล้ว เด็กหนุ่มผิวแทนหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะดึงประตูเข้าหาตัว
“จำได้เร็วเท่าไหร่ก็จะได้สอนเร็วขึ้นเท่านั้น อย่าให้ฉันต้องรอต้องพิจารณานานเกินไปล่ะ”
TBC
สุขสันต์วันเกิดคิมจงอิน <3
โถ เขียนบทจงอินเป็นคนเต้นไม่เป็นแล้วก็ขรรม 55555555555555555
หลังจากหายหน้าไปหลายวัน ตอนนี้จะกลับมาเขียนฟิคแล้วนะคะ เรียกแรงบันดาลใจกลับมาได้แล้ว ขออภัยที่ห่างหายไป แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามฟิคของเราอยู่นะคะ
ความคิดเห็น