ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    蓮花, Liánhuā ; #ฟิคเหลียนฮวา | chanbaek kaihun

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 :: 安心 อุ่นใจ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 60


    F
    a
    n
    t
    a
    s
    t
    i
    c

     

     


    บทที่ 2

    安心 อุ่นใจ

     

     



    อะไร ทำหน้าเช่นนั้นไม่พอใจงั้นหรือ?

    ชานเลี่ยมองคนตัวเล็กที่กอดหมอนกับผ้าห่มผืนเก่าไว้แนบอกขณะยืนอยู่หน้าคอกม้า ป๋ายเซียนส่ายศีรษะปฏิเสธ แม้จะไม่คุ้นชินกับกลิ่นแปลก ๆ ที่คละคลุ้งอยู่ใต้จมูกซึ่งคาดว่าคงเป็นกลิ่นสิ่งปฏิกูลของเจ้าจิ้นฝู แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องปรับตัวเข้ากับที่นี่ให้ได้

    ในเมื่อเลือกขออาศัยพักพิงคนแปลกหน้า คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เปียนป๋ายเซียนจะเอ่ยปากสั่งผู่ชานเลี่ยปูที่นอนนุ่ม ๆ ให้ ในสายตาอีกฝ่ายเขาคือโจรกระจอกไร้ที่พักพิง หาใช่องค์ชายห้าแห่งวังหลวงไม่

    รีบนอนเก็บแรงอันน้อยนิดของเจ้าไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่ตะวันฉายขึ้นบนนั้น เจ้าต้องตื่นมาใช้หนี้ให้ข้า ชายหนุ่มชี้นิ้วขึ้นฟ้า ก่อนจะลดระดับสายตามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนใจของอีกฝ่าย

    เจ้าจะพาข้าไปทำอะไรหรือชานเลี่ย?

    ตื่นมาเดี๋ยวก็รู้

    คงเป็นตักน้ำใส่โอ่ง หรือไม่ก็อาบน้ำให้ม้าใช่หรือไม่?

    มากกว่านั้น ชานเลี่ยยกยิ้มก่อนจะเอาตะเกียงจ่อใต้คางตนเอง ป๋ายเซียนเอนถอยหลังเล็กน้อย แม้จะไม่เคยเห็นผีกับตา แต่เรื่องเล่าวัยเด็กจากพี่รองก็ทำให้ผวามาจนถึงปัจจุบัน ผู่ชานเลี่ยไม่ควรทำเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ยามฟ้ามืดแล้วมันเป็นงานใช้กำลังที่คนอย่างเจ้าคงหมดแรงได้ง่าย ๆ

    แบกไหมังกรหรือ?ป๋ายเซียนเดินตามอีกคนเข้าไปในคอกม้า ได้ยินเจ้าจิ้นฝูฟึดฟัดเสียงขึ้นจมูกก็อุ่นใจว่าอย่างน้อยค่ำคืนนี้ก็ไม่ได้นอนเพียงลำพัง

    ยิ่งกว่านั้น ชานเลี่ยผินหน้าไปทางกองฟางหญ้าแห้ง นึกสนุกกับการปั่นหัวอีกฝ่าย ยิ่งเห็นสีหน้าที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าฟันกระต่ายคงไม่เคยทำมาก่อนก็ยิ่งอยากแกล้ง

    ได้ ข้าจะทำ ความมุ่งมั่นมาพร้อมแววตาใส ๆ ป๋ายเซียนมองกองฟางหญ้าแห้งที่ซ้อนทับกัน พลางนึกไปว่ามันจะหยาบและทำให้คันไปทั้งตัวหรือไม่ เจ้าคงทำงานหนักมาตลอดชีวิต เหนื่อยมากเลยใช่ไหม?

    ชายชาตรีก็อย่างนี้ ไม่เหมือนเจ้า

    การเป็นชายชาตรีได้จำเป็นต้องใช้กำลังอย่างเดียวหรือ?

    แล้วคิดว่าอะไรทำให้เจ้าดูเป็นชายชาตรีเล่าหือ? ชานเลี่ยย้อน หากแต่เจ้าฟันกระต่ายกลับไม่หลบสายตาหรือก้มหน้าครุ่นคิด ดวงตาคู่นั้นสบมอง กอดผ้าห่มกับหมอนไว้แนบอกก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ

    ความรู้ที่ข้ามี

    ฮะ! เกือบจะหล่อแล้วถ้าข้าไม่นึกขึ้นได้ก่อนว่าความรู้มันกินไม่ได้ ชายหนุ่มจิ๊ปากซ้ำ ๆ นึกเอือมคนตรงหน้า เจ้าฟันกระต่ายทำให้เขานึกถึงพวกกินตำรามาเกิดที่ดีแต่มือไขว้หลังเดินทีละก้าวสองก้าว สยายพัดอวดรู้ไปวัน ๆ เช่นนั้นจะทันกินอะไร

    ความรู้มีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้กิน ผู่ชานเลี่ย

    เหอะ ถ้าเกิดมีสงครามและเจ้ากำลังจะอดตาย ระหว่างทางเดินไปเจอกระสอบข้าวแต่มันกลับอยู่ข้าง ๆ เสือโคร่งตัวใหญ่ เจ้าจะทำเช่นไร?

    ป๋ายเซียนไม่ได้ตอบคำถามในทันที ชานเลี่ยจึงยกยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เจ้าฟันกระต่ายถูกไล่ต้อนจนมุมแล้ว พวกอ้างว่ามีความรู้ก็เป็นเช่นนี้ทุกคน ปัญญาน่ะมีได้แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือกำลัง... ไม่รู้หรือ?!

    แล้วถ้าเป็นเจ้าเล่า? นึกขำในใจที่อีกฝ่ายย้อนถาม คงนึกคำตอบดี ๆ ไม่ได้จึงหาเรื่องถ่วงเวลาสินะ ย่อมได้... เขาจะทำให้เจ้าฟันกระต่ายได้รู้แจ้งเองว่าการมีความรู้ที่แท้จริงคืออะไร

    ข้าจะยิงธนูฆ่าเสือแล้วแบกกระสอบไป ทันทีที่พูดจบก็หน้าเสียเมื่อคนข้างตัวกำมือป้องปากขำ คำตอบของเขามันน่าขันตรงไหนกัน เดี๋ยวก็ปาดคอคาคอกม้าเสียหรอกเจ้าขำอะไร?

    “ข้านึกขำตรงที่หลังจากผ่านสงครามเจ้ายังเหลือลูกธนูมากพอที่จะยิงเสือโคร่งได้ป๋ายเซียนวางผ้าห่มลงบนกองฟางหญ้าแห้ง ปูอย่างประณีตประนอมโดยไม่หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย “หากเกิดสงครามขึ้นจริง... คนอย่างเจ้าน่าจะสู้จนหยดสุดท้ายมากกว่าจะพาร่างหิวโซเดินไปเจอเสือ อันที่จริงข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเลือกดาบเป็นอาวุธคู่ใจแต่ในเมื่อเจ้าเลือกธนูเพราะเป็นเรื่องสมมติ ดังนั้นข้าจึงเป็นห่วงลูกธนูในกระบอกที่มันน่าจะหมดไปตั้งแต่ในสนามรบแล้ว

     

    เดี๋ยว... เจ้าฟันกระต่ายเข้ามานั่งในใจเขาหรืออย่างไรกัน?

     

    และถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกธนูไม่กี่ดอกที่เหลืออยู่ในกระบอกจะยิงเสือโคร่งตัวใหญ่จนตายได้หรือ?

    ฝีมือระดับข้าอย่างไรมันก็ต้องตายอยู่แล้ว ชานเลี่ยเชิดหน้า ยิ่งเห็นเจ้าฟันกระต่ายทำหน้ากึ่งเย้ยหยัน... อยู่ ๆ ก็รู้สึกแพ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    ตกลง เสือตายแล้ว เจ้าได้กระสอบข้าวไป

    เหอะ กำลังของผู่ชานเลี่ยไม่เคยแพ้ใคร นั่นคือความจริง ชายหนุ่มยืนกอดอกอย่างภาคภูมิใจ

    ว่าแต่ทำไมเจ้าต้องแบกกระสอบหนัก ๆ เดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมายในเมื่อเจ้าสามารถปักหลักค้างแรมตรงนั้นได้?

    ...

    จะแบกหนัก ๆ ซ้ำรอยแผลจากสงครามทำไม คงเหนื่อยมิใช่น้อย ไหนจะเสี่ยงกับการเดินไปเจอศัตรูระหว่างทางอีก เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?

    ข้า --

    ข้าเริ่มจะง่วงแล้วสิ... ราตรีสวัสดิ์ผู่ชานเลี่ย

    นี่เจ้าฟันกระต่าย ลุกขึ้นมาฟังข้าก่อน ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง ข้าน่ะมีแรงมากพอที่จะแบกสนได้ทั้งต้นโดยที่ข้างหลังยังมีธนูนับสิบปักอยู่!!! ได้ยินไหม?!!! เจ้าจะนอนทั้งอย่างนี้ไม่ได้!!! ลุกขึ้นมาทำให้ข้าหายรู้สึกเขลาเดี๋ยวนี้!!!” ชายหนุ่มถลึงตามองอีกคนที่นอนขดตัวห่มผ้าผืนบางบนกองฟางหญ้าแห้งพร้อมหลับตาลงโดยไม่สนใจใยดีว่าเสียงของผู่ชานเลี่ยจะดังกึกก้องไปทั่วทั้งเขาจนท่านปู่ได้ยิน

    จิ้นฝูส่งเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูก มองนายที่ยืนถือตะเกียงถีบอากาศในคอกม้าซ้ำ ๆ เพื่อระบายโทสะ ครั้นจะเอื้อมมือไปเขย่าให้ตัวสั่นคลอนอีกใจก็ปรามไว้ว่าอย่าเลย เดี๋ยวเจ้าฟันกระต่ายก็ตื่นมาพูดให้เจ้ารู้สึกเขลาอีกหรอก

    ฝากไว้ก่อนเถอะ

    เสียงฝีเท้าย่ำออกไปแล้ว คนที่แกล้งหลับจึงลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่พอทำให้มองเห็นผนังไม้เก่า ๆ ได้ ป๋ายเซียนเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ความคิดมากมายล่องลอยไปกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านเข้ามาโดยมีกองฟางหญ้าแห้งช่วยให้ความอบอุ่น แม้จะไม่นุ่มละมุนเช่นที่นอนในตำหนัก แต่ความหยาบกระด้างของมันก็เป็นสิ่งย้ำเตือนให้เปียนป๋ายเซียนรู้ว่าเขายังไม่ตาย

    บรรยากาศรอบข้างเข้าสู่ความเงียบอย่างเป็นทางการเมื่อเจ้าจิ้นฝูหลับใหล ป่านนี้ในวังจะเป็นเช่นไรก็มิอาจล่วงรู้ได้ การฝังพระศพของพี่รองก็เพิ่งผ่านพ้นไปได้เพียงไม่กี่วันเองแท้ ๆ ส่วนพี่ใหญ่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ ป๋ายเซียนจะไม่ร้อนใจถึงเพียงนี้หากเสียงเจ้าของคมมีดที่ปองร้ายเขานั้นไม่ใช่...

     

    จงตายตามองค์ชายรองไปเสียเถิด

     

    แม้จะมีผ้าดำคาดปากแต่ป๋ายเซียนมั่นใจว่าเขาจำแววตาคู่นั้นได้ ช่างเยือกเย็นไร้ความอ่อนโยนดั่งเช่นที่เคยเห็นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย

    แม่นมเถียน...

     

    ใช่ สตรีผู้นั้น...

     

    แม่นมเถียนเลี้ยงดูเหล่าองค์ชายและองค์หญิงมาตั้งแต่จำความได้ รวมถึงป๋ายเซียนซึ่งเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นสักทางเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่และพี่รองซึ่งมีความสามารถด้านบู๊ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ส่วนพี่สาวอีกสองนางนั้นถนัดเย็บปักถักร้อย เล่นดนตรีไพเราะรื่นหูถูกใจเสด็จพ่อยิ่งนัก จนขุนนางน้อยใหญ่ต่างอยากได้นางทั้งสองไปเป็นคู่ครอง

    ป๋ายเซียนไม่ถนัดขี่ม้า ยิงธนู หรือฟันดาบ เขามักจะเก็บตัวอยู่กับตำราสมุนไพรโดยมีท่านอาจารย์ซื่อชวินคอยหาเล่มใหม่มาให้อยู่ไม่ขาด นอกจากสอนให้รู้หนังสือแล้ว... ท่านอาจารย์ก็ยังสนับสนุนให้ป๋ายเซียนเรียนหมอด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการเรียนนอกตำราอย่างที่คนเป็นครูพึงจะมอบให้

    ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แม่นมเถียนกลายเป็นบุคคลต้องห้าม ป๋ายเซียนบอกตนเองว่าอย่าเข้าใกล้เจ้าของสายตาเยือกเย็นเช่นนั้นหากมิจำเป็น สายตาของนางเต็มไปด้วยการเหยียดหยัน ดูแคลนกับความสามารถอันน้อยนิดที่เขาควรจะมีมากกว่านี้

     

    ที่ไม่ชอบเรียนดาบก็เพราะกลัวมันกลับมาแทงอกตัวเองใช่หรือไม่เพคะ?

     

    ป๋ายเซียนยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมเบิกตากว้างเมื่อนึกไปถึงน้องหกและองค์หญิงน้อยซึ่งไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอยู่อย่างไร หากสตรีผู้นั้นคือแม่นมเถียนอย่างที่คาดไว้ มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่านางคือสายของกบฏและอาจวางแผนทำร้ายน้องทั้งสองคนอยู่?

    ภาพตอนเผชิญหน้ากับสตรีชุดดำกลางดึกสงัดยังคงตราตรึง ป๋ายเซียนจำความเจ็บปวดจากพิษนั้นได้ดีว่ามันรุนแรงแค่ไหน เขาพยายามวิ่งหนีขณะที่นางค่อย ๆ ย่างก้าวตามอย่างเชื่องช้าราวกับราชสีห์กำลังไล่ต้อนเหยื่อ แต่ชั่วอึดใจเดียวร่างของเขาก็ถูกดึงเข้าไปด้านหลังตำหนัก

     

    ทางนี้เพคะองค์ชาย

     

    นางกำนัลจางคือแสงสว่างเดียวที่ป๋ายเซียนมองเห็น คนตัวเล็กถูกประคองร่างที่เจ็บแสบบาดแผลไปท่ามกลางความมืดโดยสตรีชุดดำยังคงตามมาไม่หยุด

     

    รีบหนีไปเพคะ ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่องค์ชายจะไปไหวได้

    ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?

    รีบไปเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่มีเวลาอธิบายแล้ว

    แต่...

    ดูแลตัวเองให้ดีและอย่ากลับมาที่นี่อีกได้โปรดเชื่อหม่อมฉัน

     

    มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

    นั่นคือคำถามที่ยังค้างคาอยู่ในใจ ป๋ายเซียนหลับตาลงพลางซบหน้ากับหัวเข่าอย่างคนคิดไม่ตก ทั้งเป็นห่วงพี่น้องและเสด็จพ่อซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด หากปวดพระเศียรเพราะคิดมากจนบรรทมไม่ได้... พอถึงตอนนั้นใครเล่าจะคอยรับฟังปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้ท่านวางพระทัย?

     

     



    *

     

     


     

    ตื่นได้แล้วเจ้าขี้เซา

    อือ...

    ตื่น

    ...

    จะลุกดี ๆ หรือจะให้ข้าเอาน้ำสาด

    ชานเลี่ยเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางใช้เท้าเขี่ยเจ้าฟันกระต่ายที่ยังนอนขดตัวเป็นหนอนดักแด้อยู่ใต้ผ้าห่ม คนอะไรตื่นยากตื่นเย็น เข้ามาในคอกม้าตั้งนานสองนาน อีกทั้งยืนจ้องชนิดว่าถ้าหากคนมีไหวพริบอยู่บ้างก็คงรู้สึกตัวลืมตาตื่นแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับนอนนิ่งหลับสนิทจนกลมกลืนกับเจ้าจิ้นฝูที่มีรั้วไม้กั้นอยู่ข้าง ๆ

    คนมีความรู้ขี้เกียจเช่นนี้ทุกคนหรืออย่างไร?

    ป๋ายเซียนลืมตาหลังจากได้ยินคำพูดกึ่งประชดประชัน เขายังคงนอนอยู่อย่างนั้นขณะมองเจ้าของเท้าที่ยังคงยกขึ้นตั้งท่าว่าจะปลุกด้วยวิธีเดิม หากที่นี่เป็นวังหลวง ผู่ชานเลี่ยคงถูกลากไปตัดคอทิ้งที่บังอาจเหิมเกริมกับองค์ชายเช่นนี้

    เช้าแล้วหรือ?

    สว่างโล่ขนาดนี้คงกลางคืนอยู่กระมัง

    ... คนตัวเล็กค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งปรือตามองไปรอบตัวขณะที่คนป่าเถื่อนกำลังพาจิ้นฝูออกไปด้านนอก

    รีบไปล้างหน้าล้างตา ทั้งงานราษฏร์งานหลวงรอเจ้าอยู่ชานเลี่ยยักคิ้วก่อนจะหันไปลูบขนอาชาเพียงตัวเดียวในคอก

    ป๋ายเซียนไม่ได้อิดออดนานไปกว่านั้น คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมปัดหญ้าแห้งออกจากตัวและศีรษะอย่างลวก ๆ ครั้นจะเดินออกไปก็หยุดชะงักหลังจากนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่มีนางกำนัล เขาจึงหันไปพับผ้าห่มทบกันสองชั้นแล้ววางลงบนหมอนใบเล็ก

    การอยู่นอกวังอาจเป็นเรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก ระหว่างค้นหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับวังหลวง ป๋ายเซียนจำต้องรักษาแผลให้หายดีเสียก่อน และการปรับตัวให้คุ้นชินกับชีวิตเฉกเช่นสามัญชนก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรเพิกเฉย เขาจะทำตัวสบายอย่างตอนอยู่ในวังหลวงไม่ได้เด็ดขาด

    เสียงขลุ่ยดังมากับสายลมบรรเลงเพลงไพเราะจนต้องมองหาต้นเสียง ชานเลี่ยหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กพลางหลุบมองแววตาฉงนคู่นั้น หากไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนจะฉงนใจกับเสียงนั้นก็คงไม่แปลก

    เจ้าจะได้ยินเช่นนี้ทุกเช้า

    ไพเราะเหลือเกิน

    ชอบหรือ?ชายหนุ่มชำเลืองมอง คนข้างตัวจึงพยักหน้าเป็นคำตอบฝีมือตาแก่นั่น ท่านย่าชอบเพลงนี้ปู่ก็เลยเล่นทุกวันโดยไม่สนว่านางจะได้ยินหรือไม่ นักรักก็อย่างนี้ ชานเลี่ยก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางป้องมือทำท่ากระซิบกับประโยคหลัง

    แล้วเจ้าล่ะ เป็นนักรักหรือไม่? ป๋ายเซียนถามอย่างใคร่รู้ แต่ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าคนอย่างผู่ชานเลี่ยคงห่างไกลคำ ๆ นั้นอยู่มากโข เจ้าคงไม่ได้คิดคำตอบกวนประสาทข้าอยู่ใช่ไหม?

    คนถูกรู้ทันขมวดคิ้ว ชานเลี่ยชำเลืองมองอีกครั้งก่อนจะผลักศีรษะเจ้าฟันกระต่ายรู้มากนัก

    ป๋ายเซียนยิ้มขำ จับศีรษะตนเองพลางนึกไปว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเคยทำเช่นนี้ แม้แต่พี่รองที่สนิทกัน ผู่ชานเลี่ยช่างเป็นคนมือไหวเสียจริง

    ฉลาดมิใช่หรือ ลองเดาดูสิว่าข้าจะตอบอย่างไร

    ต่อให้ข้าตอบถูก เจ้าก็คงบอกว่าไม่ใช่ ข้ารู้ทันเจ้าหรอก ป๋ายเซียนลอบยิ้ม มองเสี้ยวหน้าคนเจ้าเล่ห์ที่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังออกเดินทางไปด้วยกัน

    ก็เจ้ามันน่าโมโห วางท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง

    ข้าผิดงั้นหรือ?

    ผิด

    อ่านตำราเยอะ ๆ สิ แล้วเจ้าจะไม่หัวเสียเพราะข้าอีก เป็นอีกครั้งที่ชานเลี่ยรู้สึกโง่เขลา ชายหนุ่มถอนหายใจฟึดฟัด ทั้งที่พยายามคิดหาทางเอาคืนอยู่หลายชั่วยามจนเผลอหลับ แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะช้ากว่าเจ้าฟันกระต่ายหนึ่งก้าวอยู่ดี

    ตำราช่วยได้จริงหรือ?

    ไม่มากก็น้อย เจ้าอ่านครั้งล่าสุดเมื่อไหร่เล่า?

    เหอะ ข้าไม่เคยอ่านหรอก ชานเลี่ยเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางทบทวนว่าควรพูดเรื่องต่อไปนี้ดีหรือไม่ เจ้าฟันกระต่ายก็แค่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หากเล่าความเขลาของตนเองให้ฟังมันจะดีหรือไม่ แต่ถ้าหากใช้ความรู้สึกตัดสิน เจ้าฟันกระต่ายก็ดูมิใช่คนปลิ้นปล้อนเพราะข้าไม่เคยเรียนหนังสือ

    อย่างนั้นหรือ

    เจ้ากำลังจะหาว่าข้าโง่อีกแล้วล่ะสิ? ผู่ชานเลี่ยไม่ชอบการดูถูกเหยียดหยาม แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นกับเจ้าฟันกระต่ายไปแล้วหลายหน พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย หากอีกฝ่ายเป็นคนปากไวหรืออวดดี เชื่อเถอะว่าความรู้สึกเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด

    ถ้าจะมีคนคิดอย่างนั้นก็คงเป็นตัวเจ้าเองชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กที่เดินนำไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดอยู่กับที่แล้วกวาดสายตามองเจ้าเพียงยังไม่ได้เรียนรู้

    ...

    เป็นผ้าขาวที่ยังไม่ได้ลงสี

    ชานเลี่ยไม่คิดว่าจะได้ยินคำปลอบโยนเช่นนั้นจากใคร เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ชาวบ้านในเมืองต่างก็เห็นค่าฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งโดยตรง หากไม่เก่งบู๊จนได้เป็นทหารก็ต้องฉลาดบุ๋น มีงานการที่มั่นคงและเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวได้ ซึ่งผู่ชานเลี่ยยังไม่เคยทำมันสำเร็จ

    หากเจ้าอยากลองหยิบตำราขึ้นมาอ่านสักเล่ม อย่าลืมที่จะเรียกข้านะชายหนุ่มยังคงหยุดสายตาอยู่กับแผ่นหลังแคบ ๆ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาคลี่ยิ้มให้ เจ้าฟันกระต่ายจะน่าโมโหเกินไปแล้ว เขาไม่คุ้นชินกับความอบอุ่นใจทางคำพูดเช่นนี้

    ถ้าข้าอ่านเมื่อไหร่เจ้าต้องดูโง่ลงไปทันตาแน่

    ยังดีที่ติดคำว่าถ้า’” ป๋ายเซียนกำมือป้องปากขำข้าจะรอวันที่โง่กว่าเจ้า เจ้าทึ่มชานเลี่ย

    เรียกใครเจ้าทึ่ม อยากตายใช่ไหม?!” ชายหนุ่มถลึงตาขู่ ขยับปากสบถอย่างหัวเสียพลางมองคนตรงหน้าที่เดินไปซ้ายทีขวาทีราวกับว่าเจออะไรดี ๆ เข้า

    เดี๋ยวข้าขอเข้าไปเก็บสมุนไพรป่ามาทำแผลเสียหน่อย เจ้ายืนฉลาด ๆ อยู่ตรงนี้คนเดียวได้ใช่หรือไม่?

    เดี๋ยวหลังมือให้

    คนตัวเล็กยืนห่อไหล่ปิดปากหัวเราะ อะไรกัน... พูดให้รู้สึกแปลก ๆ แล้วก็ตบหน้าเขาด้วยการกวนประสาทเช่นนั้นมันใช้ได้ที่ไหน จะเกินไปแล้ว น่าจับมาบีบเป็นก้อนซาลาเปาแล้วเขวี้ยงไปให้สุดขอบแม่น้ำเสียจริง สู้บอกว่าผู่ชานเลี่ยคนโง่ เพราะไม่เคยร่ำเรียนหนังสือคงน่าโมโหน้อยกว่านี้

    ชายหนุ่มชักสีหน้ามึนตึงตามเข้าไป มองเจ้าฟันกระต่ายกำลังให้ความสนใจกับพืชหลากชนิดซึ่งเกิดตามธรรมชาติและเขาไม่เคยให้ความสนใจกับมันมาก่อน มีบางต้นคุ้นหน้าคุ้นตา และคนตัวเล็กก็เด็ดมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ พร้อมเอาใส่ถุงผ้าที่เอามาด้วย

    ไม่ยักเห็นต้นที่ข้าใช้ทำแผลให้เจ้าวันก่อน

    ที่เจ้าใช้มันเกิดแค่ในป่าไผ่ แต่ตัวนี้พอจะใช้ปิดปากแผลแทนได้ ส่วนตัวนี้เอาไว้ต้มดื่มขับพิษ ชานเลี่ยเผลอยืดหลังตรงเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าและเขาคิดว่ามันใกล้จนเกินไป

    ก็ดี ชายหนุ่มเบือนหน้าหลบไปอีกทาง ยืนกอดอกปล่อยให้อีกคนก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรใส่ถุงผ้าทำแผลเลยสิ เดี๋ยวข้าไปนั่งรอตรงริมน้ำ

    ได้ รอเพียงครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ชานเลี่ยถูนิ้วกับปลายจมูกพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างริมน้ำ ก้มลงคว้าก้อนหินขนาดเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมา ก่อนจะเขวี้ยงไปข้างหน้าจนหินก้อนนั้นเด้งบนผิวน้ำถึงห้าครั้ง

     

     

     

    *

     

     

    “พระสนมทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ?

    นางพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ๆ ซื่อชวินรู้ดีว่าพระสนมเพียงยิ้มตามมารยาทเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้การใช้ชีวิตทั้งที่ลูกชายเพียงคนเดียวยังคงระหกระเหเร่ร่อนอยู่นอกวังโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง แต่ถึงกระนั้นพระสนมก็ยังคงฝืนยิ้ม สมกับเป็นสตรีแกร่งอย่างที่ใคร ๆ กล่าวถึง

    ที่ตรงนี้มีนางกำนัลสองนางคอยติดตามรับใช้พระสนม และทหารยามอีกหกนายซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง ซื่อชวินสยายพัดสีขาว ขยับข้อมือเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังสระบัวเบื้องหน้าอย่างเช่นคนข้างตัว

    หากป๋ายเซียนยังอยู่ ข้ากับเจ้าคงเห็นเขาลงไปเด็ดดอกบัวด้วยตัวเอง

    องค์ชายห้าเคยบอกหม่อมฉันว่าเกสรดอกบัวนั้นเอาไปปรุงยาบำรุงหัวใจได้ อีกทั้งรสชาติก็ถูกพระทัยฝ่าบาท ส่วนรากบัวเอาไปทำเป็นของหวานให้องค์ชายหกและองค์หญิงน้อยเสวยเป็นของทานเล่น เพราะทั้งคู่เสวยน้ำน้อย รากบัวจึงช่วยเรื่องแก้ร้อนในได้พ่ะย่ะค่ะ

    เด็กคนนั้น นางยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยน มักจะนึกถึงคนรอบข้างเสมอ

    หม่อมฉันคงมิอาจให้คำสัตย์กับพระสนมได้เสียทีเดียว แต่ทรงวางพระทัยลงสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ เพราะนอกจากติดป้ายประกาศและส่งทหารจากทุกมุมเมืองออกตามหาแล้ว ตอนนี้แม่ทัพจงเหรินก็กำลังออกตามหาองค์ชายห้าอยู่เช่นกัน

    เจ้าเชื่อเรื่องดวงชะตาหรือไม่ ซื่อชวิน? พระสนมหันมาสบตากับเขา แววตาของนางยังคงเคล้าไปด้วยความโศกเศร้าและคงไม่มีใครลบล้างความรู้สึกเหล่านี้ไปได้นอกเสียจากองค์ชายห้าเพียงผู้เดียว

    พ่ะย่ะค่ะ คนตัวผอมกล่าวตามน้ำ ก่อนเสียงหัวเราะขององค์ชายหกและองค์หญิงน้อยที่กำลังเล่นว่าวจะทำลายความเงียบ

    ข้าเองก็เช่นกัน” พระสนมยิ้มบาง ๆ พลางวางมือลงบนท่อนแขนซื่อชวิน ข้าหวังว่าโชคชะตาจะนำพาลูกของข้าให้ไปเจอคนดี ๆ ให้เขาปลอดภัยจากภัยทุกสิ่ง ไม่เจ็บป่วย อยู่กินนอนหลับอย่างสบาย

    ...

    ส่วนตัวข้าจะอยู่ที่นี่... เพื่อรอวันที่ลูกกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของข้าอีกครั้ง

    พระสนมบีบแขนเขาเบา ๆ ก่อนจะเดินไปจากสะพานกลางสระบัวจนตอนนี้เหลือเพียงซื่อชวินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่จุดเดิม คนตัวผอมถอนหายใจเบาหวิว เขามิอาจเอาความลำบากใจไว้บนบ่าแม่ทัพจงเหรินเพียงผู้เดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝากความหวังไว้กับอีกฝ่ายอยู่มากโข

    ท่านซื่อชวิน!”

    เขาหลุดออกจากความคิดเพราะเสียงองค์หญิงน้อย เด็กสาววัยเยาว์โบกมือไหว ๆ พร้อมชี้ไปยังว่าวสีขาวที่ติดอยู่กับต้นไม้สูง โดยมีองค์ชายจุนเหมียนกำลังตั้งท่าจะปีนขึ้นไปเก็บ และทหารสี่นายที่อยู่ตรงนั้นมิกล้าเอ่ยห้ามเพราะความเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผลขององค์ชายหก

    องค์ชายหก องค์ชาย ซื่อชวินถอนหายใจพลางรวบพัดเก็บก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปห้าม พวกเจ้าถอยออกไป

    ถ้าพี่หกตกลงมาต้องโดนพี่ใหญ่ดุแน่ ๆ

    แต่ว่าวมันติดอยู่บนต้นไม้ ถ้าข้าไม่ขึ้นไปเก็บ มันต้องปลิวไปฝั่งหัวเมืองเหนือแน่

    ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ ซื่อชวินเงยหน้ามองอีกคนที่กำลังพยายามปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ เดี๋ยวทหารจะขึ้นไปเก็บให้ องค์ชายรอเพียงครู่เดียวเท่านั้น

    แต่มันจะปลิวแล้ว ท่านซื่อชวิน

    เรายังเก็บทันถ้าหากองค์ชายลงมาตั้งแต่ตอนนี้แล้วให้ทหารขึ้นไปเก็บแทนพ่ะย่ะค่ะ ชายชุดขาวยิ้มบาง ๆ เกลี้ยกล่อมเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงที่ยังคงหวังจะเก็บว่าวด้วยตนเอง

    ข้า... ไม่รู้จะลงเยี่ยงไร ท่านซื่อชวิน ข้าหาทางลงไม่ได้

    ไม่เป็นไรองค์ชายหก หม่อมฉันรอรับอยู่ตรงนี้ ซื่อชวินอ้าแขนออกพร้อมพยักหน้าช้า ๆ องค์ชายเชื่อใจหม่อมฉันหรือไม่?

    จุนเหมียนกัดเล็บพลางกลอกตาล่อกแล่ก เสมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างไม่มั่นใจนัก แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็กระโดดลงไปในอ้อมกอดคนเป็นครูจนล้มลงคลุกผืนหญ้าทั้งคู่ องค์ชายหกพลิกตัวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าห่อไหล่ ก้ม ๆ มอง ๆ ชายชุดขาวพลางหยิบพัดขึ้นให้อย่างรู้สึกผิดที่ทำครูเจ็บตัว

    ท่านซื่อชวินเป็นอะไรหรือไม่?

    ไม่เป็นไร เจ้าช่วยขึ้นไปเก็บว่าวให้องค์ชายที หลังจากสั่งการทหารเป็นที่เรียบร้อย ซื่อชวินก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายหกและองค์หญิงน้อย

    เห็นหรือไม่ว่าพี่หกทำให้ท่านซื่อชวินต้องเจ็บตัว

    ข... ข้าหรือ?

    ใช่ ขอโทษท่านซื่อชวินเลย เสียงเจื้อยแจ้วขององค์หญิงมาพร้อมแววตาหวาดกังวลของเด็กสติไม่สมประกอบ ซื่อชวินจึงยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะองค์ชายหกเป็นการปลอบประโลม

    หม่อมฉันไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ

    ข้าขอโทษ... ข้าจะไม่ดื้อกับท่านอีกแล้ว จะให้ว่าวปลิวไปไหนก็ไปเลย

    ถ้าองค์ชายดื้ออีก องค์ชายห้าอาจจะไม่กลับมานะพ่ะย่ะค่ะ

    จริงหรือ?!” จุนเหมียนเบิกตากว้าง รีบส่ายศีรษะพร้อมโบกมือพัลวัล ไม่ได้เด็ดขาด ท่านพี่ต้องกลับมาสิ ข้าจะไม่ดื้อแล้ว

    พี่ห้ากลับมาแน่ ทั้งคู่หันไปทางองค์หญิงน้อย นางแทรกเข้ามานั่งตรงกลางพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ข้าได้ยินเสด็จพ่อทรงรับสั่งกับท่านแม่ทัพจงเหรินว่าถ้าหากเขาตามหาพี่ห้าพบ เสด็จพ่อจะตบรางวัลให้เป็นสนมนางในรูปงามสักสามสี่นาง

    ... คนฟังหัวใจชาวาบราวกับถูกแช่ในแม่น้ำกลางฤดูหนาว ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนบนใบหน้าอู๋ซื่อชวิน เมื่อประโยคเมื่อครู่ขององค์หญิงกำลังปั่นป่วนในความคิด

    แม่ทัพจงเหรินจะมีเมียหลาย ๆ คนงั้นหรือ?

    ใช่ ถ้าพี่หกอยากมีเช่นนั้นบ้างก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ เด็กน้อยหันไปสอนพี่ชาย จุนเหมียนจึงกลอกตามองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง

    ข้าจะเข้มแข็ง ข้าอยากมีเมียเยอะ ๆ เหมือนแม่ทัพจงเหริน!”

    ซื่อชวินคว้าพัดคู่ใจพลางยันตัวลุกขึ้นยืน หันไปส่งสายตาบอกให้ทหารคอยสอดส่องดูแลองค์ชายหกและองค์หญิงน้อยให้ดีก่อนจะเดินจากไปเงียบ ๆ ไร้คำบอกลา หัวใจยังคงเต้นระส่ำกับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้ ตบรางวัลเป็นสนมงั้นหรือ... ก็คงเหมาะสมกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ใคร ๆ ต่างก็เกรงขามดี

    ซื่อชวิน

    ...

    วันนี้ท่านแม่ทัพไม่ได้ใส่ชุดเกราะหนักอย่างเช่นเมื่อวาน แต่การนั่งอยู่บนอานม้าด้วยชุดสีดำก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง

    เจ้าจะรีบไปไหนหรือ? ซื่อชวินรู้สึกขลาดเขลาเหลือเกินที่เลือกเดินหนีซึ่ง ๆ หน้าแทนที่จะตอบกลับไป อย่างน้อยมันก็คงไม่ทิ้งพิรุธไว้เช่นนี้ ข้าจะออกไปตามหาองค์ชายห้าตามลำพัง ดังนั้นข้าจึงอยากถามว่าเจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?

    ... ชายผ้าหยุดลากไปตามพื้น พัดที่อยู่ในมือถูกกำแน่นขึ้นกับความย้อนแย้งในใจที่ส่วนหนึ่งอยากเดินหนีไปให้พ้น ๆ กับอีกส่วนที่มันเทให้องค์ชายห้า

    ซื่อชวินยืนนิ่งพลางไตร่ตรองในเสี้ยวเวลาอันสั้นว่าควรตัดสินใจอย่างไร แต่พอหันไปเพื่อตั้งใจจะให้คำตอบ ก็พบว่าท่านแม่ทัพจงเหรินยืนขนาบข้างตัวเสียแล้ว

    ข้ารู้ว่าเจ้าขี่ม้าไม่เก่ง แต่มากับข้าเถอะ ซื่อชวินมองมือแกร่งที่ยื่นออกมา ก่อนจะสยายพัดพร้อมเบือนสายตาหลบ โชคดีเหลือเกินที่ห้ามปากตนเองไว้ได้ มิเช่นนั้นอู๋ซื่อชวินคงโพล่งออกไปอย่างขลาดเขลาว่า

     

    ท่านก็พาสาวงามทั้งห้าออกไปตามหาองค์ชายเสียเลยสิ

     

    ซื่อชวิน

    ข้า -- เดี๋ยว ท่านแม่ทัพ?!” คนตัวผอมเบิกตาโพลง มองข้อมือตนเองที่ถูกถูลู่ถูกังไปยังอาชาศึกรูปงาม ซื่อชวินชักมือกลับ ชักสีหน้ามึนตึงใส่อีกฝ่ายโดยไร้เหตุผลและก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา

    จงเหรินสบสายตากับคนอารมณ์ไม่ดี ชายหนุ่มมิอาจล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไปเจอกับเรื่องหัวเสียอะไรมา และการปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ใช่ทางของเขา แต่การถามไถ่ตรงนี้คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แม่ทัพที่ดีย่อมมีแผนรับมือเสมอ

    “เจ้าขึ้นเองได้หรือไม่?

    คราวนี้จงเหรินไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรั้นไปกว่าเดิม แต่การยึดพัดคู่ใจมาถือไว้ก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ต่างกันนัก ซื่อชวินถลึงตามองในแบบที่เขาไม่เคยเห็น และสีหน้าท่าทางอย่างที่เป็นอยู่ก็ถูกอกถูกใจคนเป็นแม่ทัพยิ่งนัก

    “หากตอบว่าไม่ ข้าจะได้อุ้มเจ้าขึ้นไป

     

     

     

    TBC

     

     

    ซอมเบิงอยู่เด้อออออออออออออออออออออออออออ

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×