คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 :: 安心 อุ่นใจ
บทที่ 2
安心 อุ่นใจ
“อะไร ทำหน้าเช่นนั้นไม่พอใจงั้นหรือ?”
ชานเลี่ยมองคนตัวเล็กที่กอดหมอนกับผ้าห่มผืนเก่าไว้แนบอกขณะยืนอยู่หน้าคอกม้า
ป๋ายเซียนส่ายศีรษะปฏิเสธ แม้จะไม่คุ้นชินกับกลิ่นแปลก ๆ
ที่คละคลุ้งอยู่ใต้จมูกซึ่งคาดว่าคงเป็นกลิ่นสิ่งปฏิกูลของเจ้าจิ้นฝู แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องปรับตัวเข้ากับที่นี่ให้ได้
ในเมื่อเลือกขออาศัยพักพิงคนแปลกหน้า
คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เปียนป๋ายเซียนจะเอ่ยปากสั่งผู่ชานเลี่ยปูที่นอนนุ่ม ๆ ให้
ในสายตาอีกฝ่ายเขาคือโจรกระจอกไร้ที่พักพิง หาใช่องค์ชายห้าแห่งวังหลวงไม่
“รีบนอนเก็บแรงอันน้อยนิดของเจ้าไว้
เพราะเมื่อไหร่ที่ตะวันฉายขึ้นบนนั้น เจ้าต้องตื่นมาใช้หนี้ให้ข้า” ชายหนุ่มชี้นิ้วขึ้นฟ้า
ก่อนจะลดระดับสายตามองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนใจของอีกฝ่าย
“เจ้าจะพาข้าไปทำอะไรหรือชานเลี่ย?”
“ตื่นมาเดี๋ยวก็รู้”
“คงเป็นตักน้ำใส่โอ่ง
หรือไม่ก็อาบน้ำให้ม้าใช่หรือไม่?”
“มากกว่านั้น” ชานเลี่ยยกยิ้มก่อนจะเอาตะเกียงจ่อใต้คางตนเอง
ป๋ายเซียนเอนถอยหลังเล็กน้อย แม้จะไม่เคยเห็นผีกับตา
แต่เรื่องเล่าวัยเด็กจากพี่รองก็ทำให้ผวามาจนถึงปัจจุบัน
ผู่ชานเลี่ยไม่ควรทำเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ยามฟ้ามืดแล้ว “มันเป็นงานใช้กำลังที่คนอย่างเจ้าคงหมดแรงได้ง่าย
ๆ”
“แบกไหมังกรหรือ?” ป๋ายเซียนเดินตามอีกคนเข้าไปในคอกม้า
ได้ยินเจ้าจิ้นฝูฟึดฟัดเสียงขึ้นจมูกก็อุ่นใจว่าอย่างน้อยค่ำคืนนี้ก็ไม่ได้นอนเพียงลำพัง
“ยิ่งกว่านั้น” ชานเลี่ยผินหน้าไปทางกองฟางหญ้าแห้ง นึกสนุกกับการปั่นหัวอีกฝ่าย ยิ่งเห็นสีหน้าที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าฟันกระต่ายคงไม่เคยทำมาก่อนก็ยิ่งอยากแกล้ง
“ได้ ข้าจะทำ” ความมุ่งมั่นมาพร้อมแววตาใส ๆ ป๋ายเซียนมองกองฟางหญ้าแห้งที่ซ้อนทับกัน
พลางนึกไปว่ามันจะหยาบและทำให้คันไปทั้งตัวหรือไม่ “เจ้าคงทำงานหนักมาตลอดชีวิต
เหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”
“ชายชาตรีก็อย่างนี้ ไม่เหมือนเจ้า”
“การเป็นชายชาตรีได้จำเป็นต้องใช้กำลังอย่างเดียวหรือ?”
“แล้วคิดว่าอะไรทำให้เจ้าดูเป็นชายชาตรีเล่าหือ?” ชานเลี่ยย้อน หากแต่เจ้าฟันกระต่ายกลับไม่หลบสายตาหรือก้มหน้าครุ่นคิด
ดวงตาคู่นั้นสบมอง กอดผ้าห่มกับหมอนไว้แนบอกก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ๆ
“ความรู้ที่ข้ามี”
“ฮะ!
เกือบจะหล่อแล้วถ้าข้าไม่นึกขึ้นได้ก่อนว่าความรู้มันกินไม่ได้” ชายหนุ่มจิ๊ปากซ้ำ ๆ นึกเอือมคนตรงหน้า
เจ้าฟันกระต่ายทำให้เขานึกถึงพวกกินตำรามาเกิดที่ดีแต่มือไขว้หลังเดินทีละก้าวสองก้าว
สยายพัดอวดรู้ไปวัน ๆ เช่นนั้นจะทันกินอะไร
“ความรู้มีไว้ใช้ ไม่ได้มีไว้กิน
ผู่ชานเลี่ย”
“เหอะ ถ้าเกิดมีสงครามและเจ้ากำลังจะอดตาย
ระหว่างทางเดินไปเจอกระสอบข้าวแต่มันกลับอยู่ข้าง ๆ เสือโคร่งตัวใหญ่
เจ้าจะทำเช่นไร?”
ป๋ายเซียนไม่ได้ตอบคำถามในทันที
ชานเลี่ยจึงยกยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เจ้าฟันกระต่ายถูกไล่ต้อนจนมุมแล้ว
พวกอ้างว่ามีความรู้ก็เป็นเช่นนี้ทุกคน ปัญญาน่ะมีได้แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือกำลัง...
ไม่รู้หรือ?!
“แล้วถ้าเป็นเจ้าเล่า?” นึกขำในใจที่อีกฝ่ายย้อนถาม คงนึกคำตอบดี ๆ
ไม่ได้จึงหาเรื่องถ่วงเวลาสินะ ย่อมได้... เขาจะทำให้เจ้าฟันกระต่ายได้รู้แจ้งเองว่าการมีความรู้ที่แท้จริงคืออะไร
“ข้าจะยิงธนูฆ่าเสือแล้วแบกกระสอบไป” ทันทีที่พูดจบก็หน้าเสียเมื่อคนข้างตัวกำมือป้องปากขำ
คำตอบของเขามันน่าขันตรงไหนกัน เดี๋ยวก็ปาดคอคาคอกม้าเสียหรอก “เจ้าขำอะไร?”
“ข้านึกขำตรงที่หลังจากผ่านสงครามเจ้ายังเหลือลูกธนูมากพอที่จะยิงเสือโคร่งได้”
ป๋ายเซียนวางผ้าห่มลงบนกองฟางหญ้าแห้ง
ปูอย่างประณีตประนอมโดยไม่หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่าย “หากเกิดสงครามขึ้นจริง... คนอย่างเจ้าน่าจะสู้จนหยดสุดท้ายมากกว่าจะพาร่างหิวโซเดินไปเจอเสือ อันที่จริงข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเลือกดาบเป็นอาวุธคู่ใจแต่ในเมื่อเจ้าเลือกธนูเพราะเป็นเรื่องสมมติ
ดังนั้นข้าจึงเป็นห่วงลูกธนูในกระบอกที่มันน่าจะหมดไปตั้งแต่ในสนามรบแล้ว”
เดี๋ยว... เจ้าฟันกระต่ายเข้ามานั่งในใจเขาหรืออย่างไรกัน?
“และถ้าเป็นเช่นนั้น
ลูกธนูไม่กี่ดอกที่เหลืออยู่ในกระบอกจะยิงเสือโคร่งตัวใหญ่จนตายได้หรือ?”
“ฝีมือระดับข้าอย่างไรมันก็ต้องตายอยู่แล้ว” ชานเลี่ยเชิดหน้า ยิ่งเห็นเจ้าฟันกระต่ายทำหน้ากึ่งเย้ยหยัน... อยู่
ๆ ก็รู้สึกแพ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ตกลง เสือตายแล้ว
เจ้าได้กระสอบข้าวไป”
“เหอะ กำลังของผู่ชานเลี่ยไม่เคยแพ้ใคร
นั่นคือความจริง” ชายหนุ่มยืนกอดอกอย่างภาคภูมิใจ
“ว่าแต่ทำไมเจ้าต้องแบกกระสอบหนัก
ๆ เดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมายในเมื่อเจ้าสามารถปักหลักค้างแรมตรงนั้นได้?”
“...”
“จะแบกหนัก ๆ
ซ้ำรอยแผลจากสงครามทำไม คงเหนื่อยมิใช่น้อย ไหนจะเสี่ยงกับการเดินไปเจอศัตรูระหว่างทางอีก
เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?”
“ข้า --”
“ข้าเริ่มจะง่วงแล้วสิ... ราตรีสวัสดิ์ผู่ชานเลี่ย”
“นี่เจ้าฟันกระต่าย ลุกขึ้นมาฟังข้าก่อน” ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเอง “ข้าน่ะมีแรงมากพอที่จะแบกสนได้ทั้งต้นโดยที่ข้างหลังยังมีธนูนับสิบปักอยู่!!!
ได้ยินไหม?!!! เจ้าจะนอนทั้งอย่างนี้ไม่ได้!!! ลุกขึ้นมาทำให้ข้าหายรู้สึกเขลาเดี๋ยวนี้!!!”
ชายหนุ่มถลึงตามองอีกคนที่นอนขดตัวห่มผ้าผืนบางบนกองฟางหญ้าแห้งพร้อมหลับตาลงโดยไม่สนใจใยดีว่าเสียงของผู่ชานเลี่ยจะดังกึกก้องไปทั่วทั้งเขาจนท่านปู่ได้ยิน
จิ้นฝูส่งเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูก
มองนายที่ยืนถือตะเกียงถีบอากาศในคอกม้าซ้ำ ๆ เพื่อระบายโทสะ
ครั้นจะเอื้อมมือไปเขย่าให้ตัวสั่นคลอนอีกใจก็ปรามไว้ว่า ‘อย่าเลย
เดี๋ยวเจ้าฟันกระต่ายก็ตื่นมาพูดให้เจ้ารู้สึกเขลาอีกหรอก’
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เสียงฝีเท้าย่ำออกไปแล้ว
คนที่แกล้งหลับจึงลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดซึ่งมีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่พอทำให้มองเห็นผนังไม้เก่า
ๆ ได้ ป๋ายเซียนเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ปล่อยให้ความคิดมากมายล่องลอยไปกับสายลมอ่อน ๆ
ที่พัดผ่านเข้ามาโดยมีกองฟางหญ้าแห้งช่วยให้ความอบอุ่น แม้จะไม่นุ่มละมุนเช่นที่นอนในตำหนัก
แต่ความหยาบกระด้างของมันก็เป็นสิ่งย้ำเตือนให้เปียนป๋ายเซียนรู้ว่าเขายังไม่ตาย
บรรยากาศรอบข้างเข้าสู่ความเงียบอย่างเป็นทางการเมื่อเจ้าจิ้นฝูหลับใหล
ป่านนี้ในวังจะเป็นเช่นไรก็มิอาจล่วงรู้ได้ การฝังพระศพของพี่รองก็เพิ่งผ่านพ้นไปได้เพียงไม่กี่วันเองแท้
ๆ ส่วนพี่ใหญ่ก็ยังบาดเจ็บอยู่ ป๋ายเซียนจะไม่ร้อนใจถึงเพียงนี้หากเสียงเจ้าของคมมีดที่ปองร้ายเขานั้นไม่ใช่...
‘จงตายตามองค์ชายรองไปเสียเถิด’
แม้จะมีผ้าดำคาดปากแต่ป๋ายเซียนมั่นใจว่าเขาจำแววตาคู่นั้นได้
ช่างเยือกเย็นไร้ความอ่อนโยนดั่งเช่นที่เคยเห็นมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย
“แม่นมเถียน...”
ใช่ สตรีผู้นั้น...
แม่นมเถียนเลี้ยงดูเหล่าองค์ชายและองค์หญิงมาตั้งแต่จำความได้
รวมถึงป๋ายเซียนซึ่งเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นสักทางเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่และพี่รองซึ่งมีความสามารถด้านบู๊ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
ส่วนพี่สาวอีกสองนางนั้นถนัดเย็บปักถักร้อย เล่นดนตรีไพเราะรื่นหูถูกใจเสด็จพ่อยิ่งนัก
จนขุนนางน้อยใหญ่ต่างอยากได้นางทั้งสองไปเป็นคู่ครอง
ป๋ายเซียนไม่ถนัดขี่ม้า ยิงธนู หรือฟันดาบ
เขามักจะเก็บตัวอยู่กับตำราสมุนไพรโดยมีท่านอาจารย์ซื่อชวินคอยหาเล่มใหม่มาให้อยู่ไม่ขาด
นอกจากสอนให้รู้หนังสือแล้ว... ท่านอาจารย์ก็ยังสนับสนุนให้ป๋ายเซียนเรียนหมอด้วยตนเอง
ซึ่งเป็นการเรียนนอกตำราอย่างที่คนเป็นครูพึงจะมอบให้
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แม่นมเถียนกลายเป็นบุคคลต้องห้าม
ป๋ายเซียนบอกตนเองว่าอย่าเข้าใกล้เจ้าของสายตาเยือกเย็นเช่นนั้นหากมิจำเป็น สายตาของนางเต็มไปด้วยการเหยียดหยัน
ดูแคลนกับความสามารถอันน้อยนิดที่เขาควรจะมีมากกว่านี้
‘ที่ไม่ชอบเรียนดาบก็เพราะกลัวมันกลับมาแทงอกตัวเองใช่หรือไม่เพคะ?’
ป๋ายเซียนยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมเบิกตากว้างเมื่อนึกไปถึงน้องหกและองค์หญิงน้อยซึ่งไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอยู่อย่างไร
หากสตรีผู้นั้นคือแม่นมเถียนอย่างที่คาดไว้ มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่านางคือสายของกบฏและอาจวางแผนทำร้ายน้องทั้งสองคนอยู่?
ภาพตอนเผชิญหน้ากับสตรีชุดดำกลางดึกสงัดยังคงตราตรึง
ป๋ายเซียนจำความเจ็บปวดจากพิษนั้นได้ดีว่ามันรุนแรงแค่ไหน
เขาพยายามวิ่งหนีขณะที่นางค่อย ๆ ย่างก้าวตามอย่างเชื่องช้าราวกับราชสีห์กำลังไล่ต้อนเหยื่อ
แต่ชั่วอึดใจเดียวร่างของเขาก็ถูกดึงเข้าไปด้านหลังตำหนัก
‘ทางนี้เพคะองค์ชาย’
นางกำนัลจางคือแสงสว่างเดียวที่ป๋ายเซียนมองเห็น
คนตัวเล็กถูกประคองร่างที่เจ็บแสบบาดแผลไปท่ามกลางความมืดโดยสตรีชุดดำยังคงตามมาไม่หยุด
‘รีบหนีไปเพคะ
ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่องค์ชายจะไปไหวได้’
‘ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้
มันเกิดอะไรขึ้น?’
‘รีบไปเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่มีเวลาอธิบายแล้ว’
‘แต่...’
‘ดูแลตัวเองให้ดีและอย่ากลับมาที่นี่อีก…
ได้โปรดเชื่อหม่อมฉัน’
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
นั่นคือคำถามที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
ป๋ายเซียนหลับตาลงพลางซบหน้ากับหัวเข่าอย่างคนคิดไม่ตก
ทั้งเป็นห่วงพี่น้องและเสด็จพ่อซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด
หากปวดพระเศียรเพราะคิดมากจนบรรทมไม่ได้...
พอถึงตอนนั้นใครเล่าจะคอยรับฟังปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้ท่านวางพระทัย?
*
“ตื่นได้แล้วเจ้าขี้เซา”
“อือ...”
“ตื่น”
“...”
“จะลุกดี ๆ หรือจะให้ข้าเอาน้ำสาด”
ชานเลี่ยเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางใช้เท้าเขี่ยเจ้าฟันกระต่ายที่ยังนอนขดตัวเป็นหนอนดักแด้อยู่ใต้ผ้าห่ม
คนอะไรตื่นยากตื่นเย็น เข้ามาในคอกม้าตั้งนานสองนาน
อีกทั้งยืนจ้องชนิดว่าถ้าหากคนมีไหวพริบอยู่บ้างก็คงรู้สึกตัวลืมตาตื่นแล้ว
แต่อีกฝ่ายกลับนอนนิ่งหลับสนิทจนกลมกลืนกับเจ้าจิ้นฝูที่มีรั้วไม้กั้นอยู่ข้าง ๆ
“คนมีความรู้ขี้เกียจเช่นนี้ทุกคนหรืออย่างไร?”
ป๋ายเซียนลืมตาหลังจากได้ยินคำพูดกึ่งประชดประชัน
เขายังคงนอนอยู่อย่างนั้นขณะมองเจ้าของเท้าที่ยังคงยกขึ้นตั้งท่าว่าจะปลุกด้วยวิธีเดิม
หากที่นี่เป็นวังหลวง ผู่ชานเลี่ยคงถูกลากไปตัดคอทิ้งที่บังอาจเหิมเกริมกับองค์ชายเช่นนี้
“เช้าแล้วหรือ?”
“สว่างโล่ขนาดนี้คงกลางคืนอยู่กระมัง”
“...”
คนตัวเล็กค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งปรือตามองไปรอบตัวขณะที่คนป่าเถื่อนกำลังพาจิ้นฝูออกไปด้านนอก
“รีบไปล้างหน้าล้างตา ทั้งงานราษฏร์งานหลวงรอเจ้าอยู่”
ชานเลี่ยยักคิ้วก่อนจะหันไปลูบขนอาชาเพียงตัวเดียวในคอก
ป๋ายเซียนไม่ได้อิดออดนานไปกว่านั้น
คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมปัดหญ้าแห้งออกจากตัวและศีรษะอย่างลวก ๆ
ครั้นจะเดินออกไปก็หยุดชะงักหลังจากนึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่มีนางกำนัล เขาจึงหันไปพับผ้าห่มทบกันสองชั้นแล้ววางลงบนหมอนใบเล็ก
การอยู่นอกวังอาจเป็นเรื่องยากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก
ระหว่างค้นหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับวังหลวง ป๋ายเซียนจำต้องรักษาแผลให้หายดีเสียก่อน
และการปรับตัวให้คุ้นชินกับชีวิตเฉกเช่นสามัญชนก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรเพิกเฉย
เขาจะทำตัวสบายอย่างตอนอยู่ในวังหลวงไม่ได้เด็ดขาด
เสียงขลุ่ยดังมากับสายลมบรรเลงเพลงไพเราะจนต้องมองหาต้นเสียง
ชานเลี่ยหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ คนตัวเล็กพลางหลุบมองแววตาฉงนคู่นั้น
หากไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนจะฉงนใจกับเสียงนั้นก็คงไม่แปลก
“เจ้าจะได้ยินเช่นนี้ทุกเช้า”
“ไพเราะเหลือเกิน”
“ชอบหรือ?” ชายหนุ่มชำเลืองมอง
คนข้างตัวจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ “ฝีมือตาแก่นั่น ท่านย่าชอบเพลงนี้ปู่ก็เลยเล่นทุกวันโดยไม่สนว่านางจะได้ยินหรือไม่
นักรักก็อย่างนี้” ชานเลี่ยก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางป้องมือทำท่ากระซิบกับประโยคหลัง
“แล้วเจ้าล่ะ เป็นนักรักหรือไม่?” ป๋ายเซียนถามอย่างใคร่รู้ แต่ดูจากสีหน้าแล้วคาดว่าคนอย่างผู่ชานเลี่ยคงห่างไกลคำ
ๆ นั้นอยู่มากโข “เจ้าคงไม่ได้คิดคำตอบกวนประสาทข้าอยู่ใช่ไหม?”
คนถูกรู้ทันขมวดคิ้ว ชานเลี่ยชำเลืองมองอีกครั้งก่อนจะผลักศีรษะเจ้าฟันกระต่าย “รู้มากนัก”
ป๋ายเซียนยิ้มขำ
จับศีรษะตนเองพลางนึกไปว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครเคยทำเช่นนี้
แม้แต่พี่รองที่สนิทกัน ผู่ชานเลี่ยช่างเป็นคนมือไหวเสียจริง
“ฉลาดมิใช่หรือ
ลองเดาดูสิว่าข้าจะตอบอย่างไร”
“ต่อให้ข้าตอบถูก เจ้าก็คงบอกว่าไม่ใช่
ข้ารู้ทันเจ้าหรอก” ป๋ายเซียนลอบยิ้ม
มองเสี้ยวหน้าคนเจ้าเล่ห์ที่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังออกเดินทางไปด้วยกัน
“ก็เจ้ามันน่าโมโห
วางท่าเหมือนรู้ทุกอย่าง”
“ข้าผิดงั้นหรือ?”
“ผิด”
“อ่านตำราเยอะ ๆ สิ
แล้วเจ้าจะไม่หัวเสียเพราะข้าอีก” เป็นอีกครั้งที่ชานเลี่ยรู้สึกโง่เขลา
ชายหนุ่มถอนหายใจฟึดฟัด ทั้งที่พยายามคิดหาทางเอาคืนอยู่หลายชั่วยามจนเผลอหลับ
แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะช้ากว่าเจ้าฟันกระต่ายหนึ่งก้าวอยู่ดี
“ตำราช่วยได้จริงหรือ?”
“ไม่มากก็น้อย
เจ้าอ่านครั้งล่าสุดเมื่อไหร่เล่า?”
“เหอะ ข้าไม่เคยอ่านหรอก” ชานเลี่ยเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งพลางทบทวนว่าควรพูดเรื่องต่อไปนี้ดีหรือไม่
เจ้าฟันกระต่ายก็แค่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หากเล่าความเขลาของตนเองให้ฟังมันจะดีหรือไม่
แต่ถ้าหากใช้ความรู้สึกตัดสิน เจ้าฟันกระต่ายก็ดูมิใช่คนปลิ้นปล้อน “เพราะข้าไม่เคยเรียนหนังสือ”
“อย่างนั้นหรือ”
“เจ้ากำลังจะหาว่าข้าโง่อีกแล้วล่ะสิ?” ผู่ชานเลี่ยไม่ชอบการดูถูกเหยียดหยาม
แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้นกับเจ้าฟันกระต่ายไปแล้วหลายหน
พอคิดเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย หากอีกฝ่ายเป็นคนปากไวหรืออวดดี
เชื่อเถอะว่าความรู้สึกเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด
“ถ้าจะมีคนคิดอย่างนั้นก็คงเป็นตัวเจ้าเอง”
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กที่เดินนำไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดอยู่กับที่แล้วกวาดสายตามอง
“เจ้าเพียงยังไม่ได้เรียนรู้”
“...”
“เป็นผ้าขาวที่ยังไม่ได้ลงสี”
ชานเลี่ยไม่คิดว่าจะได้ยินคำปลอบโยนเช่นนั้นจากใคร
เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ชาวบ้านในเมืองต่างก็เห็นค่าฝ่ายไหนฝ่ายหนึ่งโดยตรง
หากไม่เก่งบู๊จนได้เป็นทหารก็ต้องฉลาดบุ๋น
มีงานการที่มั่นคงและเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวได้
ซึ่งผู่ชานเลี่ยยังไม่เคยทำมันสำเร็จ
“หากเจ้าอยากลองหยิบตำราขึ้นมาอ่านสักเล่ม
อย่าลืมที่จะเรียกข้านะ” ชายหนุ่มยังคงหยุดสายตาอยู่กับแผ่นหลังแคบ
ๆ ก่อนอีกฝ่ายจะหันมาคลี่ยิ้มให้ เจ้าฟันกระต่ายจะน่าโมโหเกินไปแล้ว
เขาไม่คุ้นชินกับความอบอุ่นใจทางคำพูดเช่นนี้
“ถ้าข้าอ่านเมื่อไหร่เจ้าต้องดูโง่ลงไปทันตาแน่”
“ยังดีที่ติดคำว่า ‘ถ้า’” ป๋ายเซียนกำมือป้องปากขำ “ข้าจะรอวันที่โง่กว่าเจ้า เจ้าทึ่มชานเลี่ย”
“เรียกใครเจ้าทึ่ม
อยากตายใช่ไหม?!” ชายหนุ่มถลึงตาขู่
ขยับปากสบถอย่างหัวเสียพลางมองคนตรงหน้าที่เดินไปซ้ายทีขวาทีราวกับว่าเจออะไรดี ๆ
เข้า
“เดี๋ยวข้าขอเข้าไปเก็บสมุนไพรป่ามาทำแผลเสียหน่อย
เจ้ายืนฉลาด ๆ อยู่ตรงนี้คนเดียวได้ใช่หรือไม่?”
“เดี๋ยวหลังมือให้”
คนตัวเล็กยืนห่อไหล่ปิดปากหัวเราะ อะไรกัน... พูดให้รู้สึกแปลก
ๆ แล้วก็ตบหน้าเขาด้วยการกวนประสาทเช่นนั้นมันใช้ได้ที่ไหน จะเกินไปแล้ว
น่าจับมาบีบเป็นก้อนซาลาเปาแล้วเขวี้ยงไปให้สุดขอบแม่น้ำเสียจริง สู้บอกว่า ‘ผู่ชานเลี่ยคนโง่’ เพราะไม่เคยร่ำเรียนหนังสือคงน่าโมโหน้อยกว่านี้
ชายหนุ่มชักสีหน้ามึนตึงตามเข้าไป
มองเจ้าฟันกระต่ายกำลังให้ความสนใจกับพืชหลากชนิดซึ่งเกิดตามธรรมชาติและเขาไม่เคยให้ความสนใจกับมันมาก่อน
มีบางต้นคุ้นหน้าคุ้นตา และคนตัวเล็กก็เด็ดมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ พร้อมเอาใส่ถุงผ้าที่เอามาด้วย
“ไม่ยักเห็นต้นที่ข้าใช้ทำแผลให้เจ้าวันก่อน”
“ที่เจ้าใช้มันเกิดแค่ในป่าไผ่
แต่ตัวนี้พอจะใช้ปิดปากแผลแทนได้ ส่วนตัวนี้เอาไว้ต้มดื่มขับพิษ” ชานเลี่ยเผลอยืดหลังตรงเมื่ออีกฝ่ายเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าและเขาคิดว่ามันใกล้จนเกินไป
“ก็ดี”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
ยืนกอดอกปล่อยให้อีกคนก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรใส่ถุงผ้า “ทำแผลเลยสิ
เดี๋ยวข้าไปนั่งรอตรงริมน้ำ”
“ได้ รอเพียงครู่เดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ชานเลี่ยถูนิ้วกับปลายจมูกพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างริมน้ำ ก้มลงคว้าก้อนหินขนาดเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมา
ก่อนจะเขวี้ยงไปข้างหน้าจนหินก้อนนั้นเด้งบนผิวน้ำถึงห้าครั้ง
*
“พระสนมทรงเรียกหาหม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
นางพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ๆ ซื่อชวินรู้ดีว่าพระสนมเพียงยิ้มตามมารยาทเท่านั้น ในสถานการณ์เช่นนี้การใช้ชีวิตทั้งที่ลูกชายเพียงคนเดียวยังคงระหกระเหเร่ร่อนอยู่นอกวังโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้นคงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง แต่ถึงกระนั้นพระสนมก็ยังคงฝืนยิ้ม สมกับเป็นสตรีแกร่งอย่างที่ใคร ๆ กล่าวถึง
ที่ตรงนี้มีนางกำนัลสองนางคอยติดตามรับใช้พระสนม และทหารยามอีกหกนายซึ่งคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง ซื่อชวินสยายพัดสีขาว
ขยับข้อมือเบา ๆ พลางทอดสายตามองไปยังสระบัวเบื้องหน้าอย่างเช่นคนข้างตัว
“หากป๋ายเซียนยังอยู่
ข้ากับเจ้าคงเห็นเขาลงไปเด็ดดอกบัวด้วยตัวเอง”
“องค์ชายห้าเคยบอกหม่อมฉันว่าเกสรดอกบัวนั้นเอาไปปรุงยาบำรุงหัวใจได้
อีกทั้งรสชาติก็ถูกพระทัยฝ่าบาท ส่วนรากบัวเอาไปทำเป็นของหวานให้องค์ชายหกและองค์หญิงน้อยเสวยเป็นของทานเล่น
เพราะทั้งคู่เสวยน้ำน้อย รากบัวจึงช่วยเรื่องแก้ร้อนในได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เด็กคนนั้น”
นางยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยน “มักจะนึกถึงคนรอบข้างเสมอ”
“หม่อมฉันคงมิอาจให้คำสัตย์กับพระสนมได้เสียทีเดียว
แต่ทรงวางพระทัยลงสักนิดเถิดพ่ะย่ะค่ะ เพราะนอกจากติดป้ายประกาศและส่งทหารจากทุกมุมเมืองออกตามหาแล้ว
ตอนนี้แม่ทัพจงเหรินก็กำลังออกตามหาองค์ชายห้าอยู่เช่นกัน”
“เจ้าเชื่อเรื่องดวงชะตาหรือไม่ ซื่อชวิน?” พระสนมหันมาสบตากับเขา แววตาของนางยังคงเคล้าไปด้วยความโศกเศร้าและคงไม่มีใครลบล้างความรู้สึกเหล่านี้ไปได้นอกเสียจากองค์ชายห้าเพียงผู้เดียว
“พ่ะย่ะค่ะ”
คนตัวผอมกล่าวตามน้ำ ก่อนเสียงหัวเราะขององค์ชายหกและองค์หญิงน้อยที่กำลังเล่นว่าวจะทำลายความเงียบ
“ข้าเองก็เช่นกัน” พระสนมยิ้มบาง ๆ พลางวางมือลงบนท่อนแขนซื่อชวิน “ข้าหวังว่าโชคชะตาจะนำพาลูกของข้าให้ไปเจอคนดี ๆ ให้เขาปลอดภัยจากภัยทุกสิ่ง ไม่เจ็บป่วย อยู่กินนอนหลับอย่างสบาย”
“...”
“ส่วนตัวข้าจะอยู่ที่นี่... เพื่อรอวันที่ลูกกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของข้าอีกครั้ง”
พระสนมบีบแขนเขาเบา ๆ ก่อนจะเดินไปจากสะพานกลางสระบัวจนตอนนี้เหลือเพียงซื่อชวินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่จุดเดิม
คนตัวผอมถอนหายใจเบาหวิว เขามิอาจเอาความลำบากใจไว้บนบ่าแม่ทัพจงเหรินเพียงผู้เดียว
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝากความหวังไว้กับอีกฝ่ายอยู่มากโข
“ท่านซื่อชวิน!”
เขาหลุดออกจากความคิดเพราะเสียงองค์หญิงน้อย
เด็กสาววัยเยาว์โบกมือไหว ๆ พร้อมชี้ไปยังว่าวสีขาวที่ติดอยู่กับต้นไม้สูง โดยมีองค์ชายจุนเหมียนกำลังตั้งท่าจะปีนขึ้นไปเก็บ
และทหารสี่นายที่อยู่ตรงนั้นมิกล้าเอ่ยห้ามเพราะความเอาแต่ใจอย่างไร้เหตุผลขององค์ชายหก
“องค์ชายหก องค์ชาย” ซื่อชวินถอนหายใจพลางรวบพัดเก็บก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปห้าม “พวกเจ้าถอยออกไป”
“ถ้าพี่หกตกลงมาต้องโดนพี่ใหญ่ดุแน่
ๆ”
“แต่ว่าวมันติดอยู่บนต้นไม้
ถ้าข้าไม่ขึ้นไปเก็บ มันต้องปลิวไปฝั่งหัวเมืองเหนือแน่”
“ลงมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อชวินเงยหน้ามองอีกคนที่กำลังพยายามปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ “เดี๋ยวทหารจะขึ้นไปเก็บให้ องค์ชายรอเพียงครู่เดียวเท่านั้น”
“แต่มันจะปลิวแล้ว ท่านซื่อชวิน”
“เรายังเก็บทันถ้าหากองค์ชายลงมาตั้งแต่ตอนนี้แล้วให้ทหารขึ้นไปเก็บแทนพ่ะย่ะค่ะ” ชายชุดขาวยิ้มบาง ๆ
เกลี้ยกล่อมเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงที่ยังคงหวังจะเก็บว่าวด้วยตนเอง
“ข้า... ไม่รู้จะลงเยี่ยงไร
ท่านซื่อชวิน ข้าหาทางลงไม่ได้”
“ไม่เป็นไรองค์ชายหก หม่อมฉันรอรับอยู่ตรงนี้” ซื่อชวินอ้าแขนออกพร้อมพยักหน้าช้า ๆ “องค์ชายเชื่อใจหม่อมฉันหรือไม่?”
จุนเหมียนกัดเล็บพลางกลอกตาล่อกแล่ก
เสมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ อย่างไม่มั่นใจนัก
แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็กระโดดลงไปในอ้อมกอดคนเป็นครูจนล้มลงคลุกผืนหญ้าทั้งคู่ องค์ชายหกพลิกตัวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าห่อไหล่
ก้ม ๆ มอง ๆ ชายชุดขาวพลางหยิบพัดขึ้นให้อย่างรู้สึกผิดที่ทำครูเจ็บตัว
“ท่านซื่อชวินเป็นอะไรหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร
เจ้าช่วยขึ้นไปเก็บว่าวให้องค์ชายที” หลังจากสั่งการทหารเป็นที่เรียบร้อย
ซื่อชวินก็ยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายหกและองค์หญิงน้อย
“เห็นหรือไม่ว่าพี่หกทำให้ท่านซื่อชวินต้องเจ็บตัว”
“ข... ข้าหรือ?”
“ใช่ ขอโทษท่านซื่อชวินเลย” เสียงเจื้อยแจ้วขององค์หญิงมาพร้อมแววตาหวาดกังวลของเด็กสติไม่สมประกอบ
ซื่อชวินจึงยิ้มบาง ๆ พลางลูบศีรษะองค์ชายหกเป็นการปลอบประโลม
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าขอโทษ...
ข้าจะไม่ดื้อกับท่านอีกแล้ว จะให้ว่าวปลิวไปไหนก็ไปเลย”
“ถ้าองค์ชายดื้ออีก
องค์ชายห้าอาจจะไม่กลับมานะพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ?!”
จุนเหมียนเบิกตากว้าง รีบส่ายศีรษะพร้อมโบกมือพัลวัล “ไม่ได้เด็ดขาด
ท่านพี่ต้องกลับมาสิ ข้าจะไม่ดื้อแล้ว”
“พี่ห้ากลับมาแน่” ทั้งคู่หันไปทางองค์หญิงน้อย
นางแทรกเข้ามานั่งตรงกลางพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ข้าได้ยินเสด็จพ่อทรงรับสั่งกับท่านแม่ทัพจงเหรินว่าถ้าหากเขาตามหาพี่ห้าพบ
เสด็จพ่อจะตบรางวัลให้เป็นสนมนางในรูปงามสักสามสี่นาง”
“...”
คนฟังหัวใจชาวาบราวกับถูกแช่ในแม่น้ำกลางฤดูหนาว ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนบนใบหน้าอู๋ซื่อชวิน
เมื่อประโยคเมื่อครู่ขององค์หญิงกำลังปั่นป่วนในความคิด
“แม่ทัพจงเหรินจะมีเมียหลาย ๆ คนงั้นหรือ?”
“ใช่ ถ้าพี่หกอยากมีเช่นนั้นบ้างก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้” เด็กน้อยหันไปสอนพี่ชาย จุนเหมียนจึงกลอกตามองอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ข้าจะเข้มแข็ง ข้าอยากมีเมียเยอะ
ๆ เหมือนแม่ทัพจงเหริน!”
ซื่อชวินคว้าพัดคู่ใจพลางยันตัวลุกขึ้นยืน หันไปส่งสายตาบอกให้ทหารคอยสอดส่องดูแลองค์ชายหกและองค์หญิงน้อยให้ดีก่อนจะเดินจากไปเงียบ
ๆ ไร้คำบอกลา หัวใจยังคงเต้นระส่ำกับเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้
ตบรางวัลเป็นสนมงั้นหรือ... ก็คงเหมาะสมกับท่านแม่ทัพใหญ่ที่ใคร ๆ ต่างก็เกรงขามดี
“ซื่อชวิน”
“...”
วันนี้ท่านแม่ทัพไม่ได้ใส่ชุดเกราะหนักอย่างเช่นเมื่อวาน
แต่การนั่งอยู่บนอานม้าด้วยชุดสีดำก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง
“เจ้าจะรีบไปไหนหรือ?” ซื่อชวินรู้สึกขลาดเขลาเหลือเกินที่เลือกเดินหนีซึ่ง ๆ
หน้าแทนที่จะตอบกลับไป อย่างน้อยมันก็คงไม่ทิ้งพิรุธไว้เช่นนี้ “ข้าจะออกไปตามหาองค์ชายห้าตามลำพัง ดังนั้นข้าจึงอยากถามว่าเจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”
“...”
ชายผ้าหยุดลากไปตามพื้น
พัดที่อยู่ในมือถูกกำแน่นขึ้นกับความย้อนแย้งในใจที่ส่วนหนึ่งอยากเดินหนีไปให้พ้น
ๆ กับอีกส่วนที่มันเทให้องค์ชายห้า
ซื่อชวินยืนนิ่งพลางไตร่ตรองในเสี้ยวเวลาอันสั้นว่าควรตัดสินใจอย่างไร
แต่พอหันไปเพื่อตั้งใจจะให้คำตอบ ก็พบว่าท่านแม่ทัพจงเหรินยืนขนาบข้างตัวเสียแล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าขี่ม้าไม่เก่ง
แต่มากับข้าเถอะ” ซื่อชวินมองมือแกร่งที่ยื่นออกมา
ก่อนจะสยายพัดพร้อมเบือนสายตาหลบ โชคดีเหลือเกินที่ห้ามปากตนเองไว้ได้
มิเช่นนั้นอู๋ซื่อชวินคงโพล่งออกไปอย่างขลาดเขลาว่า
‘ท่านก็พาสาวงามทั้งห้าออกไปตามหาองค์ชายเสียเลยสิ’
“ซื่อชวิน”
“ข้า -- เดี๋ยว ท่านแม่ทัพ?!” คนตัวผอมเบิกตาโพลง มองข้อมือตนเองที่ถูกถูลู่ถูกังไปยังอาชาศึกรูปงาม
ซื่อชวินชักมือกลับ
ชักสีหน้ามึนตึงใส่อีกฝ่ายโดยไร้เหตุผลและก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมา
จงเหรินสบสายตากับคนอารมณ์ไม่ดี
ชายหนุ่มมิอาจล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไปเจอกับเรื่องหัวเสียอะไรมา และการปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่างก็ไม่ใช่ทางของเขา
แต่การถามไถ่ตรงนี้คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แม่ทัพที่ดีย่อมมีแผนรับมือเสมอ
“เจ้าขึ้นเองได้หรือไม่?”
คราวนี้จงเหรินไม่ได้ถึงเนื้อถึงตัวเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรั้นไปกว่าเดิม
แต่การยึดพัดคู่ใจมาถือไว้ก็ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ต่างกันนัก
ซื่อชวินถลึงตามองในแบบที่เขาไม่เคยเห็น และสีหน้าท่าทางอย่างที่เป็นอยู่ก็ถูกอกถูกใจคนเป็นแม่ทัพยิ่งนัก
“หากตอบว่าไม่
ข้าจะได้อุ้มเจ้าขึ้นไป”
TBC
ซอมเบิงอยู่เด้อออออออออออออออออออออออออออ
ความคิดเห็น