คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 02 :: Not Me (100%)
Chapter 2
Not Me
มนุษย์เราเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เชื่อในสิ่งที่สัมผัสได้ และสิ่งที่ตาเห็น
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากชายหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือบนโต๊ะสีขาว เป็นเพราะบ้านหลังนี้มีกฎว่าทุกห้องห้ามล็อกประตู แต่การได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นเชิงขออนุญาต มันเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้ถึงการมาของ ‘โดคยองซู’ ลูกชายอาแท้ ๆ ของเขา
และคนออกกฎนั้นคือพ่อของเขาที่อยากเข้าออกทุกห้องได้ตามอำเภอใจ ด้วยการอ้างเหตุผลว่าเจ้าบ้านต้องดูแลอย่างทั่วถึงได้ และลูกบ้านห้ามมีความลับ แม้ว่าปาร์คชานยอลจะอายุยี่สิบสองแล้วก็ตาม
ทั้งสองคนถูกเลี้ยงคู่กันมาตั้งแต่คยองซูยังเป็นเด็ก โดยมีพี่ยูราคอยดูแลช่วยพ่อแม่อีกที เพราะตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ของเด็กคนนี้จากไปเมื่อคราวนั้น คยองซูก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เงียบ ไม่ค่อยพูด และชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง
ชานยอลเคยได้ยินพ่อแม่คุยกันว่าเด็กคนนี้มีปัญหาทางจิต ที่เอาแต่พูดว่าพ่อกับแม่มาหา ตัวของท่านซีดเผือด...เปียกน้ำและกำลังร้องไห้ ทางผู้ใหญ่บอกว่าอาจเป็นผลกระทบทางจิตใจหลังจากเสียครอบครัวไปกับอุบัติเหตุรถแหกโค้งลงแม่น้ำ แต่มีเพียงแค่คยองซูที่รอดมาได้อย่างน่าประหลาด
ชาวบ้านที่ลงไปช่วยให้ความว่าตอนดำน้ำลงไปก็เห็นเด็กคนนี้หลุดออกมาจากตัวรถแล้ว ทางตำรวจและผู้ใหญ่ต่างหาเหตุผลว่าเพราะอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครดึงมันมาเกี่ยวข้องกับอาการของเด็กคนนี้ ที่ทำให้คยองซูต้องไปพบจิตแพทย์เด็กตั้งแต่อายุเก้าขวบ
ชานยอลเคยคิดอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่ได้มองหน้าน้องชาย มันก็มีบางอย่างที่ทำให้เขาคิดว่าบางทีคยองซูอาจจะพูดความจริงก็ได้
อย่างที่มีคนเคยบอกว่า แววตาและคำพูดของเด็กย่อมไม่โกหก
ตอนนี้คยองซูอายุสิบเจ็ดปีแล้ว และสภาพจิตใจก็ดีขึ้นกว่าเมื่อตอนนั้นพอสมควร ซึ่งอันที่จริงเจ้าเด็กคนนี้แค่แสร้งทำว่าดีขึ้นแล้วเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวไม่อยากไปหาหมอ ไม่อยากถูกผู้ใหญ่มองว่าเป็นบ้าที่เอาแต่พูดถึงสิ่งลี้ลับอยู่ได้
“คิดว่านอนไปแล้วซะอีก”
ชานยอลลากเก้าอี้อีกตัวมาให้คนเป็นน้องนั่ง และท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมันต่างไปจากทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าคยองซูกำลังกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดสายตาลงที่เขา
“พี่”
“ว่าไง?”
“ผมไม่สบายใจ” เด็กน้อยมองหน้าพี่ชายอย่างจริงจัง ชานยอลรู้ว่าคยองซูเป็นคนยังไง แต่ไม่บ่อยนักหรอกที่เด็กคนนี้จะบอกถึงความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะปรึกษาถึงบทเรียนที่ไม่เข้าใจ
“ว่ามาสิ พี่ฟังเราอยู่” ชานยอลวางปากกาไว้บนโต๊ะแล้วหันหน้าเข้าหาน้องชายตัวเล็ก
ไม่เคยเลยสักครั้งที่พี่ชายคนนี้จะแสดงออกถึงความรำคาญ แม้ว่าจะยุ่งแค่ไหน ปาร์คชานยอลก็พร้อมที่จะวางปากกาเสมอ ถ้าน้องชายอย่างเขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
จนถึงตอนนี้คยองซูก็ยังคงเอาแต่จ้องหน้าร่างสูงอยู่อย่างนั้น มีบางครั้งที่สายตาล่อกแล่กไปทางอื่น ก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
“ผมกลัว”
ชานยอลขานตอบในลำคอแล้ววางมือลงบนศีรษะทุยพร้อมลูบเบา ๆ เพื่อขับไล่ความกลัวให้กับเด็กน้อยที่ไม่เคยออกปากว่ากลัวสิ่งไหน แม้จะเคยได้ฟังเรื่องลี้ลับที่เด็กคนนี้พบเจอมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“ผม...รู้สึกว่าพี่กำลังตกอยู่ในอันตราย”
เด็กน้อยในชุดนอนสีเข้มประสานมือไว้บนตัก เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแรงบีบมือของตัวเองเลยด้วยซ้ำ โดคยองซูหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกอย่างนี้ แต่ครั้นจะตัดใจปิดไฟนอนก็ทำไม่ได้ มันกระสับกระส่ายจนหลับไม่ลงจนสุดท้ายต้องดีดตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วทบทวนกับตัวเองว่าควรเข้ามารบกวนเวลาอ่านหนังสือของพี่ชายดีไหม?
เขาเกลียดที่จะรับรู้ และสัมผัสได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
“พี่ต้องระวังตัวให้ดีนะ สัญญากับผมสิ”
ในทีแรก เขาคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นการตักเตือนธรรมดา ๆ ถ้าหากว่าโดคยองซูแค่ฝันร้ายจนรู้สึกใจไม่ดี หากแต่แววตาที่มองมานั้นดูสั่นคลอน อีกทั้งมือเย็นยะเยือกตอนเอื้อมมากุมมือของเขา มันบ่งบอกว่าเด็กคนนี้รู้สึกกลัวจริง ๆ
“นายอยากบอกอะไรพี่หรือเปล่าคยองซู?”
เด็กน้อยไม่ได้ตอบคำถามในทันที คยองซูเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะหลุบสายตาลงเพื่อเรียบเรียงคำพูด
“ผมรู้ว่าพี่ไม่เคยเชื่อเรื่องที่ผมพูด ตั้งแต่ตอนเก้าขวบมาจนถึงตอนนี้” เสียงของคนเป็นน้องเรียบเฉยเหมือนกับแววตาที่มองมา “แต่พี่แค่แกล้งทำเป็นเชื่อ เพื่อที่จะให้ผมสบายใจ”
“...”
“แต่คราวนี้พี่อย่าทำแบบนั้นนะชานยอล”
“...”
“พี่ต้องเชื่อผม”
“...”
“สิ่งที่พี่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริง อาจจะทำให้พี่ตกในที่นั่งลำบาก ไม่วันนี้ก็วันหน้า”
คยองซูนิ่งไปคู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ทิ้งไว้เพียงแค่ความสงสัยให้คนเป็นพี่ชายที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดเหล่านั้น ซึ่งร่างสูงไม่สามารถให้เหตุและผลแยกแยะออกมาเป็นคำตอบได้
คยองซูรู้สึกได้ถึงความเย็นจากเหงื่อชื้นที่ฝ่ามือตอนมันสัมผัสกับความเย็นของลูกบิดประตู ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ปกคลุมไปโดยรอบ มันรุนแรงกว่าทุกครั้งจนมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง
พี่ชายของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย
“เขาไม่ได้มาดี นั่นคือสิ่งที่พี่ควรรู้เอาไว้”
CUT
50%
“วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”
“อ๋อ เปล่าครับ ผมต้องไปดูน้องปีหนึ่งทำกิจกรรมน่ะ” คนเป็นพ่อพยักหน้าช้า ๆ หลังจากได้ฟังคำตอบ ด้วยความที่รู้ตารางเรียนของลูกชายเป็นอย่างดี เขาจึงประหลาดใจอยู่เล็กน้อยกับการเห็นชานยอลมาร่วมโต๊ะมื้อเช้า ทั้งที่เจ้าตัวมีเรียนสิบโมง
บ้านหลังนี้อยู่ด้วยกฎระเบียบ พ่อคือคนตัดสินใจทุกอย่างและลูกบ้านต้องทำตาม พ่อไม่ชอบการตื่นสาย แต่ชานยอลได้รับอนุโลมเพราะต้องอยู่อ่านหนังสือจนดึก เขายังจำรสชาติของไม้เรียวเมื่อตอนยังเป็นเด็กได้ กับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้านอื่นไม่เก็บมาใส่ใจ แต่มันจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าหลุดออกนอกกรอบที่พ่อกำหนดไว้
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาถูกเพื่อนแซวมานับครั้งไม่ถ้วนว่ามีบ้านเหมือนคุก แต่จากน้ำเสียงและสีหน้าของเจ้าพวกนั้นก็ยังทำให้รู้สึกว่าอยู่ในขอบเขตเรื่องตลกอยู่ ไหนพ่อจะบอกว่า ‘แฟนไม่จำเป็นเท่าอนาคต ถ้ามีอนาคตแล้ว แฟนจะหาเมื่อไหร่ก็ได้’ ปาร์คชานยอลคิดว่าเขาเข้าใจพ่อด้วยความไม่เข้าใจ พ่อบอกว่าการมีแฟนในวัยเรียนจะทำให้ชีวิตดิ่งลง แต่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองเสียมากกว่า
และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาคบกับใครได้ไม่นาน ไหนจะเรื่องไม่มีเวลาให้เพราะพ่อค่อนข้างซีเรียสเรื่องเวลากลับบ้านของทุกคน อีกทั้งเรื่องพาแฟนไปที่บ้าน ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ท่านก็ยังสร้างความอึดอัดให้เธอได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ชานยอลคบกับใครไม่เคยยืด เขาเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นคำสาปที่ทำให้ต้องพบจุดจบแบบนี้กับผู้หญิงทุกคน แต่จะโทษว่าเป็นเพราะเรื่องที่บ้านอย่างเดียวก็คงไม่ถูก เพราะถ้าเขายอมเจียดเวลาอ่านหนังสือให้กับเธอบ้าง เรื่องมันอาจจะไม่จบแย่ขนาดนั้นก็ได้ เรื่องที่บ้านก็แค่ส่วนหนึ่ง หลังจากเลิกกับแฟน สิ่งแรกที่ปาร์คชานยอลจะโทษคือตัวเอง
ตอนนั้นพี่รหัสพาไปเลี้ยงรุ่นที่ผับ ชานยอลเลือกโกหกพ่อว่าไปกินเลี้ยงที่ร้านอาหารตามชานเมือง ซึ่งพ่อก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ อาจเป็นเพราะเขาอยู่ในกรอบตลอด ท่านถึงไว้ใจให้กลับบ้านดึกได้วันหนึ่งในรอบหลายเดือน
ปาร์คชานยอลคิดว่าการโกหกในวันนั้นคุ้มค่า เพราะมันทำให้เขาได้เจอแบคฮยอน
ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นตอนสบตากันในทางเดินแคบในวินาทีแรก ชานยอลไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงกับเพศเดียวกันมาก่อน ตอนที่เขายืนชิดกับผนังเพื่อแบ่งพื้นที่ให้คนตัวเล็กเดินสวนไปนั้น เขายังจำได้เป็นอย่างดี
แบคฮยอนคงเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่ปาร์คชานยอลบอกกับตัวเองหลังจากดึงเอาภาพของอีกฝ่ายออกจากหัวไม่ได้ เขาหัวเราะกับตัวเองที่คิดว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งก็คงดี เขากำลังเปลี่ยนรสนิยมงั้นหรือ?
ชานยอลไม่อยากเอาความรู้สึกมาวางบนตราชั่งยุติธรรม เขากลับไปนั่งกับเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ทั้งที่สายตายังคงมองหาคนตัวเล็ก ไม่รู้สิ... ลึก ๆ แล้ว มันมีความรู้สึกบางอย่าง ที่กำลังบอกว่าเขาต้องได้เจอกับแบคฮยอน
และมันก็ใช่จริง ๆ
บทสนทนาแรกระหว่างเขากับแบคฮยอนน่ะเหรอ?
‘มีกฎหมายข้อไหนห้ามนั่งตรงนี้หรือเปล่า?’
มันเป็นคราวที่เขาต้องตอบคำถาม แต่ปาร์คชานยอลเพียงแค่สบตากับอีกฝ่ายแล้วให้ริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มขึ้นเป็นคำตอบ ทั้งคู่ใช้เวลาทำความรู้จักกันอยู่สักพักหนึ่ง ในขณะที่เพื่อน ๆ และรุ่นพี่ต่างก็สนใจกับเครื่องดื่มมึนเมาและเสียงเพลงที่เรียกร้องให้ลุกขึ้นไปเต้น
ชานยอลไม่ชอบตัดสินใครที่ภายนอก แต่เหนือสิ่งอื่นใด มนุษย์เราย่อมมีคำตอบในใจอยู่แล้ว ที่เหลือก็แค่หาคำยืนยันให้กับมัน ว่าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องจริงหรือผิดทั้งหมดก่อนตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงเก็บรายละเอียดคู่สนทนาอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสายตา ไหวพริบในการตอบคำถาม
และปาร์คชานยอลก็ได้รู้ว่าบยอนแบคฮยอนไม่ใช่คนที่จะผ่านมาในชีวิตเขาแค่หนึ่งชั่วโมง
ยังจำรอยยิ้มครั้งแรกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แบคฮยอนทำให้เขาได้รู้ว่าความรักระหว่างชายหญิงที่ไม่สมหวังนั้นไม่ใช่คำสาป แต่มันเป็นบัตรผ่านเพื่อให้รู้ว่าความรักของผู้ชายคนหนึ่งนั้นไม่จำเป็นต้องจบที่ผู้หญิงเสมอไป
หลายครั้งที่คิดว่าเซ็กส์คือเชือกที่ทำให้ปมของความรักแน่นขึ้น ผู้หญิงที่เคยคบกันในทีแรกก็ดูเข้าใจดี แต่พอหลังมีเซ็กส์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากที่เคยมีเส้นคั่นพื้นที่ส่วนตัว แต่เธอขยี้ทิ้งด้วยความเอาแต่ใจ และอ้างว่าทำทุกอย่างไปเพราะความรัก และต้องการเวลาจากเขามากกว่านี้
เคยได้ยินมาว่าความรักจะหมดความพอดีหลังถูกผูกติดด้วยเพศสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อก่อนชานยอลไม่เคยคิดอย่างนั้นจนกระทั่งได้เจอกับตัว และมันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาลองอยู่กับแบคฮยอนแบบนี้
ลองอยู่กันด้วยความรักและความรู้สึก โดยที่ไม่มีเซ็กส์มาตัดสิน
แบคฮยอนเคยมาที่บ้านเขาหนหนึ่ง ทุกอย่างดูราบเรียบเป็นปกติ ไม่มีใครสังเกต ไม่มีใครจับได้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ไม่ได้รู้สึกดีกับระบบการใช้ชีวิตของครอบครัวนี้ ที่เคร่งครัดจนน่าอึดอัด
ชานยอลแคร์แบคฮยอนมาก แค่เห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยิ้มก็เป็นกังวลแล้วว่าจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าเวลาพ่อชวนคุยเรื่องจริงจัง ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาถ้าแบคฮยอนอยู่ในฐานะเพื่อน
คนตัวเล็กยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร แต่ชานยอลก็ได้บอกกับตัวเองแล้วว่าการพาแบคฮยอนมาที่บ้านอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแล้ว เพราะฉะนั้นการไปหาคนรักที่หอพักเองคงจะดีกว่า
ร่างสูงหยัดตัวนั่งลง อาหารเช้าถูกจัดเตรียมโดยคนเป็นแม่และพี่สาวที่ตื่นมาช่วยอีกแรง ปาร์คยูราในชุดทำงานทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีฟ้ามาพร้อมอาหารเช้าเพื่อสุขภาพและน้ำผลไม้ ก่อนจะวางลงตรงหน้าคนเป็นพ่อที่กำลังง่วนอยู่กับหน้าหนังสือพิมพ์อาชญากรรม
คยองซูนั่งลงข้างชานยอลพลางมองอาหารเช้าเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าคนอื่น ๆ ก่อนที่แม่บ้านทั้งสองจะถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเริ่มมื้อเช้าพร้อมกัน บรรยากาศเดิม ๆ เหมือนกับทุกเช้า ซึ่งมีเพียงแค่เสียงช้อนกระทบจานชามเซรามิกส์เท่านั้นที่พูดคุยกันแทนคนบนโต๊ะ
“ขับรถดี ๆ นะครับ” ชานยอลก้มตัวลงเล็กน้อยพลางมองไปยังคนเป็นพ่อซึ่งอยู่ที่นั่งคนขับ ก่อนจะหันไปทางน้องชาย “ตั้งใจเรียนนะคยองซู”
“ครับ” เด็กน้อยพยักหน้า ชานยอลเพียงแค่ยิ้มขณะสบตากับน้องชายที่ไม่ยอมละสายตาออกห่างจากเขา
ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของเด็กคนนี้ ชานยอลไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสายตาเรียบเฉยคู่นั้น หรือเรื่องที่คยองซูพูดเมื่อคืนกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แบบนี้
“พ่อไปนะ”
“ครับ”
ชานยอลโค้งลาพ่อผู้ซึ่งเป็นผู้พิพากษา ชายหนุ่มมองรถคันหรูขับไปจนสุดสายตาแล้วเดินเข้าไปในมหาลัยเพื่อตรงไปยังใต้ตึกคณะตามที่นัดเพื่อนและน้อง ๆ เอาไว้ ระหว่างทางก็ปล่อยให้สมองได้ทบทวนถึงคำพูดของน้องชาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหาคำตอบให้กับสิ่งไม่รู้ในอนาคตไม่ได้อยู่ดี
ลานกว้างใต้ตึกนิติศาสตร์เย็นสบาย ตอนนี้มีน้องปีหนึ่งปะปรายกระจายอยู่เป็นจุด ส่วนพวกรุ่นพี่ที่มาถึงก่อนก็จับกลุ่มกันถกเรื่องที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“ไง”
“อรุณสวัสดิ์”
ชานยอลพยักหน้าทักทายแล้วนั่งลงข้างมินโฮ ตอนนี้เพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังง่วนอยู่กับการวางแผนว่าจะต้องแนะนำรุ่นน้องยังไง
“หน้าเธอดูไม่ค่อยดีนะดาซม”
“แหงล่ะ ฉันยังอ่านชีทกองเท่าหัวเข่าไปได้แค่สองชุดเอง สอบพรุ่งนี้ก็ขอให้พระเจ้าช่วยอวยพรด้วย” เธอว่าแล้วเสยผมขึ้นอย่างหัวเสีย เรียกรอยยิ้มจากเพื่อนผู้ชายอีกสามคนได้เป็นอย่างดี “นายคงอ่านใกล้หมดแล้วสิ?”
“ต้องถามด้วยเหรอ ป่านนี้คงอ่านหมดแล้วมั้ง” ชางมินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะคนถูกพาดพิง
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ เขาอยากจะบอกเจ้าพวกนี้เหลือเกินว่ามันจำเป็นต้องอ่าน ปาร์คชานยอลก็อยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่าการขลุกอยู่กับหนังสือบ้างเหมือนกัน อย่างเช่นไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่น จนไปถึงใช้เวลาอยู่กับแฟนทั้งวัน
แต่ถ้าไม่พยายามเกรดก็จะออกมาแย่ ซึ่งมันจะส่งผลระยะยาวให้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านได้อย่างลำบาก เขาไม่อยากเห็นสีหน้ามึนตึงของพ่อ และอะไรก็ตามที่จะบั่นทอนความรู้สึกให้แย่ลงยิ่งกว่านี้
“เอาแต่เรียนกับอ่านหนังสือแบบนี้ นายเอาเวลาไหนไปอยู่กับแฟนวะเพื่อน?” คำถามของชางมินเรียกรอยยิ้มจากมินโฮได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เจ้าตัวสนิทกับชานยอล เพราะฉะนั้นเขาถึงรู้ดีที่สุดว่านี่คือปัญหาหลักที่ทำให้ไอ้หมอนี่ไม่สบายใจ
“ตอนนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่พอสอบเสร็จก็น่าจะมีเวลามากขึ้น” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ลึก ๆ แล้วชานยอลก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ
“แฟนเขาดี แฟนเขาเข้าใจก็งี้” มินโฮว่าพลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันก็ต้องมีน้อยใจบ้างแหละ ไม่ว่าใคร ถ้าทุกอย่างมันลดลงก็ต้องรู้สึกได้ แต่ที่ผู้ชายเข้าใจว่าความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นแค่กับผู้หญิง ก็เพราะว่าเธอเลือกที่จะแสดงออกมา นายใจเย็นเกินไปหรือเปล่าชานยอล” ดาซมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป ราวกับว่าประโยคเมื่อครู่นี้มันจี้ใจยังไงอย่างนั้น
“พวกไม่พูดนี่แหละตัวดี พอระเบิดออกมาทีนี่...ตู๊ม” มินโฮทำมือไม้ประกอบ
ชานยอลหลุบสายตาลงใช้ความคิด ภาพตอนแบคฮยอนทำหน้าหงอย หรือแกล้งทำเป็นยิ้มแล้วบอกว่า ‘ฉันเข้าใจ’ ลอยเข้ามาในหัว ใช่ว่าจะไม่รู้ แต่เพราะเขามันซื่อบื้อเองที่เอาแต่เชื่อคำโกหกของแบคฮยอน ที่เจ้าตัวบอกว่า ‘เข้าใจ’ และ ‘ไม่เป็นไร’
“เดี๋ยวมานะ”
ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงและหยิบสมาร์ทโฟนติดมือไปด้วย คนเป็นเพื่อนมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินไปอย่างร้อนใจพร้อมยกหูแนบโทรศัพท์ ท่ามกลางเสียงซุบซิบของเหล่ารุ่นน้องปีหนึ่งที่กรี๊ดกร๊าดรุ่นพี่อยู่เงียบ ๆ ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันก่อนจะหลุดขำออกมา
กดเบอร์โทรออกแล้วรอสาย นานเลยทีเดียวแต่ก็ไม่มีใครรับ ชานยอลหยุดยืนอยู่หน้าบันไดหินขัดหน้าตึกพลางทอดสายตาไปยังเบื้องหน้าระหว่างรอ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจทันทีที่หันไปเห็นกลุ่มรุ่นพี่ที่ผงะถอยหลังเมื่อสบตากัน
รอยฟกช้ำบนใบหน้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดคำถาม ชานยอลรู้ว่ารุ่นพี่กลุ่มนั้นปากดีชอบแขวะคนอื่นไปเรื่อย แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นมีเรื่องชกต่อยกับใครนี่?
“...อะไรของเขา”
ร่างสูงพึมพำกับตัวเองขณะมองไล่หลังพวกรุ่นพี่ที่พร้อมใจกันถอยไปจากตรงนั้น ราวกับว่ากำลังกลัวอะไรสักอย่าง ถึงจะงง ๆ แต่เขาก็หลุดยิ้มออกมากับท่าทางประหลาด ๆ แบบนั้น ยอมรับก็ได้ว่าแอบสะใจอยู่ลึก ๆ ที่คนพวกนั้นได้รับบทเรียนบ้าง หลังจากทำตัวกร่างใส่รุ่นน้องมานาน
เวรกรรมคงตามทันแล้วสินะ
( วันนี้จะมาเรียนเปล่า )
“เออ เดี๋ยวจะไปอาบน้ำแล้วเนี่ย”
( เมื่อคืนก็เบี้ยวนัด กูยังรอฟังเหตุผลอยู่นะว่าเพราะอะไร )
แบคฮยอนยิ้มขำพลางเกาศีรษะที่ยุ่งเหยิงหลังลุกจากเตียง ร่างเล็กเดินไปคว้าผ้าขนหนูแล้วฟังเสียงเพื่อนสนิทบ่นกรอกหู บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่เขาเบี้ยวนัดเมื่อคืนโดยไม่บอกให้ชัดเจนก่อนวางหูว่าเพราะอะไรถึงไม่ไป
ก็จะให้อธิบายยังไงล่ะ ตอนนั้นแค่บอกว่า ‘โทษทีนะ ไม่ไปแล้ว’ ก็ลำบากแทบขาดใจ กับการที่เขาต้องพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ ในขณะที่อีกคนกระแทกกายเข้ามาไม่หยุด แม้ว่าเขาต้องการเวลาสักยี่สิบวินาทีในการปฏิเสธนัดเพื่อน
ร่างเล็กมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่มีผ้าห่มปกคลุมถึงแค่ช่วงเอวชายหนุ่มบนเตียง ชานยอลนอนคว่ำอยู่ท่านั้นและดูเหมือนว่าจะไม่ตื่นง่าย ๆ
แบคฮยอนยิ้มขำขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเสี้ยวหน้าที่แนบอยู่กับหมอนใบใหญ่ ผู้ชายจริงจังตอนเอาแต่ใจนี่ก็น่ารักไปอีกแบบ คนตัวเล็กยังจำน้ำเสียงสั่นพร่าตอนอีกฝ่ายกระซิบบอกให้เขาเอามือถือมากดโทรยกเลิกนัดเพื่อนได้ แม้ว่าตอนนั้นเรายังคงอยู่ในบทรักเร่าร้อนจนยากที่จะหยุด
แบคฮยอนไม่เคยทำเรื่องน่าตื่นเต้นแบบนี้มาก่อน ไม่สิ ควรเรียกว่าน่าอายเสียมากกว่า กับการที่เขาต้องคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงติดขัดปนหอบหายใจขณะที่อีกฝ่ายส่งกายเข้ามาไม่หยุดอย่างนั้น ถ้าถูกจับได้ว่ากำลังทำเรื่องลามกระหว่างคุยโทรศัพท์ คงโดนพวกเพื่อนเวรล้อไม่หยุดแน่
ชานยอลเอาแต่ใจจนดึก รู้ตัวอีกทีเขาก็หลับคาอกผู้ชายคนนั้นไปแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตื่นมาแล้วเห็นหน้าแฟนเป็นคนแรกนั้นคือสิ่งที่แบคฮยอนคาดหวังมานาน ชานยอลจะคิดเหมือนกันบ้างไหม การที่ได้อยู่กับเขาจนเช้า...มันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า?
ว่าแต่ตอนนี้จะเอายังไงดีล่ะ ควรปลุกชานยอลให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำดีไหม?
แบคฮยอนรู้ว่าที่บ้านคนรักเป็นยังไง เพราะที่ชานยอลมาค้างคืนด้วยแบบนี้เขาก็ยังไม่ได้คำตอบด้วยว่ามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ชานยอลมีเรียนสิบโมง และเจ้าตัวก็ไม่ใช่พวกคิดง่าย ๆ ว่าขาดคาบนึงก็ไม่เป็นไร การเรียนในแต่ละคณะไม่เหมือนกัน บางคาบสามารถขาดได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะเรียนคาบต่อไปไม่รู้เรื่อง ในขณะที่บางวิชาก็แทบใจลอยละสายตาจากครูผู้สอนไม่ได้เช่นกัน
( เสียงมึงเหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่ รีบคายความลับออกมาซะ )
จื่อเทายังคงบ่นไม่หยุด พูดก็พูดเถอะ ถึงจะบอกเหตุผลให้ฟังตอนนี้ แต่พอไปถึงมหาลัยก็ถูกพวกมันสามตัวซักไซ้อีกรอบอยู่ดี
“กูอยู่กับแฟน จบไหมห่า”
( เข้... ทั้งคืน? )
“เออ”
( จนถึงตอนนี้? )
“เออ”
( เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด )
“แค่นี้ก่อนนะ กูจะไปอาบน้ำละ เสือกมากจริงมึงเนี่ย ไม่เกิดมาเป็นเครื่องหมายคำถามให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ”
( เขาเรียกใส่ใจ )
“เออ”
คนตัวเล็กตัดสายแล้ววางมือถือไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านตรงประตูระเบียงออกเพื่อรับแสงแดดยามเช้า ร่างเล็กหยุดยืนอยู่ตรงนั้นแล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงก่อนจะยิ้มออกมา
ปล่อยให้นอนต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยปลุกก็ได้มั้ง...
“ห่า”
“เป็นไรอีก”
“เพื่อนรักมึงอะ” จื่อเทาแทรกเข้าไปตรงช่องวางตรงกลางระหว่างที่นั่งคนขับ พลางมองเสี้ยวหน้าของจงอินที่กำลังบังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้ามหาลัย
“ไรของลื้อวะ” เซฮุนนึกสงสัย จื่อเทามักจะเป็นแบบนี้เสมอถ้าเป็นเรื่องที่ทุกคนอยากเสือก ปล่อยให้เพื่อนอยากรู้แล้วก็เก็บเงียบ มันน่าตบกะโหลกสักครั้งจริง ๆ
“พวกมึง ชาวเกาหลี” จื่อเทาสะกิดไหล่เพื่อนสนิททั้งสอง “รู้เปล่าว่าทำไมเมื่อคืนมันถึงไม่ไปกับเรา”
“จะเล่าก็เล่ามา ลีลาอยู่นั่น รำ” จงอินบ่น ก่อนจะเอื้อมมือไปป้ายหน้าคนที่แทรกอยู่ตรงกลางเบา ๆ จื่อเทาปัดมือออกอย่างรำคาญแล้วกระแทกเสียงตอบ
“ก็มันนอนอยู่กับแฟนทั้งคืนไงห่า แบคฮยอนมันอยู่กับชานยอลทั้งคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่”
“เย่เฮ้ท” <- เซฮุน
“จริงจังเปล่าเนี่ย” <- จงอิน
“เออดิ” <- จื่อเทา
“ไหนมึงเคยเดาว่ามันเอาไม่เป็นเลยไม่ทำอะไรไอ้แบคฮยอนสักทีไง?” เซฮุนเลิกคิ้วถาม ซึ่งจื่อเทาก็ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“กูจะไปรู้เหรอ มันอาจจะมวยซุ่มก็ได้ แบบว่ารอฤกษ์งามยามดีก่อนไรงี้”
“คิดว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนมาช่วยเคาะฟอสซิลให้เพื่อนมึงแล้วจะสบายใจนะ” จงอินว่า
“แล้วมันจะมาเรียนเปล่า หรือจะนอนกกกันอยู่นั่นเอาให้ฟ้าเหลือง” คำถามของเซฮุนเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคนขับ
“เพื่อนมึงบอกว่ากำลังจะอาบน้ำ แต่ไม่รู้นานป่ะนะ เพราะถ้าอาบสองคนก็คง...” จื่อเทาเบ้ปากแล้วไหวไหล่ ก่อนที่ทั้งสามคนจะหัวเราะออกมาแล้วแท็กมือกัน
“เฮ้ย... เดี๋ยว ๆ” หนุ่มชาวจีนสะกิดแขนคนขับ จงอินชะลอรถลงแล้วมองไปยังชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินออกมาหยุดอยู่หน้าตึกคณะนิติศาสตร์พร้อมโทรศัพท์ในมือ
“นั่นมันปาร์คชานยอลใช่ป่ะวะ?” จื่อเทาหรี่ตามองเพื่อความแน่ใจ และการที่เพื่อนอีกสองคนไม่พูดแทรกขึ้นมานั้นก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วว่าพวกเขาทั้งสามคนมีความเห็นตรงกัน
หวงจื่อเทาจำได้ดีถึงความหล่อกระแทกใจของแฟนเพื่อนคนนี้ ที่เห็นแล้วโคตรน่าหมั่นไส้ตั้งแต่วินาทีแรกเพราะทำห่าอะไรก็ดูดีไปหมด ไม่ว่าจะด้วยหน้าตา การศึกษา คำพูดคำจา ไปจนถึงมันสมองที่คัดกรองทุกอย่างก่อนพูดเป็นอย่างดี เพราะงั้นคงไม่ได้จำผิดคนแน่
“เมื่อกี้มึงบอกว่ามันอยู่กับแฟนไม่ใช่เหรอวะ?” จื่อเทาไม่ได้ตอบคำถาม เขายังคงมองตามแม้ว่าตอนนี้รถจะขับผ่านหน้าตึกมาแล้ว เซฮุนหันไปขอความเห็นจากเพื่อนชาวจีนที่อยู่ตรงเบาะหลังว่าที่เห็นนี่ตาฝาดหรือยังไง แต่เจ้าตัวก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“กูไม่รู้เว้ย ก็มันบอกมางี้”
“มันตอแหลเปล่า” จงอินไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เพราะกะอีแค่เรื่องไม่ไปกินเหล้ากับเพื่อนนี่มันเล็กเท่าเศษผง เขาคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตพอที่จะยกขึ้นมาโกหกกันได้อยู่แล้ว
“ไม่รู้อะ”
“เมื่อกี้มึงมองหูมันยัง”
“มองแล้ว บานอย่างกับปีกผีเสื้อ กูถึงได้มั่นใจไงว่านั่นคือปาร์คชานยอล”
เสียงฝักบัวในห้องน้ำคือสิ่งเดียวที่ได้ยินในตอนนี้ เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อย ๆ ลืมขึ้นหลังจากแกล้งทำเป็นหลับอยู่นาน นัยน์ตาคมทอดมองไปยังเบื้องหน้าทั้งที่ยังนอนคว่ำอยู่ท่าเดิม ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากกับบทสนทนาเมื่อครู่ที่ลอยผ่านเข้าหูให้ได้ยิน
ร่างกายเปลือยเปล่าหยัดตัวลุกขึ้น ก่อนจะก้มลงคว้ากางเกงขึ้นมาใส่ลวก ๆ รู้สึกอยากล้วงซองบุหรี่ออกมากะเทาะสูบสักมวน แต่ก็ต้องตัดความคิดนี้ไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ‘ปาร์คชานยอล’ ผู้เป็นที่รักของบยอนแบคฮยอนไม่สูบบุหรี่
ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกประตูระเบียง นัยน์ตาคมทอดมองออกไปยังวิวทิวทัศน์ที่คิดว่ามนุษย์เกินครึ่งโลกคงวุ่นวายอยู่ข้างนอกนั่นจนไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมองสิ่งรอบข้าง มันสวยนักเหรอท้องฟ้าที่มีเพียงแค่ก้อนเมฆโง่ ๆ ลอยผ่าน
ร่างสูงแค่นยิ้มก่อนจะหยุดสายตาลง เมื่อพบว่าในกระจกนั้น...ไม่มีเงาสะท้อนร่างกายของเขาอยู่
“...”
ชายหนุ่มก้มลงมองท่อนบนที่เปลือยเปล่า ก่อนจะไล่ระดับสายตาไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้า พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าในกระจกนั้นมีเพียงแค่เงาสิ่งของที่อยู่ในห้องเท่านั้น ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบชั่วอึดใจ ก่อนที่มือแกร่งจะกระชากผ้าม่านสีน้ำตาลเข้ามาจนห้องสี่เหลี่ยมถูกกลืนกินด้วยความมืดอีกครั้ง
ถ้าถามว่า ‘ปาร์คชานยอล’ คนนั้นมีอะไรที่เขาไม่มีบ้าง
‘ปาร์คชานยอล’ คนนี้ก็คงตอบได้ไม่ยากว่าคือ ‘เงา’
ส่วนสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น...
ครืดดด...
เสียงสั่นสะเทือนบนเคาน์เตอร์บาร์เรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้หันไป ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วหลุบสายตาลงมองหน้าจอ ภาพรูปคู่ของคนหน้าเหมือน กับคนที่เขาใช้เวลาอยู่ด้วยทั้งคืนเรียกเสียงแค่นในลำคอได้อย่างไม่ยาก
‘คิดถึง’
“คงรักกันมากเลยสินะถึงได้บันทึกชื่อเลี่ยน ๆ แบบนี้ได้” ร่างสูงคว้ามือถือขึ้นมาพร้อมหันหลังพิงกับเคาน์เตอร์บาร์ แล้วปล่อยให้สมาร์ทโฟนสั่นต่อไป
“วางไปซะสิ ปกติแค่สายเดียวไม่รับแกก็หยุดแล้วไม่ใช่หรือไง?” นัยน์ตาจับจ้องไปยังใบหน้าของคนในรูป เขารู้ว่า ‘ปาร์คชานยอล’ คนนั้นคงไม่มีทางได้ยิน แต่มันก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ไอ้หมอนั่นโทรหาแฟนในเวลานี้
“อย่าทำให้เรื่องมันยากเลยน่า... ฉันยังอยากสนุกกับแฟนแกอีกสักหน่อย”
ครืดดด...
“ไอ้โง่”
ปลายนิ้วหัวแม่มือกดปุ่มสีแดงปฏิเสธการตอบรับแล้ววางสมาร์ทโฟนไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ เปลือกตาปิดลงแล้วเงยหน้าขึ้นบิดคอคลายเมื่อยอย่างไม่ยี่หระ
ครืดดด...
ใบหน้าคมหันไปมองสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมอีกครั้ง เจ้าของเบอร์ยังเป็นใครอีกคนที่เขาอยู่ด้วยมาตลอดชีวิต ร่างสูงลูบปลายคางแล้วปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้น ‘ปาร์คชานยอล’ หน้าโง่ยังคงสร้างความขัดใจให้เขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะตอนอายุเท่าไหร่
“ฉันให้โอกาสแกอีกครั้งเดียว ถ้ายังโทรมาอีก ฉันจะบีบให้เวลามันสั้นลงกว่านี้”
ชายหนุ่มกดสายทิ้งอีกครั้ง นัยน์ตาคมจับจ้องสมาร์ทโฟนเครื่องเดิมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หน้าจอจะสว่างและตามด้วยแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง ร่างสูงเคาะปลายนิ้วลงบนเคาน์เตอร์บาร์ จนถึงตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองช่างใจดีเหลือล้นที่ยังใจเย็นยอมให้ไอ้หมอนั่นปั่นประสาทยามเช้าไม่หยุด แต่ไม่ว่าใครก็ต้องมีขีดจำกัดความอดทนทั้งนั้น และ ‘ปาร์คชานยอล’ คนนี้ก็ได้ใช้มันไปหมดแล้ว
“มันถึงเวลาที่แกต้องจัดการเรื่องของตัวเองบ้างแล้วล่ะ”
ร่างสูงกดสายทิ้งอีกครั้งแล้วหยุดสายตาไว้ที่หน้าจอสมาร์ทโฟน ทีแรกก็กะว่าจะยืดเวลาให้อีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่า ‘ปาร์คชานยอล’ จะทำให้เรื่องราวมันเร็วขึ้นจนทำให้ความสนุกของเขาหดหายไปเล็กน้อย
ไม่มีปัญหา เขาก็อยากรู้เหมือนกันแหละว่าไอ้หมอนั่นจะทำหน้าแบบไหน?
“แบคฮยอน” ร่างสูงหันไปทางประตูห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบรับกลับมา “ที่รัก!”
“อ้อ! ว่าไง?!” ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างพอใจ เขาไม่สนหรอกว่าที่คนตัวเล็กขานตอบเพราะประโยคหลังมันดังขึ้นกว่าประโยคก่อนหน้านี้ เพราะเขาจะเข้าใจว่าแบคฮยอนชอบให้เรียกว่าที่รักมากกว่าชื่อตัวเอง
“ขอรหัสเข้ามือถือหน่อยสิ”
“หา?” เสียงฝักบัวเงียบไปแล้ว “ฉันก็ใช้พาสเดิมนะ อะไรกัน ลืมแล้วหรือไง?”
“ปาร์คชานยอลของนายน่ะจำได้ แต่ฉันไม่...” ร่างสูงพูดกับตัวเองเบา ๆ และคนในห้องน้ำคงไม่ได้ยิน “ก็พูดไปนั่น”
“พาสคือวันเกิดของเราสองคนไง ลืมก็บอกมาเถอะ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ติดน้อยใจอะไร แต่ไม่เป็นไรนะที่รัก ฉันจะไม่ตอบทำร้ายจิตใจนายถึงขนาดนั้นหรอก
“เปล่า... แค่ไม่เคยจำ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ลืมก็แย่แล้ว พอดีฉันใส่เข้าไปสองรอบแต่ยังผิดอยู่เลย แน่ใจเหรอที่รักว่านายใช้พาสนี้”
ให้ตายเถอะ เขารู้สึกสนุกกับการแกล้งตีหน้าซื่อแล้วโกหกอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้จริง ๆ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ ‘ปาร์คชานยอล’ ทำไม่ได้ เพราะตรรกะโง่ ๆ ของคนอยากเป็นอัยการ
ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้นะที่รัก ถ้าต้องแลกกับความสนุกที่ใกล้จะมาถึงจนแทบทนรอไม่ไหวน่ะ... ฉันอยากให้นายได้รู้สึกร่วมไปกับมันจริง ๆ
“ลองอีกครั้งสิ 2706”
บิงโก...
“ก็ยังเข้าไม่ได้อยู่ดี แต่ช่างเถอะ... ฉันแค่ลองถามดูเฉย ๆ อยากรู้ว่าแฟนแอบเปลี่ยนเป็นวันเกิดผู้ชายที่ไหนหรือเปล่า” ร่างสูงยิ้มพอใจขณะที่เรียวนิ้วกำลังสไลด์หน้าจอมือถือหลังจากปลดล็อกรหัสผ่านเข้ามาได้แล้ว
“จะมีใครที่ไหนอีกล่ะ เพ้อเจ้อจัง”
“ฮ่า ๆ นั่นสิ... เพ้อ...เจ้อ...” ชายหนุ่มเข้าไปในการรับสายล่าสุด แล้วลบเบอร์โทรเข้าออกทิ้งทั้งหมดโดยไม่เหลือหลักฐานไว้สักอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เบอร์โทรก่อนหน้านี้ ก่อนจะกดเข้าแอพข้อความ
คุณกำลังส่งข้อความไปยัง...
‘คิดถึง’
[ ตอนนี้ยังไม่ว่างคุย ไว้ตอนเย็นมาหาที่หอได้ไหม มีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย รักชานยอลที่สุด ]
หลังจากกดส่งก็รู้สึกเลี่ยนแปลก ๆ ร่างสูงมองหน้าจออยู่แค่ครู่เดียวก่อนจะกดลบข้อความในกล่องทิ้งทั้งหมด แน่นอนว่ามันคือการทำลายหลักฐานเหมือนกัน และเขาเชื่อว่าอีกไม่นาน เรื่องราวของ ‘ปาร์คชานยอล’ ต้องน่าสนุกกว่านี้แน่
“ชักจะอดใจรอเย็นนี้ไม่ไหวแล้วสิ”
TBC
ฟิคเรื่องนี้อิงตำนานดอพเพลพอสมควรนะคะ แต่ด้วยความที่มันเป็นฟิคชั่น เราเลยอยากใส่อะไรเข้าไปอีกหน่อย หรือฉีกจากตำนานมาบ้างเพื่ออรรถรสและความแตกต่าง (เพราะมีคนเขียนแนวนี้ไปเยอะ คาดว่าเรื่องอื่น ๆ คงอิงตำนานเหมือนกัน เพราะงั้นเราไม่อยากให้มันซ้ำกับเขาเยอะค่ะ แหะ ๆ)
สำหรับคนที่ยังงง ๆ และไม่เข้าใจในฟิคเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเรายังบรรยายไม่เก่ง เลยทำให้หลายคนยังเข้าไม่ถึง แต่เราจะพยายามอธิบายให้กว้างขึ้นนะคะ แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องที่ยังมีคำถาม เราขอตอบว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินไป มันจะมีคำตอบให้กับคำถามของเนื้อเรื่องเองค่ะ
ยังคงยืนยันและนอนยันว่านี่คือฟิคสั้น
ปล. ฉากคัทแค่เสิทว่า malinworldfiction ในกูเกิ้ลก็จะเจอสิ่งลี้ลับแล้วล่ะออนนี่
[FANART] DOPPELGANGER VS REAL PARK CHANYEOL
by @IKOOP
ความคิดเห็น