คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER 02 :: I Quit
CHAPTER 02
I Quit
“บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฝึกควบคุมตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้แล้วพ่อจะวางใจให้ลูกไปอยู่โซลได้ยังไง จีวอน ฮันบิน?”
“ผมขอโทษครับ ผมพยายามห้ามตัวเองแล้ว แต่--”
“เรายังเด็กเกินไปอย่างที่พ่อเคยบอกจริง ๆ” จีวอนแทรกขึ้นมา โดยไม่ปล่อยให้น้องชายคนรองต้องอ้าปากแก้ตัวแทน ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพี่ใหญ่
ชายวัยกลางคนยังคงคาดโทษลูกชายทั้งสาม ซึ่งเด็กเหล่านี้ก็รู้และเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความผิดของตน กับการสั่งห้ามไม่ให้ออกไปนอกเขต แต่ความเป็นเด็กมันกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น สามพี่น้องจึงลองฝ่าฝืนกฎเป็นครั้งแรก และผลที่ตามมามันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
“แกก็เหมือนกัน จุนฮเว ทำไมถึงออกไปกับพี่ ถ้าไม่ได้อาจงอิน ป่านนี้ลูกทั้งสามคนคงฆ่าคนตายไปแล้ว”
เปลือกตาค่อย ๆ ลืมขึ้น พลางมองไปยังแสงสว่างช่องเล็ก ๆ ของช่องประตูที่ปิดไม่สนิท เสียงบทสนทนาปลุกให้คนสลบไปได้ตื่นจากฝัน เซฮุนกะพริบตาเพื่อปรับให้ภาพตรงหน้าชัดขึ้น พลางเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เจ้าของน้ำเสียงทุ้มต่ำกำลังใส่อารมณ์ขึ้นเรื่อย ๆ จนคนนอนอยู่ตรงนี้ยังรู้สึกแย่ไปด้วย
เขาเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินผ่านไป และตอนนี้ที่มองเห็นคือเสี้ยวหน้าของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนก้มหน้านิ่ง ประสานมือไว้ใต้หัวเข็มขัดกางเกง ไม่ใส่เสื้อ และอายุน่าจะไม่เกินสิบแปด
“แกต้องเข้มงวดกับลูกให้มากกว่านี้ รยูชิน”
“ครับแม่”
“ถ้าเกิดมีคนตายขึ้นมา ไม่ใช่แค่ลูก ๆ ของแกที่จะเดือดร้อน บรรพบุรุษของเราไม่ได้พยายามกันมาถึงจุดนี้เพื่อให้ลูกของแกทำลายมันเพราะความสนุก”
“ผมขอโทษครับคุณย่า...”
“ฉันรู้เลยว่าทำไมพวกแกทั้งสามคนถึงไม่ได้เกิดเป็นจ่าฝูง”
“พอเถอะครับแม่ วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากพอแล้ว พูดไปตอนนี้เด็กมันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ไปเถอะจีวอน พาน้องไปนอน”
“ครับ...”
เด็กหนุ่มทั้งสามขานตอบพร้อมกัน ก่อนจะเดินคอตกออกไปจากจุดที่ตาโอเซฮุนจะมองเห็นได้ พอมาถึงตอนนี้เขาถึงได้สติ ในหัวมีแต่คำด่าทอและ ‘จ่าฝูง’ แล่นอยู่ในความคิด ซึ่งคำ ๆ นั้นคงไม่น่าใช่ศัพท์ที่เอามาใช้กับมนุษย์ทั่วไป
ชายหนุ่มตัวผอมกลอกตาท่ามกลางความมืดในห้อง พลางปะป่ายช่วงอกไปจนถึงคอจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ร่างกายทุกส่วนยังคงอยู่รวมเป็นชิ้นเดียว ใช่ โอเซฮุนยังไม่ตาย
สมองประมวลผลถึงบทสนทนาเมื่อครู่และสิ่งที่เห็นกับตา แน่ล่ะ เขาคงไม่ถามโง่ ๆ หรอกว่าหมาป่าที่กลายเป็นคนตอนนั้นมันคือความฝันหรือความจริง นี่ไม่ใช่ละคร ตกลงไหม? แล้วไอ้อาการแสบร้อนตรงช่วงหลังก็ยังออกฤทธิ์อยู่ทุกขณะ ราวกับว่ามันกำลังบีบคอให้เขาแหกปากร้องไห้หาแม่อย่างไรอย่างนั้น
นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการโอดครวญเพราะความเจ็บ สิ่งที่โอเซฮุนควรคิดในตอนนี้ก็คือ ‘การหาทางหนีออกไปจากที่นี่โดยไม่พบจุดจบเช่นเดียวกับรถคันใหม่ที่เพิ่งดาวน์มา’ ซึ่งแน่นอนว่าการเดินออกไปโค้งศีรษะทักทายเจ้าบ้านแล้วขอเดินออกทางประตูหน้ามันคงไม่ใช่เรื่องดี เลขงเลขาบ้าบออะไร เขาไม่อยากทำแล้ว โอเซฮุนยอมเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำโอทีจนดึกดื่นแล้วตื่นมาอย่างซอมบี้ยังดีกว่าการเสี่ยงอยู่กับคมเขี้ยวหมาป่า
รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ซึ่งผ้าม่านถูกรวบผูกไว้ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ วูบหนึ่งเซฮุนคิดว่าโชคชะตาคงเข้าข้างหนุ่มราศีเมษแล้ว พระเจ้าจึงประทานหน้าต่างโดเรม่อนมาให้เขาปีนหนีไปจากที่นี่
“ทำอะไร?”
เซฮุนคิดว่าท่าท่างของเขาในตอนนี้คงทุเรศทุรังอยู่พอสมควร หลังจากสวิตซ์ไฟถูกเปิดจนมันสว่างโล่ไปทั้งห้อง สังเกตจากสายตาและสีหน้าสุดเอือมระอาของผู้ชายที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเป็นซีอีโอบริษัทน้ำหอมชื่อดัง เขาควรยิ้มให้เจ้านายไหม หรือขอเซ็นใบลาออกตอนนี้ดี และถ้าเป็นอย่างหลังจะโดนฆ่าหมกป่าหรือเปล่า
“สวัสดีครับเจ้านาย”
ไม่มีแม้แต่เสียงขานตอบในลำคอ หรือการกระแอมไออะไรสักอย่างเพื่อเป็นสัญญาณดี ๆ ที่ได้พบกันในครั้งแรก เซฮุนเพียงกลืนน้ำลายเอื้อก พยายามปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายน่าจะมีน้ำอกน้ำใจอยู่บ้าง เพราะจากสภาพแล้ว... ร่างของเขาคงไม่สามารถลอยมานอนบนเตียงนุ่ม ๆ และทำแผลเองจนเสร็จสรรพแน่ ๆ
“สงสัยใช่ไหมล่ะว่าผมมาที่นี่ทำไม ฮ่า ผมมีเหตุผลนะ”
เซฮุนพยายามยิ้มสู้ แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงเฉย
“ความจริงผมมาที่นี่เพื่อให้คุณเซ็นเอกสารจ่ายเงินก้อนใหญ่ที่ต้องส่งให้บริษัทบรรจุภัณฑ์พรุ่งนี้เช้า แต่ผมกลัวว่าคุณจะไม่เข้าบริษัท ก็เลยตัดสินใจขับรถมาช็อลลาใต้เองซะเลย แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ผมจะหน้ามึนมาที่นี่หรอกนะครับ ก่อนหน้านั้นผมพยายามโทรหาคุณแล้ว”
เขาเอานิ้วชี้กลางนางลง พร้อมเอามือแนบหู ยิ้มโง่ ๆ หวังผ่อนคลายบรรยากาศ ...แต่ก็นั่นแหละ เจ้านายก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะร่าเริงขึ้นมาบ้าง จนตอนนี้เกิดคำถามแล้วว่าชีวิตนี้ผู้ชายอย่างคิมจงอินเคยยิ้มบ้างไหม
“ผมไปหาคุณที่บ้านด้วย แต่เดี๋ยว อย่าเพิ่งโมโหนะครับ ผมพอจะรู้มาบ้างว่าคุณไม่ชอบคนทำเกินขอบเขตที่คุณวางไว้ แต่ผมก็รู้มาอีกเหมือนกันว่าคุณไม่ชอบความผิดพลาด เพราะฉะนั้นผมเลยต้องเอาเอกสารมาให้คุณเซ็นถึงที่นี่”
ไหนล่ะเสียงขานตอบ ไม่มี มีแต่สายตาที่มองมาราวกับจะพูดว่า ‘งั้นเหรอ?’ เท่านั้นที่คิมจงอินจะมอบให้เลขาคนใหม่อย่างเขา
“ว่าแต่ที่นี่อากาศดีนะครับ กลางวันร้อน ๆ คงชุ่มฉ่ำเพราะลมพัด ไม่เหมือนในโซลเลย ไม่ร้อนจนตับจะแลบก็ฝนตกให้ชื้นแฉะ ฮะ ๆ”
ถามว่ามีอะไรน่าขำ และผีสางตนไหนที่ดลใจให้พูดยืดยาวถึงขนาดนั้น เซฮุนหัวเราะแห้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อน คนที่ยืนกอดอกพิงกับวงกบประตูยังมีสายตาอยู่ในระดับอันตราย เขาหมายถึง -- สายตาดุดันที่พร้อมจะขย้ำด้วยกรงเล็บที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหนังนั่น คนตัวผอมจึงทรุดเข่าลงกับพื้นพร้อมประสานสองมือไว้ตรงช่วงอก แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเว้าวอน
“ผมจะไม่เอาเรื่องที่หลานคุณทำรถผมพังไปบอกใครเด็ดขาด ช่างหัวมันไปเลย ก็แค่เศษเหล็กที่เพิ่งดาวน์มาเอง ผ่อนก็ยังไม่ได้ผ่อน เพราะงั้นปล่อยผมไปเถอะนะ ผมจะทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เคยมีหมาป่า ไม่เคยโดนข่วนหลัง ไม่เคยเห็นคุณยืนเปลือย ไม่เคยเดินทางมาช็อลลาใต้มาก่อนด้วย สาบานตรงนี้ ผมเป็นคนเก็บความลับ --”
เซฮุนค้างอยู่ท่าเม้มปาก ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเพ่งนิ้วชี้มาเป็นการสั่งให้หยุดพล่ามเสียที สายตาและสีหน้าเจ้านายค่อนข้างดุ จนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันคือความสองมาตรฐานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงใช่หรือไม่ เฮ้อ คนกรุ๊ปเอนี่หน้าม่อ แล้วก็ชอบเผด็จการกับคนต่ำต้อยกว่าจริง ๆ สินะ
“เอกสารอยู่ไหน?”
“ครับ?”
“เอก – สาร”
“อ๋อ -- เรื่องนั้น -- ในรถครับ ในรถ”
“คยองซู” ชายหนุ่มผิวแทนหันไปพยักหน้าอย่างรู้กันกับเจ้าของชื่อซึ่งยืนอยู่นอกประตูห้อง เซฮุนเห็นว่าคน ๆ นั้นไม่ได้มีส่วนสูงมากสักเท่าไหร่ แต่หน้าตากับเสื้อผ้าโทนสีดำก็ใช่ว่าจะเป็นมิตร
คนได้รับคำสั่งพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปในวินาทีถัดมา เซฮุนลุกขึ้นพลางสบตากับอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นว่าชายคนเมื่อครู่กระโดดออกไปด้านนอกและกลายร่างเป็นหมาป่าขนสีเงิน พร้อมวิ่งเข้าไปในป่าด้วยความเร็วสูง
“อยากสลบอีกสักรอบ...” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปผงะเพราะเห็นว่าเจ้านายหมาป่ายังไม่ละสายตาไปไหน ไม่มีคำพูดรื่นหูหรือการทักทายอย่างเป็นทางการ เมื่อตอนนี้เซฮุนได้ยินเพียงเสียงประตูปิดลง พร้อมเสียงกลอนที่บ่งบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์หนีไปไหนแล้ว
ดูดวงตามปีนกษัตรวันนี้ คนเกิดปีลิงไม่ชง แล้วก็ไม่มีฤกษ์ซวยถึงแก่ชีวิตนะ!
*
ตอนนี้เป็นเวลาตีสามครึ่ง กับการนั่งอยู่ในบีเอ็มดับบลิวซีรี่ส์ไฟฟ์ ราคาแพงชนิดว่าชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีปัญญาซื้อขับ และคาดว่าการจะได้นั่งตรงนี้คงต้องมีเชื้อสายเดียวกับเจ้าของรถ หรือไม่ก็เป็นผู้หญิงหุ่นไซส์เอสสักคนที่ชอบวาดปากเป็นสีแดง
แต่โอเซฮุนกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ และร่างกายยังคงรวมเป็นชิ้นเดียว ให้ตาย! จะมีใครในโลกเข้าใจความรู้สึกเขาบ้างว่าการระแวงตลอดเวลาเป็นอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา แล้วก็ไม่ตลกด้วย คนด้านซ้ายที่กำลังบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทางคือหมาป่าที่คนทั้งโลกเห็นว่าเป็นมนุษย์ ดังนั้นโอเซฮุนจึงไม่สามารถทำตัวให้เป็นปกติได้ แม้ว่าจะนั่งหายใจร่วมกันในรถมาแล้วเกือบชั่วโมง
“เรื่องรถของคุณเดี๋ยวผมจะให้คยองซูจัดการภายในวันพรุ่งนี้”
“จะซ่อมให้เหรอครับ?” คนตัวผอมหันไปทางคนขับที่ยังคงใส่ใจถนนมากกว่าการหันมาสบตากับเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องดี เพราะการมองเห็นดวงตาสีแดงในช่วงเวลาผีออกมันคงไม่โอเคสักเท่าไหร่
“เปล่า” ชายหนุ่มผิวแทนหันมาจนได้ และไวเท่าความคิด เซฮุนเบือนหน้าหลบไปอีกทางราวกับว่าต้องกลายเป็นหินแน่ ๆ ถ้าหากสบตากับคิมจงอินเข้า
เกือบสิบวินาที... หรืออาจจะน้อยกว่านั้น พอเห็นว่าเจ้านายไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจึงค่อย ๆ หันไป เพื่อได้พบว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ละสายตาไปไหน แม้ว่ามือข้างซ้ายยังคงบังคับพวงมาลัยไปตามทิศทางเฉกเช่นทีแรก
“ผมจะซื้อให้ใหม่”
“ซื้อ?”
“อืม” เจ้านายตอบแค่นั้น ก่อนจะหันไปใส่ใจกับถนนที่สะท้อนเงาแสงจันทร์ต่อ เซฮุนเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เอาจริง ๆ เขายังไม่เข้าใจความหมายประโยคนี้นัก และถ้าหากจะถาม -- “ผมหมายถึงซื้อให้เลย ไม่ใช่จ่ายแค่ที่คุณดาวน์มา”
“คุณรู้ได้ไงผมเพิ่งดาวน์มา การเป็นหมาป่าทำให้อ่านใจคนออกด้วยเหรอ?”
จงอินชำเลืองมองเจ้าของคำถามที่กำลังเบิกตาโพลงอย่างตกใจ ตั้งแต่เลขาคนใหม่ตื่นขึ้นมา เขาก็แทบนับครั้งไม่ได้แล้วว่าเจ้าตัวทำหน้าแบบนี้ไปแล้วกี่ครั้ง
อย่างกับเด็ก
“สมัยมอปลายผมเคยทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ ตอนนั้นทำเรื่องหมาป่าส่ง แต่ไม่ยักรู้ว่าอ่านใจคนได้ด้วย”
“แสดงว่าคุณคงทำส่งลวก ๆ ถึงไม่รู้ว่าหมาป่าอ่านใจออกได้แค่พวกเดียวกัน” น้ำเสียงของคิมจงอินยังคงเรียบเฉย เหมือนเชิ้ตสีดำเรียบ ๆ ตัวนั้นที่ถูกพับแขนขึ้นจนถึงข้อศอก
“โธ่คุณ... ก็ผมไม่เคยเป็นหมาป่า จะไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะครับจริงไหม ...อุ่ย” เซฮุนผงะเล็กน้อย ทันทีที่อีกฝ่ายหันขวับเพียงเพราะได้ยินคำว่าหมาป่าหลุดออกมาจากปากเขาอีกครั้ง
“อยากลองเป็นดูไหมล่ะ เผื่อคุณจะเข้าใจรายงานที่ทำสั่ว ๆ ส่งอาจารย์ได้มากขึ้น” ใจคอก็จะถากถางกันตลอด เห็นว่าเป็นลูกจ้างแล้วจะพูดยังไงก็ได้เหรอ...
“เป็นคนก็ดีอยู่แล้วนะผมว่า” สายตาของเจ้านายยังคงมองมาอย่างคาดโทษ ก่อนจะหันไปประคับประคองรถบนถนนอีกครั้ง เซฮุนลอบเบ้ปาก พออีกฝ่ายหันมาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างเดิม
“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
“เจ็บครับ”
“ตรงไปตรงมาดีนะ”
แล้วจะให้ตอบว่าไม่ทั้ง ๆ ที่นั่งพิงหลังกับเบาะไม่ได้น่ะนะ... โอเซฮุนไม่ใช่คนโกหกหน้าตายเก่งขนาดนั้นหรือเปล่า เจ้านายต้องการอะไรจากเลขาคนใหม่อย่างเขา ทดสอบความอดทนงั้นเหรอ...
“กำลังนินทาผมในใจหรือไง”
“อะไรครับ ไหนบอกอ่านใจคนไม่ออก” คนตัวผอมมองหวาด ๆ ก่อนจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งในคืนเฉียดตาย ซึ่งก็คือรอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าผู้ชายคนนั้น แม้ว่าสายตาจะไม่ได้มองมายังเขาเลยสักนิด
“ผมแค่ลองเดาใจคุณ”
“แล้วก็เดาผิดด้วย”
“งั้นเหรอ? แต่สายตาคุณมันไม่ใช่นะ เซฮุน”
อะไรกัน สายตาเจ้าเล่ห์เพทุบายแบบนั้นน่ะ สามารถเอามาใช้กับเลขาคนใหม่ที่เป็นเพศเดียวกันได้ด้วยหรือไง คิมจงอินชักจะเจ้าชู้เรี่ยราดเกินไปแล้ว
“ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ คนเก่าทิ้งขุมทรัพย์ไว้ให้ผมเก็บเพียบเลย”
“เหรอ แล้วเรื่องอื่น ๆ ล่ะ คุณเข้ากับฝ่ายบัญชีได้ดีหรือเปล่า?”
ตอนนี้เซฮุนชักไม่อยากจะเชื่อแล้วว่าหมาป่าอ่านใจคนไม่ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือไม่ได้พูด ก็ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะรู้ดีไปเสียทุกอย่าง
“พวกเธอให้คำแนะนำผมหลายเรื่องเลยครับ” คนตัวผอมตอบเพราะต้องตอบ และเขายังมีความสงสัย “ผมถามได้ใช่ไหมว่าทำไมคุณถึงรู้”
จงอินยิ้ม พลางเลื่อนมือไปเปิดเพลงคลาสสิกที่ทำให้ค่ำคืนนี้โรแมนติกขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “คงไม่แปลกใช่ไหม ถ้าจะบอกว่าผมใส่ใจพฤติกรรมของลูกจ้างจนรู้ว่าวัน ๆ พวกเธอทำอะไร และพูดถึงผมว่ายังไงบ้าง?”
หรือจะพูดง่าย ๆ แบบไม่อ้อมโลก ก็คือนินทา... ถูกไหมเจ้านาย
“พวกเธอแค่เล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ เอง แบบว่าคุณจบมาจากไหน --”
“แล้วก็มีความสัมพันธ์กับเลขาสาวสวยถึงขั้นไหน ลากไปฆ่าหมกป่ายังไง... ใช่ไหม?” เจ้านายไม่ปล่อยให้เลขาคนใหม่ได้แถเลย... เซฮุนนั่งนิ่งพลางกลอกตาอยู่ในที และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอมลิ้นต่อไป แทนที่จะพยักหน้าหรือส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ผมจะไม่ถามอะไรคุณแล้ว เพราะพรุ่งนี้ผมจะลาออก ว่าแต่คุณมีเบอร์ผมอยู่ใช่ไหม ยังไงก็ติดต่อเรื่องรถใหม่ที่เป็นค่าทำขวัญไปตอนที่คุณพร้อมแล้วกันนะครับ” ประโยคนี้แผ่วลงคล้ายว่ากระดากอายที่ต้องพูดอยู่หน่อย ๆ
แต่จะทะนงตัวตอนนี้ก็คงไม่ใช่เพราะที่ดาวน์รถคันนั้นมาก็ใช่ว่าจะพันสองพันวอน นั่นมันเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงพี่สาวเขาทั้งนั้น จะให้โอเซฮุนยิ้มบาง ๆ พร้อมบอกว่า ‘ไม่เป็นไรครับ มันเป็นความผิดผมเองที่ขับรถเข้าไปในอาณาเขตครอบครัวหมาป่าของคุณ’ ก่อนจะลาออกไปอย่างชายชาตรีอย่างนั้นน่ะ... ไม่ได้หรอก
“ลาออก?”
“ครับ”
“เหตุผลล่ะ”
คนถูกถามถึงกับทำตาเหลือก เซฮุนไม่คิดว่าเจ้านายจะเป็นหมาป่าซื่อบื้อที่จินตนาการถึงความกลัวของมนุษย์ไม่ออกว่าเพราะอะไร ...ขอถามสักนิดว่าใครจะอยู่ต่อได้หลังจากรู้ว่าเจ้านายไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งคิดว่าคงมีแต่ในนิยายแฟนตาซี
เกิดวันดีคืนดีทำงานไม่ถูกใจ คิมจงอินไม่เอากรงเล็บยาว ๆ นั่นจ้วงคอเขาจนทะลุไปถึงปูซานเลยหรือ
“ผมว่างานนี้ไม่เหมาะกับ --”
“ผมไม่ให้คุณออก”
“แต่ผม --”
“คุณจะลาออกทั้งที่เพิ่งทำงานได้แค่วันเดียวน่ะเหรอ คุณมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนกันโอเซฮุน?”
แล้วใครผิดถามหน่อย!!! ไม่ลองโทษตัวเองที่กลายร่างเป็นหมาป่าแล้วมายืนชีเปลือยให้เขาเห็นล่ะ?!!!
“เราจะทำงานด้วยกันได้ไง เรามันคนละสปีชีส์กัน – โอ๊ะ!” พูดจบหน้าก็แทบจูบกับคอนโซลรถ เพราะอีกฝ่ายเหยียบเบรกกะทันหันกลางถนนเส้นยาวที่ไม่มีรถขับผ่านสักคันเดียว
เซฮุนยันสองมือไว้ข้างหน้าก่อนจะค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น สายตาชำเลืองมองไปยังคนขับซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่อยากสนใจถนนเบื้องหน้าอีกแล้ว บ้าแน่ ๆ ...คิมจงอินคงไม่ได้โมโหที่เขาคิดลาออกจนเปลี่ยนใจจ้วงไส้ฆ่าปิดปากเพราะไปล่วงรู้ความลับในตระกูลหรอกนะ
ชายหนุ่มที่ไม่มีท่าทีว่าจะง่วงพลิกตัวหันเข้าหาเลขาคนใหม่ที่เพิ่งรอดตายจากกรงเล็บหลานชายตนเอง พร้อมเท้าท่อนแขนข้างซ้ายไว้กับพวงมาลัยอย่างผ่อนคลาย รวมไปถึงรอยยิ้มที่คาดว่าคงไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้บ่อย ๆ ซึ่งผิดกับโอเซฮุนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะตายเพราะความกลัวของตนเอง
“ฮันเยจินน่าจะเล่าเรื่องเลขาคนก่อน ๆ ให้คุณฟังไปบ้างแล้ว... ถูกไหม?”
ยิ่งกว่าเล่าอีก...
“คุณพอจะจินตนาการออกหรือเปล่าว่าจะเป็นยังไง ถ้าหากพรุ่งนี้ครอบครัวคุณและสาว ๆ ฝ่ายบัญชีไม่เห็นว่าโอเซฮุนไปทำงาน ไม่กลับบ้าน และไม่เห็นว่าอยู่ส่วนไหนส่วนหนึ่งในโซล”
นี่จะขู่ฆ่ากันเหรอ ถามจริง...
“จะเป็นยังไง... ถ้าหากเล็บผมมันเกิดอยากจะงอกออกมาตอนนี้”
“เดี๋ยว” คนตัวผอมยกมือขึ้นห้าม เมื่อเห็นว่านิ้วชี้ของอีกฝ่ายเริ่มมีเล็บยาว ๆ งอกออกมาอย่างที่พูดจริง ๆ
อีกทั้งสายตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เหมือนกับว่าเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่านั่นน่ะ บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่โอเคเลยสักนิด ถึงโอเซฮุนจะเป็นลูกจ้างและมีไม่มีปัญญาสู้ทั้งเรื่องการเงิน และฝีมือทางด้านกายภาพ แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาขู่!
“คุณต้องการอะไรจากผม ให้ตาย! ผมไม่ใช่คนปากเปราะที่จะต้องเอาเรื่องที่ครอบครัวคุณเป็นหมาป่าไปโพนทะนาหรือเปล่า แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของผมเลยด้วย คุณน่ะหายมาทำอะไรที่นี่ทั้งที่เป็นวันปกติ เดือดร้อนเลขาคนใหม่อย่างผมจนต้องดิ้นรนมาถึงที่นี่ รถก็พัง หลังก็เจ็บ ยังจะขู่กันอีกเหรอ เป็นหมาป่ากรุ๊ปเลือดไหนกันทำไมเอาแต่ใจแบบนี้ บ้าอำนาจ ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ จะจ้วงก็เอาเลย มาเลยมา ตรงนี้!”
สุดจะทนแล้ว เซฮุนเอียงคอพร้อมตบลงไปเบา ๆ เป็นการท้าทาย ในขณะที่อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเขากล้าอวดดีทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนเกือบไม่รอด
“ข้อแรก ผมรู้จักกับบริษัทนั้นดี ถ้ามีปัญหาอะไร ผมสามารถตกลงกับเขาได้โดยไม่มีใครต้องขาดทุน
ส่วนข้อที่สอง หลานของผมอาจจะผิดที่ออกไปล่าสัตว์นอกอาณาเขต แต่การที่คุณยังหายใจอยู่ตรงนี้ได้โดยที่ไม่ถูกขย้ำไปก่อน นั่นก็เป็นเพราะผมช่วยเอาไว้ แต่พอเห็นว่าคุณเอาแต่อ้าปากเถียงปาว ๆ แบบนี้ผมเริ่มจะรู้สึกเสียดายอยู่หน่อย ๆ แล้วที่ตัดสินใจเข้าไปช่วย
ข้อสาม ถ้าคุณเอาเรื่องครอบครัวผมไปโพนทะนา หรือเอาไปกระซิบพรายผีบอกให้ใครรู้ล่ะก็... เชื่อเถอะว่าข่าวลือเรื่องต่อไปที่ฝ่ายบัญชีและการตลาดจะเอาไปพูดถึงคือ ‘การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของเลขาคนใหม่ โอเซฮุน’
ข้อสี่ ถึงจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่โดยเนื้อแท้แล้วผมเป็นหมาป่า และนั่นหมายความว่าพวกเราต้องออกล่า อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้ง
ข้อที่ห้า ผมไม่สนใจเรื่องกรุ๊ปเลือด มันเลอะเทอะ งมงาย ไร้สาระ แต่ถ้าคุณถามว่าผมเป็นตัวอะไร”
ชายหนุ่มผิวแทนทิ้งช่วงไปจังหวะหนึ่ง พร้อมเคลื่อนตัวเข้าหาเลขาคนใหม่ซึ่งมีผิวขาวรับเข้ากับแสงจันทร์ได้เป็นอย่างดี แววตาของโอเซฮุนที่มองมานั้นคล้ายว่ากำลังกลัวแต่ก็สู้ไม่ถอย ซึ่งนั่นคงไม่แปลกเท่าไหร่นัก กับหมาป่าหนุ่มที่กำลังให้ความสนใจเลขาคนใหม่ ที่เซ้นส์มันบอกว่าโอเซฮุนน่าจะอยู่กับเขาได้นานกว่าคนอื่น ๆ
“ผม... คือจ่าฝูงคนใหม่ของหมาป่ากลุ่มนี้”
TBC
สวัสดีค่ะทุกคน ตอนที่สองมาแล้ว ยังคงสติลความเป็นมลินค่ะเฉกเช่นเดิม และเราคงไม่กล้าพูดว่าฟิคเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอย่างสมบูรณ์แบบ เอาง่าย ๆ เรียกว่าเป็นฟิคแนวที่อยากเขียนขึ้นมาคงจะสบายใจกว่า และฟิคเรื่องนี้คงไม่มีศัพท์เฉพาะอะไรมากมายนักนะคะ อย่างเช่นคำว่า Alpha เราจะใช้เป็นจ่าฝูงเลย เพราะมันดูเข้าใจง่ายดี
เป็นยังไงบ้างคะ พอถู ๆ ไถ ๆ ได้ไหม เรารู้สึกสนุกมาก ๆ ตอนเขียนเรื่องนี้ เราเขียนได้เร็วเพราะมันลื่นมาก แทบไม่มีจุดที่ต้องหยุดคิดหรือเครียดเลย อาจเป็นเพราะเพิ่งเขียนเป็นตอนที่สอง และคิดว่าในอนาคต เราคงต้องมีจังหวะที่ต้องหยุดกึก หยุดหายใจ และหยุดคิด ขมวดคิ้วว่าจะเขียนต่อยังไง เพราะมันต้องยากขึ้นแน่ ๆ
แต่เรายังคงยืนยันว่าเป็นเลิฟไลน์ ที่ไม่เลิฟไลน์จ๋า หวังว่าจะถูกใจคนอ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ตัวละครจะค่อย ๆ ออกมาทีละตัว เราจะเริ่มอธิบายเกี่ยวกับการเป็นหมาป่าของครอบครัวนี้ ซึ่งอาจจะไม่ต่างจากนิยายที่คุณเคยอ่าน หรือซีรี่ส์ที่คุณชอบ แต่ก็คิดซะว่าอ่านฟิคเรื่องนี้ฆ่าเวลาเล่นก็ได้นะคะ
ถ้าชอบแล้วอยากหวีดก็แท็กนี้เล้ย #มิดไนท์ฟีนด์
ความคิดเห็น