คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 01 :: Your Eyes
Chapter 1
Your Eyes
“เพื่อนนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แต่เสือกมองแต่หน้าต่าง ข้างนอกมีอะไรวะ ผู้หญิงนั่งแอบฉี่หลังต้นไม้เพราะห้องน้ำเต็มงี้เหรอ” สุดยอดของปรมาจารย์ปากหมาต้องยกให้ไอ้เวรนี่ จงอินมองเพื่อนที่นั่งทำหน้าหงิกอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเอือม ๆ แล้วทำมือปัด ๆ ไล่
“มีหน้าที่แดกก็แดกไปเถอะ ถามไปก็ไม่ทำให้ซอนฮวาเลิกชอบแบคฮยอนหรอก”
“เอ้า!!! แล้วมึงจะโยงเข้าหาเรื่องนี้ทำข้อศอกหมาอะไรวะ!!!” ชานยอลกระดกโค้กกระป๋องย้อมใจแล้วมองไปยังคนตัวเล็กที่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวอยู่กับแก๊งนางฟ้าอย่างหัวเสีย
ก็รู้หรอกนะว่าปาร์คชานยอลมันเป็นพวกโมโหแล้วพาล เพราะเขากับไอ้เทาก็โดนมาตลอดช่วงชีวิตที่ใช้เวลาไปกับการคบหามันเป็นเพื่อน แต่ช่วงนี้อาจจะหนักหน่อยเพราะไอ้บ้านนอกอย่างบยอนแบคฮยอนมีสาวมาติด คนปากหมาอย่างปาร์คชานยอลถึงได้หงุดหงิดงุ่นง่านไม่เป็นอันจะทำอะไร
“แดกรังแตนมาเหรอครับเกลอ เตี่ยกูบอกว่าเวลาแดกข้าวอย่าเสือกพูดมาก” วันนี้ทอยเต๋าลงฝั่งคิมจงอินว่ะครับ เพราะปกติไอ้เทาจะหลอกด่าทั้งสองฝั่งมากกว่าจะเข้าข้างใครสักคน พอเห็นอย่างนั้นไอ้หูกางเลยเซ็งเข้าไปใหญ่
“กูแค่ถามว่าข้างนอกมีอะไรแค่นี้ตอบไม่ได้ มึงควรยกเรื่องไอ้บ้านนอกมาทับถมกูไหม มันสมควรแล้วเหรอที่กูจะได้รับคำปลอบโยนจากเพื่อนฝูงแบบนี้” เรื่องชักแม่น้ำทั้งโลกมาโยงกันนี่ที่หนึ่ง
ชานยอลลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งยืนพลางชะโงกหน้ามองเพื่อตามหาต้นเหตุที่ทำให้ไอ้จงอินเลือกนั่งตรงนี้มาเป็นอาทิตย์ มันก็จริงที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจว่าทำไมไอ้เพื่อนซี้ขี้ซุยมันถึงอยากนั่งชมวิวตรงนี้นักหนา แต่พอนานวันเข้าก็เลยสงสัย วันนี้แหละเขาจะไขให้กระจ่างเอง
“เดี๋ยวนะ?”
“ไรวะ?” จื่อเทาขมวดคิ้ว เขาเริ่มจะรำคาญไอ้เพื่อนตัวปัญหาที่ว้าวุ่นมาตลอดครึ่งชั่วโมง พอเห็นไอ้โย่งหูกางหันกลับมาทำหน้าเบ้แล้วความสงสัยก็บังเกิด วินาทีนั้นหวงจื่อเทาถึงได้อยากรู้ว่ามันไปเห็นอะไรเข้า
“...”
จงอินคีบกิมจิเข้าปากอย่างใจเย็น เขาไม่ควรกระโตกกระตากรีบแก้ตัวกับสิ่งที่พวกมันเห็น ในหัวของเด็กหนุ่มกำลังเรียบเรียงคำพูดและเหตุผลที่มันฟังขึ้นเพื่ออธิบายให้เพื่อนควาย ๆ ทั้งสองฟังว่าทำไม...เขาถึงชอบนั่งตรงนี้นัก
“ไอ้จงอิน”
มาแล้วสินะ...
“ไอ้สัดมึงแอบนั่งมองภารโรงเหรอวะ?”
ตะเกียบเหล็กในมือแทบร่วงกับคำถามของไอ้ชานยอล เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นทั้งที่ข้าวยังอัดแน่นอยู่เต็มปาก พอมองออกไปนอกหน้าต่าง คนที่เคยนั่งขยับตัวตามจังหวะเพลงในมือถือก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่กลับกลายเป็นภารโรงชายแก่ที่กำลังกวาดเศษใบไม้แห้งแทน
“เหยดแหม่ พี่เขาเล่นรุ่นใหญ่อ่ะ” ไอ้เทายิ้มขำก่อนจะยกมือขึ้นบังฝ่ามือจากเพื่อนสนิท
“กูบอกแล้วว่าแค่ชอบนั่งมองวิวข้างนอก” จงอินส่ายหน้าเบา ๆ นั่นแหละปาร์คชานยอลกับหวงจื่อเทาถึงได้กลับมานั่งที่เดิม
“โธ่ ก็นึกว่าพระเอกจะนั่งแอบมองสาวแหละครับเพื่อนถึงได้อยากเสือก” ชานยอลนั่งห่อไหล่หนีบขาทำท่าเหมือนตุ๊ด
“มึงจะดูถูกเพื่อนกูไม่ได้นะเว้ยชานยอล ระดับพี่จงอินไม่ต้องแอบมองใครครับ แค่พี่เขายืนเฉย ๆ สาว ๆ ก็เลิกเสื้อขึ้นโชว์นมใส่แล้ว โหดสัส”
“ถุยเถอะ”
ไอ้ชานยอลกับไอ้เทาโน้มตัวมาแท็กมือกันอย่างสะใจ มันเป็นเรื่องแบบนี้เสมอที่พวกเขาจะผลัดกันทับถมคนมีประเด็น แต่พักหลังไอ้คนมีความรักอย่างไอ้ชานยอลนี่จะโดนบ่อยสุด
เรื่องของเขาจบไปและแทนด้วยเรื่องของแบคฮยอนเหมือนกับทุกวัน จงอินไม่ได้เบื่อที่เพื่อนจะมาระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่เต็มอกให้ฟัง เด็กหนุ่มคิดว่าการได้เห็นมุมมองความรักจากคนอื่นบ้างมันก็เป็นเรื่องที่ดีหากว่าในอนาคตเขาอยากจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน
มองออกไปข้างนอกอีกครั้งตรงม้านั่งตัวเดิม มันก็สักพักแล้วที่เขาเลิกพูดถึงเรื่องโอเซฮุนในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างก็เอามานินทาอย่างสนุกปาก ซึ่งเด็กหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ถึงพวกผู้หญิงจะบอกว่าผู้ชายเป็นเพศที่สนิทกันได้ง่ายไม่คิดอะไรมากมาย แต่พวกเธอคงไม่รู้หรอกว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเด็กผู้ชายบางกลุ่มก็เกลียดคนทำตัวเด่น ไม่ชอบคนขี้เก๊กจนน่าหมั่นไส้ และโอเซฮุนก็ตรงตามที่พูดมาทั้งหมด
มันเริ่มตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาบังเอิญหันไปเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งกินขนมปังกับนมกล่องอยู่คนเดียว เคยได้ยินเหมือนกันว่าโอเซฮุนไม่มีเพื่อนคบ ตอนนั้นก็สมน้ำหน้าอยู่ในใจนั่นแหละ จะว่ายังไงดีล่ะ ก็แค่ไม่ชอบขี้หน้า ไม่อยากคุยด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าถึงขั้นเกลียด
แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคือ...ทำไมหมอนั่นถึงดูมีความสุขนักเพียงแค่นั่งดูคลิปมือถือแล้วขยับตัวไปมาเหมือนกับคนกำลังเต้นอยู่กับที่ โอเซฮุนใช้เวลาจัดการขนมปังไม่ถึงนาทีเลยมั้ง วินาทีนั้นในหัวของคิมจงอินถึงได้มีคำถามว่า...คนที่อยากเด่นอยากดัง มันต้องทุ่มเทกับการเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?
เพราะแค่ให้เต้นแบบขอไปทีมันก็ดังได้แล้วเพราะส่วนหนึ่งหน้าตามันก็ช่วย ยังไงสาวก็กรี๊ดต่อให้มันขึ้นไปเต้นท่ากะโหลก ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่เขาเห็นคือไอ้หมอนั่นกำลังเล่นกับนิ้วมือตัวเองที่มันเป็นจังหวะอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปคงทำตามไม่ได้
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นิ้วเรียวยาวนั้น พอรู้ตัวอีกทีเจ้าของร่างผอมสูงก็มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเก็บเศษขยะแล้วลุกขึ้นเดินออกไป คิมจงอินยังคงมองไปยังม้านั่งที่ว่างเปล่าแม้ว่าอีกฝ่ายจะเดินหายลับไปแล้ว เด็กหนุ่มหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้ตัวว่าเขาเผลอนั่งมองไอ้หมอนั่นไปนานอยู่พอสมควร
และหลังจากวันนั้นคิมจงอินก็เริ่มสังเกตโอเซฮุนบ่อยขึ้น ก็ไม่ได้อยากทำความรู้จักหมอนั่นหรืออะไรหรอกนะ เพราะความตั้งใจของเขาก็แค่อยากรู้ว่าสิ่งที่โอเซฮุนเป็นมันใช่อย่างที่ใคร ๆ เขาว่ากันจริง ๆ หรือเปล่า?
.
.
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปตามเวลา ตอนนี้เหลือเพียงแค่คิมจงอินที่ยังอยู่ในตึกหลังจากคาบสุดท้ายของการเรียนเสริมสิ้นสุดลง เด็กหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือเพียงแค่ครู่เดียวก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วตรงไปตามระเบียงทางเดินยาวอย่างใจเย็น
จงอินชอบอยู่เป็นคนสุดท้ายของโรงเรียน ชอบที่จะอยู่เงียบ ๆ ในเวลากลางคืนแบบนี้ เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มถึงได้นั่งฟังเสียงเปียโนของ Yiruma ไปเพลิน ๆ จนกว่าที่นี่จะเหลือเขาเพียงคนเดียว อ้อ...ถ้าไม่นับภารโรงกับพวกนักกีฬาในโรงยิมด้วยน่ะนะ
“...!!!”
เสียงยางรองเท้าเสียดสีกับพื้นหินขัดบ่งบอกว่าทางโค้งด้านขวามือมีใครอยู่ตรงนั้น และจากที่ได้ยินเชื่อว่าคงมีมากกว่าหนึ่งคน จากประสบการณ์ที่ไอ้ชานยอลกับไอ้เทาพาไปยำตีนคนอื่นมานักต่อนัก การคาดเดาเหตุการณ์ตรงหน้าคงไม่ใช่เรื่องยาก แน่นอนว่ามีคนกำลังชกต่อยกันอยู่
ได้แต่สงสัยว่าใครหน้าไหนที่ช่างเลือกเวลาต่อยกันตอนเรียนเสริมเสร็จ ถ้าเป็นพวกเด็กเรียนหน้าเนิร์ด ๆ ที่มีเรื่องกันเพราะมึงลอกข้อสอบย่อยกูงี้คิมจงอินจะระเบิดหัวเราะให้ลั่นไปทั้งอาคารเรียนเลย
ไวเท่าความคิดเมื่อใครคนหนึ่งกระเด็นออกมาติดกับหน้าต่างตรงระเบียงทางเดินเพราะถูกถีบอย่างแรง จงอินยืนนิ่ง สายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่กับเด็กผู้ชายทั้งสี่ที่กำลังเข้าไปลากคนที่กำลังพยายามหยัดตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล
“กูถามว่ามึงใช่ไหมที่เป็นคนสร้างเพจแอนตี้กู?”
“ถามอีกกี่ครั้งกูก็จะตอบเหมือนเดิม...” เสียงนั้นสั่นปนหอบ ตอนนี้เขาเห็นหน้าผู้ถูกกระทำได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคนที่ปากแตกแก้มถลอกเป็นปื้นนั่นคือใคร
“ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใครวะ ตอนนี้มึงดังมากนี่? พอเห็นกูเป็นคู่แข่งเลยขุดประวัติกูไปแฉใช่ไหมไอ้ลูกหมา!”
“...”
ดูจากสีหน้าแล้วโอเซฮุนไม่ได้มีความกลัวเลยสักนิด ไอ้หมอนั่นเพียงแค่จ้องเข้าไปยังนัยน์ตาของคนตรงหน้าที่ง้างหมัดขึ้นเตรียมชก จงอินหลุบตาลงมองมือเรียวยาวที่เขาเคยให้ความสนใจเมื่อตอนกลางวันแต่ตอนนี้มันบวมแดงและถลอกเล็กน้อยเหมือนกับโหนกแก้มไม่มีผิด
สายตาของคนกลุ่มนั้นกำลังมองมาทางนี้ อ้อ...ชัดเจนแล้ว ไอ้พวกเวรกลุ่มนั้นก็มีชื่อเสียงไม่ต่างจากโอเซฮุนนักหรอก เห็นว่าอยู่ชมรมเคป๊อปอีกทั้งยังเปิดชาแนลเล่นเกมในยูทูป แต่ติดที่เบ้าหน้าไม่หล่อเลยเล่นยังไงสาวก็ไม่สน ถ้าให้สรุปเหตุการณ์แบบง่าย ๆ ก็คงหมั่นหน้าปนอิจฉาเลยหาเรื่องกระทืบเล่นคลายเครียดล่ะมั้ง
เด็กหนุ่มไม่ได้กลัวว่าคนกลุ่มนั้นจะเข้ามาหาเรื่องที่เขาบังเอิญมาเห็นเหตุการณ์นี้ เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าไอ้พวกนี้มันเก่งแต่กับคนอ่อนแอหรือไม่ก็คนที่พวกน้อยกว่า แต่ยกเว้นกลุ่มเขาไว้แล้วกัน เพราะถึงจะมีแค่สามคนแต่ฝีมือเรื่องชกต่อยของไอ้เทาก็คูณเข้าไปอีกสี่
จงอินเพียงแค่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงผ่านไปโดยที่ไม่พูดอะไร เขาไม่ใช่พวกชอบยื่นมือยื่นขาเข้าไปช่วยทุกคนเหมือนซุปเปอร์ฮีโร่ ท่ามกลางความเงียบที่ทั้งสี่คนหยุดนิ่งก่อนจะหันกลับไปอัดโอเซฮุนอีกรอบหลังจากที่เขาเดินออกไปจากตรงนั้นแล้ว
ภาพตอนผู้ชายคนหนึ่งนั่งกินขนมปังทั้งที่สายตายังไม่ละออกห่างจากคลิปย้อนกลับเข้ามาในหัวอย่างไม่ตั้งใจ ภาพตอนที่เขาทั้งคู่เผลอหันมาสบตากันเพียงแค่ครั้งเดียว ถึงมันจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่จงอินกลับรู้สึกเหมือนว่ามันมีอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
“อึ่ก!!!”
“ยอมรับมาเถอะห่า โทษหนักจะได้เป็นเบา”
“พูดมา!!!”
“...!!!”
ไม่มีเสียงขอความช่วยเหลือแม้ว่าโอเซฮุนจะเห็นอยู่ตำตาว่าเขาผ่านมาทางนี้ หมอนั่นยังคงปล่อยให้ไอ้พวกลูกหมาอัดต่อไปโดยที่ไม่พูดอะไร และมันทำให้คิมจงอินหงุดหงิดจนต้องหยุดยืนอยู่กับที่ และเขาก็ไม่เข้าใจด้วยว่าเพราะอะไร?
“พอเถอะ มึงไม่เห็นเหรอว่ามันน่วมแล้ว”
“อะไรวะ?” ไอ้หอกหักหันมาเลิกคิ้วถามอย่างไม่พอใจก่อนจะผลักเซฮุนจนถอยไปชนกับหน้าต่างกระจกอย่างแรง
“กะเล่นเอาตายเลยหรือไง มึงสี่ มันคนเดียว แน่จริงไม่ตัว ๆ ไปเลยล่ะ”
“เหอะ...คนปอดแหกอย่างมันแค่อ้าปากยอมรับความจริงยังไม่กล้าเลย นับประสาอะไรกับให้ต่อยตัวต่อตัววะ” เด็กหนุ่มตัวผอมหันไปแค่นหัวเราะใส่คนที่คว้าราวไว้เป็นหลักเพื่อให้ยืนทรงตัวได้
“ไง? ไม่สู้เหรอวะ?” จงอินมองหน้าเหยื่อที่อยู่ในวงล้อม เซฮุนเม้มปากแล้วหายใจเข้าลึก ๆ
“...สู้”
“ได้ยินนะ? ถ้ามึงตัว ๆ กับมันตั้งแต่แรกก็ไม่มีใครต้องอายแล้ว” จงอินพูดเสียงเรียบ แน่นอนว่าสายตาปนสมเพชที่เขาส่งไปมันทำให้คนตรงหน้าโมโห ซึ่งมันคงดีไม่น้อยถ้าไอ้เวรนี่ง้างหมัดขึ้นมาซัดเขา เพราะคิมจงอินจะได้มีเหตุผลเอาไว้อ้างกับตัวเองว่าทำไมถึงได้มายุ่งกับเรื่องคนอื่นแบบนี้
“ใครอายวะ?”
“ก่อนถามมึงน่าจะเอาเวลาที่หายใจทิ้งไปคิดสักหน่อยนะว่าควรตอบอะไร ไม่อายเหรอวะสี่รุมหนึ่งเนี่ย เด็กประถมยังไม่กล้าทำแบบพวกมึงเลย มีบ้างไหมศักดิ์ศรีน่ะ? หรือคิดว่าไม่มีใครผ่านมาเห็นเลยจะทำยังไงก็ได้”
“...”
หลายครั้งที่กลุ่มของเขาให้การชกต่อยเป็นทางออก แต่คิมจงอินคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บถ้าหากคนเราหัดใช้สมองเล่นสงครามประสาทสักหน่อย ซึ่งไอ้โง่ทั้งสี่ตัวก็ดันติดกับได้อย่างง่ายดายแทนที่จะรวบรวมความกล้าแล้วเข้ามารุมกระทืบเขาไปพร้อม ๆ กับโอเซฮุน
แต่ก็นะ...ใคร ๆ ก็รู้ว่าตีนไอ้เทาหนักกว่าตีนไอ้ชานยอลอีก
“กูว่ากลับเหอะว่ะ...กูไม่อยากมีเรื่องกับกลุ่มมัน...” เสียงกระซิบมาพร้อมสายตาหวาด ๆ และดูเหมือนว่าคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วย แก๊งขยะทั้งสี่หันไปทางหน้าต่างแล้วผลักหัวเซฮุนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินลงบันไดไป
“...”
“...”
เซฮุนแตะนิ้วมือลงกับมุมปากแล้วก็เห็นเลือดสีสดติดออกมาเล็กน้อย เขารู้สึกปวดไปหมดทั้งตัวจนต้องทรุดลงไปนั่งพักกับพื้น พอหันไปข้างหลังก็เห็นว่าคิมจงอินกำลังเดินไปจากตรงนี้ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มถึงได้ถามตัวเองว่าเขาควรจะตะโกนคำว่า ‘ขอบคุณ’ ออกไปดีไหม
แต่คำนั้นก็ถูกกลืนลงคอหายไป ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นกลับมาพร้อมกระเป๋าเป้ของเขาที่ตกอยู่บนขั้นบันไดตอนถูกพวกมันหาเรื่อง คิมจงอินย่อตัวลงแล้ววางกระเป๋าไว้ข้างหน้า เราสบตากันโดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“อยู่ทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ เรียนเสริมหรือไง?”
“ซ้อมเต้น”
“อ้อ...” จงอินพยักหน้าแบบขอไปที เขาก็ลืมไปว่าไอ้หมอนี่มันเป็นนักเต้นขวัญใจสาว ๆ ที่ต้องใช้เวลาว่างไปกับการซ้อมและเล่นเกม “ถามจริงเถอะ นายได้ทำอย่างที่มันพูดหรือเปล่า?”
“ไม่มีทางที่ฉันจะทำเรื่องแบบนั้น”
“อ่าฮะ”
“...ถามทำไม?” เซฮุนมองอีกคนอย่างหวาด ๆ เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมาดีหรือมาร้ายกันแน่
“ก็แค่อยากได้ยินจากปากนายดูบ้าง”
“เพราะฟังจากคนอื่นมาเยอะแล้วใช่ไหม” คนตัวผอมใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดออกลวก ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่ออีกฝ่ายยื่นซองทิชชู่ออกมาให้ “...ขอบคุณ”
“เอาไปทั้งหมดนั่นแหละ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อคนตรงหน้ายัดซองทิชชู่ใส่มือเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน ประมาณสิบวินาทีเห็นจะได้ที่เซฮุนรู้สึกว่ามันแปลก เมื่อขาทั้งสองข้างของจงอินยังคงยืนอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่เดินไปไหน
“ลุกไหวเปล่า?”
“ไหว” กดทิชชู่ไว้กับมุมปากแล้วสะพายเป้ไว้บนแขนข้างที่เจ็บน้อยที่สุด “ขอบคุณ”
“ครั้งที่สองแล้วนะ จะพูดพร่ำเพรื่อทำไม?”
“พูดว่าขอบคุณเวลาได้รับความช่วยเหลือมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แล้วรู้จักคำว่ามากเกินไปหรือเปล่า ถ้าฉันทำแบบนี้นายจะยังพูดว่าขอบคุณอีกไหม?” แย่งกระเป๋าเป้จากอีกคนมาสะพายพลางมองคาดโทษ
เซฮุนตกใจไม่น้อยที่คนตรงหน้าทำแบบนี้ เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คิมจงอินทำมันคือการแสดงน้ำใจหรือเป็นเพราะสมเพชสภาพเขาที่แม้แต่เดินยังต้องกุมท้อง เลยเอาไปถือให้เพราะทนดูไม่ไหวกันแน่
“ขอบคุณ”
“เออดี”
จงอินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วถอนหายใจ วูบหนึ่งเขาคิดว่ากำลังถูกกวนประสาทเข้าให้แล้ว นี่คือข้อเสียของคิมจงอินใช่ไหมที่พอเห็นคนมีเรื่องก็แกล้งทำเป็นเฉยไม่ได้ เขาไม่สามารถเดินผ่านไปโดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ก็เหมือนกับครั้งนี้ที่ปล่อยโอเซฮุนโดนรุมอัดแบบนั้นไม่ได้
โอเค มันอาจจะไม่เป็นไรกับการที่เขาช่วยไล่หมาทั้งสี่ไปได้ แต่การที่คิมจงอินยังอยู่ตรงนี้แล้วช่วยสะพายกระเป๋าให้คนที่เพิ่งคุยกันนี่สิ มันคืออะไร?
“นั่งรถเมล์สายไหน”
ทันทีที่เดินมาหยุดอยู่หน้าโรงเรียนเด็กหนุ่มก็หันไปถามคนข้าง ๆ พร้อมยื่นกระเป๋าเป้คืนให้ โอเซฮุนดูโอเคขึ้นเยอะถ้าเทียบกับสิบนาทีก่อนหน้านี้
“ฉันกลับแท็กซี่”
“แท็กซี่เลยเหรอ? ไม่มีรถเมล์ผ่านหรือไง?”
“ฉันนั่งไม่เป็น แม่ให้นั่งแท็กซี่อย่างเดียว”
“โว้ว ลูกคุณหนูซะด้วย” จงอินแค่นหัวเราะแล้วมองไปยังถนนก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่ให้ขับมาเทียบจอดริมฟุตปาธ “รีบกลับไปทำแผลซะ เดี๋ยวสาว ๆ จะใจสลาย”
“อืม” ขานตอบในลำคอแล้วค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไปในรถ “จะไม่พูดว่าขอบคุณก็ได้” คนตัวผอมไม่รู้เลยว่าจะต้องพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่ให้พูดว่าขอบคุณแล้วจะให้พูดอะไรอีก ขอโทษงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว
“แล้ว?”
“ฝันดี”
“...”
เด็กหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วมองอีกคนที่กำลังปั้นหน้าเครียดสุดกู่กับประโยคแปลก ๆ ที่เพิ่งหลุดปากพูดออกมา จงอินแค่นหัวเราะก่อนจะยื้อประตูเอาไว้ เขาก้มหน้าลงเพียงเล็กน้อยแล้วหันไปทางโชเฟอร์เป็นเชิงบอกว่าขอเวลาสักครู่
“บ้านอยู่ไหน?”
“ถัดจากโรงเรียนประถม A ไปสองบล็อก ถามทำไม”
“ไหน ๆ ก็ไปทางเดียวกัน งั้นก็แวะส่งฉันหน้าโรงเรียนประถม A หน่อยแล้วกันถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยไล่หมาให้” พูดจบก็แทรกตัวเข้ามาในรถหน้าตาเฉย เซฮุนเลิกคิ้วมองงง ๆ พร้อมขยับชิดไปทางด้านซ้ายก่อนจะวางกระเป๋าเป้ไว้บนตัก “ไปได้เลยครับลุง”
.
.
บนรถเงียบจนได้ยินเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศ จงอินล้วงกระเป๋าเอามือถือกับหูฟังออกมาเสียบแล้วเปิดเพลงที่ชอบเพื่อทำลายความอึดอัดในตอนนี้ แน่ล่ะ...ในหัวของเด็กหนุ่มกำลังก่นด่าตัวเองเป็นร้อยหนกับความบ้าบิ่นที่ทำลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ตั้งแต่ไปช่วยไล่หมาหมู่ ช่วยมันถือกระเป๋า ช่วยเรียกแท็กซี่ให้ไปจนถึงติดรถมาด้วยทั้ง ๆ ที่จะนั่งรถเมล์กลับก็ได้ เด็กหนุ่มผิวแทนทอดสายตาออกไปข้างนอกเพื่อเปลี่ยนความสนใจ แต่สุดท้ายสายตามันก็หันไปมองคนข้าง ๆ ที่กำลังเอาทิชชู่ที่เขาให้แตะแผลถลอกตรงหลังมือเบา ๆ
“โดนแบบนี้บ่อยไหม?”
“ไม่หรอก วันนี้โชคร้ายที่บังเอิญเดินมาเจอมันเฉย ๆ”
“อ่าฮะ”
จบ...บทสนทนาที่เริ่มต้นขึ้นอย่างยากลำบากจบลงได้อย่างน่าเวทนาเหลือเกิน อันที่จริงคิมจงอินก็เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ดีนะ ว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขากับโอเซฮุนจะคุยกันได้อย่างออกรสทั้งที่เขาเคยมีอคติส่วนตัวกับมัน
“ชอบฟังของ Yiruma เหรอ?”
“รู้จักด้วย?” จงอินดึงหูฟังออกข้างหนึ่งพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ถึงแม้ว่า Yiruma จะเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จัก เซฮุนพยักหน้าแล้วหลุบตาลงมองสมาร์ทโฟนในมือตัวเอง
“ในเครื่องมีอยู่ประมาณสามเพลง เอาไว้ฟังตอนนอนไม่หลับ”
“มีอะไรบ้างล่ะ Kiss The Rain?”
“ถูกแล้วหนึ่ง” เซฮุนชูนิ้วชี้ขึ้นมา จงอินขมวดคิ้วระหว่างใช้ความคิด ตอนนี้บรรยากาศกำลังผ่อนคลายขึ้นโดยที่เด็กหนุ่มทั้งคู่ไม่รู้ตัว
“If I Could See You Again?”
“ผิด”
“Moonlight?”
“ถูกแล้วสอง”
“River Flows in You?”
“ผิด”
“Tears On Love?”
“...”
เซฮุนหุบนิ้วลงแล้วเปิดหน้าจอมือถือให้อีกคนดูเพล์ลิสต์ที่มีชื่อว่า SLEEP จงอินนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อพบว่าความจริงแล้วเพลงทั้งหมดที่เขาพูดไปทั้งหมดมันถูกตั้งแต่สามเพลงแรกแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ
“นายคงชอบเขามาก ๆ ถึงจำชื่อเพลงได้เยอะขนาดนี้”
คิมจงอินเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเผลอคุยกับคนข้าง ๆ อย่างถูกคอจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้เราอึดอัดต่อกันแค่ไหน เขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เวลาพูดถึงเปียโนทีไรเด็กหนุ่มจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ฟังด้วยกันไหมล่ะ” ถามพร้อมยื่นหูฟังข้างขวาให้ เซฮุนมองมืออีกคนสลับกับใบหน้าคมอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายคนตัวผอมก็รับมาใส่หู แล้วเราก็ฟังเสียงเปียโนบรรเลงไปพร้อม ๆ กัน
“รู้สึกเหมือนอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่มีลมเย็น ๆ เลย”
“จินตนาการเป็นด้วย”
“ฉันก็มีสมองนะ ตอนนี้มันเป็นฉาก ๆ เหมือนในหนังเลยล่ะ”
“อ่าฮะ แล้วไงต่อ” เราคุยกันทั้งที่สายตากำลังจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่เซฮุนกำลังจินตนาการไปตามเพลงเหมือนอย่างที่เขาเคยรู้สึก
“บอกไม่ถูก เหมือนจะมีความสุขแต่ก็เหงา”
“มันมีเพลงที่ทำให้คนไม่รู้สึกเหงาด้วยหรือไง?”
“เพลงเต้นไง ฆ่าเวลาไปได้เกือบห้านาที ถ้าเปิดเพลงเต้นไปสิบสองเพลงก็ผ่านไปแล้วชั่วโมงนึง” เซฮุนยิ้มขำ เขามักจะทำอย่างนั้นเวลาเหงาหรืออยากสนุกไปกับการเต้น “ฟังไหม?”
“เอาสิ” จงอินไม่ได้แย้ง เขาเพียงแค่ปลายตามองหลังมือถลอกที่กำลังเลื่อนหาเพลงก่อนจะดึงสายหูฟังของเขาออกแล้วเสียบเข้ากับเครื่องตัวเอง เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละ โลกในสวนดอกไม้ที่โอเซฮุนว่าก็เปลี่ยนเป็นผับที่มีแสงไฟยิบยับขึ้นมาทันทีที่เพลง GOOD BOY เล่นขึ้น
“ไปเลยทุ่งดอกไม้กู”
“ทุ่งดอกไม้ที่พอหันไปทางด้านซ้ายก็เจอสตรีทแดนซ์พอดีไง”
ไอ้คนปากแตกกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางโยกหัวขยับไหล่ไปตามจังหวะเพลง จงอินมองคนข้าง ๆ ที่กำลังปล่อยออร่าความสุขออกมาจนแทบลืมความเจ็บไปจนหมดสิ้น มันไม่ได้เต้นเหมือนคนบ้า เอาจริง ๆ แล้วโอเซฮุนแค่ขยับตัวนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น
มนุษย์ขี้เก๊กอย่างโอเซฮุนมันประหลาดจริง ๆ ด้วยว่ะ
“I am a GOOD BOY”
“เออ เด็กดีที่หนึ่งล่ะมึง...”
เบนหน้าหันเข้าหากระจกแล้วพึมพำเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มผิวแทนก็ไม่ได้ดึงหูฟังออก เพลงที่สองตามมาติด ๆ จังหวะนั้นไม่ได้เบาไปกว่าเพลงแรกเลย จงอินเคยฟังเพลงแนวนี้อยู่บ่อย ๆ ตอนไปบ้านไอ้เทา ถึงจะไม่ใช่แนวแต่ก็ใช่ว่าจะฟังไม่ได้
“ขอบคุณอีกครั้งนะ ถ้าเจอกันคราวหน้า...ฉันทักนายได้ใช่ไหม?” เมื่อแท็กซี่ขับเทียบจอดหน้าโรงเรียนประถม A จงอินก็ตั้งท่าเตรียมตัวเปิดประตูลงไป พอเห็นอย่างนั้นเซฮุนถึงได้ถามออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่ในรอบปีที่เขาเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อน เขากำลังรู้สึกประหม่าสุด ๆ ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้คิดยังไง บางทีคิมจงอินอาจจะแค่อยากช่วยแล้วหลังจากวันนี้ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่เซฮุนคิดว่ามันคงน่าเสียดายมากถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น
เพราะถึงจะมีอะไรที่ต่างกัน...แต่เราก็...
“มันก็อยู่ที่ว่านายอยากเต้นอยู่บนถนนหรือว่าอยากเดินลงมาในทุ่งดอกไม้ของ Yiruma อีกหรือเปล่า”
TBC
ควร Talk อะไรอ่ะ
ความคิดเห็น