คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 01 :: 2 Days
Chapter 1
2 Days
วันแรกที่เจอกันน่ะเหรอ?
จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านช้าเพราะมีซ้อมสแตนด์เชียร์ช่วงกีฬาสี กลับมาถึงบ้านด้วยสภาพอิดโรยขึ้นสุด ชีวิตของเด็กเกรดแปดทำไมต้องไปนั่งสะบัดพู่อะไรแบบนั้นมันช่างไร้หัวคิดสิ้นดี และจะต้องทนแบบนี้ไปอีกหนึ่งปีจนกว่าจะจบม.ต้น มโนนะครับว่าทั้งช่วงคาบโฮมรูมต้องไปนั่งตากแดดบนสแตนด์แล้วแหกปากร้องเพลงมาร์ชโรงเรียนกับไก่ย่างถูกเผาพร้อมท่าประกอบ ไหนจะตอนเลิกเรียนอีกแดดก็เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่
พี่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเคยเล่าให้ฟังว่า ‘ที่มึงเจอน่ะจิ๊บ ๆ พอขึ้นมหาลัยแล้วแทบจะอยากรีไทร์ตัวเองกลับไปอยู่ม.ต้นแทบไม่ทัน เชื่อกูดิ’ ซึ่งบยอนแบคฮยอนก็ไม่รู้ว่ามันเชื่อได้แค่ไหน เพราะจากที่เห็นไอ้คนเป็นพี่ญาติก็แสนจะชิวเหลือเกิน ไปเรียนมั่งไม่ไปมั่ง เห็นป้ามาบ่นว่าแดก F บ่อยยิ่งกว่าข้าวในบ้านอีก
เอาล่ะ...ควรกลับเข้าสู่เรื่องวันนั้นได้แล้ว มันคือวันที่เขาได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นเป็นครั้งที่สองหลังจากได้ลองอุ้มอย่างทุลักทุเลตอนมันเกิดเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว (ซึ่งตอนนั้นก็อายุเจ็ดขวบนั่นแหละ) เด็กที่ยืนทำตาแป๋วดูดนิ้วตัวเองตอนมองหน้าเขามันชื่อปาร์คชานยอลน่ะคุณ อายุเจ็ดขวบเรียนอยู่โรงเรียนโพราแม น้องป.1 ตาโตหูกางแก้มยุ้ยแต่มองโดยรวมแล้วเสือกน่ารักน่าหยิก
ใช่ว่าบยอนแบคฮยอนจะรักเด็กหรอกนะ มันก็กึ่ง ๆ ชอบเบนไปทางเฉย ๆ ซะมากกว่า แต่เข้าใจอารมณ์ป่ะครับเห็นอะไรน่ารักมุ้งมิ้งแล้วมันชื่นอกชื่นใจไปอย่างนั้น คล้ายกับตอนที่พวกผู้หญิงเจอคิตตี้ริลัคคุมะเป็นดงดอกเห็ดนั่นแหละ
“สวัสดีน้าแบคฮยอนเร็วครับ”
“หวัดดีฮะ” เสียงติดจะเขินอายทั้งที่สายตายังมองมาที่เขานั่นเรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี เด็กมันก็น่ารักตรงนี้แหละครับ เขินเชียวเวลาพูดคุยกับคนแปลกหน้า
“จำน้าเค้าได้ไหมลูก” คนเป็นแม่นั่งลงยอง ๆ พลางยีหัวลูกชายเบา ๆ เด็กชายชานยอลขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองน้าชายตัวโตอย่างไม่มั่นใจแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“จำได้ก็เทพแล้ว ผมเจอน้องครั้งแรกตอนพี่คลอดป่ะ” แบคฮยอนพูดติดตลกกับพี่สะใภ้ที่อยู่ในเครือญาติเดียวกันที่ให้เล่าถึงสายสัมพันธ์ทางสายเลือดก็คงใช้เวลานานหน่อย เอาง่าย ๆ ว่าเป็นญาติของญาติแต่ไม่มีเชื้อสายเดียวกัน ด้วยความเป็นครอบครัวใหญ่เราเลยได้เจอกันบ่อย
“ฮ่า ๆ พรุ่งนี้วันเสาร์แกไปไหนเปล่าวะไอ้หมา” พี่สาวยังสวยถามพร้อมก้มหน้าก้มตาควักเงินในกระเป๋า
“ไปซ้อมกีฬาสีที่โรงเรียนอ่ะ มีไรเหรอ”
“อ้าว ไหนแม่มึงบอกว่ามึงว่าง” เงยหน้าขึ้นพลางเลิกคิ้วถาม เด็กชายชานยอลมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมาด้วยความสงสัย
“มีอะไรก็ว่ามา”
“กูจะฝากลูกไว้กับมึงสักวันสองวันอ่ะ มีงานที่กิมโพเดี๋ยววันอาทิตย์มารับ”
“สบายดาก ทำไมไม่ฝากไว้กับแม่ล่ะ”
“ประเด็นคือแม่มึงก็ไปกับกูน่ะ”
“น๊ายยยยยยยยยยซ์” (NICE) อยากจะแก็ปซอง แบคฮยอนแค่นหัวเราะก่อนจะหลุบสายตาลงมองน้องตัวเล็กที่ยืนจ้องเขาไม่ละสายตา เวรละครับพรุ่งนี้มีซ้อมด้วยจะทิ้งไว้บ้านก็ยังไงอยู่
“พาน้องไปด้วยก็ได้ น้องไม่ดื้อหรอกกูเอาเกมบอยมาด้วย” พี่สาวว่าก่อนจะยื่นกระเป๋าเป้ดิจิม่อนหลากสีมาให้แล้วนั่งลงยอง ๆ หอมแก้มซ้ายขวาปิดท้ายด้วยหน้าผากฟอดใหญ่ รักกันปานจะแหกตูดดม “อยู่กับน้าแบคฮยอนนะลูก มะรืนหม่ามี๊จะมารับนะ”
“ฮะ” น้องหนูชานยอลตอบรับอย่างว่าง่ายจนน่าตกใจ ตอนเป็นเด็กจำได้ลาง ๆ ว่าเขาเคยร้องไห้แทบตายตอนแม่ไปส่งที่โรงเรียน ร้องเหมือนโลกจะพินาศแค่รู้ว่าต้องห่างจากแม่แค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ไอ้เด็กนี่กลับเฉ๊ย
นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นระหว่างน้าแบคฮยอนกับน้องชานยอลที่อายุห่างกันเจ็ดปี คืนนั้นนอนด้วยกันขอบอกเลยว่าเป็นคืนที่ขมขื่นมาก คือเด็กมันสะกิดให้พาไปฉี่ทั้งคืนเลยคุณเอ๊ย มึงจะปวดห่าอะไรนักหนาวะท่อแตกเหรอ อยากจะต่อสายตรงปิกะจู้มันเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็ลากที่นอนเข้าไปไว้ในนอนแล้วปล่อยให้มันโซโล่เลย อยากเยี่ยวอยากขี้อยากแช่อ่างจากุชชี่ก็ตามใจ
ไม่ต้องพูดถึงตอนตื่น สภาพตอนนี้คืออิดโรยตาตูบตาโปนจนไม่เหลือคราบความเป็นมนุษย์ พออาบน้ำเสร็จก็ไสตัวเองลงมาเปิดตู้เย็นแล้วคว้าแก้วที่ล้างเรียบร้อยแล้วมาเทนมในแกนลอนดื่ม ยืนนิ่งให้นมเย็น ๆ ไหลลงคอแล้วก็หายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้างจนกระทั่ง...
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”
บันเทิงแต่เช้าเลยนะมึง...
เสียงการ์ตูนดังมาจากห้องนั่งเล่น พอชะโงกหน้าดูก็เห็นเด็กชายชานยอลกำลังหัวเราะเอิ้กอ้ากกับการ์ตูนโบโนโบโน่แมวน้ำหน้าโง่ในทีวีอยู่ การแต่งกายครบเตรียมพร้อมไปโรงเรียนกับเขาสุดฤทธิ์ พอเห็นน้าชายตัวโตเด็กชายน้องชานยอลก็กุลีกุจอวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมทำตาแป๋ว
“ไปกันฮะ”
“รีบเหรอ” คนเป็นน้าถามทั้งที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่
“ไม่รีบ เค้ารอแบคฮยอนได้”
“ทำไมเรียกงี้ เราต้องเรียกว่าน้าแบคฮยอนสิ” แบคฮยอนนั่งลงยอง ๆ จนใบหน้าอยู่ในระดับเท่ากัน ชานยอลไม่ได้ตอบ เด็กน้อยทำตาปริบ ๆ แล้วส่ายหัว
“มันยาวไปนี่นา”
“ยาวก็ต้องเรียก” พูดจบก็ถือสะพายกระเป๋าเป้ออกมาโดยที่มีเด็กชายชานยอลเดินตามมาต้อย ๆ
“น้าแบคฮยอน” เออ มันต้องอย่างนี้พูดง่าย ๆ ไม่ดื้อไม่ซน
“ว่าไง”
“ที่โรงเรียนแบคฮยอนมีชิงช้าไหม” นั่น เผลอแปปเดียวแม่งวกกลับมาเรียกเหมือนเดิมละ -_-
“จะมีได้ไงไม่ใช่โรงเรียนเด็กประถม”
“ทำไมไม่มีล่ะ ต้องมีสิ”
“ก็บอกว่าไม่มีงายยยยยยยยยยยยยยย” แบคฮยอนลากเสียงยาวแล้วกลอกตาขึ้น ชานยอลทำปากยื่นแล้ววิ่งตามมาติด ๆ ก่อนจะพยายามก้าวขาข้างเดียวกับคนเป็นน้า
และแล้วก็มาถึงโรงเรียน วันเสาร์ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่จะมีก็แต่พวกบ้าพลังที่นัดเด็กมาซ้อมเชียร์นั่นแหละ แบคฮยอนจูงมือเด็กน้อยเข้ามาในสนามฟุตบอลหน้าโรงเรียนก่อนจะหยุดที่สแตนด์เชียร์ประจำ สีแดงยังไม่มีใครมาเลยสักคน สรุปกูรีบหรือพวกมันเลท
“นั่งนี่ก่อน”
ชี้ไปตรงที่นั่งยาวแล้วเด็กชายชานยอลก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย ทั้งคู่นั่งเฉย ๆ ปล่อยให้ลมหวิวพัดผ่านไปเล่น ๆ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกา “ครึ่งชั่วโมงละป่ะ ครึ่งชั่วโมงแล้ว........” ถอนหายใจหนัก ๆ กับเวลาที่เสียไปอย่างไร้ประโยชน์ เกลียดจริง ๆ พวกที่ชอบมาสายเนี่ย!!
หันไปมองเด็กที่นั่งกดเกมบอยคัลเลอร์อยู่ข้าง ๆ อย่างเมามันส์ โชคดีอย่างนึงที่บยอนแบคฮยอนไม่ใช่เด็กขี้เกมไม่อย่างนั้นคงอิจฉาไอ้เด็กนี่ที่ได้ของเล่นขั้นเทพตั้งแต่ยังอายุเท่านี้แน่ ที่รู้ว่ามันเป็นไอเทมขั้นเทพก็ตอนที่เพื่อนในห้องคุยกันนั่นแหละ เซฮุนมักจะเป็นคนนำเทรนด์ประจำห้องแต่จะพูดแบบนั้นก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะเอาจริง ๆ แล้วไอ้จงอินต่างหากที่เป็นคนนำเทรนด์แต่คนซื้อก่อนคือเซฮุน งงไหมครับ? เอาเป็นว่าไอ้จงอินมันไม่ค่อยมีตังค์ รู้ว่าอะไรอัพเดทแต่พ่อแม่ไม่ซื้อให้ผิดกับไอ้เซฮุนที่ขยับปากบอกยี่ห้อพ่อแม่ก็แทบจะหามาให้แทบไม่ทัน
ตัดภาพมาอีกทีก็ตอนที่ใครหลาย ๆ คนเริ่มทยอยกันมาแล้ว บางคนแยกย้ายกันสุมหัวคุยอยู่ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นม้านั่ง บนพื้นไปจนถึงต้นไม้จนอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อมันเป็นทาซานเหรอ มีที่นั่งดี ๆ ไม่นั่งไอ้พวกนี้นี่ยังไง
ไม่นานนักจงอินก็มาในชุดลำลองแบบสบาย ๆ พร้อมลูกบาสในมือ ด้วยความที่มันเป็นนักบาสประจำสีแดงเลยไม่ต้องขึ้นเชียร์ตากแดดตากลมเหมือนกับคนอื่น ๆ เขาถึงจะแปลกใจที่ได้เห็นหนังหน้ามันที่นี่แต่ก็ถือว่าดีที่มันโผล่มาเพราะบยอนแบคฮยอนกำลังเบื่อสุดขีด
“มาทำไรวะ”
“รอซ้อมบาสตอนหกโมงเย็น”
“นี่เพิ่งเก้าโมงป่ะ มึงรีบเหรอ”
“กูขี้เกียจอยู่บ้านว่ะ แม่บ่นเรื่องค่าไฟตั้งแต่เมื่อวานขี้หูกูเต้นเป็นจังหวะดั๊บสเต็ปละ” จงอินทำหน้าเนือยแล้วหันไปเห็นเด็กตัวเล็กที่กำลังนั่งจิ้มเกมบอยคัลเลอร์อยู่ แค่นั้นล่ะ...ตาเป็นประกายเชียว “ใครวะ”
“หลานกูเอง” พอจะรู้สันดานมันอยู่บ้างครับเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เข้าม.ต้น ไอ้จงอินเป็นพวกลัทธิคลั่งเด็กประหนึ่งนางสาวไทย เห็นเด็กเป็นไม่ได้ต้องเข้าไปตีสนิทชวนคุย นั่งเล่นด้วย นั่นไง...พูดไม่ทันขาดคำมันลงไปนั่งอ้อล้อชานยอลแล้ว
“ชื่อชานยอลเหรอ พี่ชื่อจงอินนะ”
“ฮะพี่จงอิน”
“ทีงี้ทำไมเรียกพี่” หันไปถามอย่างหาเรื่องทีกับกูเรียกชื่อห้วน ๆ ซั้ซ
“มันสั้นกว่าชื่อแบคฮยอนนี่ฮะ”
มันสั้นกว่ากูตรงไหนห๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
“โอย กูเศร้า” จะเถียงกับเด็กมันก็ไม่ใช่เรื่องเพราะคนตรงหน้าคือมนุษย์เด็กที่เข้าใจอะไรยากพอ ๆ กับการสอนควายตีกอล์ฟ แบคฮยอนเกาหัวแกร่ก ๆ แล้วนั่งลงที่เดิม มองคนสองคนที่กำลังเล่นเกมด้วยกันอย่างสนุกสนาน เพลินไปดิพวกมึง
“เออมึงรู้ยังว่ามีเกมมาใหม่”
“จะคุยเรื่องเกมช่วยดูหนังหน้ากูด้วย” แบคฮยอนทำหน้าเนือยแล้วจงอินก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะแห้ง ๆ
“เออว่ะ ลืมไปว่ามึงมันกระจอกเล่นเกมไม่เป็น”
“ไม่เป็นห่าไร ถ้ากูตั้งใจจะเอาดีด้านเกมจริง ๆ พวกมึงจะหนาวขี้”
“คนจริงเขาไม่เอาแต่พูดหรอกครับเขาต้องลงมือทำให้คนอื่นเห็นเลย อย่างมึงน่ะเป็นพวกชอบพูดยกยอตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนความกาก”
“ปากงี้น่าเอาไปจูบขี้ควายดูสักครั้งนะ” ขอทีเถอะครับ ตบหัวเพื่อนสักทีนึงจะเป็นไรไป จงอินเบี่ยงตัวหลบองศามือคนตัวเตี้ยแล้วก็หัวเราะพอใจ
“คุยเรื่องเรียนกับมึงแล้วกูปวดหัวนี่หว่า”
“มึงก็ไปคุยกับไอ้ห่าเซฮุนดิครับ?”
“จัดไป ขอยืมมือถือหน่อย” พูดจบก็แบมือออก แบคฮยอนยื่นมือถือให้แล้วจงอินก็รับมากดเบอร์โทรออกแล้วเอามือถือแนบหูก่อนจะผละออกมาทำหน้าเซ็งใส่ “ขอโทษค่ะ ยอดเงินของท่านคงเหลือศูนย์วอน กรุณาเติมเงินด้วยค่ะไอ้สัด”
“ตามนั้น” แบคฮยอนยิ้มเยาะ สมัยนี้มีมือถือโก้ ๆ อย่างเดียวไม่ได้นะครับต้องมีปัญญาซื้อบัตรเติมเงินด้วย ซึ่งบยอนแบคฮยอนไม่ได้สิทธิ์นั้นเพราะอีพวกนรกนี่แหละยืมไปโทรจนหมด
“เซ็งเลยกู” จงอินเอนหลังพิงกับสแตนด์เชียร์ชั้นสอง “กะว่าจะบอกให้มันไปกราบตีนพ่อซักหน่อย เกมนี้เพิ่งเข้ามาใหม่กำลังดังมากด้วย”
“แล้วไง”
“ก็ไม่ไง บ้านเซฮุนมีคอมพ์ถ้าพ่อมันซื้อแผ่นเกมมาลงกูจะได้ไปเล่นบ้านมันบ่อย ๆ ”
“มึงนี่มันชั่วจริง ๆ หวังประโยชน์จากเพื่อน สารเลว” พูดจบก็ผลักหัวเพื่อนจนหน้าคว่ำ
“ใครเลวเหรอฮะ”
“ไอ้นี่” ทั้งแบคฮยอนและจงอินชี้หน้ากัน เด็กตัวเล็กมองพี่ชายตัวโตสลับกันไปมาด้วยความสงสัย
“ไอ้นี่มัน...อ้าว...ตายยากอีก” ทั้งสองคนหันไปมองข้างหลังแล้วก็เห็นเซฮุนเดินมาทางนี้พร้อมแว่นกันแดดและเสื้อกันหนาวแบบมีฮู๊ดบดบังแสงยูวีสุดฤทธิ์
“เย่เฮ้ท”
“เยดเข้ กูกำลังพูดถึงมึงพอดีเลย” จงอินลุกขึ้นแล้วแท็กมือกับเพื่อนตัวบางก่อนจะเอาไหล่ชนกัน
“ลมอะไรพัดมึงมาถึงที่นี่ครับ” แบคฮยอนถาม รู้สึกประหลาดใจอย่างสุดขีดที่เห็นคนกลัวดำอย่างมันมาเดินตากแดดตอนสาย ๆ แบบนี้ได้ เซฮุนถอดแว่นออกแล้วห้อยไว้กับคอเสื้อตัวข้างใน
“อยู่บ้านแล้วเบื่อ จะไปหามึงก็เพิ่งนึกได้ว่ามึงมาซ้อมเชียร์ จะไปหาไอ้จงอินก็เสือกอยู่ไกลขี้เกียจไป ร้อน” บ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนเจ้าสำอาง ไม่ใช่ว่ามันไม่มีนัดซ้อมสแตนด์เชียร์นะครับ มันน่ะหนักสุดเลย เข้าก็ไม่เข้าพี่ม.ปลายหมายหัวมันไว้ทั้งนั้นโดนเขาหมั่นหน้าทั้งแผ่นดินแล้วยังไม่สำนึก เหตุผลที่มันยกมาอ้างก็น่ารักเหลือเกินว่ากลัวดำ คนหล่อต้องห้ามผิวกร้านเป็นปื้นเหมือนไอ้จงอินนั่นคือกฎเหล็กของโอเซฮุน
“พี่คนนี้ชื่ออะไร” ทั้งสามคนมองไปยังเด็กน้อยที่กำลังจ้องเซฮุนตาเป็นประกาย ร่างบางชี้หน้าตัวเองงง ๆ แล้วหันไปมองเพื่อนทั้งสอง
“กูเหรอ?”
“เออ มึงนั่นแหละ”
“พี่ชื่อเซฮุน มีอะไรเหรอน้อง”
“พี่เท่จัง ชานยอลชอบ!”
“หา?” ตอนนี้มีแค่เซฮุนที่งงเป็นไก่ตาแตก แบคฮยอนตบบ่าเพื่อนปุ ๆ แล้วก้มลงมองเด็กตัวเล็ก
“หลานกูเองแหละชื่อชานยอล”
“เย่เฮ้ท ทำไมกูไม่เคยรู้มาก่อนวะ”
“ก็กูไม่เคยเล่าให้ฟัง”
“แล้วชานยอลไม่ชอบพี่เหรอ พี่ก็เท่พอ ๆ กับเซฮุนเลยนะ พี่มีลูกบาสเหมือนซากุรางิในสแลมดั๊งค์ด้วย” จงอินพยายามอวดสรรพคุณความดีที่มีเพียงน้อยนิดให้ฟังแต่ชานยอลก็ยังเฉย
“ไม่เห็นจะเท่เลย”
“เย็นเตร็ก” เซฮุนหัวเราะลั่นราวกับผู้ชนะ และมันก็เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มคบหาสมาคมเป็นเพื่อนกันจนมันสองคนได้ฉายานามว่า ‘คู่หูดูโอ้หยินหยาง’
“พี่เซฮุน ๆ ”
“พี่เซฮุนทำอะไร พี่เซฮุนเท่จัง”
อย่างนั้นแหละครับ ได้ยินแค่นั้นจริง ๆ ไม่เชื่อไปถามไอ้จงอินได้ สุดท้ายบยอนแบคฮยอนก็ทำตัวเป็นเด็กเลวเมื่อตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าโรงหนังพร้อมกับป๊อปคอร์นและน้ำอัดลมในมือ การคบเพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่งแต่มีเพื่อนไม่น่าพึ่งก็ต้องหันไปหาสองคนนั้น...
ครับ...ไอ้สองคนนั้นนั่นแหละที่พาเขาโดดซ้อมแล้วลากมาดูหนัง
“แบคฮยอนเค้าอยากกินขนม พาไปซื้อหน่อย”
“แล้วที่ถืออยู่เต็มมือนั้นเรียกขี้เรอะ” แบคฮยอนว่าแล้วเขย่าซองเยลลี่ที่อยู่ในมือเด็กน้อย ชานยอลส่ายหน้าแล้วชี้ไปยังเคาเตอร์ขายขนมและป๊อปคอร์น
“เค้าอยากกินห่อใหญ่ ๆ ”
“ไปกินที่บ้าน” อยากใช้คำว่าแดกนะครับแต่ไม่อยากเสี้ยมให้เด็กเหี้ยตั้งแต่เด็ก
“น้า...พาเค้าไปซื้อหน่อยน้า...” นั่น...มาแล้วครับมุขลูกอ้อน น้าวัยสิบสี่ก้มลงมองหลานชายตัวเล็กที่กำลังอ้อนวอนด้วยการกระตุกชายเสื้อพร้อมกับแววตาใส ๆ โดยที่มีเพื่อนทรพีทั้งสองคนยืนกดดันว่า ‘มึงจะเหี้ยเลยนะถ้าเกิดไม่ซื้อให้หลาน’
ตามนั้น...ขนมห่อเท่าหัวสิงโตตายทั้งกลมได้มาอยู่ในมือของเด็กเอาแต่ใจเรียบร้อย ค่าขนมเดือนนี้กูลอยหายไปแล้วลาก่อน...ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในโรงหนังก่อนที่แบคฮยอนจะนั่งลงยอง ๆ ให้หลานขึ้นขี่หลังเพราะมันมืดมาก ไม่ได้ใจดีอะไรหรอกนะครับคือกลัวมันสะดุดล้มปากแตก พอถึงตอนนั้นลำบากกูอีก
นั่งเรียงตามลำดับนับจากซ้ายไปขวา เริ่มจากเขา (โดยมีชานยอลนั่งตัก) เซฮุนและจงอิน หนังที่จะดูวันนี้คือ The Matrix จัดว่าเป็นหนังดังมากในยุคนี้ ถึงบยอนแบคฮยอนจะไม่ชอบเล่นเกมแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ชอบดูหนัง และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่เขายอมโดดซ้อมง่าย ๆ ทั้งที่ปกติต่อให้ไอ้สองคู่หูมารบเร้าแค่ไหนเขาก็ไม่เคยยอม ครับ...บยอนแบคฮยอนอยากดูเรื่องนี้จับใจ
หนังเล่นไปเรื่อย ๆ มีทั้งลุ้นระทึกและเท่สุดกู่กับบทพระเอก ชานยอลพูดจ้อแจ้ไม่หยุดจนคนเป็นน้าต้องเอามือตะปบปากไว้ เดี๋ยวถาม ‘นี่อะไรฮะ โน่นอะไร พระเอกจะไปไหน นางเอกจะตายไหมฮะ พี่เซฮุนกินอะไรชานยอลกินด้วย พี่เซฮุนฮะ พี่เซฮุน’
กรูจะบ้า
“ชานยอล เงียบ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกครับ ดุครั้งที่ร้อยแล้วแต่ชานยอลก็ยังแบร้ม ๆ ๆ ไม่หยุด นี่ไม่รวมกับตอนที่นางเคี้ยวขนมแจ้บ ๆ เสียงดังอีกนะ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังเตะเบาะ ไหนจะคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าอีก ชาวบ้านชาวช่องหันมาส่งสายตาด่าพ่อไม่รู้กี่รอบแล้วนับไม่ได้หรอกบอกเลย
“ถ้ายังไม่หยุดพูดพี่จะทิ้งเราไว้ที่นี่แล้วหนีกลับบ้านไปเลย” เซฮุนพูดเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สามคน เด็กน้อยเงียบกริบแล้วปิดปากตัวเองไว้ แหม่ะ...ทีงี้ละเชื่อฟังเชียว
“แบคฮยอนฮะ...” เด็กน้อยบนตักหันกลับมามองเขาพร้อมกับกระซิบเบา ๆ ราวกับกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า
“บอกให้เรียกน้า”
“น้าแบคฮยอน...”
“อะไร”
“เค้าอยากมีชื่อเหมือนในหนังบ้าง”
“...”
“ชื่อเป็นภาษาอังกฤษเหมือนคุณแอนเดอร์สัน” เด็กน้อยพูดเสียงใส มึงฟินไรเหรอชานยอล มึงฟินอาร๊ายยยยยยย
“ชื่อชานยอลไม่พอใจไง๊?”
“พอใจแล้ว แต่อยากมีอีก”
“แบบนั้นเขาไม่เรียกว่าพอใจแล้ว”
“เค้าพอใจแล้วจริง ๆ นะ แต่แบคฮยอนตั้งชื่อให้เค้าหน่อย”
โอยน้ออออออออออออออออออออออออ
“เซฮุน ช่วยเด็กมึงดิ๊” ทิ้งขี้ให้เลยครับ ในเมื่อชานยอลเห็นมันเป็นไอดอลก็เอาภาระนี้ไปซะ
“ช่วยไร กูดูหนังอยู่แหกตาบ้างไหม”
“พี่เซฮุนไม่ตั้งชื่อให้เค้าเหรอ”
“เวลาผู้ใหญ่ไม่ว่างเด็กห้ามกวน เข้าใจเปล่า?” เซฮุนหันมาดุแล้วเด็กน้อยก็เอนตัวลงพิงกับอกน้าชายกึ่งงอน ๆ อย่าร้องไห้นะมึงกูอายเขา
ไม่ร้องจริงครับ แต่ได้ยินเสียงบ่นอู้อี้ติดน้อยใจอยู่เล็ก ๆ จับใจความได้ว่า ‘คนใจร้าย’ อะไรสักอย่างนี่แหละ ถ้าจะตัดพ้อขนาดนี้น่ะนะ หนังกูจะได้ดูไหมล่ะวันนี้
“เออ ๆ ตั้งให้แล้ว”
“จริงนะ! โอ๊ะ!” เด็กชายน้องชานยอลรีบตะปบปากตัวเองทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอส่งเสียงดัง ไม่ได้ ๆ ชานยอลจะไม่เสียงดังเดี๋ยวถูกพี่เซฮุนดุ
“ชื่อนี่ไปเลยเป็นไง มิสเตอร์ชาร์ล”
“ฮะ?”
“เหยด อย่างเท่อ่ะ” เซฮุนกลั้นขำแล้วหันมาหัวเราะเพื่อนตัวเตี้ยที่กำลังทำหน้าเซ็งสุดชีวิตกับชื่อสัปรังเคที่เพิ่งพูดเอาใจหลอกเด็กไปเมื่อครู่ มึงก็ขำได้ดิ ไม่ต้องรับภาระอันใหญ่หลวงแบบกูนี่...
“เท่จริงเหรอฮะ?” ชานยอลถามเสียงใส เซฮุนพยักหน้ารัว ๆ ก่อนจะสะกิดแขนจงอินให้หันมาร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งสองคนยกนิ้วหัวแม่มือนั่นยิ่งทำให้เด็กเจ็ดขวบหัวใจอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นเค้าจะชื่อมิสเตอร์ชาร์ล!”
“อุ่บ!” เซฮุนปิดปากตัวเองแล้วแอบหันไปหัวเราะกับจงอิน เด็กน้อยมองน้าชายที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกันก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“แบคฮยอนใจดีที่สุดในโลกเลย”
TBC
คุณน้าวัยสิบสี่นี่ขี้หงุดหงิดจริง ๆ 555555555555555555555555
หลานก็เยอะ เพื่อนก็บ้า ๆ บอ ๆ
เป็นไงบ้างคะ มาตอนที่ 1 แบบโชตะค่อน นึกย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนะคะ ช่วงที่สมาร์ทโฟนเพิ่งบูม ช่วงอินเตอร์เนตเพิ่งบูม ช่วงที่เดอะแมทริกส์กำลังดัง 5555555555
ตอนหน้าเราจะได้เจอชานยอลวัยสิบสองขวบแล้วนะ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ แท็กนี้เลย #มนุษย์ชานยอล
ขอบคุณค่า
ความคิดเห็น