คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11 :: Your Hands (100%)
Chapter 11
Your Hands
เช้ามืดของวันงานโรงเรียน มันคือปัญหาของหวงจื่อเทาที่คิมจงอินต้องรับผิดชอบ เขาลากเพื่อนให้ลงจากเตียง แถมตบหัวเรียกสติสักสองสามที หรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะคิมจงอินไม่เคยนับสักครั้งเวลาทำลงไป
เข้าใจความงี่เง่าตอนที่ถูกปลุกทั้งที่ยังนอนไม่เต็มอิ่ม แต่มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากให้งานห้องต้องเสียเพราะไอ้เทาตื่นมาแต่งหน้าไม่ทัน จนต้องเดือดร้อนเพื่อนคนอื่น ๆ มาช่วยแต่งหน้าให้ในนาทีเร่งด่วน ถ้ารีบจนแต่งออกมาไม่หล่อมันก็เฟลอีก เพราะงั้นต้องแก้ปัญหาปลายเปิดก่อน คือลากมันออกมาจากบ้านให้ได้ และคิมจงอินก็ทำสำเร็จ
เราสองคนไม่ได้มาถึงเป็นคนแรก ๆ เพราะพวกที่ต้องแต่งหน้าเป็นผีบางคนกับช่างแต่งหน้าจำเป็นได้มาถึงก่อนแล้ว ที่น่าตกใจนั้นไม่ใช่หน้าตาที่แต่งได้หลอน แต่กลับเป็นไอ้ชานยอลที่นั่งนิ่ง ๆ ให้เพื่อนแต่งหน้าตั้งแต่เช้านั่นต่างหาก
จงอินกับจื่อเทาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำแล้วกลับมาแต่งหน้า พวกเขาได้สิทธิ์แต่งก่อนคนอื่นเพราะต้องรับหน้าที่ไปยืนแจกใบปลิว เหมือนกับเพื่อนผู้หญิงหน้าตาดีอีกสองสามคนที่ต้องแยกย้ายกันไปอยู่ตามจุด พวกเขาต้องช่วยกันหาเงินเข้าห้อง เพื่อการเที่ยวอย่างราชาในวันสิ้นปี
ช่วงแปดโมงครึ่งในสนามหญ้าก็คับคั่งไปด้วยผู้คน ส่วนมากจะเป็นเด็กผู้หญิงที่วิ่งกรูเข้ามาขอใบปลิวบ้านผีสิงที่เขาแจก บางคนก็ขอถ่ายรูปด้วย จงอินไม่ได้คิดว่าเขาฮอตหรืออะไร เพราะถ้าฮอตของจริงก็คงเป็นไอ้เวรแวมไพร์ที่ยืนเก๊กหน้าอยู่ข้าง ๆ เขาได้อย่างไม่รู้จักเหนื่อยต่างหาก
ไอ้เทามันเป็นที่นิยมของสาว ๆ ช่างเพ้อฝัน ดีกรีนักว่ายน้ำโรงเรียนที่ชิงเหรียญทองมาได้มากมาย ไหนจะเรื่องชกต่อยที่โดดเด่น กับใบหน้าหล่อเหลาบวกกับผิวสีแทนที่ไหม้กร้านเพราะแดดเผานั่นด้วย
เอาเถอะ...แค่เป็นหวงจื่อเทา สาว ๆ ก็กรี๊ดกันสลบแล้ว
“เมื่อยหน้ายัง”
“ใกล้ละ คอแห้งชิบหาย แกล้งตอแหลบ่นหิวน้ำดีปะวะ?” จื่อเทาหันมาถามความเห็นจากเพื่อนสนิท ที่กำลังหัวเราะในลำคอกับแผนการง่อย ๆ ของเขา
“ก็ลองดู กูว่ามึงคงได้กอดสารพัดขวดน้ำแทนกองใบปลิว”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองไปยังเบื้องหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ พวกเขายังคงแจกใบปลิวกันต่อไปโดยที่ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานแค่ไหนแล้ว หลายครั้งที่จงอินเงยหน้าขึ้นไปบนอาคารเรียน ตอนนี้เซฮุนก็คงยุ่งไม่ต่างกันสินะ
ไม่สิ... หมอนั่นคงยุ่งกว่าอยู่แล้ว ป่านนี้คงถูกสาว ๆ รุมถ่ายรูปอยู่ล่ะมั้ง
คิดแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะส่ายหัวไล่ภาพรอยยิ้มของอีกคนออกไป มันเป็นเรื่องตลกเหลือเกินที่ในหัวของเขามีคำว่า ‘หวง’ เกิดขึ้น วูบหนึ่งคิมจงอินรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวเขา กับความรู้สึกอยากเก็บรอยยิ้มของโอเซฮุนไว้แค่คนเดียว
แต่มันก็ไม่นานนักหรอก กับความคิดที่ลอยเข้ามาให้ได้คิด จงอินรู้และเข้าใจดี หรือต่อให้ไม่เข้าใจ เขาก็เชื่อในแววตาของเซฮุนที่พร้อมจะบอกว่า ‘ฉันไม่เคยมองใคร’ ในขณะที่เงาของเขากำลังสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“เป็นห่าไรยืนยิ้มอยู่คนเดียว”
เด็กหนุ่มผิวแทนหลุดออกจากความคิด จงอินเห็นว่าสีหน้าของไอ้เทาพร้อมจะล้ออยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดว่าเขายังเรียกสติตัวเองกลับมาไม่ได้
“คิดว่ามึงโคตรน่าสงสาร ที่ต้องหยิบเขี้ยวปลอมฉ่ำน้ำลายขึ้นมาใส่ทุกครั้งที่มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย”
พูดจบคนที่สวมบทเป็นแวมไพร์ถึงกับหน้าเสีย แน่ล่ะ หวงจื่อเทาโคตรลำบากใจกับสิ่งที่ทำอยู่เลย จะไม่ใส่มันก็ได้แหละนะ แต่พอสาว ๆ บอกว่าอยากเห็นเขี้ยวแวมไพร์พี่เทา ไอ้เขาก็ต้องล้วงออกมาจากกระเป๋าแล้วใส่เข้าไปทุกครั้งอย่างปฏิเสธไม่ได้ นี่ขนาดล้างน้ำหลังใช้แล้วนะ กลิ่นน้ำลายยังติดอยู่เลย ให้ตายเถอะ
“ถ้ายังต้องเรียนต่ออีกปีนึง กูขอสาบานว่าจะไม่มีแวมไพร์ที่ไหนอีก”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกครั้ง นานเลยทีเดียวที่พวกเขาต้องยืนหลังขดหลังแข็งอยู่กับการแจกใบปลิว จนเห็นว่าคู่รักบ้าบอมันลงมาเดินเล่นด้วยกันตามซุ้มกลางสนามนั่นแหละ จื่อเทากับจงอินเลยหาเรื่องอู้สักหน่อย
เขาฝากใบปลิวให้แบคฮยอนช่วยแจกต่อ ซึ่งคนตัวเล็กก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ แถมยังบอกอีกว่าไม่ต้องรีบก็ได้ ผีจีนตาใสบอกให้เขาทั้งสองคนไปนั่งพักผ่อนก่อนแล้วค่อยกลับมา
ถามว่าเกรงใจแบคฮยอนไหม ก็เกรงใจนะ แต่ตอนนี้คิมจงอินอยากไปหาโอเซฮุนมากกว่า ถึงจะไม่ได้เข้าไปเจอตรง ๆ เพราะคนเยอะ แต่แค่เดินผ่านไปเห็นหน้าก็ยังดี
เขาชอบโอเซฮุนได้มากถึงขนาดนี้เลยเหรอ คิมจงอินไม่เคยรู้สึกเสียความเป็นตัวเองแบบนี้มาก่อน...
“มึงว่าตอนนี้เซฮุนกำลังทำอะไรอยู่”
เป็นเรื่องปกติที่ไอ้เทาจะเล่นเกมถามตอบเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับเรื่องไร้สาระ ถ้าเราต้องไปเจอกับอะไรสักอย่าง มันเป็นการฆ่าเวลาที่เพื่อนชาวจีนคิดว่ามันเป็นจังหวะดีที่จะได้ใช้ไอคิวอีคิวที่มีอยู่ ซึ่งจงอินก็ไม่ได้ถามกลับไปว่า ‘ทำไม?’ เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดีว่านิสัยไอ้เพื่อนคนนี้เป็นยังไง
มันก็แค่เป็นคนชอบเรื่องสนุกมากกว่าจะเสียเวลาให้กับความน่าเบื่อ ถึงจะสองสามนาทีก็ตาม
“ถ่ายรูปกับแขกมั้ง”
“คิดเหมือนกูเลย” จื่อเทาหัวเราะ
ทั้งสองคนเดินไปตามระเบียงทางเดินที่เต็มไปด้วยนักเรียนหลากหลายชั้นปี มีบางคนที่มองตามแล้วส่งเสียงกรี๊ดเบา ๆ ไล่หลัง จื่อเทาชอบเวลาได้รับความสนใจจากเด็กผู้หญิง และนี่คงเป็นเรื่องหนึ่งที่เขากับจงอินคิดไม่เหมือนกัน
จงอินไม่ชอบเป็นจุดเด่น ในขณะที่จื่อเทาชอบเช็กเรตติ้งอย่างถึงขีดสุด
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่หน้าห้องเรียนของเซฮุนก่อนที่เมดสาวจะเข้ามาต้อนรับให้เข้าไปข้างใน บรรยากาศห้องนี้คึกครื้นจนทำขนมและเครื่องดื่มเสิร์ฟแทบไม่ทัน ไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่าคนที่ถูกรุมอยู่ตรงหน้ากระดานจะเป็นใคร
“เชิญนั่งก่อนนะคะ”
เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งลงโดยที่ยังไม่ละสายตาจากกลุ่มคนหน้ากระดานดำ เสียงกรีดร้องของเหล่าแฟนคลับสาวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจงอินได้มีโอกาสเห็นหน้าเซฮุนแค่เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น ก็ตอนที่มีคนแทรกตัวออกมาหลังจากถ่ายรูปคู่ได้สำเร็จ
“นายท่านจะสั่งอะไรดีคะ?”
“เอาชาเอิร์ลเกรย์ร้อนมาสองที่ บอกโอเซฮุนด้วยว่ามีคนมาหา” จื่อเทานั่งไขว่ห้าง เขารับเมนูที่เมดสาวส่งมาให้แล้วสั่งโดยที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน และไม่ลืมที่จะสบตากับเธอตามประสาผู้ชายเจ้าชู้
“ค...ค่ะ...”
เสียงกรี๊ดเบา ๆ ลอยเข้ามาในหูอีกแล้ว และนั่นเป็นคำตอบว่าการเช็กเรตติ้งของหวงจื่อเทาเป็นผลสำเร็จ เมดสาวคนนั้นเดินแทรกเข้าไปหาเซฮุน เขาเห็นว่าเมดบอยเลิกคิ้วแล้วมองมาตรงนี้ ก่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จื่อเทาโบกมือให้เมดบอยที่ยังคงถูกสาว ๆ รุมล้อม โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นเหตุที่สร้างรอยยิ้มให้กับเซฮุนนั้นคือคนที่อยู่ข้างตัวเขา เมดบอยหันไปยิ้มให้กับแฟนคลับรุ่นน้อง แล้วยิ้มให้กล้องอีกครั้ง จงอินเห็นว่าคนตัวผอมแอบชูนิ้วขึ้นมาเป็นเชิงบอกว่าให้รออีกหน่อย
“กูไปก่อนนะ”
“อ้าว ไม่อยู่ก่อนล่ะ เดี๋ยวเซฮุนก็มาแล้ว”
“กูไม่อยากรบกวนเวลางาน เดี๋ยวเมดบอยขวัญใจสาว ๆ โดนไล่ออกแล้วจะยุ่ง”
“ไอ้ห่านี่ก็ขี้แซะเหลือเกิน”
ทั้งคู่หัวเราะแล้วแท็กมือกัน ก่อนจงอินจะเดินออกมาจากห้อง และไม่ลืมที่จะหันไปมองเจ้าของรอยยิ้มตาสระอิเป็นครั้งสุดท้าย
แค่นี้แหละที่อยากเห็น คิมจงอินไม่ได้อยากแย่งโอเซฮุนมาจากสาว ๆ กลุ่มนั้น เขารู้ดีว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งในโลกของเซฮุน ผู้หญิงเหล่านั้นคือกำลังใจหนึ่งที่ทำให้เซฮุนรู้สึกดี พวกเธอทำให้หมอนั่นรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง
อีกอย่าง... คิมจงอินไม่สามารถเป็นโลกทั้งใบให้โอเซฮุนได้ รวมถึงทุก ๆ คนบนโลกนี้ด้วย พวกเขาต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคน แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาอยากให้เซฮุนมีโลกใบใหญ่ของตัวเอง โดยที่มีคิมจงอินคนนี้เป็นส่วนประกอบ
เราสองคนยังมีเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกเยอะ เขาคิดอย่างนั้น (:
.
.
“โทษทีนะ วันนี้พ่อโทรตามให้รีบกลับบ้าน สงสัยไปเห็นบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง”
เห็นจื่อเทาทำหน้าหงอยแล้วก็เอ็นดู เซฮุนยีหัวเพื่อนตัวสูงขณะที่ทั้งคู่เดินลงมาจากอาคารเรียนด้วยกัน ท่ามกลางแสงแดดสีส้มที่กำลังจะถูกความมืดดูดกลืน
“ไม่เป็นไรน่า พูดอย่างกับฉันเป็นเด็กอนุบาลที่จะต้องมีคนไปส่งบ้านทุกครั้งงั้นแหละ”
“ก็ว่าไปนั่น นี่ไม่ได้กะไปส่ง จะขอไปกินข้าวเย็นด้วยต่างหาก” จื่อเทาเลิกคิ้วอธิบายหน้าตาเฉย ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมาเพราะถูกมืออีกคนผลักหน้าเบา ๆ
“ไว้วันหลัง ว่าแต่นายสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ยังไม่ได้สูบเลยเถอะ อันนั้นของรุ่นพี่”
“จริง?” เซฮุนขมวดคิ้วมองจับผิดคนข้าง ๆ ที่พยักหน้าช้า ๆ พร้อมทำหน้าเนือย
“ใจก็อยากลองสูบอยู่นะ แต่เจ้าของบุหรี่ซองนั้นไม่อนุญาตน่ะสิ” นึกไปถึงพี่มินซอกแล้วก็หลุดยิ้มออกมา “วันนั้นพี่เขาเมาเลยต้องลากกลับไปส่งที่คอนโดไง หยิบจับอะไรได้ก็ยัดใส่กระเป๋ากางเกง พอกลับมาถึงบ้านเลยลืมเอาออก นั่นแหละ แม่คงไปเห็นเข้าแล้วฟ้องพ่อแหง”
“ดีใจด้วยนะ” เซฮุนตบบ่าอีกคนปุ ๆ
“ขอบคุณค่ะเซฮุนโอป้า” จื่อเทาดัดเสียงแล้วย่อตัวลงทำท่าถอนสายบัว
“อ้อล้อเหรอ เดี๋ยวชกหัวหลุด” คนตัวผอมมองคาดโทษปนยิ้มก่อนจะชนอีกคนจนเซเสียหลักไปทางด้านข้าง
จื่อเทาหรี่ตามองคนตัวผอมที่แกล้งทำหน้าตาเฉยหลังจากเปิดศึกกับเขา ก่อนจะชนไหล่คืนบ้าง ทั้งคู่เล่นสลับกันชนเหมือนเด็ก ๆ จนกระทั่งไปถึงหน้าโรงเรียน
เด็กหนุ่มชาวจีนส่งเพื่อนขึ้นแท็กซี่แล้วโบกมือลา เซฮุนแยกเขี้ยวใส่มนุษย์ขี้แกล้งที่ปั้นหน้าอ้อล้อใส่เขาจนถึงวินาทีสุดท้าย ถ้าอยู่กับหวงจื่อเทาทั้งวันมีหวังได้เป็นบ้าไปอีกคนแน่ หมอนั่นเพี้ยนชะมัด
วันนี้รถไม่ติด เซฮุนกลับมาถึงบ้านเร็วกว่าที่คิด ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับคนที่เหนื่อยมาทั้งวัน กับหน้าที่บอยเมด...แต่ไม่ได้เดินเสิร์ฟอะไรเลยสักอย่างเดียวน่ะนะ
วางกระเป๋าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เป็นอีกครั้งที่เซฮุนให้เพดานเป็นที่ยึดสายตา วันนี้ได้เจอจงอินแค่เดี๋ยวเดียวเอง ไหนบอกว่าให้หาเหยื่อรอก่อนซอมบี้บุกไง ผู้ชายคนนั้นแค่แวะมานั่งยิ้มให้เขาแล้วก็ออกไป จะรอแค่สองสามนาทีก็ไม่ได้ ไม่รู้เหรอว่ามีคนอยากเจอ
คว้ามือถือขึ้นมาจ้อง อยากคุยกับจงอินแล้ว นั่นคือสิ่งที่เซฮุนรู้ เด็กหนุ่มเข้าหน้าจอหลักแล้วมองแอพลิเคชั่นที่เรียงอยู่ข้างกัน ส่งข้อความ...หรือว่าเฟซไทม์ดีนะ
เพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้นที่เขาใช้เวลารวบรวมความกล้า ถ้าเป็นกับคิมจงอิน โอเซฮุนไม่เคยมีคำว่าพร้อมอยู่แล้ว นัยน์ตามองไปยังหน้าจอแอพเฟซไทม์ ถ้าโชคดีผู้ชายคนนั้นคงว่างรับสาย แต่ถ้าโชคร้ายก็แค่ปล่อยเซอร์ไปแล้วรอคุยคืนนี้ทีเดียวก็ได้ วันนี้เซฮุนมีข้ออ้างแล้วว่าจะคุยเรื่องอะไร เพราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องอาย
( ไง )
“...ไง”
ปัญญาอ่อน... ทำไมต้อง ‘ไง’ กลับด้วยเนี่ย...
“อยู่ข้างนอกเหรอ?” เซฮุนมองอีกคนผ่านหน้าจอมือถือ เขาเห็นว่าที่ที่จงอินอยู่นั้นมันไม่ใช่ส่วนไหนส่วนหนึ่งของบ้าน หรือบนรถเมล์อย่างที่น่าจะเป็น
( ใช่ )
“ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วซะอีก เห็นเงียบหายไปทั้งวันเลย” ประโยคนี้แอบใส่ความน้อยใจเข้าไปนิดนึง เขาเห็นว่าจงอินหลุบตาลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอมยิ้ม
( เห็นนายยุ่ง ๆ เลยคิดว่าคงดีกว่าถ้ารอให้นายเป็นฝ่ายโทรมาก่อน )
“ไม่ใช่ลืมหรอกเหรอ”
( นายทั้งคน จะลืมได้ไง )
“...”
ผู้ชายคนนั้นกำลังยิ้มขำ หลังจากประสบความสำเร็จที่ทำให้เขาพูดไม่ออก คิมจงอินร้ายกาจจริง ๆ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ ถ้าอยู่ใกล้ ๆ คงมีคนตายแน่ ๆ และนั่นคงไม่ใช่ใครนอกจากโอเซฮุนคนนี้
( หายเหนื่อยหรือยัง? )
“ยัง ทำไงดี”
รู้สึกอยากหยิกแขนตัวเอง ที่หัดพูดอ้อล้อตอบกลับไปแบบนี้ เขาจะโทษว่าเป็นเพราะหวงจื่อเทาได้ไหม พออยู่กับหมอนั่นบ่อย ๆ เลยซึมซับอะไรแบบนี้มา
( ไปเที่ยวกัน )
“หา?”
( ลุกขึ้นได้แล้ว ไปเที่ยวกัน )
เซฮุนดีดตัวลุกขึ้นนั่งพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ จงอินอารมณ์ไหนทำไมอยู่ ๆ ถึงชวนไปเที่ยวทั้งที่วันนี้เป็นวันปกติ หรือว่าจะตีความหมายผิด ผู้ชายคนนี้อาจจะชวนล่วงหน้าก็ได้
“วันไหน”
( ชวนวันนี้ก็ไปวันนี้สิ เลิกทำหน้าซื่อบื้อสักทีคุณนักเรียน )
เขาเห็นว่าจงอินลุกขึ้นเดิน มีบางครั้งที่ละสายตาจากหน้าจอขึ้นไปมองทางข้างหน้า แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมละแวกนั้นมันคุ้นจัง
“จงอิน”
( ว่าไง )
“ตอนนี้นายอยู่ไหน” ไม่อยากคิดไปเองเลย แต่เซนส์ที่กำลังบอกในตอนนี้มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างน่าประหลาด จงอินเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะหันมามองกล้องมือถืออีกครั้งหลังจากหยุดเดิน
( เดินมาตรงระเบียงหน่อย )
เซฮุนมองหน้าจอมือถือแล้วก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ดูเหมือนว่างานนี้เซนส์ของเขาจะทำงานได้ดีเอาเรื่อง เด็กหนุ่มตัวผอมลุกขึ้นแล้วเปิดประตูระเบียงออกไป แล้วก็พบว่าคนที่อยู่ในสาย...กำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านเขา
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
( สักพักแล้ว )
“เมื่อกี้ไปหลบอยู่ที่ไหนมา ทำไมฉันไม่เห็นนายเลยล่ะ”
( จะเห็นได้ไง ก็นายเอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือ )
“อ่า...งั้นเหรอ...” เซฮุนยิ้มเจื่อนพลางเกาท้ายทอยแก้เขิน เราสบตากันจากระยะนี้อยู่ราว ๆ ครึ่งนาที แล้วปล่อยให้ลมเย็นพัดผ่าน
( ลงมาสักทีสิ วันนี้ฉันรอนายมาทั้งวันแล้วนะ )
ประโยคธรรมดา ๆ ของผู้ชายคนนั้น ทำไมถึงทำให้หัวใจพองโตได้ถึงขนาดนี้ โอเซฮุนแทบลืมความเหน็ดเหนื่อยทั้งวันไปโดยปลิดทิ้ง เพียงแค่รู้ว่าคนที่ชอบ ‘รอ’ เขามาตลอดทั้งวัน
“นายจะได้รอฉันอีกแค่นาทีเดียวเท่านั้นแหละคิมจงอิน...”
50%
“จะไปไหน?” เซฮุนเลิกคิ้วถามคนที่เดินนำหน้าเขาไปประมาณสองก้าว ทั้งที่ทางไปยืนรอแท็กซี่อยู่ทางขวามือ
“ข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ฝั่งนั้น” จงอินหันมายิ้มพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามความเห็นคนที่เอาแต่ใช้แท็กซี่เป็นยานพาหนะมาตลอดครึ่งค่อนชีวิต “อาจจะถึงช้าหน่อย อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูไหม?”
“ฉันเคยนั่งแล้วน่า” เซฮุนหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะข้ามถนนไปด้วยกัน
เซฮุนโตแล้ว เขามักจะบอกพ่อกับแม่แบบนี้อยู่เสมอ เท่าที่จำได้ก็ตอนอายุเก้าขวบล่ะมั้งที่เขายังต้องให้พ่อแม่จูงมือข้ามถนนอยู่ พอโตขึ้นมาอีกหน่อย เด็กวัยนั้นก็เริ่มมีความคิดว่าสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งผู้ใหญ่อีกแล้ว หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอวดเก่งนั่นแหละ เซฮุนไม่ยอมให้พ่อแม่จับมือเดินข้ามถนนอีกตั้งแต่ตอนนั้น
แต่ตอนนี้...เขาอยากจับมือจงอิน
เด็กหนุ่มตัวผอมหยุดฝีเท้า ตอนที่คนข้าง ๆ ยกมือขึ้นกันเป็นเชิงบอกให้หยุดยืนอยู่กับที่ก่อน เมื่อรถยนต์ขับมาด้วยความเร็วสูง มือของจงอินสัมผัสกับแผงอกเขาเพียงแค่เบาบาง ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนออกเมื่อเขาหยุดยืนแล้ว
พอรถขับผ่านไป ผู้ชายคนนี้ก็หันมาพยักหน้าบอกให้ข้ามถนนได้ เขาเห็นว่าจงอินโค้งหัวขอบคุณรถคันที่จอดรอให้เราข้ามถนน ซึ่งมันเป็นอีกมุมหนึ่งของผู้ชายคนนี้ที่เขาคิดว่าน่ารัก
“กินข้าวเสร็จแล้วจะไปไหนต่อไหม หรือว่าเราจะแยกย้ายกันกลับบ้านเลย” เซฮุนถามระหว่างยืนรอรถเมล์
“โทรขอพ่อแม่ก่อนสิ จะได้คำนวณเวลาถูกว่าหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราจะไปไหนกันต่อได้บ้าง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก พ่อกับแม่ไม่ว่าเรื่องฉันกลับบ้านดึกอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ให้โทรเพราะกลัวนายจะถูกว่า แต่ให้โทรเพื่อบอกให้เขารู้ ว่าตอนนี้ลูกชายทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร” จงอินหันมาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกับทุกครั้ง “ที่พวกเขาปล่อยให้นายเป็นอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สนใจว่านายกำลังทำอะไรอยู่หรอกนะ”
“...”
“โทรสิ” จงอินหลุบตาลงมองสมาร์ทโฟนบนมือเขา เด็กหนุ่มตัวผอมยังคงให้สมองคิดตามกับประโยคเมื่อครู่นี้อยู่ เซฮุนไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาคิดแค่ว่าพ่อกับแม่ไว้ใจอยู่แล้ว เลยไม่ต้องบอกอะไรก็ได้
เซฮุนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก แล้วปล่อยให้ความคิดในหัววิ่งชนกันระหว่างรอสาย
“แม่เหรอครับ” เด็กหนุ่มชำเลืองมองคนข้าง ๆ ที่นั่งมองเขาอย่างตั้งใจ ให้ตายเถอะ คิมจงอินในตอนนี้เหมือนครูฝ่ายปกครองมากกว่าครูสอนเปียโนซะอีก “ผมออกมาข้างนอกกับจงอินนะ อ๋อไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่อยากโทรบอก”
กะแล้วว่าแม่ต้องประหลาดใจที่ลูกชายโทรมารายงานตัว ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำแบบนี้ เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เมื่ออยู่ ๆ จงอินก็แบมือออกมา พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า ‘เอามือถือมานี่’
“สวัสดีครับคุณแม่ ผมจงอินนะครับ” เซฮุนรู้สึกได้ว่าเวลาคุยปกติน้ำเสียงของจงอินก็จะเป็นอีกอย่างนึง แต่พอเวลาคุยกับผู้ใหญ่ น้ำเสียงนั้นก็จะเป็นอีกอย่างเช่นกัน “ครับ ผมกำลังจะพาเซฮุนไปข้างนอก เลยอยากโทรมาขออนุญาตก่อนน่ะครับ”
เด็กหนุ่มตัวผอมมองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของคนข้าง ๆ ก็เขินอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้เหมือนกำลังแสดงความรับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ต้องใส่ใจก็ได้ เซฮุนไม่มีเพื่อนสนิทมานานแล้ว แต่ตอนที่เคยมี คนพวกนั้นก็ไม่เคยออกปากขอกับพ่อแม่ของเขาแบบนี้ ส่วนใหญ่จะไล่ให้ไปขอเองเสียมากกว่า
“ฮ่า ๆ ครับคุณแม่” จงอินหัวเราะ เซฮุนไม่รู้หรอกว่าคนในสายกำลังพูดอะไร ถึงได้ดึงรอยยิ้มออกมาจากใบหน้าผู้ชายคนนี้ได้อย่างง่าย ๆ
ดูเหมือนว่าจงอินกับแม่ของเขาจะคุยถูกคอกันเข้าไปอีก
“พอดีวันนี้ตั๋วหนังลดราคา แถมเรื่องที่อยากดูก็จะออกโรงวันพรุ่งนี้แล้ว มันจะเป็นไรไหมครับถ้าเกิดว่าพวกเราจะขอดูหนังต่อ” เซฮุนเลิกคิ้วมองอีกคนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ทั้งที่เมื่อกี้ที่ถามว่าถ้ากินข้าวเสร็จแล้วเราจะไปไหนกันไหม แต่ผู้ชายคนนี้ก็...
คิดไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว...หรือแค่ขออนุญาตแม่ไปอย่างนั้นกันนะ?
จงอินหันมายิ้มแล้วขานตอบคนในปลายสาย แม่ไม่ขัดอยู่แล้วเรื่องนี้เซฮุนรู้ดี นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้ ว่าต่อให้ผู้ชายคนนี้นั่งอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ต้องพูดหรือทำอะไรให้มันดูพิเศษเหมือนอย่างที่เคยคาดหวังไว้ ว่าถ้ามีแฟน โอเซฮุนอยากให้เขาแสดงออกยังไง อยากให้พูดอะไรที่มันชวนใจสั่นบ้างไหม แต่สำหรับคิมจงอิน...
ไม่ต้องเลย... แค่ที่เป็นอยู่มันก็เพียงพอแล้ว
เพราะทุกอย่างที่เป็นคน ๆ นี้ มันพอดีสำหรับโอเซฮุนแล้ว
“แล้วผมจะพาเซฮุนไปส่งที่บ้านนะครับ สวัสดีครับคุณแม่”
“...”
“เรียบร้อย”
“ความจริงมันเรียบร้อยตั้งแต่ฉันโทรไปบอกแม่แล้ว” เซฮุนรับมือถือคืนมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนตามอีกคนเมื่อรถเมล์ขับมาจอดเทียบข้างฟุตปาธ
จงอินเอาแต่ยิ้มแล้วเดินนำขึ้นไปก่อน บนรถมีผู้โดยสารอยู่แค่ไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคนวัยทำงาน และนักเรียนที่สะพายกระเป๋าเป้ใหญ่นั่งสัปหงกอยู่ จงอินเลือกที่นั่งทางด้านหลัง แล้วยืนรอจนกระทั่งเขาเดินไปถึง
“เข้าไปนั่งข้างในสิ”
“หา นี่ยืนรอให้ฉันเข้าไปนั่งก่อนเหรอ” เซฮุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปนั่งชิดกับหน้าต่าง เป็นอีกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
“ฉันชอบนั่งติดขอบหน้าต่าง มันทำให้มองเห็นอะไรได้มากขึ้นนะ” จงอินหยัดตัวนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ไว้บนตัก
“ถ้าชอบ แล้วทำไมถึงให้ฉันนั่งล่ะ”
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ตอบคำถามในทันที มันเป็นเรื่องปกติอีกนั่นแหละที่คิมจงอินจะยิ้มบาง ๆ เพื่อทิ้งระยะเวลาให้เขาจมอยู่กับความสงสัย ก่อนที่จะคายคำตอบออกมา
จงอินชี้นิ้วออกไปนอกกระจกเมื่อรถเมล์จอดป้ายข้างหน้าให้ผู้โดยสารลง เซฮุนเห็นคุณแม่ในชุดสาวออฟฟิศนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์ โดยมีเด็กหญิงในชุดอนุบาลนั่งสะอื้นอยู่ข้าง ๆ
“นายคิดว่าเด็กคนนั้นร้องไห้ทำไม”
“...ก็” เซฮุนนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอนนี้คำถามที่อยู่ในหัวคือทำไมจงอินถึงได้ถามขึ้นมาแบบนี้ แทนที่เขาจะคิดตามว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงร้องไห้ “โดนแม่ดุมั้ง... ทำไมถึงถามล่ะ”
“ฉันชอบคิดไปเรื่อยเปื่อย เวลานั่งรถเมล์แล้วเจออะไรที่มันสะดุดตา ก็จะคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น” จงอินยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะหันมาสบตากับคนข้าง ๆ
“แล้วนายคิดว่าเด็กคนนั้นร้องไห้เพราะอะไร”
“ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้ว ถ้าให้เดา ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเพิ่งเลิกงานเลยไปรับลูกช้า จนเด็กคนนั้นงอแง เธอเลยซื้อขนมมาแลกกับน้ำตาของลูก”
เซฮุนไม่ได้สนใจภาพคุณแม่กับลูกสาวอย่างที่อีกคนกำลังอธิบาย ตอนนี้เขาเพียงแค่มองรอยยิ้มบนใบหน้าของจงอินเท่านั้น เด็กหนุ่มได้แต่สงสัยว่าเรื่องธรรมดาของคนอื่นสามารถสร้างรอยยิ้มให้จงอินได้ด้วยเหรอ
“ความมืดน่ากลัวสำหรับเด็กเสมอ เมื่อที่ตรงนั้นไม่มีพ่อกับแม่อยู่”
“...”
“ตอนเป็นเด็ก ฉันคิดว่าพอฟ้ามืดแล้วผีจะออกมาน่ะ” จงอินหัวเราะเมื่อนึกไปถึงเรื่องราวที่แม่เคยเล่าให้ฟังตอนเขาสามคนนั่งกินข้าวกันในวันหยุด “แต่มันก็แค่การคาดเดา บางทีเด็กคนนั้นอาจจะดื้อจนถูกตี คนเป็นแม่เลยต้องซื้อขนมมาอุดปากให้เงียบ หลังจากรู้สึกผิดว่าใจร้ายกับลูกเกินไป”
จงอินพูดติดตลก แต่เซฮุนไม่คิดอย่างนั้น เขาทั้งสองคน ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้เด็กคนนั้นร้องไห้ แต่สิ่งที่เซฮุนรู้ก็คือมุมมองที่แตกต่างของผู้ชายคนนี้ ที่ทำให้เขาคิดได้ว่า ‘บางทีสิ่งที่เห็น มันอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้’
ถ้าโอเซฮุนมองเห็นอย่างหนึ่ง คิมจงอินก็จะมองเห็นอีกอย่างหนึ่ง และสิ่งที่ผู้ชายคนนี้เป็น มันคืออีกข้อที่ทำให้เขาสนใจ เซฮุนรู้สึกสนุกทุกครั้งกับการมองเห็นโลกที่กว้างกว่าที่เป็นอยู่ หรือองค์ประกอบในนั้นที่เขามองข้ามไป แต่จงอินกลับมองเห็นมัน
คิมจงอินชอบนั่งชิดขอบหน้าต่างเพื่อมองสภาพแวดล้อมนอกกระจกรถเมล์ แต่พอเป็นโอเซฮุน เขาเลือกที่จะใส่หูฟังแล้วสไลด์จอมือถือ เล่นโซเชียลทุกแอพที่มีอยู่จนกว่ารถจะขับไปถึงเป้าหมาย เซฮุนไม่เคยสนุกไปกับการเดินทาง จนกระทั่งวันนี้
.
.
หลังจากกินข้าวเสร็จ ทั้งคู่ก็เดินไปบนฟุตปาธด้วยกันแล้วพูดคุยเรื่องงานโรงเรียนในวันนี้ เด็กหนุ่มหันไปมองรอบข้าง เซฮุนไม่เคยรู้สึกว่าแสงจากเสาไฟที่ประดับอยู่ข้างทางกับลมเย็นที่พัดผ่านจะเพิ่มบรรยากาศระหว่างเราได้มากขึ้นขนาดนี้
มันตลกจริง ๆ ที่โอเซฮุนยังยิ้มได้แม้ว่าขาทั้งสองข้างจะล้าไปหมดแล้ว แต่เขาก็ไม่ปริปาก หรือแสดงออกทางสีหน้าให้อีกฝ่ายรู้
เซฮุนอยากอยู่กับจงอินนาน ๆ เรื่องปวดขาน่ะไว้ค่อยบ่นตอนอยู่คนเดียวก็ได้ เหตุผลทุกอย่างเอามาหักลบกันได้เสมอถ้าแลกกับการได้อยู่กับคนที่เขาชอบต่ออีกสักหน่อย
ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าตู้ซื้อตั๋วหนัง เซฮุนรีบควักกระเป๋าเงินออกมาเพื่อช่วยจ่าย ซึ่งจงอินก็ไม่อิดออดเลยสักนิดเดียว
“นึกว่าจะไม่รับไว้ซะอีก”
“ถ้าฉันทำอย่างนั้น นายจะลำบากใจใช่ไหม?” จงอินยังคงจดจ้องอยู่กับโปรแกรมหนังโดยที่ไม่หันมามองหน้าเขา
“อื้ม”
“ถ้าหารสองคนจะดีกว่า เพราะถ้านายขอจ่ายเอง ฉันก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน” จงอินหันมายิ้มพร้อมแตะใบเสร็จตั๋วหนังลงบนปลายจมูกรั้นของคนตรงหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำไปข้างหน้า ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง “ฉันไม่ค่อยดื่มน้ำเวลาดูหนัง ถ้าดื่มโคล่าแก้วเดียวกันคงไม่เป็นไรใช่ไหม?” เด็กหนุ่มอมยิ้มกับคำถามธรรมดา ๆ อีกครั้งแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ
ทั้งสองคนเข้าไปในโรงหนังกับโคล่าแก้วเดียวในเวลาถัดมา เซฮุนไม่ค่อยมีสมาธิระหว่างดูหนังเลย หลายครั้งที่เขาเอาแต่ชำเลืองมองคนข้าง ๆ ว่ากำลังทำสีหน้าแบบไหน เซฮุนคิดว่าเขาอยากมองหน้าจงอินมากกว่าหนังตลกมากกว่าเป็นไหน ๆ
ไม่เอาน่า... ถ้าเกิดหนังจบแล้วจงอินมาชวนคุยทีหลังแต่ดันคุยไม่รู้เรื่องนี่จะงานงอกเลยนะโอเซฮุน แค่นั่งเฉย ๆ แล้วสนุกไปกับจอภาพใหญ่ ๆ ตรงหน้าก็สิ้นเรื่อง เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองจอ สมองของเขาเริ่มผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของจงอิน ใช่ ก็นี่มันเป็นหนังตลกที่เซฮุนระเบิดหัวเราะออกมาตั้งแต่ได้ดูทีเซอร์ในยูทูป
คว้าเอาแก้วโคล่ามาดื่มทั้งที่สายตายังไม่ละออกห่างจากจอหนังที่กำลังดำเนินเรื่องไปอย่างต่อเนื่อง เซฮุนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเส้นตื้นหรือเปล่า ถึงได้สำลักน้ำออกมาคาหลอดเพราะเห็นหน้าพระเอกตอนเหวอ
“แค่ก ๆ” เด็กหนุ่มรีบวางแก้วลงแล้วรับผ้าจากอีกคนมาเช็ดปากและจมูก รู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่กำลังช่วยลูบหลังให้ พอสติกลับมา...เซฮุนถึงได้รู้ว่าผ้าที่เช็ดไปเมื่อครู่นี้เป็นเสื้อแขนยาวของจงอิน
“โอเคนะ?”
รู้สึกผิดที่หยิบมาเช็ดทั้งที่ยังไม่ได้ดูก่อน แต่คำถามที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยก็ทำให้อยากขอบคุณการสำลักน้ำเมื่อครู่นี้ เซฮุนพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่ก็หลายวินาทีเลยล่ะที่จงอินมองมาเหมือนกำลังดูท่าทีว่าเขาโอเคจริงหรือเปล่า ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าจอหนังอีกครั้ง
หนังจบเกือบสี่ทุ่ม เราสองคนออกมาข้างนอกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเมื่อสายลมพัดผ่านมาแรงจนเกรงว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฝนอาจจะตก จงอินก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเวลาของเราสำหรับวันนี้กำลังจะหมดลงแล้ว
“นายต้องไปขึ้นรถฝั่งนั้นใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพูดทำลายความเงียบ เซฮุนจะไม่ถามว่า ‘นายจะไปส่งฉันเลยหรือเปล่า’ เพียงเพราะจงอินบอกกับแม่เขาว่าจะพาไปส่งที่บ้าน ถ้าถามไปแบบนั้นคงน่าเกลียดตาย เพราะบางทีจงอินอาจจะแค่ขอตามมารยาท เพื่อให้แม่สบายใจเท่านั้น
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“แต่มันดึกแล้ว นายคงถึงบ้านดึกแน่ถ้านั่งไปส่งฉันที่บ้านก่อน”
“อย่าพูดทั้งที่ในใจคิดอีกอย่างสิ”
“...”
“แล้วก็อย่าเกรงใจในความตั้งใจของคนอื่นด้วย”
เหมือนจงอินเข้ามานั่งในใจยังไงอย่างนั้น เซฮุนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ เหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งถูกดุ แต่มันต่างกันตรงที่เขากำลังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เพียงแค่ได้ยินคำว่า ‘ความตั้งใจ’ จากผู้ชายคนนี้
ทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนถึงป้ายรถเมล์ พวกเขาเลือกที่จะยืนรอแล้วทอดสายตาไปยังท้องถนน เดทอย่างไม่เป็นทางการวันนี้ดูธรรมดาทั่วไป แต่มันก็พิเศษมากมายสำหรับคนที่หวังเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ ๆ อย่างโอเซฮุน
“นี่” เด็กหนุ่มตัวผอมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาเห็นว่าสีหน้าของจงอินดูเหมือนกำลังชั่งใจที่จะพูดออกมา “ไปรอป้ายหน้ากันเถอะ”
ยังอยากอยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย นั่นคือสิ่งที่จงอินคิด แม้ว่าการนั่งรถเมล์จะต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าหากคนที่นั่งไปด้วยคือโอเซฮุน เขาคิดว่าระยะเวลาในการเดินทางนั้นมันช่างสั้นเหลือเกิน
เซฮุนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นอกจากรอยยิ้มอย่างขลาดอายเหมือนอย่างที่เจ้าตัวชอบแสดงออก จงอินรู้สึกว่ามือของเขากำลังเย็น หากแต่มันไม่ได้มาเพราะสภาพอากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้
เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินไปตามฟุตปาธยามค่ำคืนโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก เซฮุนไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้ที่ต้องพยายามลุ้นอยู่ตลอดว่าจงอินจะพูดอะไรบ้าง หรือแม้แต่การคิดอย่างจริงจังว่าควรหาเรื่องไหนมาชวนคุย เพราะสิ่งที่ได้รับในวันนี้มันก็เกินความคาดหมายแล้ว
“เหมือนฝนจะตกเลย” เด็กหนุ่มตัวผอมเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นั่นสิ” จงอินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเช่นกัน ก่อนจะหันไปหาคนข้าง ๆ “กลัวเปียกไหม?”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนหยุดฝีเท้าทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากใบหน้าของกันและกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เซฮุนคิดว่าแววตาของจงอินเปลี่ยนไปจากเดิม ถ้าให้เทียบกับครั้งแรกที่เราได้สบตากันอย่างจริงจัง
‘กะเล่นเอาตายเลยหรือไง มึงสี่ มันคนเดียว แน่จริงไม่ตัว ๆ ไปเลยล่ะ’
‘ไง? ไม่สู้เหรอวะ?’
แววตาของคิมจงอินคนนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว...
“ถ้าอยู่กับนาย” พูดจบก็ส่ายหน้าช้า ๆ เซฮุนเห็นว่าคนข้าง ๆ กำลังยิ้ม และตัวเขาเองก็เช่นกัน
คำถามนั้นมันคงดูธรรมดาถ้าหลุดออกมาจากปากคนอื่น แต่เพราะว่ามันมาจากผู้ชายคนนี้ เซฮุนถึงได้รู้สึกว่ามันพิเศษ
เขาไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้ตอบแบบนั้นออกไป ทั้งที่มันมีตัวเลือกว่า ‘กลัว หรือ ไม่กลัว’ ให้อยู่แล้ว
แต่ก็แค่อยากให้อีกฝ่ายได้รู้ไว้ ว่าถ้าเป็นเรื่องของคิมจงอิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน มันสำคัญสำหรับโอเซฮุนเสมอ
มีเพียงแค่เสียงฝีเท้า และเสียงรถที่กำลังขับเคลื่อนบนท้องถนนที่ทำลายความเงียบระหว่างเรา เซฮุนเริ่มปรับตัวเข้ากับโลกของจงอินได้บ้างแล้ว หลังจากความอึดอัดที่เคยมีมันเริ่มเบาบางลงไป
หลายครั้งที่ทั้งคู่บังเอิญหันมาสบตากัน แล้วก็เป็นตัวเขาที่สู้ไม่ไหวจนต้องแกล้งทำเป็นหันไปข้างหน้าเพื่อมองทางเดิน สายตาของจงอินคือสิ่งเดียวในตอนนี้ที่โอเซฮุนยังปรับตัวให้ชินไม่ได้ และมันคงทำได้ยากมากด้วย
วันนี้สนุกไหม?
เบื่อหรือเปล่า?
วันหน้าเรามาด้วยกันอีกได้ไหม?
นั่นคือคำถามที่อยากพูดออกไป แต่ถ้าถามตอนนี้ก็กลัวว่ามันจะทำลายบรรยากาศดี ๆ ระหว่างเรา เพราะงั้นค่อยถามตอนเฟซไทม์คุยก่อนนอนก็ได้
แต่เดี๋ยวนะ... นี่มันก็ดึกแล้ว จงอินอาจจะอยากพักผ่อนมากกว่าการเฟซไทม์คุยกัน ทั้ง ๆ ที่วันนี้เขาสองคนก็ออกไปกินข้าว ดูหนังด้วยกันมาแล้ว
“เซฮุน”
“อ...อ้อ?” เจ้าของชื่อหลุดออกจากความคิดแล้วหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนที่ฝีเท้าของทั้งสองคนจะชะลอลงจนกลายเป็นหยุดยืนอยู่กับที่
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่มองหน้าเขาโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ซึ่งมันต่างไปจากทุกครั้ง คิมจงอินไม่ใช่คนคิดคำพูดนานนัก ถ้าคู่สนทนาคือโอเซฮุนคนนี้
ไม่เคยรู้สึกประหม่าขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่มีเดทครั้งแรกในชีวิต เด็กหนุ่มผิวแทนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นเด็กผู้ชายที่น่าหมั่นไส้สุด ๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีโอเซฮุนสุดวัลลาบีที่ใคร ๆ ต่างก็เอามานินทาว่าร้าย แต่ตอนนี้มีเพียงแค่โอเซฮุนที่น่าหมั่นเขี้ยวในสายตาคิมจงอินเท่านั้น
หวงจื่อเทากับปาร์คชานยอลเคยบอกว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทไร้หัวใจ หรือไม่ก็พวกตายด้านไร้ความรู้สึก ซึ่งครั้งหนึ่งคิมจงอินก็เคยหวั่นจนคิดว่าตัวเขาอาจจะเป็นแบบนั้น
จนกระทั่งได้เจอกับโอเซฮุน...เขาถึงได้รู้ว่าไอ้เพื่อนบ้าพวกนั้นคิดผิด
“เรา...ลองเดินจับมือกันดูไหม?”
TBC
#นอนอ่อย
ความคิดเห็น